ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: ทำความรู้จัก

ตอนที่3

"คุณต้องมาทำงาน 8.30 น. เวลาใส่กระโปรงก็อย่าสั้นมาก คุณควรจะใส่สูทมาทำงานทุกวัน แล้วถ้าผมสั่งอะไรคุณต้องทำทันที แล้วต้องส่งตรงเวลาที่ผมสั่ง" นรินทร์ นราธร หยุดพูดนิดหนึ่งเพื่อดื่มน้ำ แล้วหันมาจ้องฉันที่ยืนทำหน้าสงบสติมากที่สุด จากนั้นก็พล่ามต่อ

"ผมไม่ชอบเลขาที่ทำงานเชื่องช้า ไม่จริงจังกับงาน เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน” พอถึงประโยคสุดท้าย เขาก็มองฉันอย่างดุดัน บอกตัวเองเถอะ

"ห้ามเล่นinternetขณะทำงานด้วย คุณจะใช้มันสำหรับติดต่อธุรกิจให้ผมหรือหาข้อมูลให้ผมเท่านั้ อ้อ คุณต้องเคารพผมในฐานะประธานบริษัท นราธร กรุ๊ป ฉะนั้นห้ามเรียกผมว่าตาบ้า เอาละไปทำงานได้" เขาจบประโยคด้วยการไล่ฉัน แล้วหันไปยุ่งกับกองเอกสาร

ฉันกำลังจะก้าวออกไปแล้ว แต่เอ มันขาดอะไรไปนะ ทำไมฉันต้องเชื่อเขา ทำไมฉันต้องมาเป็นเลขาให้เขาด้วยล่ะเนี่ย ฉันกลับไปทำกับสิทรายังได้เลยนะ แต่...ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

"คุณนรินทร์คะ ขอฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ" ตานรินทร์เงยหน้าคมคายมองฉันอย่างใจเย็น

"ผมไม่ว่าง เอาไว้ก่อน" ต๊าย ตาบ้า!!!! ฉันหน้าเสียอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วรีบเดินหันหลังออกจากห้องเขาไปอย่างเร็วที่สุด อยู่กับเขาแล้วอึดอัดพิกล

โต๊ะทำงานใหม่ของฉันอยู่ติดหน้าห้องทำงานท่านปะธาน เป็นโต๊ะสีน้ำตาลทำจากไม้สักอย่างดี บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์ให้ ลิ้นชักเก็บเอกสาร ที่เสียบปากกา โทรศัพท์ และกองเอกสารมหึมา ที่สำคัญที่สุดคือ กำหนดการของท่านประธาน ที่ฉันจะต้องคอยจัดการ ยกเลิก รับนัด และแจ้งท่านให้ทราบ อืม นี่ล่ะการทำงานที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้นแล้ว...

ฉันพลิกกำหนดการสำหรับวันนี้ดูก็พบว่า เขามีประชุม ตอน 10 โมงเช้า ทานข้าวกับประธานบริษัทABCตอนบ่ายโมง จากนั้นก็ว่าง จนถึง 6 โมงเย็นก็มีนัดบอด หา? อะไรเนี่ย ฉันคงไม่ได้อ่านผิดนะ นัดบอดเหรอ ปกติเรื่องส่วนตัวที่เลยเวลาทำงานไปแล้วจะไม่อยู่ในกำหนดการนะ อืม หรือเป็นกำหนดการนัดกับสมาคมคนตาบอด?

ช่างมันเถอะ ทำงานดีกว่า เอาละ เริ่มเล้ย!!!!

แล้วเวลาก็ล่วงเลยไป ฉันพิมพ์จดหมายนัดลูกค้าจนเพลิน มองนาฬิกาอีกทีก็เกือบ10 โมงเช้าแล้ว ต้องรีบบอกท่านประธานว่ามีประชุม

ก๊อกๆ ฉันเคาะประตูหน้าห้อง "เข้ามา" หึ ทำมาเสียงหล่อ

"คุณนรินทร์คะ มีประชุมตอน 10 โมงค่ะ เหลือเวลาอีก 10 นาที" ฉันบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงสุดๆ ตานรินทร์ เงยหน้าจากกองเอกสารแล้วมองฉันอย่างไม่พอใจ...ฉันทำอะไรผิดอีกล่ะ!!!

"ทีหลังถ้าจะแจ้งผมเรื่องนี้ให้ต่อสายตรงจากโทรศัพท์เข้ามา ไปลองทำใหม่ซิ" เขาสั่ง

โถ่ ใครมันจะรู้ล่ะ ฉันไม่เคยเป็นเลขานี่ เคยแต่ทำแผนกอื่น ฉันเผ่นแน่บ ออกไปที่โต๊ะทำงาน มองโทรศัพท์อย่างไม่เข้าใจ ปุ่มไหนกันที่ให้ต่อสายตรง แล้วฉันก็นึกอะไรออก มองไปที่นามบัตรของเขาซึ่งวางอยู่ข้างๆ จากนั้นก็กดเบอร์ห้องทำงานของเขาลงไป นี่ล่ะมั้งต่อสายตรง เอ งั้นก็เสีย 3 บาททุกครั้งน่ะสิ

"สวัสดีครับ นรินทร์ พูดครับ" เขาตอบรับเสียงหล่อมาตามสาย

"ฉันเองค่ะ มีประชุม ตอน 10 โมงนะคะ อีก 5 นาทีค่ะ รีบๆหน่อยก็ดี เพราะฉันต้องเข้าห้องน้ำ" พูดได้เท่านี้ฉันก็โดนตะคอกอย่างแรง

"อะไรกันคุณ! ใครเขาให้โทรเข้ามาเบอร์นี้ คุณกดปุ่มสายตรงไม่เป็นรึไง

"คุณนรนิทร์คะ" ฉันถอนหายใจชักจะเหนื่อยหน่ายกับคำสั่งของเขาเต็มทน "ปุ่มไหนล่ะคะ"

"ปุ่มสีแดง!" เขาแผดเสียงลั่น โอ๊ะ! ปุ่มนี้เอง ฉันรีบวางหู แล้วกดปุ่มสีแดงเข้าไปใหม่ "คุณนรินทร์คะประชุมสิ..." ฉันยังพูดไม่จบเขาก็กระแทกหูเสียงดัง แล้วเปิดประตูห้องทำงานออกมา ทำหน้าเหลืออดเหลือทนใส่ฉัน

"ประชุมสิบโมงไงล่ะ ตามมาสิ!" ตะคอกใส่ฉันอีกแล้ว

ฉันมองเขาอย่างไม่พอใจและเสียหน้า พนักงานแถวนั้นมองฉันกันใหญ่ ฉันรีบคว้าแฟ้มเอกสาร สมุดจดประชุม กระเป๋า เสื้อสูท โอ๊ย!! ทำไมของมันเยอะแบบนี้ แล้วฉันก็หอบของพะรุงพะรังวิ่งตาม อีตาท่านประธานไป
ปึ้ก!!! ใครสั่งให้เขาหยุดเดินล่ะนี่ ฉันวิ่งชนเขาเต็มๆ ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย

"ขอโทษค่ะ" ฉันรีบขอโทษก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แล้วก้มหน้างกๆเก็บเอกสาร ผู้ที่มาร่วมประชุมมองฉันด้วยสายตาน่าสังเวช แต่แล้วอยู่ดีดีคุณนรินทร์ก็ก้มลงช่วยฉันเก็บของ และเมื่อเข้าไปในห้องประชุม ฉันก็รู้สึกได้ว่า ข้าศึกบุก!!! ดังนั้นก่อนที่ท่านประธานจะลุกขึ้นเปิดการประชุม ฉันก็รั้งเขาไว้ก่อน

"คุณคะ ฉันต้องเข้าห้องน้ำ" ฉันพูดพลางส่งสายตาวิงวอน เขาทำหน้าโมโหใส่ฉัน สะบัดหางตาใส่ แล้วเริ่มพูดเปิดการประชุมต่อไป

ฉันจนใจต้องพยายามบิดตัวแล้วบิดตัวอีกไม่ให้อะไรอะไรมันออกมา ส่วนมือก็จดการประชุมเป็นระวิงแต่ไม่นานเกินรอฉันก็ได้รู้ว่า อยุธยาเสียกรุงเสียแล้ว หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เลขามืออาชีพอย่างฉันต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ดีที่สุด เอาไงดีล่ะเนี่ย ฉันเลยค่อยๆปล่อยลมออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ พยายามไม่ก่อเสียงรบกวนคนในที่ประชุม แต่ทำไมผู้ร่วมประชุมคนอื่นเอามือปิดจมูกแล้วมองมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรกันสักอย่าง

"คุณทรัพย์สิดี!" คุณนรินทร์กระซิบเสียงน่ากลัวใส่ฉัน มองฉันตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธอย่างรู้ทันว่ากลิ่นนั่นมาจากใคร อะไรกันเนี่ย...ของแบบนี้มันห้ามกันได้ที่ไหน ฉันกลั้นไม่ให้เกิดเสียงนี่ก็เก่งมากแล้วนะ! เขาลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล คว้าแขนฉันแล้วพาออกนอกห้องประชุม พร้อมเอามือปิดจมูก

ไม่อยากจะบอก ฉันก็รู้สึกขายหน้านะ แต่พอทำให้ตานี่รู้สึกเหม็นได้ ช่างน่าภูมิใจเสียจริง......

แล้วเขาก็ปล่อยแขนฉันโดยแรง "คุณทำอะไรของคุณน่ะ!"

"โอ๊ย ฉันเจ็บนะคะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าต้องเข้าห้องน้ำก่อน คุณก็ไม่ยอมเชื่อ"

อืม อยู่ดีดีฉันก็รู้สึกผิดแฮะ

แล้วฉันก็ตีหน้าเศร้า "ฉันขอโทษค่ะ"

"รีบๆเข้าห้องน้ำซะ คุณนี่..." นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก่อนจะปลดแอกพันธนาการได้ เฮ้อ การได้รับเอกราชหลังโดนบุกนี่ช่างเยี่ยมจริงๆ

แล้วฉันก็เดินอย่างสบายใจมาที่ห้องประชุม พอเปิดประตูเข้าไปก็ไม่มีใครอยู่แล้ว นอกจากท่านประธาน ฉันเดาอารมณ์เขาไม่ถูกจริงๆ คราวนี้เขาไม่โมโหเลย แต่ตีหน้าเฉย กำลังเก็บเอกสารอยู่

"พวกนั้นทนกลิ่นไม่ไหว ไม่ต้องห่วงหรอกนะ จนป่านนี้็ไม่มีใครรู้ต้นตอ เก็บของซะ เดี๋ยวผมพาไปทานอาหารกลางวัน" เขาพูดขรึมๆ โดยไม่ได้มองหน้าฉัน

เลี้ยงข้าวกลางวันเนี่ยนะ ฉันไม่รีรอ ของฟรีไม่ได้มีง่ายๆ รีบเก็บของ แล้วตามเขาออกไป ตื่นเต้นจัง เขาจะพาฉันไปเลี้ยงที่ไหนน้า แล้วอยู่ดีดี ทำไมเขาเกิดใจดีขึ้นมาล่ะเนี่ย ฉันเดินตามหลังเขาไปถึงชั้นล่าง ออกจากออฟฟิศไป เขาจะเดินไปไหนเนี่ย ไม่ขึ้นรถส่วนตัวเหรอ...

"คุณคะ ไม่ขึ้นรถหรือคะ" ฉันถามอย่างสงสัย

"บีทีเอส" เขาตอบเรียบๆ ขณะที่หันหลังให้ฉัน เหอๆ จะไประลึกความหลังรึไงกัน คุณนรินทร์พาฉันเดินข้ามถนน ผ่านร้านอาหารข้างทางที่มีลูกน้องและพ่อค้าแม่ค้าทักทายเขามาตลอดทาง ท่าทีเขาดูผ่อนคลายมากกว่าตอนอยู่ที่บริษัทมากทีเดียว ยิ่งกว่านั้นบางทีเขาก็ยกมือไหว้คนขายของแถวนั้นอีกด้วย

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน….

คุณนรินทร์พาฉันเดินมาไกลประมาณ 2 ป้ายรถเมล์ ก่อนจะถึงที่หมาย ซึ่งฉันน่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันมันแค่เลขาที่สร้างปัญหา เขาจะเลี้ยงร้านหรูๆฉันทำไมกัน ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างๆสถานีบีทีเอส นี่ก็บุญมากแล้วล่ะ

"ใหญ่โฟ เหมือนเดิมครับป้า" ท่านประธานสั่งอย่างคุ้นเคยกับแม่ค้าเจ้าของร้าน

ใหญ่โฟเหมือนเดิมงั้นเหรอ เขามาทานบ่อยรึไงกัน

"บะหมี่แห้งเหมือนเดิมค่ะป้า" ฉันสั่งบ้าง วางมาดคุ้นเคยกับแม่ค้าสุดๆ แต่ท่าทางหล่อนจะงงเล็กน้อย

"คุณมาทานที่นี่บ่อยหรือ" ท่านประธานถามอย่างสงสัย

"เปล่าค่ะ นี่ครั้งแรก” ฉันตอบวางมาดนางเอกสุดๆ

แล้วเขาก็ขำน้อยๆ ฉันมันตัวตลกตั้งแต่เด็กยันโตจริงๆ จำได้ว่าตอนเด็กๆ เพื่อนๆไม่ยอมให้เข้ากลุ่มเหตุผลเพราะ...ฉันตลกเกินไป....

"คุณบอกมีอะไรจะถามผมไม่ใช่เหรอ" ดวงตาคมกล้าจ้องฉันอย่างอยากรู้ อืม เขาหน้าตาดีจริงๆ ฮะ?เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ

"อะ เอ่อ ใช่ค่ะ ทำไมอยู่ดีดี รับฉันเป็นเลขาล่ะคะ"

เขาสำลักน้ำนิดหนึ่ง และหลบสายตาเหมือนพยายามใช้ความคิด

"ตรงๆนะ ผมหาเลขาดีดีไม่ได้สักที แล้วเห็นว่าคุณน่ะเหมาะที่สุดในตอนนี้ เพราะคุณต้องชดใช้ค่ามือถือ ค่าเสียเวลา ดังนั้นคุณต้องทำตามที่ผมสั่งทุกอย่าง จริงๆแล้วผมไม่คิดว่าคุณจะได้งานที่สิทราด้วยซ้ำ แต่เป็นแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน...เปลี่ยนเรื่องๆ ถามเรื่องอื่น" เขาบังคับฉันเสียอย่างนั้น แต่ตอนท้ายประโยคเขาดูเหมือนสะใจอย่างไรไม่รู้ แต่ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอเนี่ย เขานี่ร้ายชะมัด เขามีอะไรดีบ้างเนี่ยนอกจากรวยและหล่อ

“นี่คุณ...โอเค ฉันทำงานเกินค่ามือถือคุณเมื่อไร ฉันจะไป” ฉันรู้สึกโกรธเขานิดๆ โกรธตัวเองด้วยที่ยอมเขาง่ายๆ
เขายิ้มท้าทาย “คุณจะไปไหนหรือ จิทัศน์ได้เลขาใหม่แล้ว จบนอกเสียด้วย อีกอย่างค่าเสียเวลาของผมประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ แล้วตัวคุณเองล่ะ เคยถามตัวเองไหมว่ายอมผมง่ายๆทำไม”

ประโยคสุดท้ายทำเอาฉันหน้าแดง โอ๊ย! ฉัน ฉัน ทำไมฉันทำอะไรเขาไม่ได้เลยเนี่ย...เขาพูดถูกทุกอย่างเลย!

“คุณก็ทำฉันเสียเวลานะ ตั้งสองครั้ง ที่สถานีหนึ่ง ที่บริษัทของคุณอีกหนึ่ง อ้อ ทำรองเท้าสุดหรูของฉันพังด้วย! คราวนี้ก็ถึงเวลาที่คุณต้องชดใช้เหมือนกัน!”

เขาหัวเราะอย่างมีชั้นเชิง “เฉียดหมื่นใช่ไหมคู่นั้น ออกมาเมื่อสองปีที่แล้ว พนักงานออฟฟิศอย่างคุณใช้ของแพงเกินไปนะ เดี๋ยวผมบวกเพิ่มในเงินเดือนให้ก็ได้ ว่าแต่ผมต้องชดใช้คุณยังไงล่ะฮึ คุณทำงานไม่ดี ผมก็ไล่ออก งานสมัยนี้ก็หายาก...”

ฉันนิ่งงัน...ฉันเกลียดเขา...แล้วฉันต้องทนอะไรแบบนี้เหรอ...เขาดีกับพ่อค้าแม่ค้าข้างทาง แต่ทำไมต้องใจร้ายกับฉันด้วย ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย...ฉันควรจะลุกไปจากที่นี่ดีกว่า
“เอ่อ...ผมคงพูดแรงไปใช่ไหม ขอโทษที แต่ส่วนหนึ่ง...” จู่ๆเขาก็น้ำเสียงอ่อนโยนลง คงเห็นสีหน้าฉันไม่สู้ดี ทำเอาฉันเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน “...ส่วนหนึ่งเพราะความตั้งใจของคุณ ผมเลยคิดว่านี่ล่ะเลขาที่ดี”
ฉันจ้องเขาแบบงงๆ อะไรของอีตาคนนี้ เมื่อสองนาทีที่แล้วนายพึ่งพูดทำร้ายฉันนะ แล้วมาตอนนี้...ไม่รู้สิ...อย่างน้อยเขาก็ใส่ใจและขอโทษแฮะ แปลกจัง

“อะไรของคุณ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”

เขาทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน แล้วยิ้มจางๆเหมือนโล่งใจ ก่อนจะตีหน้านิ่งอีกครั้ง "ถามต่อไปสิ" เขารบเร้า
ฉันก็เป็นแบบนี้ล่ะ โกรธง่าย ลืมง่าย "โอเค ฉันจะดีกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย ว่าแต่ คุณเป็นถึงประธานบริษัท ทำไมนั่งบีทีเอสไปทำงานล่ะคะ"

เขาเลิกคิ้วสูงเหมือนว่าฉันถามเรื่องแปลก "ผมนั่งบีทีเอสไปทำงาน จันทร์ พุธ ศุกร์ วันที่เหลือนั่งรถส่วนตัว ประหยัดทรัพยากรน่ะ" เขาพูดเสร็จก็ดื่มน้ำอึกหนึ่ง โห เหลือเชื่อ เขาเป็น บีทีเอสแมน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือนี่

"อ้อ...แล้วทำไมเก็บรองเท้าและส้นของฉันมาด้วยล่ะคะ"

คราวนี้เขายิ้มจางๆ ในมือเขี่ยน้ำแข็งในแก้วพลาสติกเล่น "ไม่รู้จะทิ้งไว้ให้เกะกะคนอื่นทำไมน่ะ แล้วคุณเอาส้นไปต่อหรือยังล่ะ" ให้ตายสิ ไม่ให้เกะกะคนอื่นอย่างนั้นเหรอ

"เอาไปต่อแล้วค่ะ แต่เขาว่าซ่อมไม่ได้แล้ว" แล้วฉันก็ตวัดสายตาชั่วร้ายไปให้ทีหนึ่ง

ไม่นานนักก๋วยเตี๋ยวที่สั่งก็มาเสิร์ฟ ฉันยังคงทานไปถามเขาไป น่าแปลก เขาตอบฉันโดยไม่รำคาญเลย ความจริงเขาก็เป็นคนใช้ได้นะ ถ้าไม่นับเรื่องเมื่อกี้

"คุณชอบดื่มกาแฟแบบไหนคะ น้ำตาลกี่ก้อน เวลาชงจะได้ชงถูก"

"ผมไม่ดื่มกาแฟ ถ้าผมกระหายคุณเสิร์ฟแค่น้ำเปล่าก็พอ"

อึ้ง...ไม่ดื่มกาแฟ.....

"คุณมาทำงานกี่โมงคะ แล้วเลิกกี่โมง"
"อืม...ผมลืมบอกคุณเรื่องนี้ไป ผมมาทำงาน 9 โมงเช้า เลิก 4 โมงเย็น แต่คุณต้องเลิกหลังผมครึ่งชั่วโมงนะ "

กดขี่กันจริงๆ โอ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นนัดบอด 6 โมงเย็น ก็เป็นเรืองส่วนตัวไม่ใช่เรื่องงานน่ะสิ

"คุณคะ แล้วนัดบอด 6 โมงเย็นล่ะคะ” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็สำลักก๋วยเตี๋ยว

"อ๊อก คุณว่าอะไรนะ" เขาถามอย่างตกใจ

"นัดบอดค่ะ6 โมงเย็น"

แล้วเขาก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะรีบเก๊กให้เป็นปกติ

"อืม นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องงานด้วย คุณอย่าลืมเตือนผมอีกทีล่ะ"

ฉันยังคงสงสัย แต่คิดว่าปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาดีกว่า

"คุณทรัพย์" เขาเรียกชื่อฉัน แล้วโซ้ย เส้นก๋วยเตี๋ยวชุดใหญ่

"คะ?...คุณคะ อย่าเรียกฉันว่าทรัพย์เลยค่ะ ถ้าจะเรียกสั้นๆ เรียกว่า สิดี แล้วกันค่ะ คุณแม่ฉันก็เรียกแบบนี้"

"อ้อ คุณสิดี ทำไมคุณถึงชื่อ ทรัพย์สิดี ดีแต่เกิดล่ะ"

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ฉันถูกถามแบบนี้มากี่ครั้งแล้วเนี่ย "มันเป็นนามสกุลที่ตกทอดมา 5 รุ่นแล้วล่ะค่ะ ส่วนชื่อฉัน คุณแม่ตั้งให้"

เขาเลิกคิ้ว "ผมว่าแปลกดีน่ะ นิสัยคุณก็แปลกๆ ดู...ตลกตลอดเวลา"

คราวนี้ฉันไม่พอใจจริงๆ "คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงฉันแบบนี้คะ" ฉันพูดทั้งๆที่เส้นก๋วยเตี๋ยวเต็มปาก

"เฮ้ๆ ใจเย็น ผมว่าดีออก โลกนี้เครียดขึ้นทุกวัน แต่คุณทำให้มีเสียงหัวเราะได้..." แล้วเขาก็กินก๋วยเตี๋ยวต่ออย่างเอร็ดอร่อย

"แต่ฉันไม่เคยเห็นคุณขำเลยนี่คะมีแต่โมโห จะว่าไป ฉันก็ถูกมองว่าเป็นตัวตลกตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะตั้งแต่ชื่อถึงนิสัย การกระทำ หลายๆ อย่าง สำหรับฉันมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทำไม คนอื่นๆ ถึงคิดว่ามันตลกอยู่เรื่อยก็ไม่รู้"
แล้วเขาก็หยุดกิน มองฉันแบบพิจารณา เอ...แต่เขาไม่ได้มองที่หน้าฉันเลยนะ เขามองอะไรเนี่ย

"คุณสิดี…ทีหลังถ้าจะใส่เสื้อแขนกุด ก็อย่าลืม ถอนขนรักแร้ด้วยนะ"

หา? เขาว่าอะไรนะ? กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มี.ค. 2555, 13:58:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มี.ค. 2555, 13:58:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1993





<< เปลี่ยนใจ   ผิดพลาด >>
ม่านฟ้า 21 มี.ค. 2555, 14:43:34 น.
5555555555555


sai 21 มี.ค. 2555, 14:58:13 น.
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


Kapoh 21 มี.ค. 2555, 15:45:31 น.
โอย...นางเอก 5555555555


คิมหันตุ์ 21 มี.ค. 2555, 16:08:51 น.
เห้อ....แน่ใจนะว่าเธอคือนางเอก..อิชั้นอยากจะบ้า


ลายเส้น 21 มี.ค. 2555, 16:14:50 น.
ฮ๋าๆๆๆ ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ


เอมิส 21 มี.ค. 2555, 16:25:23 น.
เรื่องนี้สนุกมากๆ รอบนี้มาปูเสื่อรออ่านอีกรอบค่ะ :D


Coffee 21 มี.ค. 2555, 18:36:18 น.
เคยอ่านเรื่องนี้ตอนลงครั้งแรก ชอบมาก ฮาด้วย


konhin 21 มี.ค. 2555, 20:03:41 น.
ฮามาก อย่าลืมถอนขนรักแร้ เอิ๊ก


เดิมเดิม 21 มี.ค. 2555, 21:26:34 น.
555 ขอวันละ 2 ตอนได้มั้ยค้า


ling 22 มี.ค. 2555, 17:36:51 น.
จาบ้าตาย นางเอกเป็นไปได้ อิอิ


เนยแข็ง 26 มี.ค. 2555, 14:00:45 น.
เพิ่งอ่านครั้งแรกค่ะ

แนะนำนิ๊ดนึงงงงง
จากตอนแรกอ่ะ ที่นางเอกสัมภาษณ์ บอกตามตรงว่านางเอกยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ในการสัมภาษณ์งาน ยิ่งถ้าเคยทำงานแล้ว ก็จะรู้ว่าคนสัมภาษณ์มีทั้งแบบชิวๆ กับแบบกดดัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นจะนิสัยไม่ดี หรือเป็นคนร้ายกาจนะ แต่เค้าแกล้งแสดงแบบนั้น เพียงดูความใจเย็น การตอบคำถาม นางเอกตบโต๊ะเนี่ย.... แอบแบบว่า โกรธง่ายไปหน่อยอ่ะค่ะ แล้วเรื่อง BTS อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ ผู้จัดการก็นั่ง BTS ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพนักงานอะไรเลย ยังไปว่าเค้าอีก เรานับถือนะ คนที่ตำแหน่งใหญ่โต แต่ยังขึ้นรถไฟฟ้าอ่ะ แต่อีกเหตุผล อาจจะไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องเวลาก็ได้ เพราะ BTS ค่ารถก็ไม่ใช่ถูกๆ นะคะ นั่งรถเมล์ถูกกว่า หรือรถธรรมดาแต่รถมันติดอ่ะ อ่านตอนนี้ เจอนางเอกถามพระเอกอีกรอบ เลยแอบงงว่า นางเอกจะเอามาเป็นประเด็นอะไร 5555++

ที่ว่านางเอกตอบคำถามในการสัมภาษณ์ว่าตัวเองเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ไม่มีใครฟัง ถูกมองว่าเป็นตัวตลก อันนี้เราว่าตอบแง่ลบ ทำให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดีนะคะ ถ้าจะออกจากงาน น่าจะเอาสาเหตุอื่นดีกว่า อย่างเช่น นางเอกคิดเหตุผลนี้ในใจ แต่ก็คิดต่อว่า ใครมันจะไปตอบตามความเป็นจริง ปากก็ตอบไปว่า ต้องการเปลี่ยนสายงาน รู้สึกว่าสายเดิมไม่เหมาะสม หรืออยากเจองานที่ท้าทายกว่าเก่า หรืออย่างอื่นอะไรก็ว่าไป... (พวกนี้หาได้ จากคำถามที่มักถูกสัมภาษณ์ตามเน็ต บางเว็บมีคำตอบดีๆ ให้ด้วย)

ยิ่งถ้านางเอกมาทำหน้าที่เลขา คือผู้ประสานงาน จะมาตอบว่ามีปัญหากับคนอื่น ยิ่งดูไม่ดีนะคะ แล้วก็ที่นางเอกบอกว่า ตนเองอยู่ทำกำไรให้บ.เนี่ย ไม่แน่ใจว่าที่ทำงานเก่า นางเอกอยู่ฝ่ายขายหรืออะไร แต่ถ้าไม่ใช่ฝ่ายบัญชีเนี่ย น้อยนะคะที่จะรู้ว่า ปีนี้บ.มีกำไรหรือขาดทุน และถึงเรารู้ เราก็ไม่มีสิทธิ์นำเอกสารออกมาให้ใครดูอ่ะค่ะ ถ้าบ.เก่าไม่ใช่มหาชน งบการเงินจะไม่เปิดเผยเลยค่ะ
และถ้านางเอกเป็นบัญชี ไม่ใช่ฝ่ายขาย บัญีชก็ไม่มีหน้าที่ทำกำไรให้บ.นะคะ

ที่สำคัญ การเป็นเลขาเนี่ย มันไม่เกี่ยวกับรายรับ รายจ่ายของบ.เลย เวลาประชุม ก็มีแค่หน้าที่จดรายงานนะคะ มีไอเดียเสนออะไรเนี่ย ไม่ใช่งานเลขา (อันนี้คือที่ตัวเองทำอยู่นะคะ แต่คิดว่าบ.อื่นก็คงเหมือนๆ แบบนี้) ถ้าบ.ที่สอง (ไม่นับพระเอกนะ เพราะพระเอกอาจจะรับเพราะเหตุผลอื่น 555++) รับเพราะที่นางเอกบอกว่าทำกำไรสูง อันนี้ผิดวัตถุประสงค์การเป็นเลขาไปหน่อย และสำคัญที่สุดคือ จะมาบอกว่าตัวเองทำกำไรให้บ.เนี่ย ไม่ใช่เรื่องที่พูดได้ง่ายๆนะคะ ถ้าเอาผลงานมาเสนอ เอาโครงการที่เราเคยทำไว้ให้บ.เก่ามาเสนอก็ว่าไปอย่าง แต่มาบอกว่าทำกำไรให้อ่ะ เอาตรงไหนมาคิด กำไรที่เพิ่มขึ้น อาจจะมาจากส่วนต่างของค่าเงิน หรือเศรษฐกิจมันดีขึ้น หรือเป็นพนักงงานคนอื่นก็ได้ ถ้าจะเสนอ ต้องเสนอที่ผลงานที่เราทำมากกว่าค่ะ

ส่วนตอนที่ 3 เจอที่ผิดอยู่ 1 จุด
ปะธาน ----> ประธาน

ปล. พิมพ์ยาวไปหน่อย แฮะๆๆๆ เห็นว่าอยากได้คำแนะนำ เลยพิมพ์มายาว และนางเอกอยู่ในวัยทำงาน ตัวเองก็ทำงานแล้วเลยรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร ถ้าไม่ชอบ หรือมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร หลังไมค์มาได้นะคะ > <

ปลล. จะไปอ่านตอนที่ 4 ล่ะ ^^


kaze 12 ก.ค. 2555, 19:27:04 น.
เธอไม่รู้ตัวจริง ๆ เหรอ ว่าตนเองตลกตรงไหน 555555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account