รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๑๐ บทลงโทษของสาวลักไก่ (๒)
ตอนที่ ๑๐
รถของปวีร์เคลื่อนจากไปในเวลาต่อมา คนทั้งหมดต่างเดินออกมาส่งจนครบไม่เว้นแม้จอมทัพในฐานะ ‘แฟน’ จำเป็นและวัสนางค์ มณีกานดา คนทั้งหมดโบกมือลาแขกที่มาเยี่ยม โดยเฉพาะเมยาวีที่แถมโดยการโบกมือลาแขกทั้งสองอย่างเกินความจำเป็น
ในวันนี้คนที่มีความสุขมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นเจ้าของไร่สาว โดยเฉพาะตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับจอมทัพ
หลังจากรถคันนั้นเคลื่อนจากไปแล้วเธอก็ถอนใจออกมาเฮือกโต พร้อมกับหันไปมองหน้าชายหนุ่ม ที่จ้องมองมาที่เธอด้วยประกายตาชนิดหนึ่ง
“เอ่อ...”
นั่นจึงทำให้รอยยิ้มของเมยาวีต้องหุบฉับลงไปในทันที พร้อมกับต้องหันมาหาที่พึ่งอย่างเพื่อนสาวทั้งสอง แต่วัสนางค์และมณีกานดาเหมือนจะรู้หน้าที่เป็นอย่างดีจึงได้เอ่ยขึ้น
“พวกฉันขอตัวไปช่วยบุษย์เก็บของก่อนนะ คุยกันเองก็แล้วกัน บาย” ตอนจากไปวัสนางค์โบกมือให้กับเพื่อนสาว เสมือนส่งหล่อนเข้ากับโรงเชือดอย่างไรอย่างนั้น
“คุณเหมย...” จอมทัพหล่นประโยคนั้นออกมาด้วยเสียงเรียบเย็น จนหญิงสาวอดที่จะเสียวสันหลังไม่ได้
“เอ่อ...เหมย”
ก้มลงมองเล็บมือตัวเอง เหมือนอย่างกับเด็กดื้อตอนถูกผู้ใหญ่จับได้ในยามทำผิด ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนาเอื้อมมาดึงข้อมือของเธออย่างรวดเร็ว
“เราคงต้องคุยกันยาวเสียแล้วล่ะ มาทางนี้เลยครับ...” ว่าแล้วคนตัวโตก็ลากร่างเล็กนั้นให้ปลิวตามไปในทันที
/////
“คุณทำแบบนี้ ทำไมไม่บอกผมก่อน คุณเหมย” หลังลากหญิงสาวมายังสวนดอกไม้ด้านข้างแล้ว จอมทัพก็เค้นเสียงถามอย่างไม่พอใจ เมยาวีแอบเงยหน้ามองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะต้องก้มหน้าลงดุจเดิม เมื่อดันมองขึ้นไปเจอกับดวงตาเขียวปัดของเขา
“เอ่อ...เหมย เหมยขะ...ขอ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ คุณคงจะเอาคืนผมในวันนั้นใช่ไหมครับ”
“ไม่คะ เหมยไม่ได้คิดเช่นนั้น”
“แล้วเพราะอะไรล่ะที่ทำให้คุณบอกกับเพื่อนของคุณว่าผมคือแฟนของคุณ”
“เหมยแค่...แค่...เอ่อ…”
พี่อ่างเข้าจู่โจมอย่างทันทีทันใดจะให้เธอบอกได้ยังไงล่ะว่าเธออกหักและต้องการให้เขามาเป็นแฟน เพื่อจะได้ลบสายตาที่มองมาของนายปวีร์สักที...เธอบอกเขาผ่านทางสายตา แม้อยากจะบอกออกมากับปากหนักหนา แต่เธอก็บอกเขาไม่ได้จริงๆ
“ฉันแค่...แค่...”
“คุณอยากจะให้ผมเป็นแฟนคุณใช่ไหม” แล้วประโยคนั้นก็ดังขึ้นจากปากของชายหนุ่ม เมยาวีเงยหน้าขึ้นมองเขานิดหนึ่งแล้วก้มหน้าลงดุจเดิม
“เอ่อ...ฉัน”
ยังไม่ทันที่สาวเมยาวีจะทันได้พูดอะไรต่อจากนั้น ทั่วทั้งตัวของเธอก็ต้องชาวูบไปในทันที เมื่อกรอบหน้าของเธอถูกจับตรึงและเขาก็โน้มหน้าลงมาบดเบียดริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเบิกตาโพลง รู้สึกเสียวซ่านไปทั่วร่างกาย ความร้อนบางอย่างไล่เวียนจากตรงปาก แล้ววิ่งวุ่นไปจนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็พาลจะพากันติดขัด เช่นเดียวกับเรี่ยวแรงที่จู่ๆ ก็เหือดหายไปอย่างรวดเร็ว
อ่ะ...มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย เพียรถามใจตัวเอง หากแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบอยู่ดีเพราะยิ่งเค้น ความคิดที่ว่ามันจะบรรเจิดสุดๆ ก็พลันมลายหายไปด้วย แถมดวงตาคู่สวยยังค่อยๆ หลับพริ้มลงอย่างเปี่ยมสุขเสียอีก
เนิ่นนาน...จอมทัพก็ค่อยๆ ถอนเรียวปากหนาออกจากปากบางของเธออย่างอ้อยอิ่ง รับรู้ถึงความอุ่นซ่านที่มันเวียนวนอยู่ในกาย บรรยากาศในยามสายของวันนั้น ยิ่งพากันเงียบไปอีก เมื่อไร้ซึ่งคำพูดหรือคำถามจากเขา จะมีแต่สายตาของทั้งสองเท่านั้นที่ส่งผ่านสื่อสารกัน
ดูเหมือนว่า เขาจะยังไม่อิ่มเอมกับสิ่งที่มอบให้กับเธอ เมื่อเธอยังนิ่งชายหนุ่มก็ได้ใจก่อนจะก้มลงจุมพิตที่เรียวปากบางอีกครั้งก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปควานหาบางสิ่งบางอย่างที่หอมหวานในกระพุ้งปากของเธอ ขณะเมยาวียิ่งเสียวซ่าน หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน แถมลึกๆ แล้วกลับยิ่งรู้สึกดีตามไปด้วย
ลมหายใจที่เป่ารดบนกรอบหน้าสวยยิ่งแรงขึ้นทุกขณะ พร้อมกับความเร่าร้อนที่เพิ่มทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว เมยาวียอมรับ มันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่สร้างความเกษมสันต์ให้กับเธอ ขณะจอมทัพก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะค่อยๆ สอนให้แม่สาวที่ด้อยประสบการณ์กับเรื่องนี้ นำพาให้เธอดำเนินไปทีละน้อยคล้ายดั่งเด็กน้อยที่หัดเดิน
“อืม...”
เมยาวีเผลอปล่อยเสียงร้องออกมาอย่างสุขใจเธอหลับตาพริ้มหัวสมองเบาโล่งร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงถูกเขาประคองเอาไว้และก็ยิ่งรู้สึกเสียวซ่านเมื่อมือของเขาที่ประคองเริ่มจะอยู่ไม่เป็นที่ มันซุกซนอยู่บนเนื้อตัวของเธอจนเสียวสยิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ให้ตายเถอะ...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ อยากจะปฏิเสธ หากแต่ก็ไม่อาจที่จะขัดขืนได้สักนิด เช่นเดียวกับเรียวปากของเธอที่ยิ่งถูกเขารุกรานอย่างหนัก จนครั้งแรกที่ขัดขืนเปลี่ยนเป็นจำยอมในที่สุด
ไม่นะ...ไม่!!!!
เธอร้องได้แค่นั้น ก่อนจะดึงสติที่มันเตลิดไปไกลให้กลับมาอีกครั้ง ไม่ได้ๆ เห็นแบบนี้ เธอก็ไม่ได้ง่ายถึงขนาดที่จะยอมเป็นของเขาอย่างรวดเร็วหรอกนะ เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะดึงเส้นเชือกเส้นสุดท้ายที่ใกล้จะขาดผึงเต็มทีออกมาให้ได้และสำเร็จในเวลาต่อมา
กำปั้นน้อยๆ ทุบไปที่หน้าอกของเขาดังอั่ก ก่อนจะรีบถอนปากออกมาอย่างรวดเร็ว กรอบหน้าสวยแดงซ่านไม่รู้แน่ว่าเพราะโกรธหรือว่าอายกันแน่
“คนบ้า...ลามก”
บริภาษด่าเขาได้แค่นั้นก็หันหลังวิ่งไปในทันที ท่ามกลางอาการงวยงงเป็นที่สุดของจอมทัพ ที่ลึกๆ แล้วก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกัน
/////
รติกรมองสายน้ำที่ไหลผ่านหน้าของตนเองไปด้วยหัวใจที่วาบหวิว แม้ภาพผืนน้ำที่มีใบไม้แห้งและกลีบดอกไม้ลอยอยู่พร้อมกับกลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ป่าจะทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในระดับหนึ่งก็ตาม
แต่จะมีใครสักคนรู้ไหม ภาพของชัยและปุณชิกาที่ดูสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม จะยิ่งทำให้หัวใจของเธอคิดอิจฉา
ใช่...เขาไม่เคยเหลียวแลเธอเลยสักนิด ไม่แม้สักกระผีก ก็ไม่มีเลย
คิดแล้วก็นึกน้อยใจเป็นที่สุด การที่เธอต้องมาตกหลุมรักใครสักคนแล้ว เหตุใดคนๆ นั้นถึงไม่หันมาสนใจเธอบ้างเลยนะ
เธอรักเขาเพียงข้างเดียวและเหมือนว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้จะยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดมากที่สุดเสียด้วยสิ
สายน้ำที่ไหลผ่านหน้าไป เสมือนกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งผ่านยิ่งเจ็บ ยิ่งไหลยิ่งรวดร้าว เมื่อครู่...เธอทนเห็นปุณชิกากับชัย ที่นั่งเล่นน้ำและพูดคุยหยอกล้อกัน เธอยอมรับว่ามองภาพนั้นทีไรก็ยิ่งเจ็บปวดและยิ่งเขาไม่สนใจใยดีเธอเหมือนกับอีกคนแล้ว เธอจึงอดไม่ได้เดินหนีออกมายืนอยู่ตรงนี้ในที่สุด
เสียงสายน้ำที่ไหลกระทบก้อนหิน ดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เช่นเดียวกับเหล่าปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายทวนกระแสน้ำไปเป็นฝูงอย่างสวยงาม
หญิงสาวทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง หากว่าเธอมีอำนาจวิเศษจริงๆ เธออยากจะแปลงร่างเป็นปลาน้อยๆ แล้วกระโดดลงน้ำว่ายตามฝูงปลาอีกหลายตัวหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
เธอจะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวด เธอจะได้ไม่ต้องมาคิดเสียใจกับสิ่งที่เป็นอยู่เช่นเวลานี้
เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยกันระหว่างชัยและปุณชิกา ดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะและนั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวเก็บความรู้สึกเจ็บเหล่านั้นจนแน่นอก ก่อนมันจะค่อยๆ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาและความแค้นเคืองในเวลาต่อมา
แค้น...ใช่ เธอกำลังแค้นปุณชิกา อีกฝ่ายเหนือกว่าเธอทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากจะดูถูกจิกใช้เธอต่างๆ นานาแล้ว ฝ่ายนั้นยังคิดที่จะมาแย่งชายคนที่เธอแอบมีใจให้ด้วยอีก
อย่างนี้มันน่าเจ็บใจหรือเปล่าล่ะ...
ยิ่งคิดความแค้นก็ยิ่งฝังแน่นในอก มือเรียวสวยที่แนบอยู่ข้างลำตัวทั้งสองข้าง ค่อยๆ ถูกรวบกำจนแน่น ดวงตาคู่สวยซึ่งทอดมองไปข้างหน้าไหวระริกด้วยความรู้สึกอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นให้แดดิ้นสิ้นไปให้ได้ ขณะเรียวปากสวยก็เม้มสนิทแน่นอย่างคลั่งแค้นเป็นที่สุด
เธอจิกปลายเล็บลงบนมือจนห้อเลือดประกายตาแข็งกร้าวมองกราดไปข้างหน้าอย่างน่ากลัว สายน้ำตรงนี้ไหล
เชี่ยวมากและดูเหมือนว่าจะมีวังน้ำวนด้วย ดีล่ะ...ที่นี่แหละ จะเป็นสถานที่อยู่ของปุณชิกาตลอดไป
สถานการณ์ ทำให้การตัดสินใจของรติกรรวดเร็วขึ้นอย่างเท่าตัว ความคิดที่เลวร้ายพลันปรากฏ ยิ่งคิด แผนการบางอย่างก็เริ่มจะเด่นชัด ความคิดชั่วร้ายเข้าแทรกแซง จนทำให้รติกรมองเห็นแต่ความสะใจ มากกว่าความถูกต้องและศีลธรรม
“เห็นทีเธอจะต้องทำอะไรบางอย่างเสียแล้วล่ะยายรติ”
ประกายตาที่แข็งกร้าวและน่ากลัวนั้นยิ่งฉายชัด สายน้ำที่ไหลเชี่ยวเหมือนจะเป็นตัวตัดสินที่แน่วแน่ของเธอ เรียวปากที่เม้มสนิท ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นบิดยิ้ม ก่อนคนที่ถูกความอิจฉาริษยาบังตาจะค่อยๆ เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสาแก่ใจ
/////
“คุณปูเป้ดูปลาฝูงนั้นสิครับ สวยไหมครับ” ชายหนุ่มชี้มือไปยังอีกฟากหนึ่งของลำธาร เมื่อเห็นว่ามีปลาฝูงหนึ่งกำลังแหวกว่ายมาตามสายน้ำ มันมีทั้งปลาเล็กและปลาใหญ่ ต่อเมื่อเห็นมนุษย์และได้ยินเสียง เจ้าปลาฝูงนั้นก็พากันแตกกระเจิงดำน้ำหายไปอย่างรวดเร็ว
“นี่นาย ทำให้มันตกใจและว่ายน้ำหายไปหมดแล้ว”
ปุณชิกาตีผัวะเข้าที่ต้นแขนของชัยพร้อมกับเอ็ดเสียงดังลั่นเพราะเสียงของเขานั่นแหละ จึงทำให้ปลาพวกนั้นรีบว่ายหนีไป
“ก็ผมคิดว่าคุณปูเป้ไม่เห็นซะอีก ก็เลยชี้ให้ดู”
“ฉันเห็นแล้ว เห็นตั้งนานแล้วล่ะ มีแต่นายน่ะแหละที่ไม่เห็น” เธอขว้างค้อนให้เขาเสียวงใหญ่ ขณะชัยคลี่ยิ้ม มองนิ่งที่กรอบหน้าสวยของเธอไม่วาง
“ว้า...นี่ผมกลายเป็นคนตาช้าไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
“ก็คงจะเมื่อกี้นี้มั้ง นี่แน่ะ คุณลุง...”
แล้วเธอก็วักน้ำใส่เขาเป็นว่าเล่น ขณะชัยรีบหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวักน้ำใส่เธอจนหญิงสาวโวยลั่นด้วยความไม่พอใจ
“นี่นายกล้าทำฉันหรือ นี่แน่ะๆ”
เสียงหัวเราะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน โดยการวักน้ำใส่กันจนเปียกปอนไปทั้งสองคน โดยทั้งสอง ไม่มีวันรู้เลยว่า ความสุขที่เขาและเธอสร้างขึ้น จะทำให้อีกร่างหนึ่งที่ยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ ถึงกับหลุบเปลือกตาลงด้วยความเสียใจ พร้อมกันนั้น น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันไหลออกมาจนเป็นสาย
////
เมยาวีวิ่งมาถึงตรงที่เพื่อนสาวของตนเองกำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยใบหน้าที่แดงซ่านเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ ยิ่งทำให้หัวใจสาวเต้นรัวเร็วเป็นยิ่งนัก
เมื่อมาถึง ต้นไม้ที่ถูกประดับอยู่ข้างๆ กับศาลาหลังนั้นต้องกลายเป็นเหยื่อให้เจ้าของไร่สาวเด็ดทึ่งจนทั้งใบและดอกตกเกลื่อนพื้น
“เหมย...ยายเหมย นี่แกเป็นอะไร”
วัสนางค์เดินเข้ามาเอานิ้วจิ้มๆ ที่หัวไหล่ของเพื่อนสาวด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเมยาวีเอาแต่ยิ้มและเด็ดทึ่งใบไม้จากต้นไม่หยุด
“เหมย...นี่เธอ”
เรียกเท่าไร คนกำลังมีความรักก็ยังไม่ยอมรู้สึกตัว แถมยังบิดตัวไปมาอยู่เช่นนั้น จนวัสนางค์อดที่จะถวายฝ่ามือลงกลางหลังของเพื่อนสาวไปหนึ่งเพียะไม่ได้และนั่นก็พอที่จะทำให้สติของคนเหม่อลอยกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง
“โอ้ย...นี่ยายฝน เธอตบหลังฉันทำไม”
“ฉันต่างหากที่จะต้องถามเธอมากกว่าว่าเธอเป็นอะไร”
วัสนางค์ตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อนสาวหรือยายนี่จะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ เมื่อครู่ถูกจอมทัพดึงไปคงจะถูกฝ่ายนั้นทุบหัวจนอาการถึงขั้นโคม่าอย่างแน่นอน
“เปล่า...ฉันแค่เขิน”
“เขิน...” วัสนางค์และมณีกานดาที่เดินเข้ามาหาทั้งสองเพื่อนสาวอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ใช่...ฉันกำลังเขิน”
“แล้วเธอเขินเรื่องอะไรกับเมื่อกี้อีกล่ะ คุณจอมทัพด่าอะไรสมองถึงได้กลับมาเพี้ยนแบบนี้”
“เปล่า...เขาไม่ได้ด่าฉันหรอก” เธอสารภาพไปตามความจริง เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ด่าเธอสักนิด ตรงกันข้ามเสียอีก...
“แต่เขาจูบฉัน”
“จูบ...” ทั้งสองสาวเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมากนัก
“ใช่ เขาจูบฉัน คีน ฝน เขาจูบฉัน พวกเธอรู้ไหมว่าเขาจูบฉัน” เมยาวีดูเหมือนว่าจะเป็นเอามาก นอกจากจะเขินแล้ว หล่อนยังทำท่าระริกระรี้ได้อย่างครบสูตรอีกด้วย
“พอๆ พอเถอะเธอ เลิกทำท่าทางแบบนี้ได้แล้ว”
“แต่ฉันดีใจนี่...”
“แล้วมันน่าดีใจตรงไหนห๊ะ ถูกผู้ชายจูบเนี่ยนะ เว่อร์ไปละเจ้ พอเถอะ”
“ไม่ได้เว่อร์หรอก มันคือความจริงและฉันก็มีความสุขด้วย” เจ้าของไร่สาวยังเถียงด้วยรอยยิ้มสดใส ดูเหมือนว่าเธอจะภาคภูมิใจเสียด้วยสิ ที่ถูกเขา ‘จูบ’ มาเมื่อครู่
“ฝน ปล่อยให้ยายเหมยไปตามยะถากรรมเถอะ” หลังยอมรับ มณีกานดาจึงได้แต่ปลดปลงเธอถอยออกมาโดยมิวายดึงแขนของเพื่อนสาวออกมาด้วย
“จะเอางั้นจริงหรือคีน” วัสนางค์มองท่าทางไม่ค่อยจะสมประกอบสักเท่าไรของเพื่อนสาว ที่บัดนี้ได้กลับเข้าไปสู่โลกความฝันของตนเองอีกครั้ง โดยเอาแต่ยิ้มเขินและเด็ดใบไม้เหล่านั้นจนกองอยู่เต็มพื้น
“อือ...ปล่อยเถอะ ฉันคิดว่ายายเหมยเลือกแล้วล่ะและอีกอย่างมันก็ดีไม่ใช่หรือที่ยายเหมยลืมเรื่องของนายปูนไปได้”
สาวคีนให้ข้อคิดกับเพื่อนสาวและให้อีกฝ่ายคิดตาม ก่อนวัสนางค์จะเห็นด้วยและพยักหน้าอย่างเห็นพ้องในที่สุด
////
“คุณปูเป้คะ มาทางนี้สิคะ เมื่อกี้รติเห็นดอกไม้ทางนั้นสวยมากๆ เลยค่ะ” เห็นปุณชิกานั่งอยู่คนเดียว โอกาสเหมาะจึงเข้าทางรติกรเมื่อเห็นว่าชัยได้เดินกลับไปที่รถเพื่อจะเอาอาหารเที่ยงมากินกัน
“ไหน ทางไหน” ปุณชิกาถามอย่างสนใจเป็นที่สุด
“ทางนี้ค่ะ ดอกหอมมากเลยค่ะ ที่นั่นมีน้ำตกด้วยนะคะ” รติกรปั้นหน้ายิ้มสดใส ก่อนจะเดินเข้ามาหาปุณชิกาที่หยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความสนใจ
“เธอพาฉันไปทีซิ ฉันก็อยากจะเห็นไอ้ที่เธอว่าสวยแล้วสิ”
ไฮโซสาวคลี่ยิ้มอย่างใคร่รู้และรีบเดินตามรติกรที่เดินนำไปด้วยประกายตาชนิดหนึ่งในทันที โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอันตรายต่อเธอในเวลาต่อมา
ทั้งสองสาวเดินมาถึงในสถานที่ในความหมายของรติกร ปุณชิกาเดินไปหยุดอยู่ที่ริมลำห้วยแห่งนั้น ก่อนจะรู้สึกผิดหวัง เมื่อสิ่งที่รติกรพูดมานั้นไม่เห็นมีอย่างที่เธออยากจะเห็นเลยสักนิด
“ไหนล่ะ ที่เธอว่า...”
ถามทั้งๆ ที่หันหลัง โดยหารู้ไม่ว่าร่างที่เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังนั้นกำลังจะกระทำการใดการหนึ่งขึ้นในเวลานั้นแล้ว
ทว่าโชคชะตากลับชอบที่จะเล่นตลกมากกว่าเพราะก่อนที่จะเข้าไปถึงปุณชิกาและผลักอีกฝ่ายให้ตกน้ำไปนั้น ข้อเท้าของรติกรได้ไปสะดุดกับตอไม้ จนเป็นผลให้เธอเสียหลักไปข้างหน้าและพลัดตกลงไปในน้ำพร้อมกับปุณชิกาทันที
“ว้าย...”
ทั้งสองสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ ปุณชิการ้องลั่นอย่างตกใจ เช่นเดียวกับรติกรที่ร้องลั่นด้วยเพราะตกใจกับความเผอเรอของตนเอง
ตูม...
วงน้ำแตกกระจาย เมื่อทั้งสองร่างต่างถลาลงสู่กลางลำน้ำสายนั้น แถมยังเป็นวังน้ำวนที่อยู่ลึกเสียด้วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย...”
สัญชาติญาณการเอาตัวรอดทำให้รติกรสะบัดแขนเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะเกาะเธอเพื่อให้พ้นไปจากการหายใจเอาน้ำเข้าไป การเยื้อยุดกับความตายเกิดขึ้นในเวลานั้น รติกรพอจะว่ายน้ำเป็น จนเธอสามารถที่จะขึ้นฝั่งมาได้
หากแต่มันกลับแตกต่างจากปุณชิกา หญิงสาวหน้าตาตื่นด้วยความตกใจ เสมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาคอยดึงรั้งที่ข้อเท้าของเธอ
“คุณปูเป้....”
ชัยวิ่งมาถึงตอนทันเหตุการณ์นั้น ชายหนุ่มเรียกชื่อหญิงสาวอย่างตกใจและในเวลานั้นกำลังพยายามตะเกียกตะกายอยู่กลางลำน้ำ ไม่ต้องให้เตือนอีกเขารีบวิ่งไปยังริมตลิ่งในทันที
“คุณชัย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
เห็นเขาวิ่งมาถึง รติกรในสภาพเปียกปอนจึงรีบเข้าไปเกาะแขนของเขาเอาไว้ พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตกใจเป็นยิ่งนัก
“ก็คุณปลอดภัยแล้วนี่ ปล่อยผมเถอะครับ ผมจะไปช่วยคุณปูเป้” เขาพยายามแกะแขนของรติกรออกเพราะเห็นชัดๆ ว่าร่างของปุณชิกากำลังจมลงสู่วังน้ำวนนั่นแล้ว
“ไม่ค่ะ รติจะไม่ยอมปล่อยคุณให้ไปหาคุณปูเป้หรอกค่ะ คุณชัยคะ รติรักคุณนะคะ ได้ยินไหมคะว่ารติรักคุณ”
คำนั้น ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปในทันที เขาก้มลงมองกรอบหน้าที่มองมายังตนอย่างขอความเห็นใจ ไม่เคยคิดว่าตนจะได้ยินคำว่ารักจากปากของรติกรเลยสักนิด เพราะเขารู้หัวใจของตนดีว่าเขาไม่เคยคิดที่รักผู้หญิงคนนี้เลย
ชายหนุ่มค่อยๆ เกาะมือบางนั้นออกไปอย่างนุ่มนวล พร้อมกับพูด “ผมรักคุณไม่ได้หรอกครับ คุณรติกร เราสองคนเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละครับ”
พูดจบ ชัยก็กระโจนลงน้ำเพื่อไปช่วยปุณชิกา ทิ้งให้รติกรยืนร่างสั่นเทาด้วยความเสียใจกับถ้อยคำที่ไม่สนใจใยดีของเขา
“ทำไม๊...ทำไมคุณไม่ห่วงฉันบ้าง ทำไม!!!!”
รติกรตะโกนได้แค่นั้นก่อนจะหมุนกายวิ่งจากไปในทันที ความเสียใจเพิ่มเท่าทบทวีคูณ สองเท้าที่เหยียบย่ำไปบนพื้นไม่รู้สึกรู้สมต่ออะไรที่มาตำเท้า เพราะมันได้ด้านชาไปทั้งหมดแล้ว ไม่แม้กระทั่งที่หัวใจ
“ว้าย...”
หญิงสาววิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง ก่อนต้องร้องลั่นเมื่อเท้าเหยียบหินก้อนหนึ่งพลาดและเป็นผลให้เสียหลักล้มไปตรงหน้า แต่เพราะที่ตรงนั้นเป็นทางลาดชัน ร่างของเธอจึงกลิ้งลงไปยังพื้นเบื้องล่างท่ามกลางเสียงที่กรีดร้องลั่นของเธอ
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือร่างที่ไถลลงไปนั้นได้กระแทกกับโคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจนเป็นผลให้เธอสลบไป...
รถของปวีร์เคลื่อนจากไปในเวลาต่อมา คนทั้งหมดต่างเดินออกมาส่งจนครบไม่เว้นแม้จอมทัพในฐานะ ‘แฟน’ จำเป็นและวัสนางค์ มณีกานดา คนทั้งหมดโบกมือลาแขกที่มาเยี่ยม โดยเฉพาะเมยาวีที่แถมโดยการโบกมือลาแขกทั้งสองอย่างเกินความจำเป็น
ในวันนี้คนที่มีความสุขมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นเจ้าของไร่สาว โดยเฉพาะตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับจอมทัพ
หลังจากรถคันนั้นเคลื่อนจากไปแล้วเธอก็ถอนใจออกมาเฮือกโต พร้อมกับหันไปมองหน้าชายหนุ่ม ที่จ้องมองมาที่เธอด้วยประกายตาชนิดหนึ่ง
“เอ่อ...”
นั่นจึงทำให้รอยยิ้มของเมยาวีต้องหุบฉับลงไปในทันที พร้อมกับต้องหันมาหาที่พึ่งอย่างเพื่อนสาวทั้งสอง แต่วัสนางค์และมณีกานดาเหมือนจะรู้หน้าที่เป็นอย่างดีจึงได้เอ่ยขึ้น
“พวกฉันขอตัวไปช่วยบุษย์เก็บของก่อนนะ คุยกันเองก็แล้วกัน บาย” ตอนจากไปวัสนางค์โบกมือให้กับเพื่อนสาว เสมือนส่งหล่อนเข้ากับโรงเชือดอย่างไรอย่างนั้น
“คุณเหมย...” จอมทัพหล่นประโยคนั้นออกมาด้วยเสียงเรียบเย็น จนหญิงสาวอดที่จะเสียวสันหลังไม่ได้
“เอ่อ...เหมย”
ก้มลงมองเล็บมือตัวเอง เหมือนอย่างกับเด็กดื้อตอนถูกผู้ใหญ่จับได้ในยามทำผิด ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนาเอื้อมมาดึงข้อมือของเธออย่างรวดเร็ว
“เราคงต้องคุยกันยาวเสียแล้วล่ะ มาทางนี้เลยครับ...” ว่าแล้วคนตัวโตก็ลากร่างเล็กนั้นให้ปลิวตามไปในทันที
/////
“คุณทำแบบนี้ ทำไมไม่บอกผมก่อน คุณเหมย” หลังลากหญิงสาวมายังสวนดอกไม้ด้านข้างแล้ว จอมทัพก็เค้นเสียงถามอย่างไม่พอใจ เมยาวีแอบเงยหน้ามองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะต้องก้มหน้าลงดุจเดิม เมื่อดันมองขึ้นไปเจอกับดวงตาเขียวปัดของเขา
“เอ่อ...เหมย เหมยขะ...ขอ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ คุณคงจะเอาคืนผมในวันนั้นใช่ไหมครับ”
“ไม่คะ เหมยไม่ได้คิดเช่นนั้น”
“แล้วเพราะอะไรล่ะที่ทำให้คุณบอกกับเพื่อนของคุณว่าผมคือแฟนของคุณ”
“เหมยแค่...แค่...เอ่อ…”
พี่อ่างเข้าจู่โจมอย่างทันทีทันใดจะให้เธอบอกได้ยังไงล่ะว่าเธออกหักและต้องการให้เขามาเป็นแฟน เพื่อจะได้ลบสายตาที่มองมาของนายปวีร์สักที...เธอบอกเขาผ่านทางสายตา แม้อยากจะบอกออกมากับปากหนักหนา แต่เธอก็บอกเขาไม่ได้จริงๆ
“ฉันแค่...แค่...”
“คุณอยากจะให้ผมเป็นแฟนคุณใช่ไหม” แล้วประโยคนั้นก็ดังขึ้นจากปากของชายหนุ่ม เมยาวีเงยหน้าขึ้นมองเขานิดหนึ่งแล้วก้มหน้าลงดุจเดิม
“เอ่อ...ฉัน”
ยังไม่ทันที่สาวเมยาวีจะทันได้พูดอะไรต่อจากนั้น ทั่วทั้งตัวของเธอก็ต้องชาวูบไปในทันที เมื่อกรอบหน้าของเธอถูกจับตรึงและเขาก็โน้มหน้าลงมาบดเบียดริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเบิกตาโพลง รู้สึกเสียวซ่านไปทั่วร่างกาย ความร้อนบางอย่างไล่เวียนจากตรงปาก แล้ววิ่งวุ่นไปจนทั่วตัวอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็พาลจะพากันติดขัด เช่นเดียวกับเรี่ยวแรงที่จู่ๆ ก็เหือดหายไปอย่างรวดเร็ว
อ่ะ...มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย เพียรถามใจตัวเอง หากแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบอยู่ดีเพราะยิ่งเค้น ความคิดที่ว่ามันจะบรรเจิดสุดๆ ก็พลันมลายหายไปด้วย แถมดวงตาคู่สวยยังค่อยๆ หลับพริ้มลงอย่างเปี่ยมสุขเสียอีก
เนิ่นนาน...จอมทัพก็ค่อยๆ ถอนเรียวปากหนาออกจากปากบางของเธออย่างอ้อยอิ่ง รับรู้ถึงความอุ่นซ่านที่มันเวียนวนอยู่ในกาย บรรยากาศในยามสายของวันนั้น ยิ่งพากันเงียบไปอีก เมื่อไร้ซึ่งคำพูดหรือคำถามจากเขา จะมีแต่สายตาของทั้งสองเท่านั้นที่ส่งผ่านสื่อสารกัน
ดูเหมือนว่า เขาจะยังไม่อิ่มเอมกับสิ่งที่มอบให้กับเธอ เมื่อเธอยังนิ่งชายหนุ่มก็ได้ใจก่อนจะก้มลงจุมพิตที่เรียวปากบางอีกครั้งก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปควานหาบางสิ่งบางอย่างที่หอมหวานในกระพุ้งปากของเธอ ขณะเมยาวียิ่งเสียวซ่าน หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน แถมลึกๆ แล้วกลับยิ่งรู้สึกดีตามไปด้วย
ลมหายใจที่เป่ารดบนกรอบหน้าสวยยิ่งแรงขึ้นทุกขณะ พร้อมกับความเร่าร้อนที่เพิ่มทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว เมยาวียอมรับ มันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่สร้างความเกษมสันต์ให้กับเธอ ขณะจอมทัพก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะค่อยๆ สอนให้แม่สาวที่ด้อยประสบการณ์กับเรื่องนี้ นำพาให้เธอดำเนินไปทีละน้อยคล้ายดั่งเด็กน้อยที่หัดเดิน
“อืม...”
เมยาวีเผลอปล่อยเสียงร้องออกมาอย่างสุขใจเธอหลับตาพริ้มหัวสมองเบาโล่งร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงถูกเขาประคองเอาไว้และก็ยิ่งรู้สึกเสียวซ่านเมื่อมือของเขาที่ประคองเริ่มจะอยู่ไม่เป็นที่ มันซุกซนอยู่บนเนื้อตัวของเธอจนเสียวสยิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ให้ตายเถอะ...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ อยากจะปฏิเสธ หากแต่ก็ไม่อาจที่จะขัดขืนได้สักนิด เช่นเดียวกับเรียวปากของเธอที่ยิ่งถูกเขารุกรานอย่างหนัก จนครั้งแรกที่ขัดขืนเปลี่ยนเป็นจำยอมในที่สุด
ไม่นะ...ไม่!!!!
เธอร้องได้แค่นั้น ก่อนจะดึงสติที่มันเตลิดไปไกลให้กลับมาอีกครั้ง ไม่ได้ๆ เห็นแบบนี้ เธอก็ไม่ได้ง่ายถึงขนาดที่จะยอมเป็นของเขาอย่างรวดเร็วหรอกนะ เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะดึงเส้นเชือกเส้นสุดท้ายที่ใกล้จะขาดผึงเต็มทีออกมาให้ได้และสำเร็จในเวลาต่อมา
กำปั้นน้อยๆ ทุบไปที่หน้าอกของเขาดังอั่ก ก่อนจะรีบถอนปากออกมาอย่างรวดเร็ว กรอบหน้าสวยแดงซ่านไม่รู้แน่ว่าเพราะโกรธหรือว่าอายกันแน่
“คนบ้า...ลามก”
บริภาษด่าเขาได้แค่นั้นก็หันหลังวิ่งไปในทันที ท่ามกลางอาการงวยงงเป็นที่สุดของจอมทัพ ที่ลึกๆ แล้วก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกัน
/////
รติกรมองสายน้ำที่ไหลผ่านหน้าของตนเองไปด้วยหัวใจที่วาบหวิว แม้ภาพผืนน้ำที่มีใบไม้แห้งและกลีบดอกไม้ลอยอยู่พร้อมกับกลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ป่าจะทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในระดับหนึ่งก็ตาม
แต่จะมีใครสักคนรู้ไหม ภาพของชัยและปุณชิกาที่ดูสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม จะยิ่งทำให้หัวใจของเธอคิดอิจฉา
ใช่...เขาไม่เคยเหลียวแลเธอเลยสักนิด ไม่แม้สักกระผีก ก็ไม่มีเลย
คิดแล้วก็นึกน้อยใจเป็นที่สุด การที่เธอต้องมาตกหลุมรักใครสักคนแล้ว เหตุใดคนๆ นั้นถึงไม่หันมาสนใจเธอบ้างเลยนะ
เธอรักเขาเพียงข้างเดียวและเหมือนว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้จะยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดมากที่สุดเสียด้วยสิ
สายน้ำที่ไหลผ่านหน้าไป เสมือนกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งผ่านยิ่งเจ็บ ยิ่งไหลยิ่งรวดร้าว เมื่อครู่...เธอทนเห็นปุณชิกากับชัย ที่นั่งเล่นน้ำและพูดคุยหยอกล้อกัน เธอยอมรับว่ามองภาพนั้นทีไรก็ยิ่งเจ็บปวดและยิ่งเขาไม่สนใจใยดีเธอเหมือนกับอีกคนแล้ว เธอจึงอดไม่ได้เดินหนีออกมายืนอยู่ตรงนี้ในที่สุด
เสียงสายน้ำที่ไหลกระทบก้อนหิน ดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เช่นเดียวกับเหล่าปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายทวนกระแสน้ำไปเป็นฝูงอย่างสวยงาม
หญิงสาวทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง หากว่าเธอมีอำนาจวิเศษจริงๆ เธออยากจะแปลงร่างเป็นปลาน้อยๆ แล้วกระโดดลงน้ำว่ายตามฝูงปลาอีกหลายตัวหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
เธอจะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวด เธอจะได้ไม่ต้องมาคิดเสียใจกับสิ่งที่เป็นอยู่เช่นเวลานี้
เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยกันระหว่างชัยและปุณชิกา ดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะและนั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวเก็บความรู้สึกเจ็บเหล่านั้นจนแน่นอก ก่อนมันจะค่อยๆ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาและความแค้นเคืองในเวลาต่อมา
แค้น...ใช่ เธอกำลังแค้นปุณชิกา อีกฝ่ายเหนือกว่าเธอทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากจะดูถูกจิกใช้เธอต่างๆ นานาแล้ว ฝ่ายนั้นยังคิดที่จะมาแย่งชายคนที่เธอแอบมีใจให้ด้วยอีก
อย่างนี้มันน่าเจ็บใจหรือเปล่าล่ะ...
ยิ่งคิดความแค้นก็ยิ่งฝังแน่นในอก มือเรียวสวยที่แนบอยู่ข้างลำตัวทั้งสองข้าง ค่อยๆ ถูกรวบกำจนแน่น ดวงตาคู่สวยซึ่งทอดมองไปข้างหน้าไหวระริกด้วยความรู้สึกอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นให้แดดิ้นสิ้นไปให้ได้ ขณะเรียวปากสวยก็เม้มสนิทแน่นอย่างคลั่งแค้นเป็นที่สุด
เธอจิกปลายเล็บลงบนมือจนห้อเลือดประกายตาแข็งกร้าวมองกราดไปข้างหน้าอย่างน่ากลัว สายน้ำตรงนี้ไหล
เชี่ยวมากและดูเหมือนว่าจะมีวังน้ำวนด้วย ดีล่ะ...ที่นี่แหละ จะเป็นสถานที่อยู่ของปุณชิกาตลอดไป
สถานการณ์ ทำให้การตัดสินใจของรติกรรวดเร็วขึ้นอย่างเท่าตัว ความคิดที่เลวร้ายพลันปรากฏ ยิ่งคิด แผนการบางอย่างก็เริ่มจะเด่นชัด ความคิดชั่วร้ายเข้าแทรกแซง จนทำให้รติกรมองเห็นแต่ความสะใจ มากกว่าความถูกต้องและศีลธรรม
“เห็นทีเธอจะต้องทำอะไรบางอย่างเสียแล้วล่ะยายรติ”
ประกายตาที่แข็งกร้าวและน่ากลัวนั้นยิ่งฉายชัด สายน้ำที่ไหลเชี่ยวเหมือนจะเป็นตัวตัดสินที่แน่วแน่ของเธอ เรียวปากที่เม้มสนิท ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นบิดยิ้ม ก่อนคนที่ถูกความอิจฉาริษยาบังตาจะค่อยๆ เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสาแก่ใจ
/////
“คุณปูเป้ดูปลาฝูงนั้นสิครับ สวยไหมครับ” ชายหนุ่มชี้มือไปยังอีกฟากหนึ่งของลำธาร เมื่อเห็นว่ามีปลาฝูงหนึ่งกำลังแหวกว่ายมาตามสายน้ำ มันมีทั้งปลาเล็กและปลาใหญ่ ต่อเมื่อเห็นมนุษย์และได้ยินเสียง เจ้าปลาฝูงนั้นก็พากันแตกกระเจิงดำน้ำหายไปอย่างรวดเร็ว
“นี่นาย ทำให้มันตกใจและว่ายน้ำหายไปหมดแล้ว”
ปุณชิกาตีผัวะเข้าที่ต้นแขนของชัยพร้อมกับเอ็ดเสียงดังลั่นเพราะเสียงของเขานั่นแหละ จึงทำให้ปลาพวกนั้นรีบว่ายหนีไป
“ก็ผมคิดว่าคุณปูเป้ไม่เห็นซะอีก ก็เลยชี้ให้ดู”
“ฉันเห็นแล้ว เห็นตั้งนานแล้วล่ะ มีแต่นายน่ะแหละที่ไม่เห็น” เธอขว้างค้อนให้เขาเสียวงใหญ่ ขณะชัยคลี่ยิ้ม มองนิ่งที่กรอบหน้าสวยของเธอไม่วาง
“ว้า...นี่ผมกลายเป็นคนตาช้าไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
“ก็คงจะเมื่อกี้นี้มั้ง นี่แน่ะ คุณลุง...”
แล้วเธอก็วักน้ำใส่เขาเป็นว่าเล่น ขณะชัยรีบหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวักน้ำใส่เธอจนหญิงสาวโวยลั่นด้วยความไม่พอใจ
“นี่นายกล้าทำฉันหรือ นี่แน่ะๆ”
เสียงหัวเราะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน โดยการวักน้ำใส่กันจนเปียกปอนไปทั้งสองคน โดยทั้งสอง ไม่มีวันรู้เลยว่า ความสุขที่เขาและเธอสร้างขึ้น จะทำให้อีกร่างหนึ่งที่ยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ ถึงกับหลุบเปลือกตาลงด้วยความเสียใจ พร้อมกันนั้น น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันไหลออกมาจนเป็นสาย
////
เมยาวีวิ่งมาถึงตรงที่เพื่อนสาวของตนเองกำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยใบหน้าที่แดงซ่านเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ ยิ่งทำให้หัวใจสาวเต้นรัวเร็วเป็นยิ่งนัก
เมื่อมาถึง ต้นไม้ที่ถูกประดับอยู่ข้างๆ กับศาลาหลังนั้นต้องกลายเป็นเหยื่อให้เจ้าของไร่สาวเด็ดทึ่งจนทั้งใบและดอกตกเกลื่อนพื้น
“เหมย...ยายเหมย นี่แกเป็นอะไร”
วัสนางค์เดินเข้ามาเอานิ้วจิ้มๆ ที่หัวไหล่ของเพื่อนสาวด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเมยาวีเอาแต่ยิ้มและเด็ดทึ่งใบไม้จากต้นไม่หยุด
“เหมย...นี่เธอ”
เรียกเท่าไร คนกำลังมีความรักก็ยังไม่ยอมรู้สึกตัว แถมยังบิดตัวไปมาอยู่เช่นนั้น จนวัสนางค์อดที่จะถวายฝ่ามือลงกลางหลังของเพื่อนสาวไปหนึ่งเพียะไม่ได้และนั่นก็พอที่จะทำให้สติของคนเหม่อลอยกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง
“โอ้ย...นี่ยายฝน เธอตบหลังฉันทำไม”
“ฉันต่างหากที่จะต้องถามเธอมากกว่าว่าเธอเป็นอะไร”
วัสนางค์ตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อนสาวหรือยายนี่จะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ เมื่อครู่ถูกจอมทัพดึงไปคงจะถูกฝ่ายนั้นทุบหัวจนอาการถึงขั้นโคม่าอย่างแน่นอน
“เปล่า...ฉันแค่เขิน”
“เขิน...” วัสนางค์และมณีกานดาที่เดินเข้ามาหาทั้งสองเพื่อนสาวอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ใช่...ฉันกำลังเขิน”
“แล้วเธอเขินเรื่องอะไรกับเมื่อกี้อีกล่ะ คุณจอมทัพด่าอะไรสมองถึงได้กลับมาเพี้ยนแบบนี้”
“เปล่า...เขาไม่ได้ด่าฉันหรอก” เธอสารภาพไปตามความจริง เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ด่าเธอสักนิด ตรงกันข้ามเสียอีก...
“แต่เขาจูบฉัน”
“จูบ...” ทั้งสองสาวเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมากนัก
“ใช่ เขาจูบฉัน คีน ฝน เขาจูบฉัน พวกเธอรู้ไหมว่าเขาจูบฉัน” เมยาวีดูเหมือนว่าจะเป็นเอามาก นอกจากจะเขินแล้ว หล่อนยังทำท่าระริกระรี้ได้อย่างครบสูตรอีกด้วย
“พอๆ พอเถอะเธอ เลิกทำท่าทางแบบนี้ได้แล้ว”
“แต่ฉันดีใจนี่...”
“แล้วมันน่าดีใจตรงไหนห๊ะ ถูกผู้ชายจูบเนี่ยนะ เว่อร์ไปละเจ้ พอเถอะ”
“ไม่ได้เว่อร์หรอก มันคือความจริงและฉันก็มีความสุขด้วย” เจ้าของไร่สาวยังเถียงด้วยรอยยิ้มสดใส ดูเหมือนว่าเธอจะภาคภูมิใจเสียด้วยสิ ที่ถูกเขา ‘จูบ’ มาเมื่อครู่
“ฝน ปล่อยให้ยายเหมยไปตามยะถากรรมเถอะ” หลังยอมรับ มณีกานดาจึงได้แต่ปลดปลงเธอถอยออกมาโดยมิวายดึงแขนของเพื่อนสาวออกมาด้วย
“จะเอางั้นจริงหรือคีน” วัสนางค์มองท่าทางไม่ค่อยจะสมประกอบสักเท่าไรของเพื่อนสาว ที่บัดนี้ได้กลับเข้าไปสู่โลกความฝันของตนเองอีกครั้ง โดยเอาแต่ยิ้มเขินและเด็ดใบไม้เหล่านั้นจนกองอยู่เต็มพื้น
“อือ...ปล่อยเถอะ ฉันคิดว่ายายเหมยเลือกแล้วล่ะและอีกอย่างมันก็ดีไม่ใช่หรือที่ยายเหมยลืมเรื่องของนายปูนไปได้”
สาวคีนให้ข้อคิดกับเพื่อนสาวและให้อีกฝ่ายคิดตาม ก่อนวัสนางค์จะเห็นด้วยและพยักหน้าอย่างเห็นพ้องในที่สุด
////
“คุณปูเป้คะ มาทางนี้สิคะ เมื่อกี้รติเห็นดอกไม้ทางนั้นสวยมากๆ เลยค่ะ” เห็นปุณชิกานั่งอยู่คนเดียว โอกาสเหมาะจึงเข้าทางรติกรเมื่อเห็นว่าชัยได้เดินกลับไปที่รถเพื่อจะเอาอาหารเที่ยงมากินกัน
“ไหน ทางไหน” ปุณชิกาถามอย่างสนใจเป็นที่สุด
“ทางนี้ค่ะ ดอกหอมมากเลยค่ะ ที่นั่นมีน้ำตกด้วยนะคะ” รติกรปั้นหน้ายิ้มสดใส ก่อนจะเดินเข้ามาหาปุณชิกาที่หยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความสนใจ
“เธอพาฉันไปทีซิ ฉันก็อยากจะเห็นไอ้ที่เธอว่าสวยแล้วสิ”
ไฮโซสาวคลี่ยิ้มอย่างใคร่รู้และรีบเดินตามรติกรที่เดินนำไปด้วยประกายตาชนิดหนึ่งในทันที โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอันตรายต่อเธอในเวลาต่อมา
ทั้งสองสาวเดินมาถึงในสถานที่ในความหมายของรติกร ปุณชิกาเดินไปหยุดอยู่ที่ริมลำห้วยแห่งนั้น ก่อนจะรู้สึกผิดหวัง เมื่อสิ่งที่รติกรพูดมานั้นไม่เห็นมีอย่างที่เธออยากจะเห็นเลยสักนิด
“ไหนล่ะ ที่เธอว่า...”
ถามทั้งๆ ที่หันหลัง โดยหารู้ไม่ว่าร่างที่เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังนั้นกำลังจะกระทำการใดการหนึ่งขึ้นในเวลานั้นแล้ว
ทว่าโชคชะตากลับชอบที่จะเล่นตลกมากกว่าเพราะก่อนที่จะเข้าไปถึงปุณชิกาและผลักอีกฝ่ายให้ตกน้ำไปนั้น ข้อเท้าของรติกรได้ไปสะดุดกับตอไม้ จนเป็นผลให้เธอเสียหลักไปข้างหน้าและพลัดตกลงไปในน้ำพร้อมกับปุณชิกาทันที
“ว้าย...”
ทั้งสองสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ ปุณชิการ้องลั่นอย่างตกใจ เช่นเดียวกับรติกรที่ร้องลั่นด้วยเพราะตกใจกับความเผอเรอของตนเอง
ตูม...
วงน้ำแตกกระจาย เมื่อทั้งสองร่างต่างถลาลงสู่กลางลำน้ำสายนั้น แถมยังเป็นวังน้ำวนที่อยู่ลึกเสียด้วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย...”
สัญชาติญาณการเอาตัวรอดทำให้รติกรสะบัดแขนเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะเกาะเธอเพื่อให้พ้นไปจากการหายใจเอาน้ำเข้าไป การเยื้อยุดกับความตายเกิดขึ้นในเวลานั้น รติกรพอจะว่ายน้ำเป็น จนเธอสามารถที่จะขึ้นฝั่งมาได้
หากแต่มันกลับแตกต่างจากปุณชิกา หญิงสาวหน้าตาตื่นด้วยความตกใจ เสมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาคอยดึงรั้งที่ข้อเท้าของเธอ
“คุณปูเป้....”
ชัยวิ่งมาถึงตอนทันเหตุการณ์นั้น ชายหนุ่มเรียกชื่อหญิงสาวอย่างตกใจและในเวลานั้นกำลังพยายามตะเกียกตะกายอยู่กลางลำน้ำ ไม่ต้องให้เตือนอีกเขารีบวิ่งไปยังริมตลิ่งในทันที
“คุณชัย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
เห็นเขาวิ่งมาถึง รติกรในสภาพเปียกปอนจึงรีบเข้าไปเกาะแขนของเขาเอาไว้ พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตกใจเป็นยิ่งนัก
“ก็คุณปลอดภัยแล้วนี่ ปล่อยผมเถอะครับ ผมจะไปช่วยคุณปูเป้” เขาพยายามแกะแขนของรติกรออกเพราะเห็นชัดๆ ว่าร่างของปุณชิกากำลังจมลงสู่วังน้ำวนนั่นแล้ว
“ไม่ค่ะ รติจะไม่ยอมปล่อยคุณให้ไปหาคุณปูเป้หรอกค่ะ คุณชัยคะ รติรักคุณนะคะ ได้ยินไหมคะว่ารติรักคุณ”
คำนั้น ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปในทันที เขาก้มลงมองกรอบหน้าที่มองมายังตนอย่างขอความเห็นใจ ไม่เคยคิดว่าตนจะได้ยินคำว่ารักจากปากของรติกรเลยสักนิด เพราะเขารู้หัวใจของตนดีว่าเขาไม่เคยคิดที่รักผู้หญิงคนนี้เลย
ชายหนุ่มค่อยๆ เกาะมือบางนั้นออกไปอย่างนุ่มนวล พร้อมกับพูด “ผมรักคุณไม่ได้หรอกครับ คุณรติกร เราสองคนเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละครับ”
พูดจบ ชัยก็กระโจนลงน้ำเพื่อไปช่วยปุณชิกา ทิ้งให้รติกรยืนร่างสั่นเทาด้วยความเสียใจกับถ้อยคำที่ไม่สนใจใยดีของเขา
“ทำไม๊...ทำไมคุณไม่ห่วงฉันบ้าง ทำไม!!!!”
รติกรตะโกนได้แค่นั้นก่อนจะหมุนกายวิ่งจากไปในทันที ความเสียใจเพิ่มเท่าทบทวีคูณ สองเท้าที่เหยียบย่ำไปบนพื้นไม่รู้สึกรู้สมต่ออะไรที่มาตำเท้า เพราะมันได้ด้านชาไปทั้งหมดแล้ว ไม่แม้กระทั่งที่หัวใจ
“ว้าย...”
หญิงสาววิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง ก่อนต้องร้องลั่นเมื่อเท้าเหยียบหินก้อนหนึ่งพลาดและเป็นผลให้เสียหลักล้มไปตรงหน้า แต่เพราะที่ตรงนั้นเป็นทางลาดชัน ร่างของเธอจึงกลิ้งลงไปยังพื้นเบื้องล่างท่ามกลางเสียงที่กรีดร้องลั่นของเธอ
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือร่างที่ไถลลงไปนั้นได้กระแทกกับโคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจนเป็นผลให้เธอสลบไป...
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2555, 20:26:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2555, 20:26:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 1698
<< ตอนที่ ๙ ปฏิบัติการลักไก่ ๑ | ตอนที่ ๑๑ พรหมลิขิต >> |