รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๙ ปฏิบัติการลักไก่ ๑
ตอนที่ ๙
เช้าแล้ว...วันนี้ตามเคย สายหมอกต่างลอยคว้างและดูเหมือนว่ายิ่งสายไอหมอกก็ยิ่งลงจัด คุณลุงพระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นเจ้าเมฆอย่างเช่นทุกครั้ง ความหนาวเย็นก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม แถมยังถูกเพิ่มเติมด้วยสายลมที่พัดมาเป็นระลอกอีก
เช้านี้เป็นเช้าที่เมยาวีคิดว่าเธอขี้เกียจมากที่สุด หญิงสาวก็เลยไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงเสียเท่าไร มีเจ้าผ้าห่มผืนหนาเท่านั้นที่ห่มทับ แถมคุณเธอยังขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนเผลอหลับไปอีกรอบ
จวบจนเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นนั่นแหละ หญิงสาวจึงได้สะดุ้งตื่นอีกครั้ง
“คุณเหมย คุณเหมยคะ คุณเหมย”
เสียงเรียก ซึ่งแน่นอนมันคือเสียงของน้ำบุษย์แถมเสียงเคาะประตูยังดังมาให้ได้ยินอย่างกระชันชิดอย่างกับ
เสียงตีกลองยามออกศึกอย่างไรอย่างนั้น
“จ้า...ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว” หญิงสาวโวยลั่นห้อง แม้จะขี้เกียจอย่างไรแต่เสียงที่เคาะอยู่หน้าห้อง มันไม่ได้นึกอนาทรต่อเธอเลยสักนิด “พอแล้วบุษย์ ขอร้องล่ะพอเถอะเจ้าค่ะ มาแล้ว...”
บ่นอุบอิบ พร้อมกับเดินมาเปิดประตู พอเปิดประตูแล้วเธอยังยืนโงนเงน เหมือนจะหลับอีกรอบเสียอีก
“คุณเหมยคะ ฟังบุษย์ก่อนได้ไหมคะ”
“ก็พูดมาสิเจ้าคะ อิฉันยืนฟังอยู่เนี่ย”
ยืนหลับหูหลับตาฟังน้ำบุษย์รายงานเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่สักพัก ก็ทำท่าว่าจะกลับเข้าไปนอนอีกครั้งหนึ่ง ทว่าก็ถูกน้ำบุษย์ดึงแขนเอาไว้อีกรอบ
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณเหมย”
“อ้าว...ยังไม่จบอีกหรือ”
“ยังค่ะ...”
“เอ้า ก็เล่ามาสิ ฟังอยู่”
“คือเมื่อกี้บุษย์ได้รับโทรศัพท์จากคุณปวีร์ค่ะ คุณปูนบอกว่าจะมาที่ไร่ของคุณเหมยพร้อมกับคุณมีนในช่วงสายของวันนี้ค่ะ”
ประโยคนั้นทำให้เมยาวีถึงกับตื่นในทันทีก็ชื่อไอ้ผู้ชายตาถั่วคนนั้นน่ะสิ ที่ทำให้เธอรู้ตื่นอย่างรวดเร็ว
“ห๊ะ อะไรนะ”
“คุณปวีร์กับคุณมีนจะมาเที่ยวที่ไร่ค่ะ”
“บอกเค้าไป ว่าไม่ต้อนรับ”
“ช้าไปแล้วค่ะ พวกเขาจะมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้วล่ะค่ะ”
“ยายบุษย์ ทำไมเธอไม่ตอบปฏิเสธพวกนั้นไปล่ะ”
เจ้านายสาวโวยลั่นอย่างไม่พอใจสุดขีดอาการง่วงก็พลันหายไปอย่างเรียกว่าปลิดทิ้งไปเลยล่ะ บ้าเอ้ย...แล้วนี่เธอจะทำยังไง จะทำตัวยังไง จะปั้นหน้าอย่างไรและที่สำคัญ เธอจะหลบเขาไปที่ไหนดี
“กลุ้มๆ กลุ้มเว้ย”
“อ้าว คุณเหมยกลุ้มอะไรอีกหรือคะ” น้ำบุษย์ถามด้วยใบหน้าใสซื่อ
“เปล่า ไม่มีอะไร เธอไปทำงานได้แล้วล่ะ”
น้ำบุษย์พยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ขณะเมยาวีแทบจะทรุดกายลงตรงนั้น ดีที่มือของเธอเอื้อมคว้าประตูเอาไว้ได้ทัน ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาและร้องเรียกน้ำบุษย์เอาไว้เสียก่อนที่อีกฝ่ายจะไปพ้นจากตรงนั้น
“บุษย์ เดี๋ยวก่อน...โทรเรียกยายคีนกับยายฝนให้มาหาฉันด้วยนะ เร็วๆ ด้วยล่ะ ด่วนที่สุด”
ในเมื่อปั้นหน้าให้เจอกับเขาแต่เพียงลำพังไม่ได้ หล่อนก็ขอให้เพื่อนสาวทั้งสองมาช่วยเป็นฉากกั้น แม้ไม่ได้มากก็ระดับหนึ่งยังดี
ไอ้ปูนบ้าเอ้ย...ทำให้ฉันอกหัก แล้วยังจะพาเมียมาเย้ยฉันอีก ขออย่าให้ถึงทีฉันบ้างเถอะ จะเย้ยแม่ให้เสียดายเลย อ่ะ...คิดออกแล้ว
ว่าแล้วความคิดหนึ่งที่บรรเจิดเป็นที่สุดก็ผุดขึ้นมาในสมองน้อยๆ นั้น ใช่ คุณจอม...คุณจอมทัพ ความคิดที่สุดจะบรรเจิดเกิดขึ้น พร้อมกับกรอบหน้าสวยที่สดใสขึ้นมาในทันที เธอยกมือขึ้นกุมกันระหว่างอกอย่างเพ้อฝัน
“คุณจอมทัพ...”
//////
ชัยเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนไม้ด้วยท่าทีที่ลังเล ว่าตนจะก้าวขึ้นไปบนเรือน หรือว่าหยุดอยู่ตรงนั้นและเรียกคนที่อยู่บนเรือนให้ออกมา เพื่อตนจะได้พูดคุยถึงเรื่องที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเดินทางมาถึงที่นี่
ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจเด็ดขาดอะไร รติกรที่ตื่นนอนแล้วและเธอก็กำลังจะลงจากเรือน เพื่อไปดูดอกไม้ที่บานสะพรั่งในตอนเช้า เมื่อเห็นเขายังยืนหันรีหันขวางอยู่ด้านหน้า เธอจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาขึ้นเสียก่อน
“อ้าว...คุณชัย มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ ผม...ผมมาหาพวกคุณน่ะครับ”
“มาหาพวกเรา” รติกรคลี่ยิ้มสดใส ก่อนจะเลิกคิ้วมองชายหนุ่มอย่างนึกสงสัย “มาหาพวกเรา มีเรื่องอะไรหรือ
คะ”
“คือว่าวันนี้ พี่เหมยให้มาบอกว่าวันนี้จะยังไม่พาพวกคุณลงไปที่สวน ผมเห็นว่าพวกคุณคงจะอยู่บ้านแบบเหงาๆ ก็เลยจะมาชวนไปเที่ยวที่ท้ายไร่น่ะครับ”
“เที่ยวหรือคะ...” รติกรรีบถลาลงมาหาเขาในทันทีอย่างดีใจ
“ที่ท้ายไร่ของนาย มีอะไรดีนักล่ะ นายชัย”
ยังไม่ทันที่รติกรจะได้ถามเขาถึงสิ่งไหนมากไปกว่านั้น เสียงของปุณชิกาก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ขณะชัยก็ได้หันไปมาทางนั้นด้วยประกายตาแกมดีใจ
“ที่ท้ายไร่ มีลำธารสายเล็กๆ เหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจครับ คุณปูเป้ไปด้วยกันนะครับ”
เห็นว่าชายหนุ่มชวนปุณชิกามากกว่าตน รติกรก็ฉายความไม่พอใจออกมาทางแววตานิดหนึ่ง ทว่าที่สุดแล้ว เธอก็สามารถเก็บมันเอาไว้ได้ในที่สุด
“ไปสิ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกัน”
เธอตอบรับอย่างว่าง่าย ซึ่งความง่ายนี้ยิ่งทำให้รติกรคลางแคลงใจเป็นที่สุดเพราะทุกครั้งปุณชิกาไม่ได้ไว้ใจใครง่ายๆ นอกจากจอมทัพเท่านั้น นี่เธอก้าวพลาดไปอีกก้าวแล้วหรืออย่างไร
ดูๆ แล้ว นายชัยก็เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนว่าจะปิดเธอได้ไม่มิดนัก
คนทั้งสอง...เริ่มจะพูดกันดีๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งพบเจอกันได้ไม่นาน แล้วเธอล่ะ...ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเช่นนั้นบ้าง
จากที่ได้สังเกต ในยามที่พูดคุยกับเธอ...ชัย ไม่ได้มีความสุขเหมือนตอนที่คุยกับปุณชิกาเลยสักนิด อย่างนี้แล้ว มันหมายความว่าอย่างไรกัน
“คุณรติไปด้วยกันนะครับ” เห็นว่ารติกรยืนยิ้มเก้อเขาก็ไม่ลืมที่จะชวน
“เอ่อ...ค่ะ”
“ชัย นายจะไปตอนนี้เลยใช่ไหม” ปุณชิกาถามอีก พร้อมกับร่างบางที่เยื่องย่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าของชาย
หนุ่ม ข้างๆ คือรติกร ที่ดูเหมือนว่ารัศมีของอีกฝ่ายจะถูกบดบังไปเสียหมด
“ครับ...ถ้าคุณปูเป้พร้อม ผมว่าเราก็ไปตอนนี้ได้เลยครับ”
“เดี๋ยวก่อน ฉันจะชวนพี่จอมไปด้วย รอก่อนนะ”
ปุณชิกากำลังจะหันหลังขึ้นเรือน หากในเวลานั้นจอมทัพที่เดินออกมาทันได้ยินในสิ่งที่ทั้งหมดสนทนากันอยู่พอดี เขาจึงรีบตอบปฏิเสธไป
“ปูเป้กับคุณรติไปเที่ยวกันเถอะ วันนี้พี่รู้สึกปวดหัว ขออยู่กับห้องดีกว่า”
“นี่พี่จอมปวดหัวหรือคะ นายชัย งั้นฉันไม่ไปแล้วล่ะ”
รีบปฏิเสธในทันที เมื่อรู้ว่าจอมทัพกำลังป่วยจนทำให้ไม่สามารถไปกับเธอได้และนั่นมันก็ได้ทำให้แวบหนึ่งในดวงตาของชัยสลดลงไปแต่กระนั้นจอมทัพก็เป็นฝ่ายคลี่คลายสถานการณ์ได้ในที่สุด
“พี่ว่าปูเป้ไปเที่ยวเถอะไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก เดี๋ยวกินยาก็หายแล้วล่ะ”
“แต่ปูเป้อยากจะอยู่ดูแลพี่จอมนี่คะ”
“พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก เธอไปเที่ยวเถอะนะ”
เห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น ประกอบกับเธอก็อยากจะไปเห็นสถานที่ซึ่งชัยแนะนำเช่นกัน จึงทำให้หญิงสาวตัดสินใจได้เร็วขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวตอนบ่าย ปูเป้จะกลับมาดูแลพี่จอมนะคะ”
จอมทัพแค่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้หญิงสาววางใจ ขณะปุณชิกาคลี่ยิ้ม ก่อนจะรีบตามชัยและรติกรไปขึ้นรถในทันที
ชายหนุ่มมองตามคนทั้งหมดที่จากไปก็พลันยิ้ม ไม่ใช่ว่าเขาปวดหัวหรอกเพียงแต่เขาอยากจะอยู่ห่างกับปุณชิกาสักพักต่างหากและความรู้สึกเหล่านี้มันกลับตรงกันข้ามกับใครอีกคนหนึ่ง
เมยาวี...ชายหนุ่มเรียกชื่อนี้อยู่ในใจ เขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันเพราะเหตุใด ตนถึงได้มีความรู้สึกถวิลหาผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอดเวลา
/////
รถยุโรปคันหรูเคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าตึกใหญ่ภายในไร่ศีตกรรณ เมื่อเครื่องยนต์ดับสนิทคนบนรถก็เปิดประตูลงมาในทันที
ปวีร์และมัสมารสนั่นเอง
เมยาวีมองภาพที่ทั้งสองสามีภรรยาหมาดๆ เดินประคองกันเข้ามาหาตรงที่เธอและเพื่อนๆ ยืนอยู่ ด้วยความฮึดฮัดขัดใจเป็นยิ่งนักแม้ว่าคนทั้งสองจะคลี่ยิ้มอย่างมีไมตรีส่งให้ก็ตาม
“สวัสดีนายปูน มีน” วัสนางค์ทักคนทั้งสองเป็นคนแรกด้วยรอยยิ้มสดใส
“สวัสดีครับ แหม...วันนี้อยู่กันจนครบเซตเลยนะครับ” ปวีร์ถามด้วยสีหน้ารื่นรมย์ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่กรอบหน้าสวยของเมยาวีซึ่งยืนนิ่งขรึมอยู่
“สวัสดีครับ เหมย เป็นยังไงบ้าง”
“ก็สบายๆ ค่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เธอเชิดหน้าตอบก่อนจะหันไปทางอื่นเสีย
“คีนว่าเราเข้าไปคุยกันที่ศาลาด้านข้างกันเถอะค่ะ ที่นี่เดี๋ยวสายแดดจะร้อน” มณีกานดาเอ่ยขึ้นก่อนเข้าไปจูงมือมัสมารสและชวนกันเดินไปยังศาลาด้านข้างของตัวเรือนใหญ่
“ฝนเธอคุยกับพวกนี้ไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา” เมยาวีกระซิบบอกเพื่อนสาว หลังนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“เธอจะไปไหนยายเหมย แขกเขามาเยี่ยมทั้งทีนะจะหนีไปไหนอีก”
“เออน่า เดี๋ยวฉันมา เธอกับยายคีนรับหน้าสองคนนี้ไปก่อนละกัน” ว่าแล้วก็ฉากตัวเดินจากไปในทันที โดยไม่พูดจาอะไรกับแขกทั้งสองที่อดมองตามอย่างนึกสงสัยไม่ได้
“คุณเหมยไปไหนน่ะ คีน”
“ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ มีน” มณีกานดาตอบด้วยสีหน้าใคร่รู้เช่นกัน
“เราสองคนทำให้พวกเธอ โดยเฉพาะเหมยไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น มีนว่ามีนควรจะชวนปูนกลับดีกว่านะคะ”
“อย่าเพิ่งเลยมีน ยายเหมยแค่ขอตัวไปทำธุระน่ะ เดี๋ยวก็มา” วัสนางค์ช่วยพูดให้ทั้งสองเบาใจ
“แต่ดูเหมือนว่าเหมยจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนะครับที่ผมมา”
“นายปูน อย่าคิดมากไปน่า มาเถอะมาทางนี้เถอะ”
วัสนางค์ดุนดันหลังของทั้งสองสามีภรรยาให้นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่และชวนทั้งสองพูดคุยกันไปตามประสา
//////
เมยาวีเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนไม้ด้วยกรอบหน้าสดใส เธอกรอกสายตามองไปรอบๆ นิดหนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเรือนในทันที
มองเห็นแวบๆ ว่าเขาเดินไปทางระเบียงหลังบ้าน แค่เห็นแผ่นหลังนิดเดียวเท่านั้นก็แทบจะทำให้หัวใจของหญิงสาวละลายอยู่ตรงนั้น
และเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรที่สั่งการให้เธอมาหาเขาถึงที่นี่
เมยาวีเดินตรงเข้าไปหาเขา ขณะจอมทัพหันมามองหญิงสาวด้วยความแปลกใจที่วันนี้เมยาวีขึ้นมาหาเขาบนเรือนไม้ด้วยกรอบหน้าสดใส
“คุณจอมทัพคะ”
“เอ่อ...คุณเหมย มีอะไรหรือเปล่าครับ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยขณะถาม เมยาวียิ้มและเดินตรงเข้าไปหาเขา
“คุณรติกับคุณปูเป้ล่ะคะ ทำไมวันนี้บนเรือนเงียบกันจัง”
“อ้อ...สองคนนั้นออกไปเที่ยวที่ท้ายไร่กับชัยน่ะ ผมไม่อยากไปก็เลยขออยู่บ้านเงียบๆ”
“ค่ะ...เอาไว้วันหลังเหมยค่อยพาคุณไปก็แล้วกันนะคะ”
“ได้สิครับ ถ้าเป็นคุณเหมยผมยินดีไปด้วยอยู่แล้ว”
“ยินดี...ขอให้มันจริงเถอะค่ะ”
“คุณเหมยหายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ”
จอมทัพเอียงหน้ามองหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ขณะเมยาวีรีบหลบสายตานั้นในทันที ไม่รู้ว่าตนจะขึ้นมาให้เขาถามดักทางแบบนี้ทำไม แต่ที่เธอแน่ใจคือหัวใจมันได้สั่งการให้เธอเดินมาที่นี่
“เอ่อ...อยู่คนเดียวแบบนี้ ไม่เหงาหรือคะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตัวเองจะเขินไปมากกว่านี้ที่โดนจอมทัพถามและคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนๆ
“ก็มีบ้างนิดหน่อยครับ แต่ความเงียบก็ดีไปอีกแบบนี่ ผมกำลังจะมามองภาพวิวจากที่ตรงนี้เข้าไปยังทุ่งดอกไม้ ดูก็สวยไปอีกแบบนะครับ”
“มันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ จากเรือนใหญ่และจากเรือนไม้ หากจะมองไปทางไหนแล้วก็มีแต่ภาพที่สวยงามทั้งนั้น” เมยาวีเดินเข้าไปยืนข้างๆ กับเขา พร้อมกับสูดหายใจเอาความบริสุทธิ์เข้าจนเต็มปอด จอมทัพยิ้มเขามองกรอบหน้าสวยที่แดงระเรื่อเช่นนั้นเนิ่นนาน
“คุณเหมยเก่งจังเลยนะครับ นอกจากจะบริหารงานในไร่คนเดียวแล้ว ยังจัดสถานที่ได้อย่างลงตัวเสียอีก”
“โอ้ย...ไม่ใช่เหมยคนเดียวหรอกค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต่างหากค่ะที่ดูแลเรื่องนี้ด้วย”
“คุณพ่อคุณแม่...เอ้อ จริงๆ ด้วย ตั้งแต่ผมมายังไม่เจอท่านเลยครับ”
“คุณพ่อคุณแม่ของเหมยชอบท่องเที่ยวค่ะ ท่านไม่อยู่กับที่หรอกนี่ก็ลงไปเที่ยวทางใต้ก่อนที่คุณจะมาถึง ปล่อยแต่เหมยทำงานคนเดียวอยู่งกๆ”
เธอบ่นอุบอิบ พรางนึกถึงใบหน้าของบิดาและมารดาตั้งแต่เดินทางเธอก็ยังไม่ได้โทรไปคุยกับพวกท่านเลย เล่นหายไปทั้งคู่ สงสัยจะสนุกจนลืมลูกสาวเสียแล้วล่ะ
จอมทัพมองกรอบหน้าหวานของหญิงสาวไม่วาง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
“คุณเหมยก็คงจะตกที่นั่งเหมือนผมน่ะแหละครับ ถูกคุณพ่อคุณแม่โยนงานมาให้ทำทันทีที่ผมเรียนจบและกลับมาจากเมืองนอก”
“ค่ะ...เหมือนกันน่ะแหละเนอะ แม้จะเบื่อและอยากจะพัก ก็ไม่ได้พัก”
“เถอะน่าครับ ในเมื่อท่านวางใจให้พวกเราทำก็ต้องทำอย่างเต็มที่ อ้อ...แล้วคุณเหมยคิดยังไงถึงทำสวนดอกไม้ล่ะครับ”
ถามเธออีกรอบส่วนสายตาก็เลื่อนมองเลยออกไปยังท้องทุ่งที่มีหมู่มวลดอกไม้หลากสีหลากชนิดออกดอกบานสะพรั่งรับแสงแดดยามสายอย่างสวยงาม
“เหมยชอบดอกไม้ค่ะ ชอบมากด้วย ก็เลยคิดว่าจะทำมันให้ดีที่สุด”
“ดีจังเลยนะครับ ผมเคยได้ยินมาว่าคนที่รักดอกไม้เป็นคนที่อ่อนโยนและก็เริ่มแน่ใจแล้วล่ะครับว่าคุณเหมยก็เป็นคนอ่อนโยนเหมือนกัน”
“อ่อนโยน...” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เธออยากจะยิ้มและเปิดเสียงหัวเราะออกมาเต็มแก่ก็เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้น
เธอมองอย่างไรแล้วมันไม่เหมือนอย่างที่พูดเลยสักนิด เธอนี่นะหรืออ่อนโยน...
“ครับ จากที่ได้รู้จักกัน ดูคุณเหมยก็เป็นคนอีกคนอ่อนโยนอย่างที่ผมรู้สึกจริงๆ”
“รู้สึก...คุณจอมรู้สึกยังไงคะ”
“ก็รู้สึก...”
เขาเคลื่อนตัวเข้าหาหญิงสาวอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมจ้องนิ่งที่กรอบหน้าสวยหวานของหญิงสาวไม่วาง เช่นเดียวกับเมยาวีที่รู้สึกหัวใจมันจะเต้นรัวและเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประกายตาสุกใสของเขา มันเหมือนอย่างจะทำให้เธอต้องมนตราที่มองไม่เห็นให้ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
จอมทัพค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหาคนร่างเล็กที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ก่อนมือหนาจะยกขึ้นและจับตรงที่กรอบหน้าสวย พร้อมกับเรียวปากหนาที่ค่อยๆ ลงมาทาบกับเรียวปากบางอย่างเชื่องช้า
ทว่ายังไม่ทันที่ผิวเนื้ออันอุ่นวาบจะแตะทาบกับเรียวปากสวย เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงขาสั้นสีชมพูของเมยาวีก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“อะไร ยายฝน...” เธอเอ็ดปลายสายโทรเข้ามาขัดจังหวะได้อย่างทันท่วงที
“นี่เธออยู่ไหน” วัสนางค์ก็เอ็ดมาตามปลายสายเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าแม่เพื่อนสาวของเธอออกมานานเกินไปจนผิดสังเกตแล้ว “รู้ไหม พวกฉันรออยู่นี่ตั้งนาน”
เมยาวีทำหน้าเซ็ง เมื่อคิดไปถึงหน้าของปวีร์ ไอ้ตาถั่ว แค่คิดก็เซ็งแล้วจะให้เธอไปปั้นหน้าเรียบๆ พูดกับเขาก็ยิ่งจะเซ็งสุดๆ
“ก็รอก่อนไม่ได้ยังไง น่าเบื่อชะมัดแล้วจะมาทำไมไม่รู้”
“พอเลยแก เขาอุตส่าห์มาเยี่ยมแล้วดันหลบ แล้วนี่เธออยู่ที่ไหนเนี่ย”
“ที่เรือนไม้...กับคุณจอม”
“ห๊ะ...คุณจอม”
วัสนางค์อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนสาวพูด ก่อนสายจะหลุดไปในที่สุด
“ฝน ฝน ว่ายังไง...ฝน...”
“ใครโทรมาน่ะครับ” จอมทัพมองจากท่าทีที่คุยโทรศัพท์ของหญิงสาว เขาจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ยายฝนค่ะ พาเพื่อนๆ มาเที่ยวที่ไร่ คุณจอมคะ...วันนี้เหมยขอยืมตัวก่อนได้ไหมคะ มาค่ะ”
“ยืมตัว ยืมยังไงครับ” เจ้าหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัยเป็นที่สุด ก่อนจะถูกเมยาวีลากลงจากเรือนไม้หลังนั้นไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานคนทั้งสองก็เดินทางมาถึงยังศาลาด้านข้างของตัวเรือนใหญ่ ซึ่งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้และกอดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล
“มาแล้วจ้า มาแล้ว” เมยาวีตะโกนบอกคนทั้งหมดมาแต่ไกล เสมือนจะประกาศศักดาถึงความโดดเด่นของตัวเองที่เดินเข้ามาในที่แห่งนั้นพร้อมๆ กับมีชายหนุ่มอีกคนซึ่งเดินเคียงกันเข้ามาด้วยและมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อสายตาของอาคันตุกะทั้งสอง เมื่อเห็นภาพนั้นก็อดอิจฉาเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้ ปวีร์ถึงกับหน้าสลดลงไปในทันที เมื่อเห็นว่ามีหนุ่มหล่อเดินเคียงข้างมากับ ‘อดีต’ แฟนของตัวเอง แถมทั้งสองยังดูเหมาะสมกันมากเสียด้วยสิ
หากจะให้เขาไปเทียบกับชายหนุ่มคนนั้นแล้ว ปวีร์ยอมรับตนเทียบได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของแฟนคนใหม่ของเมยาวีเลย
เธอลืมเขาได้แล้วจริงๆ
“เอ่อ...คุณเหมย มีแต่เพื่อนของคุณทั้งนั้นเลย คุณจะให้ผมทำยังไง” จอมทัพกระซิบถามหญิงสาว ขณะพยายามเป็นอย่างยิ่งจะปั้นหน้าให้นิ่งอย่างที่สุด
“ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ ก็เหมยบอกแล้วล่ะคะว่าขอยืมตัววันหนึ่ง มาสิคะที่รัก...” ถือโอกาสเรียกเขาแบบนั้นอย่างลิงโลดอยู่ในใจ ขอเถอะ ขอให้เธอเรียกสักครั้ง
เมยาวีฉีกยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะจูงมือชายหนุ่มที่ยังทำหน้างงเข้ามานั่งท่ามกลางการมองอย่างแปลกใจของคนที่อยู่ตรงนั้นก่อนแล้วเช่นกัน
“เอ่อ...นี่แฟนเหมยหรือครับ”
ปวีร์ยอมรับ ในขณะที่ถามน้ำเสียงของเขาสั่นก่อนจะหันไปทางผู้เป็นภรรยาที่คงจะต้องการคำตอบนั้นเหมือนกัน
“ใช่ค่ะ นี่คุณจอมทัพ แฟนของเหมยเองค่ะ” ตอบอย่างหน้าตาเฉย ขณะจอมทัพเบิกตากว้างและอุทานออกมาเสียงดัง
“แฟน...”
มันเป็นเช่นเดียวกับมณีกานดาและวัสนางค์ที่ต่างทำหน้าตื่นและหันมามองหน้ากันด้วยใบหน้าแปลกใจแบบสุดๆ
ยายเพื่อนจอมเปิ่นของเธอไปเป็นแฟนกับคุณจอมทัพตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย
ว่าแล้ววงสนทนานั้นก็ยิ่งเงียบกันไปใหญ่ ท่ามกลางใบหน้าที่ระรื่นสุขของเมยาวีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เชอะ...ใครจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ในเวลานี้คุณจอมทัพคือแฟนของฉัน
“ไม่เชื่อหรือจ๊ะ เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู” ประโยคนั้นจบลง แม่สาวร่างบางก็โน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มจอมทัพอย่างได้ใจ ท่ามกลางอาการตื่นตะลึงสุดๆ ของชายหนุ่มเช่นกัน
“ชื่นใจจังที่รัก คุณจอมคะ นี่ปวีร์และมัสมารส ‘อดีต’ เพื่อนของเหมยเองค่ะ” จงใจที่จะเน้นคำว่าอดีตและมิวายจิกสายตามองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่เธอเคย ‘แคร์’ แบบพอใจสุดๆ
“เอ่อ...ครับ”
จอมทัพพยักหน้ารับทราบอย่างงงๆ ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเจออะไรที่มันกะทันหันแบบนี้ เมื่อเจอเข้าจริงๆ ก็เล่นเอาเสียวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเลยเหมือนกัน
หลังแนะนำกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วงสนทนาย่อมๆ จึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเกิดขึ้นอย่างขัดๆ เต็มที เพราะนอกจากจอมทัพแล้วทั้งวัสนางค์และมณีกานดาต่างก็พูดด้วยถ้อยคำที่เหมือนจะเก็บและระวังตัวเป็นที่สุด อีกทั้งยังรู้สึกตื่นตะลึงกับการกระทำของแม่เพื่อนสาวที่ตู่เอาหนุ่มเมืองกรุงอย่างจอมทัพว่าเป็นแฟนไปไม่ได้
เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ไม่คิดว่าจะเจอแจกพอตอย่างจังๆ แบบนี้ แม้เมยาวีจะคอยเพียรกระซิบอยู่เป็นระยะว่าให้เล่นไปตามน้ำ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
เช้าแล้ว...วันนี้ตามเคย สายหมอกต่างลอยคว้างและดูเหมือนว่ายิ่งสายไอหมอกก็ยิ่งลงจัด คุณลุงพระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นเจ้าเมฆอย่างเช่นทุกครั้ง ความหนาวเย็นก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม แถมยังถูกเพิ่มเติมด้วยสายลมที่พัดมาเป็นระลอกอีก
เช้านี้เป็นเช้าที่เมยาวีคิดว่าเธอขี้เกียจมากที่สุด หญิงสาวก็เลยไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงเสียเท่าไร มีเจ้าผ้าห่มผืนหนาเท่านั้นที่ห่มทับ แถมคุณเธอยังขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนเผลอหลับไปอีกรอบ
จวบจนเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นนั่นแหละ หญิงสาวจึงได้สะดุ้งตื่นอีกครั้ง
“คุณเหมย คุณเหมยคะ คุณเหมย”
เสียงเรียก ซึ่งแน่นอนมันคือเสียงของน้ำบุษย์แถมเสียงเคาะประตูยังดังมาให้ได้ยินอย่างกระชันชิดอย่างกับ
เสียงตีกลองยามออกศึกอย่างไรอย่างนั้น
“จ้า...ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว” หญิงสาวโวยลั่นห้อง แม้จะขี้เกียจอย่างไรแต่เสียงที่เคาะอยู่หน้าห้อง มันไม่ได้นึกอนาทรต่อเธอเลยสักนิด “พอแล้วบุษย์ ขอร้องล่ะพอเถอะเจ้าค่ะ มาแล้ว...”
บ่นอุบอิบ พร้อมกับเดินมาเปิดประตู พอเปิดประตูแล้วเธอยังยืนโงนเงน เหมือนจะหลับอีกรอบเสียอีก
“คุณเหมยคะ ฟังบุษย์ก่อนได้ไหมคะ”
“ก็พูดมาสิเจ้าคะ อิฉันยืนฟังอยู่เนี่ย”
ยืนหลับหูหลับตาฟังน้ำบุษย์รายงานเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่สักพัก ก็ทำท่าว่าจะกลับเข้าไปนอนอีกครั้งหนึ่ง ทว่าก็ถูกน้ำบุษย์ดึงแขนเอาไว้อีกรอบ
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณเหมย”
“อ้าว...ยังไม่จบอีกหรือ”
“ยังค่ะ...”
“เอ้า ก็เล่ามาสิ ฟังอยู่”
“คือเมื่อกี้บุษย์ได้รับโทรศัพท์จากคุณปวีร์ค่ะ คุณปูนบอกว่าจะมาที่ไร่ของคุณเหมยพร้อมกับคุณมีนในช่วงสายของวันนี้ค่ะ”
ประโยคนั้นทำให้เมยาวีถึงกับตื่นในทันทีก็ชื่อไอ้ผู้ชายตาถั่วคนนั้นน่ะสิ ที่ทำให้เธอรู้ตื่นอย่างรวดเร็ว
“ห๊ะ อะไรนะ”
“คุณปวีร์กับคุณมีนจะมาเที่ยวที่ไร่ค่ะ”
“บอกเค้าไป ว่าไม่ต้อนรับ”
“ช้าไปแล้วค่ะ พวกเขาจะมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้วล่ะค่ะ”
“ยายบุษย์ ทำไมเธอไม่ตอบปฏิเสธพวกนั้นไปล่ะ”
เจ้านายสาวโวยลั่นอย่างไม่พอใจสุดขีดอาการง่วงก็พลันหายไปอย่างเรียกว่าปลิดทิ้งไปเลยล่ะ บ้าเอ้ย...แล้วนี่เธอจะทำยังไง จะทำตัวยังไง จะปั้นหน้าอย่างไรและที่สำคัญ เธอจะหลบเขาไปที่ไหนดี
“กลุ้มๆ กลุ้มเว้ย”
“อ้าว คุณเหมยกลุ้มอะไรอีกหรือคะ” น้ำบุษย์ถามด้วยใบหน้าใสซื่อ
“เปล่า ไม่มีอะไร เธอไปทำงานได้แล้วล่ะ”
น้ำบุษย์พยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ขณะเมยาวีแทบจะทรุดกายลงตรงนั้น ดีที่มือของเธอเอื้อมคว้าประตูเอาไว้ได้ทัน ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาและร้องเรียกน้ำบุษย์เอาไว้เสียก่อนที่อีกฝ่ายจะไปพ้นจากตรงนั้น
“บุษย์ เดี๋ยวก่อน...โทรเรียกยายคีนกับยายฝนให้มาหาฉันด้วยนะ เร็วๆ ด้วยล่ะ ด่วนที่สุด”
ในเมื่อปั้นหน้าให้เจอกับเขาแต่เพียงลำพังไม่ได้ หล่อนก็ขอให้เพื่อนสาวทั้งสองมาช่วยเป็นฉากกั้น แม้ไม่ได้มากก็ระดับหนึ่งยังดี
ไอ้ปูนบ้าเอ้ย...ทำให้ฉันอกหัก แล้วยังจะพาเมียมาเย้ยฉันอีก ขออย่าให้ถึงทีฉันบ้างเถอะ จะเย้ยแม่ให้เสียดายเลย อ่ะ...คิดออกแล้ว
ว่าแล้วความคิดหนึ่งที่บรรเจิดเป็นที่สุดก็ผุดขึ้นมาในสมองน้อยๆ นั้น ใช่ คุณจอม...คุณจอมทัพ ความคิดที่สุดจะบรรเจิดเกิดขึ้น พร้อมกับกรอบหน้าสวยที่สดใสขึ้นมาในทันที เธอยกมือขึ้นกุมกันระหว่างอกอย่างเพ้อฝัน
“คุณจอมทัพ...”
//////
ชัยเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนไม้ด้วยท่าทีที่ลังเล ว่าตนจะก้าวขึ้นไปบนเรือน หรือว่าหยุดอยู่ตรงนั้นและเรียกคนที่อยู่บนเรือนให้ออกมา เพื่อตนจะได้พูดคุยถึงเรื่องที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเดินทางมาถึงที่นี่
ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจเด็ดขาดอะไร รติกรที่ตื่นนอนแล้วและเธอก็กำลังจะลงจากเรือน เพื่อไปดูดอกไม้ที่บานสะพรั่งในตอนเช้า เมื่อเห็นเขายังยืนหันรีหันขวางอยู่ด้านหน้า เธอจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาขึ้นเสียก่อน
“อ้าว...คุณชัย มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ ผม...ผมมาหาพวกคุณน่ะครับ”
“มาหาพวกเรา” รติกรคลี่ยิ้มสดใส ก่อนจะเลิกคิ้วมองชายหนุ่มอย่างนึกสงสัย “มาหาพวกเรา มีเรื่องอะไรหรือ
คะ”
“คือว่าวันนี้ พี่เหมยให้มาบอกว่าวันนี้จะยังไม่พาพวกคุณลงไปที่สวน ผมเห็นว่าพวกคุณคงจะอยู่บ้านแบบเหงาๆ ก็เลยจะมาชวนไปเที่ยวที่ท้ายไร่น่ะครับ”
“เที่ยวหรือคะ...” รติกรรีบถลาลงมาหาเขาในทันทีอย่างดีใจ
“ที่ท้ายไร่ของนาย มีอะไรดีนักล่ะ นายชัย”
ยังไม่ทันที่รติกรจะได้ถามเขาถึงสิ่งไหนมากไปกว่านั้น เสียงของปุณชิกาก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ขณะชัยก็ได้หันไปมาทางนั้นด้วยประกายตาแกมดีใจ
“ที่ท้ายไร่ มีลำธารสายเล็กๆ เหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจครับ คุณปูเป้ไปด้วยกันนะครับ”
เห็นว่าชายหนุ่มชวนปุณชิกามากกว่าตน รติกรก็ฉายความไม่พอใจออกมาทางแววตานิดหนึ่ง ทว่าที่สุดแล้ว เธอก็สามารถเก็บมันเอาไว้ได้ในที่สุด
“ไปสิ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกัน”
เธอตอบรับอย่างว่าง่าย ซึ่งความง่ายนี้ยิ่งทำให้รติกรคลางแคลงใจเป็นที่สุดเพราะทุกครั้งปุณชิกาไม่ได้ไว้ใจใครง่ายๆ นอกจากจอมทัพเท่านั้น นี่เธอก้าวพลาดไปอีกก้าวแล้วหรืออย่างไร
ดูๆ แล้ว นายชัยก็เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนว่าจะปิดเธอได้ไม่มิดนัก
คนทั้งสอง...เริ่มจะพูดกันดีๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งพบเจอกันได้ไม่นาน แล้วเธอล่ะ...ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเช่นนั้นบ้าง
จากที่ได้สังเกต ในยามที่พูดคุยกับเธอ...ชัย ไม่ได้มีความสุขเหมือนตอนที่คุยกับปุณชิกาเลยสักนิด อย่างนี้แล้ว มันหมายความว่าอย่างไรกัน
“คุณรติไปด้วยกันนะครับ” เห็นว่ารติกรยืนยิ้มเก้อเขาก็ไม่ลืมที่จะชวน
“เอ่อ...ค่ะ”
“ชัย นายจะไปตอนนี้เลยใช่ไหม” ปุณชิกาถามอีก พร้อมกับร่างบางที่เยื่องย่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าของชาย
หนุ่ม ข้างๆ คือรติกร ที่ดูเหมือนว่ารัศมีของอีกฝ่ายจะถูกบดบังไปเสียหมด
“ครับ...ถ้าคุณปูเป้พร้อม ผมว่าเราก็ไปตอนนี้ได้เลยครับ”
“เดี๋ยวก่อน ฉันจะชวนพี่จอมไปด้วย รอก่อนนะ”
ปุณชิกากำลังจะหันหลังขึ้นเรือน หากในเวลานั้นจอมทัพที่เดินออกมาทันได้ยินในสิ่งที่ทั้งหมดสนทนากันอยู่พอดี เขาจึงรีบตอบปฏิเสธไป
“ปูเป้กับคุณรติไปเที่ยวกันเถอะ วันนี้พี่รู้สึกปวดหัว ขออยู่กับห้องดีกว่า”
“นี่พี่จอมปวดหัวหรือคะ นายชัย งั้นฉันไม่ไปแล้วล่ะ”
รีบปฏิเสธในทันที เมื่อรู้ว่าจอมทัพกำลังป่วยจนทำให้ไม่สามารถไปกับเธอได้และนั่นมันก็ได้ทำให้แวบหนึ่งในดวงตาของชัยสลดลงไปแต่กระนั้นจอมทัพก็เป็นฝ่ายคลี่คลายสถานการณ์ได้ในที่สุด
“พี่ว่าปูเป้ไปเที่ยวเถอะไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก เดี๋ยวกินยาก็หายแล้วล่ะ”
“แต่ปูเป้อยากจะอยู่ดูแลพี่จอมนี่คะ”
“พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก เธอไปเที่ยวเถอะนะ”
เห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น ประกอบกับเธอก็อยากจะไปเห็นสถานที่ซึ่งชัยแนะนำเช่นกัน จึงทำให้หญิงสาวตัดสินใจได้เร็วขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวตอนบ่าย ปูเป้จะกลับมาดูแลพี่จอมนะคะ”
จอมทัพแค่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้หญิงสาววางใจ ขณะปุณชิกาคลี่ยิ้ม ก่อนจะรีบตามชัยและรติกรไปขึ้นรถในทันที
ชายหนุ่มมองตามคนทั้งหมดที่จากไปก็พลันยิ้ม ไม่ใช่ว่าเขาปวดหัวหรอกเพียงแต่เขาอยากจะอยู่ห่างกับปุณชิกาสักพักต่างหากและความรู้สึกเหล่านี้มันกลับตรงกันข้ามกับใครอีกคนหนึ่ง
เมยาวี...ชายหนุ่มเรียกชื่อนี้อยู่ในใจ เขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันเพราะเหตุใด ตนถึงได้มีความรู้สึกถวิลหาผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอดเวลา
/////
รถยุโรปคันหรูเคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าตึกใหญ่ภายในไร่ศีตกรรณ เมื่อเครื่องยนต์ดับสนิทคนบนรถก็เปิดประตูลงมาในทันที
ปวีร์และมัสมารสนั่นเอง
เมยาวีมองภาพที่ทั้งสองสามีภรรยาหมาดๆ เดินประคองกันเข้ามาหาตรงที่เธอและเพื่อนๆ ยืนอยู่ ด้วยความฮึดฮัดขัดใจเป็นยิ่งนักแม้ว่าคนทั้งสองจะคลี่ยิ้มอย่างมีไมตรีส่งให้ก็ตาม
“สวัสดีนายปูน มีน” วัสนางค์ทักคนทั้งสองเป็นคนแรกด้วยรอยยิ้มสดใส
“สวัสดีครับ แหม...วันนี้อยู่กันจนครบเซตเลยนะครับ” ปวีร์ถามด้วยสีหน้ารื่นรมย์ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่กรอบหน้าสวยของเมยาวีซึ่งยืนนิ่งขรึมอยู่
“สวัสดีครับ เหมย เป็นยังไงบ้าง”
“ก็สบายๆ ค่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เธอเชิดหน้าตอบก่อนจะหันไปทางอื่นเสีย
“คีนว่าเราเข้าไปคุยกันที่ศาลาด้านข้างกันเถอะค่ะ ที่นี่เดี๋ยวสายแดดจะร้อน” มณีกานดาเอ่ยขึ้นก่อนเข้าไปจูงมือมัสมารสและชวนกันเดินไปยังศาลาด้านข้างของตัวเรือนใหญ่
“ฝนเธอคุยกับพวกนี้ไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา” เมยาวีกระซิบบอกเพื่อนสาว หลังนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“เธอจะไปไหนยายเหมย แขกเขามาเยี่ยมทั้งทีนะจะหนีไปไหนอีก”
“เออน่า เดี๋ยวฉันมา เธอกับยายคีนรับหน้าสองคนนี้ไปก่อนละกัน” ว่าแล้วก็ฉากตัวเดินจากไปในทันที โดยไม่พูดจาอะไรกับแขกทั้งสองที่อดมองตามอย่างนึกสงสัยไม่ได้
“คุณเหมยไปไหนน่ะ คีน”
“ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ มีน” มณีกานดาตอบด้วยสีหน้าใคร่รู้เช่นกัน
“เราสองคนทำให้พวกเธอ โดยเฉพาะเหมยไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น มีนว่ามีนควรจะชวนปูนกลับดีกว่านะคะ”
“อย่าเพิ่งเลยมีน ยายเหมยแค่ขอตัวไปทำธุระน่ะ เดี๋ยวก็มา” วัสนางค์ช่วยพูดให้ทั้งสองเบาใจ
“แต่ดูเหมือนว่าเหมยจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนะครับที่ผมมา”
“นายปูน อย่าคิดมากไปน่า มาเถอะมาทางนี้เถอะ”
วัสนางค์ดุนดันหลังของทั้งสองสามีภรรยาให้นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่และชวนทั้งสองพูดคุยกันไปตามประสา
//////
เมยาวีเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนไม้ด้วยกรอบหน้าสดใส เธอกรอกสายตามองไปรอบๆ นิดหนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเรือนในทันที
มองเห็นแวบๆ ว่าเขาเดินไปทางระเบียงหลังบ้าน แค่เห็นแผ่นหลังนิดเดียวเท่านั้นก็แทบจะทำให้หัวใจของหญิงสาวละลายอยู่ตรงนั้น
และเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรที่สั่งการให้เธอมาหาเขาถึงที่นี่
เมยาวีเดินตรงเข้าไปหาเขา ขณะจอมทัพหันมามองหญิงสาวด้วยความแปลกใจที่วันนี้เมยาวีขึ้นมาหาเขาบนเรือนไม้ด้วยกรอบหน้าสดใส
“คุณจอมทัพคะ”
“เอ่อ...คุณเหมย มีอะไรหรือเปล่าครับ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยขณะถาม เมยาวียิ้มและเดินตรงเข้าไปหาเขา
“คุณรติกับคุณปูเป้ล่ะคะ ทำไมวันนี้บนเรือนเงียบกันจัง”
“อ้อ...สองคนนั้นออกไปเที่ยวที่ท้ายไร่กับชัยน่ะ ผมไม่อยากไปก็เลยขออยู่บ้านเงียบๆ”
“ค่ะ...เอาไว้วันหลังเหมยค่อยพาคุณไปก็แล้วกันนะคะ”
“ได้สิครับ ถ้าเป็นคุณเหมยผมยินดีไปด้วยอยู่แล้ว”
“ยินดี...ขอให้มันจริงเถอะค่ะ”
“คุณเหมยหายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ”
จอมทัพเอียงหน้ามองหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ขณะเมยาวีรีบหลบสายตานั้นในทันที ไม่รู้ว่าตนจะขึ้นมาให้เขาถามดักทางแบบนี้ทำไม แต่ที่เธอแน่ใจคือหัวใจมันได้สั่งการให้เธอเดินมาที่นี่
“เอ่อ...อยู่คนเดียวแบบนี้ ไม่เหงาหรือคะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตัวเองจะเขินไปมากกว่านี้ที่โดนจอมทัพถามและคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนๆ
“ก็มีบ้างนิดหน่อยครับ แต่ความเงียบก็ดีไปอีกแบบนี่ ผมกำลังจะมามองภาพวิวจากที่ตรงนี้เข้าไปยังทุ่งดอกไม้ ดูก็สวยไปอีกแบบนะครับ”
“มันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ จากเรือนใหญ่และจากเรือนไม้ หากจะมองไปทางไหนแล้วก็มีแต่ภาพที่สวยงามทั้งนั้น” เมยาวีเดินเข้าไปยืนข้างๆ กับเขา พร้อมกับสูดหายใจเอาความบริสุทธิ์เข้าจนเต็มปอด จอมทัพยิ้มเขามองกรอบหน้าสวยที่แดงระเรื่อเช่นนั้นเนิ่นนาน
“คุณเหมยเก่งจังเลยนะครับ นอกจากจะบริหารงานในไร่คนเดียวแล้ว ยังจัดสถานที่ได้อย่างลงตัวเสียอีก”
“โอ้ย...ไม่ใช่เหมยคนเดียวหรอกค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต่างหากค่ะที่ดูแลเรื่องนี้ด้วย”
“คุณพ่อคุณแม่...เอ้อ จริงๆ ด้วย ตั้งแต่ผมมายังไม่เจอท่านเลยครับ”
“คุณพ่อคุณแม่ของเหมยชอบท่องเที่ยวค่ะ ท่านไม่อยู่กับที่หรอกนี่ก็ลงไปเที่ยวทางใต้ก่อนที่คุณจะมาถึง ปล่อยแต่เหมยทำงานคนเดียวอยู่งกๆ”
เธอบ่นอุบอิบ พรางนึกถึงใบหน้าของบิดาและมารดาตั้งแต่เดินทางเธอก็ยังไม่ได้โทรไปคุยกับพวกท่านเลย เล่นหายไปทั้งคู่ สงสัยจะสนุกจนลืมลูกสาวเสียแล้วล่ะ
จอมทัพมองกรอบหน้าหวานของหญิงสาวไม่วาง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
“คุณเหมยก็คงจะตกที่นั่งเหมือนผมน่ะแหละครับ ถูกคุณพ่อคุณแม่โยนงานมาให้ทำทันทีที่ผมเรียนจบและกลับมาจากเมืองนอก”
“ค่ะ...เหมือนกันน่ะแหละเนอะ แม้จะเบื่อและอยากจะพัก ก็ไม่ได้พัก”
“เถอะน่าครับ ในเมื่อท่านวางใจให้พวกเราทำก็ต้องทำอย่างเต็มที่ อ้อ...แล้วคุณเหมยคิดยังไงถึงทำสวนดอกไม้ล่ะครับ”
ถามเธออีกรอบส่วนสายตาก็เลื่อนมองเลยออกไปยังท้องทุ่งที่มีหมู่มวลดอกไม้หลากสีหลากชนิดออกดอกบานสะพรั่งรับแสงแดดยามสายอย่างสวยงาม
“เหมยชอบดอกไม้ค่ะ ชอบมากด้วย ก็เลยคิดว่าจะทำมันให้ดีที่สุด”
“ดีจังเลยนะครับ ผมเคยได้ยินมาว่าคนที่รักดอกไม้เป็นคนที่อ่อนโยนและก็เริ่มแน่ใจแล้วล่ะครับว่าคุณเหมยก็เป็นคนอ่อนโยนเหมือนกัน”
“อ่อนโยน...” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เธออยากจะยิ้มและเปิดเสียงหัวเราะออกมาเต็มแก่ก็เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้น
เธอมองอย่างไรแล้วมันไม่เหมือนอย่างที่พูดเลยสักนิด เธอนี่นะหรืออ่อนโยน...
“ครับ จากที่ได้รู้จักกัน ดูคุณเหมยก็เป็นคนอีกคนอ่อนโยนอย่างที่ผมรู้สึกจริงๆ”
“รู้สึก...คุณจอมรู้สึกยังไงคะ”
“ก็รู้สึก...”
เขาเคลื่อนตัวเข้าหาหญิงสาวอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมจ้องนิ่งที่กรอบหน้าสวยหวานของหญิงสาวไม่วาง เช่นเดียวกับเมยาวีที่รู้สึกหัวใจมันจะเต้นรัวและเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประกายตาสุกใสของเขา มันเหมือนอย่างจะทำให้เธอต้องมนตราที่มองไม่เห็นให้ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
จอมทัพค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหาคนร่างเล็กที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ก่อนมือหนาจะยกขึ้นและจับตรงที่กรอบหน้าสวย พร้อมกับเรียวปากหนาที่ค่อยๆ ลงมาทาบกับเรียวปากบางอย่างเชื่องช้า
ทว่ายังไม่ทันที่ผิวเนื้ออันอุ่นวาบจะแตะทาบกับเรียวปากสวย เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงขาสั้นสีชมพูของเมยาวีก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“อะไร ยายฝน...” เธอเอ็ดปลายสายโทรเข้ามาขัดจังหวะได้อย่างทันท่วงที
“นี่เธออยู่ไหน” วัสนางค์ก็เอ็ดมาตามปลายสายเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าแม่เพื่อนสาวของเธอออกมานานเกินไปจนผิดสังเกตแล้ว “รู้ไหม พวกฉันรออยู่นี่ตั้งนาน”
เมยาวีทำหน้าเซ็ง เมื่อคิดไปถึงหน้าของปวีร์ ไอ้ตาถั่ว แค่คิดก็เซ็งแล้วจะให้เธอไปปั้นหน้าเรียบๆ พูดกับเขาก็ยิ่งจะเซ็งสุดๆ
“ก็รอก่อนไม่ได้ยังไง น่าเบื่อชะมัดแล้วจะมาทำไมไม่รู้”
“พอเลยแก เขาอุตส่าห์มาเยี่ยมแล้วดันหลบ แล้วนี่เธออยู่ที่ไหนเนี่ย”
“ที่เรือนไม้...กับคุณจอม”
“ห๊ะ...คุณจอม”
วัสนางค์อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนสาวพูด ก่อนสายจะหลุดไปในที่สุด
“ฝน ฝน ว่ายังไง...ฝน...”
“ใครโทรมาน่ะครับ” จอมทัพมองจากท่าทีที่คุยโทรศัพท์ของหญิงสาว เขาจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ยายฝนค่ะ พาเพื่อนๆ มาเที่ยวที่ไร่ คุณจอมคะ...วันนี้เหมยขอยืมตัวก่อนได้ไหมคะ มาค่ะ”
“ยืมตัว ยืมยังไงครับ” เจ้าหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัยเป็นที่สุด ก่อนจะถูกเมยาวีลากลงจากเรือนไม้หลังนั้นไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานคนทั้งสองก็เดินทางมาถึงยังศาลาด้านข้างของตัวเรือนใหญ่ ซึ่งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้และกอดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล
“มาแล้วจ้า มาแล้ว” เมยาวีตะโกนบอกคนทั้งหมดมาแต่ไกล เสมือนจะประกาศศักดาถึงความโดดเด่นของตัวเองที่เดินเข้ามาในที่แห่งนั้นพร้อมๆ กับมีชายหนุ่มอีกคนซึ่งเดินเคียงกันเข้ามาด้วยและมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อสายตาของอาคันตุกะทั้งสอง เมื่อเห็นภาพนั้นก็อดอิจฉาเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้ ปวีร์ถึงกับหน้าสลดลงไปในทันที เมื่อเห็นว่ามีหนุ่มหล่อเดินเคียงข้างมากับ ‘อดีต’ แฟนของตัวเอง แถมทั้งสองยังดูเหมาะสมกันมากเสียด้วยสิ
หากจะให้เขาไปเทียบกับชายหนุ่มคนนั้นแล้ว ปวีร์ยอมรับตนเทียบได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของแฟนคนใหม่ของเมยาวีเลย
เธอลืมเขาได้แล้วจริงๆ
“เอ่อ...คุณเหมย มีแต่เพื่อนของคุณทั้งนั้นเลย คุณจะให้ผมทำยังไง” จอมทัพกระซิบถามหญิงสาว ขณะพยายามเป็นอย่างยิ่งจะปั้นหน้าให้นิ่งอย่างที่สุด
“ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ ก็เหมยบอกแล้วล่ะคะว่าขอยืมตัววันหนึ่ง มาสิคะที่รัก...” ถือโอกาสเรียกเขาแบบนั้นอย่างลิงโลดอยู่ในใจ ขอเถอะ ขอให้เธอเรียกสักครั้ง
เมยาวีฉีกยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะจูงมือชายหนุ่มที่ยังทำหน้างงเข้ามานั่งท่ามกลางการมองอย่างแปลกใจของคนที่อยู่ตรงนั้นก่อนแล้วเช่นกัน
“เอ่อ...นี่แฟนเหมยหรือครับ”
ปวีร์ยอมรับ ในขณะที่ถามน้ำเสียงของเขาสั่นก่อนจะหันไปทางผู้เป็นภรรยาที่คงจะต้องการคำตอบนั้นเหมือนกัน
“ใช่ค่ะ นี่คุณจอมทัพ แฟนของเหมยเองค่ะ” ตอบอย่างหน้าตาเฉย ขณะจอมทัพเบิกตากว้างและอุทานออกมาเสียงดัง
“แฟน...”
มันเป็นเช่นเดียวกับมณีกานดาและวัสนางค์ที่ต่างทำหน้าตื่นและหันมามองหน้ากันด้วยใบหน้าแปลกใจแบบสุดๆ
ยายเพื่อนจอมเปิ่นของเธอไปเป็นแฟนกับคุณจอมทัพตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย
ว่าแล้ววงสนทนานั้นก็ยิ่งเงียบกันไปใหญ่ ท่ามกลางใบหน้าที่ระรื่นสุขของเมยาวีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เชอะ...ใครจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ในเวลานี้คุณจอมทัพคือแฟนของฉัน
“ไม่เชื่อหรือจ๊ะ เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู” ประโยคนั้นจบลง แม่สาวร่างบางก็โน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มจอมทัพอย่างได้ใจ ท่ามกลางอาการตื่นตะลึงสุดๆ ของชายหนุ่มเช่นกัน
“ชื่นใจจังที่รัก คุณจอมคะ นี่ปวีร์และมัสมารส ‘อดีต’ เพื่อนของเหมยเองค่ะ” จงใจที่จะเน้นคำว่าอดีตและมิวายจิกสายตามองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่เธอเคย ‘แคร์’ แบบพอใจสุดๆ
“เอ่อ...ครับ”
จอมทัพพยักหน้ารับทราบอย่างงงๆ ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเจออะไรที่มันกะทันหันแบบนี้ เมื่อเจอเข้าจริงๆ ก็เล่นเอาเสียวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเลยเหมือนกัน
หลังแนะนำกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วงสนทนาย่อมๆ จึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเกิดขึ้นอย่างขัดๆ เต็มที เพราะนอกจากจอมทัพแล้วทั้งวัสนางค์และมณีกานดาต่างก็พูดด้วยถ้อยคำที่เหมือนจะเก็บและระวังตัวเป็นที่สุด อีกทั้งยังรู้สึกตื่นตะลึงกับการกระทำของแม่เพื่อนสาวที่ตู่เอาหนุ่มเมืองกรุงอย่างจอมทัพว่าเป็นแฟนไปไม่ได้
เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ไม่คิดว่าจะเจอแจกพอตอย่างจังๆ แบบนี้ แม้เมยาวีจะคอยเพียรกระซิบอยู่เป็นระยะว่าให้เล่นไปตามน้ำ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2555, 19:27:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2555, 19:27:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1650
<< ตอนที่ ๘ (2) แอบรัก | ตอนที่ ๑๐ บทลงโทษของสาวลักไก่ (๒) >> |
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 20 มี.ค. 2555, 02:44:21 น.
งานเข้าแล้วสิ จอมทัพ งานนี้น่าสนใจนะ 555
งานเข้าแล้วสิ จอมทัพ งานนี้น่าสนใจนะ 555
anOO 20 มี.ค. 2555, 16:45:15 น.
ตอนนี้ช่วงนาทีทอง อยากทำอะไรก็ทำยัยเหมย
ก่อนที่ยัยปูเป้จะตามมาวีนทีหลัง
ตอนนี้ช่วงนาทีทอง อยากทำอะไรก็ทำยัยเหมย
ก่อนที่ยัยปูเป้จะตามมาวีนทีหลัง