เล่ห์รัก...เล่ห์แค้น
เป็นนิยายเรื่องแรกของปอแก้ว...ที่เคยลงจนจบไว้นานมากแล้ว ตอนนี้เลยลองเอามาปัดฝุ่นรีไรท์ใหม่ค่ะ :)

-----------------------------------------------------------------

เรื่องราวความรักระหว่างคนสองคนที่เริ่มด้วยความแค้นเมื่อ ‘ธนาดล’ ลูกชายคนเล็กของพ่อเลี้ยงธฤตกลับมาจากต่างประเทศ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อจะแก้แค้นศิรสาซึ่งเป็นแม่เลี้ยงโดยใช้ ‘ศรินดา’ ซึ่งเป็นลูกสาวเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นครั้งนี้
Tags: ธนาดล ศรินดา พนาดร สลิลธาร

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3




“นี่อะไร” เสียงห้าวถามอย่างโมโห รินเปิดตาขึ้นมามองคนที่อยากจะฆ่าเธอเต็มแก่ มือที่กุมศีรษะไว้ลดระดับมาอยู่ที่ข้างตัวเมื่อหมอนอิงใบนั้นยังไม่ถูกฟาดมาโดนกลางศีรษะเธอ

“หมอน” คำตอบตรงๆของรินแทบทำให้อีกฝ่ายกระอัก! มือหนาปาหมอนเฉียดร่างบางไปนิดเดียว...แค่นิดเดียวจริงๆ

“แล้วหมอนมันติดปีกบินได้รึไงถึงได้บินมาโดนหัวฉันแบบนี้!” เสียงนั้นไม่ต่างอะไรจากเสียงตะคอกสักนิดเดียว รินเชิดหน้ามอง ตากลมโตสบกับตาอีกฝ่ายอย่างอาจหาญ

“ก็ใครใช้ให้คุณเดินผ่านมาล่ะ...ช่วยไม่ได้” รินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แม้ภายในใจจะสะใจเล็กๆก็ตาม

“ศรินดา!” และขีดจำกัดควมโมโหของธนาดลก็สิ้นสุดลง ชายหนุ่มตะคอกใส่หญิงสาวเสียงดัง

“แม่เธอไม่ได้สอนหรือไงว่าเวลาแบบนี้เขาให้ทำยังไง ขอโทษน่ะเป็นไหม หา! หรือว่าแม่เธอไม่ได้สอน วันๆสอนแต่เรื่องจับผู้ชายรวยๆ”

“คุณ!” คราวนี้เป็นรินบ้างที่ตะคอกเขากลับ “อย่ามาว่าแม่ริน!”

“แตะต้องไม่ได้ด้วย” ชายหนุ่มย้อนถามเสียงสูง ปรายตามองยังร่างบางราวกับว่ามองสิ่งของอะไรที่มันต่ำต้อย...ไร้ค่า

“แล้วถ้ารินว่าแม่คุณบ้างล่ะ คุณจะโกรธมั้ย ถ้ารินดูถูกแม่คุณอย่างที่คุณดูถูกแม่รินล่ะคุณจะโกรธหรือเปล่า ถ้ารินบอกว่าแม่คุณเลี้ยงเลี้ยงคุณมายังไงคุณถึงได้ทำตัวแย่แบบนี้ ถ้ารินว่าแม่คุณอย่าง...”

“หยุด!” เสียงห้าวสั่งอย่างเด็ดขาด

“ไม่หยุด!” หากเสียงหวานยังคงเอ่ยต่อไปอย่างไม่ลดละอย่างคนที่เก็บกดความอัดอั้นตันใจมานาน เพื่อรอวันระบาย

“ทำไม...ทำไมรินต้องหยุด ทีคุณยังว่าแม่รินเสียๆหายๆ ทำไมรินจะพูดถึงแม่คุณบ้างไม่ได้!”

“หยุดเดี๋ยวนี้! คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดถึงแม่ฉัน ไม่มีสิทธิ์!!”

“แล้วคุณล่ะ คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงแม่รินอย่างนั้น มีสิทธิ์อะไร!!” หญิงสาวถามกลับ ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความโกรธที่ล้นปรี่ หากแต่ร่างทั้งร่างต้องสั่นสะท้านยิ่งกว่าเมื่อริมฝีปากหยักลึกทาบลงมาบนริมฝีปากบางด้วยความดุดันไร้แววปราณี รินดิ้นอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากพันธนาการนั้น หากยิ่งดิ้นริมฝีปากนั้นก็ยิ่งรุกหนักขึ้นและไล้ต่ำลงมาถึงซอกคอขาวเนียน ก่อนจะทำตราประทับไว้ที่ซอกคอของเธอ!

“ปล่อยรินนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ ปะ....” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปพร้อมกับริมฝีปากที่ทาบมาที่ริมฝีปากเธออีกครั้ง เนิ่นนานจนเธอรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไร้แรงต้านทาน และ...ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นระรานจนเขาพอใจ หากดวงตากลมโตกลับโชติช่วงไปด้วยความแค้น สักวันเขาต้องเจ็บยิ่งกว่าเธอ เธอนี่แหละที่จะทรมานเขา...ด้วยมือของเธอเอง!!

ธนาดลถอนริมฝีปากออกจากกลีบปากบางหวานฉ่ำที่เขาเพิ่งลิ้มรสมาเมื่อครู่ รอยยิ้มเย้ยหยันจากปากชายหนุ่มกระตุกขึ้นอย่างพอใจเมื่อนัยน์ตาคมสีดำสนิทมองตรงมาที่รอยประทับซึ่งเขาเป็นคนทำขึ้นเอง!

“จำไว้ศรินดาว่าฉันมีสิทธิ์จะทำอะไรกับเธอก็ได้เพราะเธอเป็นของฉัน จำไว้!!” ชายหนุ่มประกาศกร้าวแล้วจึงเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวนั่งนิ่งกัดฟันราวกับอยากจะสะกดกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ หากมันก็กลั้นไว้ไม่อยู่ น้ำใสๆร่วงเผาะอย่างอยากที่จะฝืน ร่างบางสั่นสะท้านจนแม้แต่เจ้าตัวก็ห้ามไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงอย่างเดียวคือปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาให้หมด...แค่นั้น










รินทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยท่าประจำที่นางเอกละครน้ำเน่าทุกเรื่องทำ ท่าที่เธอชอบทำหน้าแหยว่าทำไมนางเอกละครทุกเรื่องต้องทำแบบนี้เวลาเสียใจ ท่าที่เธอบอกกับตัวเองว่าถึงเธอจะร้องไห้มากมายแค่ไหนเธอก็จะไม่มีวันทำตามนางเอกละครพวกนั้นเด็ดขาด แต่ตอนนี้รินกลับต้องทำเหมือนนางเอกละครพวกนั้น ผิดกันตรงที่เธอไม่ใช่นางเอก...ไม่ใช่เลย

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูปลุกคนที่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายอยู่บนเตียงให้ผงศีรษะขึ้นมา

“ริน...ริน...เปิดประตูให้น้ำหน่อย” สลิลธารร้องเรียกหากแต่คนในห้องยังเงียบ

“ริน...ริน...ได้ยินน้ำมั้ยริน ริน!” เสียงเคาะประตูเบาๆกลายเป็นทุบดัง ปึง ปึง ปึง! ไป เมื่อประตูยังไม่มีท่าทีว่าจะแง้มออกมาแม้แต่น้อย

“ฉันขออยู่คนเดียวนะน้ำ” รินบังคับน้ำเสียงอย่างยากเย็นเพื่อไม่ให้มันสั่นมากกว่าที่เป็นอยู่

“ริน...เป็นอะไรทำไมเสียงเป็นแบบนั้น” และดูเหมือนว่าความพยายามที่จะบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นจะไม่เป็นผลเอาเสียเลยเมื่อถูกเพื่อนสาวจับได้

“ไม่ได้เป็นอะไร...ฉันขออยู่คนเดียวนะ...ขอร้องนะน้ำ ขออยู่คนเดียว” สลิลธารนิ่งอยู่ที่ประตูห้องเพื่อนที่ปิดสนิทบานนั้น หากแต่สมองกลับกำลังรวบรวมความคิดทั้งหมดรินเป็นอะไร ที่แน่ๆเพื่อนเธอคนนี้กำลังร้องไห้ และร้องหนักมากเสียด้วย

ร่างระหงวิ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็วแล้วอารามไม่ได้มองทางร่างบางก็ชนกับร่างสูงของใครเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย! เจ็บ” หญิงสาวบ่นอุบ

“แล้วใครใช้ให้วิ่งเล่า” ดวงหน้าขาวผ่องเงยมองคนที่เธอชนและก็ต้องกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าตัวรู้สึกว่าแก้มเริ่มร้อนผ่าว หากแต่ก็สะบัดความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนกำลังร้องไห้เจียนตายอยู่ในห้อง

“พี่ต้น! รินเป็นอะไรไม่รู้ น้ำขอเข้าไปในห้องแต่รินบอกว่าอยากอยู่คนเดียว สงสัยร้องไห้ด้วย” แค่นั้นพนาดรถึงกลับหน้าถอดสีขึ้นทันใด ร่างสูงรีบวิ่งขึ้นไปห้องน้องสาวทันทีโดยมีสลิลธารวิ่งตามไปติดๆ

ปึงๆๆๆ

“ริน เปิดประตูให้พี่หน่อยริน ริน!” ชายหนุ่มเคาะประตูอย่างแรง

“รินอยากอยู่คนเดียวค่ะพี่ต้น ขอรินอยู่คนเดียว...นะคะ” เสียงข้างในร้องขออย่างเว้าวอน

“รินไม่เป็นอะไรแน่นะ ไม่เป็นอะไรแน่นะริน” พนาดรถามคนที่ขังตัวเองอยู่ข้างในอย่างเป็นห่วง ได้ยินแค่น้ำเสียงก็พอรู้ว่าศรินดาคงกำลังร้องไห้อย่างหนักและสาเหตุที่ทำให้น้องสาวคนนี้เสียน้ำตาคงมีสาเหตุไม่มากนัก ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คงไม่พ้น...ธนาดล

“ไม่เป็นไรพี่ต้น รินไม่เป็นอะไร” รินเอ่ยออกไป ไม่อยากทำให้พนาดรเป็นห่วง

...รินไม่เป็นอะไรเลยพี่ต้น มันด้าน มันชาไปหมดแล้ว ด้านชาจนรินแทบจะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว...

เมื่อน้องสาวยืนยันว่าไม่เป็นอะไรคนตัวโตจึงหันมามองร่างบางระหงที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างคาดโทษ

“พี่บอกให้ดูแลรินไม่ใช่หรือไง แล้วนี่น้ำไปไหนทำไมถึงปล่อยให้รินเป็นแบบนี้!” สลิลธารสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกอีกฝ่ายตวาด ตาชั้นเดียวเริ่มมีหยาดน้ำใสๆแต่เจ้าตัวก็กระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่มันออกไป

“น้ำไปคุยโทรศัพท์... แค่เดี๋ยวเดียว”

พนาดรตวัดสายตามองสลิลธารอย่างขุ่นมัว “แค่เดี๋ยวเดียว หึ! หนีไปคุยโทรศัพท์กับแฟนแค่เดี๋ยวเดียวแล้วทิ้งรินไว้แบบนี้น่ะเหรอ” คราวนี้เป็นสลิลธารบ้างที่ตวัดสายตามองมาที่ชายหนุ่ม

...แฟน? แฟนอะไร นี่พี่ต้นพูดเรื่องอะไร?!...

“ใครแฟนน้ำ พี่ต้นพูดดีๆนะ”

“แล้วน้ำขึ้นเชียงใหม่มาทำไมล่ะ จะขึ้นมาทำความคุ้นเคยกับว่าที่สามีไม่ใช่หรือ” คุณหมอน้ำเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ

“พี่ต้นรู้ได้ยังไง”

“ก็คงไม่รู้เลยนะ ก็พ่อใครบางคนเล่นโทรมาบอกถึงที่ว่าที่ลูกสาวเขาขึ้นเชียงใหม่มาเพราะจะมาทำความคุ้นเคยกับว่าที่สามี ไม่ได้ขึ้นมาเพราะคิดถึงใคร” พนาดรอดที่จะประชดเล็กๆไม่ได้เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้เขาได้รับโทรศัพท์จากบิดาของสลิลธาร คำพูดที่บิดาของหญิงสาวพูดไว้กับเขามันยิ่งกว่าที่เขาบอกผู้หญิงคนนี้มากนัก คำพูดที่แปลง่ายๆว่า ‘อย่าคิดมายุ่งกับลูกสาวฉัน เพราะฉันไม่มีวันยอมยกลูกสาวฉันให้แต่งกับแกแน่ๆ’ จำได้ว่าตอนนั้นน็อตเขาแทบหลุด เกือบไปแล้วที่0tพูดอะไรๆที่มันไม่ถูกไม่ควรแต่ดีที่ฉุกคิดได้ทันว่ายังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่กว่า

“น้ำ...” สลิลธารอึกอักไม่รู้จะพูดหรือจะอธิบายอย่างไรและกิริยานั้นก็ทำให้พนาดรตีความไปเองว่าหญิงสาวยอมรับว่าที่ขึ้นเหนือมานี่เพราะต้องการมาทำความคุ้นเคยกับว่าที่สามีจริงๆ ไม่ได้ขึ้นมาเพราะคิดถึง ‘ใคร’ คิดแล้วก็อดเยาะตัวเองไม่ได้

...ไอ้ต้นเอ๊ย....ไอ้ต้น ริอาจคบเด็กสร้างบ้าน เป็นไงล่ะเจอหมอเด็กหลอกให้รักแล้วเป็นยังไง เจ็บมั้ย?...

“งั้นพี่ก็ฝากน้ำบอกพ่อน้ำด้วยนะ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพี่ไม่เคยคิดกับน้ำเกินเลยไปกว่าเพื่อนของรินเลย ไม่ต้องเป็นห่วงว่าลูกสาวของท่านจะมารักพี่ เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้และพี่ก็คงจะ...ไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น" พูดจบร่างสูงก็หันหลังเดินจากไป

...จบแล้วสินะ ดีแล้วล่ะไอ้ต้น แบบนี้ล่ะดีแล้ว ไม่ต้องบอกให้รู้ว่ารัก แค่รู้ว่ารักคนเดียวก็พอ แค่นั้นก็พอแล้ว...

“พี่ต้น! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ร่างบางตะโกนบอกให้คนตัวโตหยุดเดิน

“พี่ต้นรู้ว่าน้ำขึ้นมาเชียงใหม่ทำไม จริงอยู่ที่น้ำขึ้นมาเพราะมาทำความรู้จักกับคุณหมอเขต” สลิลธารพยายามอธิบายแม้จะรู้ดีว่าคนหัวดื้ออย่างพนาดรอาจจะไม่ยอมฟังและ...เชื่อกัน

อ้อ...เป็นถึงคุณหมอด้วยหรือนี่ พนาดรเย้ยหยันตัวเองในใจ

“แต่ว่าทำไมน้ำถึงขึ้นมาทันทีที่พี่ต้นโทรไปทั้งๆที่น้ำยืดเวลาป๊าขึ้นมาตั้งนาน แต่ทำไมน้ำถึงทำแบบนี้พี่ต้นไม่รู้บ้างเลยหรือไง” พนาดรหันหน้ามามองหญิงสาว รู้สิทำไมเขาจะไม่รู้ เขารู้ว่าใจเธอคิดยังไง แค่มองตาเขาก็รู้แล้วว่าเธอคิดยังไง แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อเธอมีคนให้เลือกและคนๆนั้นก็ดีกว่าเขา ที่สำคัญเธอกับเขา ‘เรา’ ต่างกันเกินไป

“พี่บอกน้ำแล้วว่าถ้าน้ำจะรู้สึกกับพี่เกินคำว่า ‘พี่ชาย’ พี่จะไม่ยอม...และไม่มีวันยอม”

สลิลธารน้ำตาร่วงเผาะที่โดนปฏิเสธอย่างจังเข้าถึงสองครั้ง และหัวใจดวงน้อยก็ต้องกระตุกอีกทีเมื่อเห็นสายตาว่างเปล่าที่มองเธอ

มอง...เหมือนเขาไม่เคยรู้จักเธอ...

มอง...เหมือนเพียงแค่เธอเป็นแค่คนแปลกหน้า...

...ใจร้าย...พี่ต้น...ใจร้าย...

สลิลธารมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไป พี่ต้นที่ค่อยๆเดินห่างออกไปจากชีวิตเธอ ค่อยๆห่างจนกลายเป็นลาจาก หญิงสาวทรุดลงเพราะจู่ๆก็หมดเรี่ยวแรงเสียดื้อๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่


น้อยลง…ความรู้สึกดีๆดูน้อยลงทุกที
ไม่รู้ว่าเหลือเท่าไหร่
น้อยใจ…ต่อให้พยายามซักแค่ไหน
แต่ดูเหมือนว่าความเข้าใจก็ยิ่งน้อยลง…ไป
มีอะไรอยู่ในใจเธอ…ไม่รู้
สิ่งใดที่เธอนั้นคิดอยู่
สายตาเธอเหมือนไม่รู้จักกันแล้ว
เป็นคนอื่นไปแล้วจริงๆหรือว่าเธอแกล้งทำ
ฉันเป็นคนแปลกหน้าของเธอเมื่อไหร่
ช่วยบอกให้เข้าใจ
เป็นคนอื่นไปแล้วจริงๆหรือว่าเธอลืมไป
เธอลืมไปแล้วว่าเรารักกัน…ใช่ไหม
คนแปลกหน้าคนนี้ยังรักเธออยู่จำไว้*

( * เพลง คนแปลกหน้า : Portrait )










เช้าวันรุ่งขึ้นโต๊ะอาหารเช้าขาดผู้ร่วมโต๊ะไปถึงสองคน คนหนึ่งคือศรินดาและอีกคนหนึ่งคือสลิลธาร

“รินกับน้ำล่ะคุณ” พ่อเลี้ยงธฤตถามหาลูกสาวและเพื่อนกับศิรสา

“ยายรินเห็นบอกว่าปวดหัวค่ะ ส่วนหมอน้ำก็บอกว่าปวดหัวเหมือนกัน”

“อะไรกันเด็กพวกนี้จู่ๆก็มาปวดหัวพร้อมกันทั้งสองคน” พ่อเลี้ยงะฤตเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงก่อนจะหันมาบอกลูกชายคนโต “ต้นไปดูน้องหน่อยไป”

“ผมต้องรีบเข้าไร่น่ะครับคุณพ่อ” แต่คราวนี้ลูกชายคนโตกลับปฏิเสธทั้งๆที่ธรรมดาออกจะเป็นห่วงน้องสาวมากกว่าคนอื่น

“เข้าไร่ด้วยกันไหมดล” พนาดรหันไปถามน้องชาย

“ไม่ล่ะฮะ วันนี้ศรินดาต้องไปหาหมอใช่มั้ยพี่ต้น เดี๋ยวผมพาไปนะ” พนาดรเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อน้องชายอาสา
และคงไม่ผิดไปกับพ่อเลี้ยงธฤตกับมารดาของศรินดาเท่าใดนัก

“อะไรกันครับ ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ ผมไม่ได้เอาลูกสาวของบ้านนี้ไปฆ่าไปแกงสียหน่อย หรือยังไงครับ” ท้ายประโยคธนาดลมองไปทางศริสา...มารดาของศรินดา

“งั้นน้าฝากน้องด้วยนะคะคุณดล” มารดาของศรินดาซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของธนาดลจึงยอมให้ชายหนุ่มพาลูกสาวของตัวเองไปโรงพยาบาลแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเขามีเหตุผลแอบแฝงอยู่ก็ตาม เพราะศิรสารู้ดีว่าถ้าเธอขัดใจลูกชายคนเล็กของพ่อเลี้ยงธฤต ธนาดลก็จะยิ่งชิงชังทั้งตัวเธอเองและลูกสาวของเธอมากยิ่งขึ้น

“ไงตัวเล็ก ขึ้นเชียงใหม่เป็นไงบ้างสบายดีมั้ย” เสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือแทบทำให้สลิลธารอยากโผเข้าหาอ้อมกอดดังขึ้นจนทำให้ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวอีกครั้ง

“เฮียเต้” เพียงเรียกชื่อหญิงสาวก็ปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“น้ำ...เป็นอะไร ใครทำอะไรน้ำ หืม”

“เฮีย...น้ำอยากกลับบ้าน น้ำคิดถึงเฮีย”

“อะไรกันเราไปไม่กี่วันร้องไห้อยากกลับบ้านแล้วหรือไง” ปลายสายล้อมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

“ที่นี่มีแต่คนใจร้าย ใจร้าย...” เสียงหวานร้องไห้หนักขึ้นเมื่อนึกถึงคนใจร้ายคนนั้น

“ใคร...ใครใจร้ายกับน้องสาวสุดที่รักของเฮีย เฮียจะขึ้นไปจัดการมันเดี๋ยวนี้แหละ หรือว่า...ไอ้ต้น
ไอ้ต้นใช่ไหมน้ำ ไอ้ต้นใช่หรือเปล่า” ปลายสายเริ่มถามอย่างร้อนรนแต่สลิลธารไม่ตอบอะไรและความเงียบนั่นคงจะเป็นคำตอบที่ดีพอที่จะทำให้พี่ชายของเธอรู้ว่าคนที่ทำให้เธอร้องไห้ได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ได้คือ...พนาดร

เฮียเต้สบถคำด่าออกมายืดยาวแล้วก็วางสายไปและเธอก็รู้ดีว่าเฮียเธอจะทำอย่างไรต่อไป ไม่ต้องเดาเลยก็รู้ว่าต้องโทรไปจัดการคนต้นเรื่องอย่างหนัก ข้อหาบังอาจทำให้น้องสาวสุดที่รักเสียน้ำตา

...ดี...ให้คนใจร้ายคนนั้นโดนบ้างก็ดี เขาจะได้รู้สึกซะบ้าง ว่าถ้าเขาทำให้เธอเจ็บ เขาจะโดนยังไง!...










ร่างเล็กบางเดินมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ตากลมโตพิศมองหน้าตัวเอง โทรมดูไม่ได้เลยนะริน ตาบวมจนแทบปิดแถมแดงอีกต่างหาก ไม่ต้องสงสัยว่าถ้าพี่ต้นเห็นคงต้องถามเธอแน่ว่าเมื่อคืนเธอไปบุกป่าฝ่าดงอะไรมาถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนี้ หญิงสาวถอนหายใจอย่างเนือยๆแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรอยแดงที่คอซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรอยอะไร แล้วใครคือคนทำ!

มือเรียวคว้าผ้าพันคอมาพันเพื่อบดบังรอยแดงรอยนั้นเพราะถ้าให้คนอื่นเห็นคงไม่มีใครไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เสร็จแล้วก็คว้าไม้ค้ำเดินออกนอกห้องหากแต่พอเปิดประตูมือเรียวก็แทบอยากจะปิดประตูทันใดเมื่อพบว่าใครยืนดักรออยู่หน้าห้อง รินออกแรงดันประตูเต็มแรงเพื่อไม่ให้ร่างสูงใหญ่ของธนาดลแทรกตัวเข้ามาแต่ความพยายามทั้งหลายแหล่ของเธอกลับต้องล้มเหลวเมื่อร่างสูงย่างกรายเข้ามาในห้องของเธอจนได้ รินถอยหลังอย่างรวดเร็ว รวดเร็วซะจนขากับไม้ค้ำทำงานไม่สัมพันธ์กันจนหงายหลังเกือบล้มลงพื้น ถ้า...ไม่มีมือของใครฉุดแขนของเธอไว้และคงไม่ใช่มือใครถ้าไม่ใช่มือของธนาดล!

“ปล่อยฉัน” ธนาดลชะงักทันทีเมื่อจู่ๆสรรพนามแทนตัวเองของผู้หญิงตรงหน้าก็เปลี่ยนไป จาก ‘ริน’เป็น ‘ฉัน’ ตาคมจ้องหน้าหญิงสาว

“ทำไมเปลี่ยนคำแทนตัวเอง” เขาถามห้วนๆติดออกจะกระชากด้วยซ้ำไป รินสะบัดหน้าหนี

“เรื่องของฉัน ปล่อย” หญิงสาวบอกเขาเสียงห้วนบ้างและก็ต้องแปลกใจเมื่อธนาดลยอมปล่อยแต่โดยดี

“ผ้าพันคอสวยดีนะ” น้ำเสียงกรุ่มกริ่มนั้นทำให้รินตวัดสายตามองเขาอย่างโกรธๆ

...นี่เขากะจะยั่วโมโหเธอให้ตายไปต่อหน้าเลยใช่มั้ย...

“ฉันจะพาเธอไปหาหมอ” รินหันมามองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“พี่ต้นจะพาฉันไป”

“แม่เธอให้ฉันพาเธอไป”

“คุณโกหก" รินปฏิเสธทันควัน ไม่เชื่อว่ามารดาจะปล่อยให้เธอไปโรงพยาบาลกับเทพบุตรในคราบซาตานอย่างธนาดล

“งั้นก็ลองไปถามแม่เธอดู อ้อ...แต่ถามตอนนี้คงไม่ได้เพราะแม่เธอน่ะไม่อยู่แล้ว จะโทรไปถามก็ได้นะ ฉันไม่ว่าอะไร ถามให้ชัดว่าเขาพูดแบบนี้จริงหรือเปล่า” เมื่อเจอธนาดลท้าหญิงสาวก็ชะงักไปทันทีเพราะเธอรู้ดีว่าถ้าผู้ชายคนนี้ไม่มั่นใจว่าเขาจะต้องชนะเขาจะไม่มีวันท้าในสิ่งที่ตนเองจะต้องแพ้เด็ดขาด

“ฉันไม่ไป”

“กลับมาแทนตัวเองว่า ‘ริน’ เหมือนเดิม” จู่ๆธนาดลก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

“ไม่!” เสียงหวานปฏิเสธออกห้วนๆและเด็ดขาด

“ทำไม” และธนาดลก็ถามกลับอย่างรวดเร็ว...ห้วนและเด็กขาด...เช่นกัน

“เพราะคุณมันไม่คู่ควรที่ให้ฉันใช้ชื่อแทนตัวเองว่า ‘ริน’ ไม่คู่ควร!” รินเน้นสามคำสุดท้ายหนักๆ

“แล้วใครล่ะที่คู่ควรไอ้นนท์งั้นหรือ” เขาย้อนถามเยาะๆ

“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คุณ!” แค่นั้นร่างบางก็ถูกกระชากให้เดินตามอย่างแรง

“ปล่อยนะ! ปล่อยฉันนะ!” รินร้องลั่น

“เงียบ!!” ธนาดลหันมาตวาดด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าหญิงสาวสองเท่า

“ฉันไม่ได้ใจดีอย่างพี่ต้นแล้วก็ไม่ได้ขี้อ้อนเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วอย่างไอ้นนท์ เพราะฉะนั้นอย่ามาดื้อด้าน อย่ามาทำให้ฉันโกรธ เพราะถ้าฉันโกรธเธอคงจะรู้ว่าจะโดนยังไง!” ตาคมเหลือบมองไปที่คอของหญิงสาวที่ถูกพันทับไปด้วยผ้าพันคอผืนสวย รินมองวายตานั้นอย่างหวาดระแวง ความรู้สึกและรอยสัมผัสที่เกิดขึ้นเมื่อวานยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวพร้อมๆกับคำนั้น

‘เธอเป็นของฉัน จำไว้!!’ คำประกาศกร้าวของผู้ชายคนนี้ยังคงดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเธออย่างเทปที่ถูกกรอกลับซ้ำหลายรอบเพื่อฟังใหม่

“คุณมันปีศาจ ชั่วร้าย เลวทราม” รินก่นด่าชายหนุ่มออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

ธนาดลเหยียดยิ้มที่แสนจะยือกเย็น ตาคมมองไปที่หญิงสาวร่างบางที่ตอนนี้ก็มองมาทางเขาอย่างอาฆาตแค้น

“สำนึกได้อย่างนั้นก็ดีศรินดาว่าฉันน่ะมันปีศาจ ชั่วร้าย เลวทราม แต่เธอรู้มั้ย...ว่าเธอจะต้องทนอยู่กับไอ้ปีศาจคนนี้อีกนานแล้วปีศาจคนนี้นี่แหละที่จะทำให้เธอเจ็บเจียนตาย อย่างที่แม่เธอทำให้แม่ฉันเจ็บจนตาย!”

รินสะดุ้งเฮือกเมื่อแววตาของธนาดลยามพูดถึงแม่ของเขามันแข็งกร้าวขึ้นมาทันใด มัน…ดุร้าย น่ากลัว เหมือนกับว่าเขาสามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางเขาได้ ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเป็นคนกำหนดเองว่าจะให้มันอยู่หรือจะให้มัน…หายไป

“ไปได้แล้ว” ชายหนุ่มกระชากเสียงออกคำสั่ง มือหนาดึงแขนกลมกลึงให้ร่างนั้นเดินตาม รินจึงต้องความพยายามอย่างสูงที่จะต้องใช้ไม้ค้ำเดินตามคนอารมณ์ร้อนให้ทันกับที่เขาเดิน

“ช้าๆหน่อยได้มั้ย ฉันเดินไม่ทัน” รินร้อง เมื่อเกือบจะสะดุดหน้าคว้ำไปหลายรอบเพราะขากับไม้ค้ำไม่สัมพันธ์กัน

ธนาดลปล่อยมือที่จะท่อนแขนของหญิงสาวก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ วงแขนแข็งแรงช้อนร่างเล็กบางขึ้นมาโดยไม่ฟังเสียงอุทานตกใจของศรินดาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจัดการวางรินไว้ที่เบาะที่นั่งข้างคนขับและก็หมุนตัวเองมาอีกด้านก่อนที่จะเปิดประตูและนั่งประจำที่

“ไม้ค้ำฉัน” รินถาม ตากลมโตมองอย่างโกรธกรุ่น

“ช่างมัน” หากเขากลับตอบแบบไม่สึกรู้สมกับสิ่งที่ทำไป รินแทบอยากจะร้องกรี๊ดดังๆให้รถมันแตกเมื่อเจอคำตอบของเขาแบบนี้แต่หญิงสาวก็ต้องทนเก็บไว้ด้วยการกัดฟันทน!

“ถ้าคุณไม่เต็มใจพาไป…”

“ใครบอกเธอว่าฉันไม่เต็มใจ หืม… ฉันเต็มใจจะตายไป” ธนาดลหันมามองหญิงสาวด้วยสายตาที่แฝงด้วยด้วยเลิศนัยกรุ่มกริ่ม รินหันควับไปมองถนนหนทางข้างๆทันทีทันใดเมื่อสายตานั้นมองมาที่เธอและเสียงหัวเราะเบาๆก็ตามออกมาทันที

...ฉันบอกเธอแล้วศรินดาว่าเธอไม่มีวันที่จะชนะฉัน ไม่มีวัน!...












เสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่บนเนินเขา ใบหน้าคมคายบูดบึ้งได้ที่ แถมยังมองซ้ายมองขวาเพื่อหาบุคคลตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาโดนโทรศัพท์ทางไกลจากกรุงเทพฯที่โทรมาด่าจนยับเพราะทำให้น้องสาวสุดที่รักของ ‘เตวิชญ์’ หรือ ‘ไอ้เต้’ พี่ชายผู้แสนดีของคุณหมอเด็กคนสวยที่โทรมาจัดการเขาเพราะน้องสาวตัวดีโทรไปร้องห่มร้องไห้เสียใจปิ่มน้ำตาจะเป็นสายเลือดกับพี่ชาย!

“เอื้อง! คุณหมอน้ำอยู่ไหน” พนาดรเผลอตวาดสาวใช้อย่างไม่รู้ตัว เพราะตอนนี้น็อตเขาหลุดแล้ว เป็นไปได้อยากจะขย่ำคุณหมอตัวดีนั่นซักที

“อยู่...อยู่บนห้องเจ้า" สาวใช้ชาวเหนือละล่ำละลักตอบ ได้ยินดังนั้นร่างสูงใหญ่ก็เดินลิ่วขึ้นไปบนชั้นสอง มือหนาทุบประตูห้องดัง ปึง ปึง ปึง!

“ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้นะน้ำ ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง…เดี๋ยวนี้!” เสียงที่ปกติจะทุ้มนุ่มปัดนี้กลับออกคำสั่งขึ้นมาอย่างเฉียบขาด

“ไม่คุย! น้ำไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ต้นทั้งนั้น” สลิลธารตะโกนตอบกลับออกมาบ้าง ร่างระหงเดินมายืนอยู่หน้าประตูห้องที่กั้นระหว่างเขาและเธอ

“ที่น้ำจะคุย เฮียเต้คุยแทนน้ำไปหมดแล้ว!”

“อ้อ...ที่ไอ้เต้มันด่าพี่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่น้ำจะคุยกับพี่ใช่มั้ย” พนาดรถามอย่างฉุนเฉียวเป็นไปได้อยากจะเขย่าร่างที่อยู่ในห้องนั่นให้ได้สติเสียทีว่าทำแบบนี้มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะยังไงเขาก็จะไม่มีวันที่จะเปิดรับความรู้สึกเธอและเธอเองก็จะไม่มีวันได้รู้ความรู้สึกของเขาเช่นกัน

“ใช่!” คำตอบของหญิงสาวทำให้หัวใจของชายหนุ่มปวดหนึบๆชอบกลหากเจ้าตัวกลับปลอบใจตัวเองว่า แบบนี้แหละดีแล้ว สำหรับเขาถ้าไม่รักแล้วทำเย็นชาใส่กันสู้เกลียดกันไปเลยดีกว่า

“งั้นถ้าคราวหน้าน้ำร้องไห้เพราะพี่ ไอ้เต้มันไม่ต้องขึ้นมาเอามีดผ่าตัดปาดคอพี่ถึงไร่เลยรึไง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างประชดประชัน

“น้ำไม่ได้ร้องไห้เพราะพี่ต้นนะ พี่ต้นอย่างมาหลงตัวเองไปหน่อยเลย น้ำร้องไห้เพราะหมอเขตต่างหาก น้ำร้องไห้เพราะหมอเขตไม่ได้ร้องเพราะพี่ต้น เข้าใจใหม่เสียด้วย!” สลิลธารโกหกคำโต คำโกหกที่ใครฟังก็คงไม่เชื่อแต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มหน้าห้อง รายนั้นไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิดเพราะเชื่อเสียสนิทใจ

“งั้นพี่จะไปบอกไอ้เต้ให้ว่ามันด่าผิดคน คนที่มันควรจะด่าคือแฟนน้องมันต่างหากไม่ใช่พี่!”

“ไม่ต้อง! น้ำไม่อยากให้หมอเขตโดนว่า น้ำเป็นห่วงเขา” นึกอยากจะประชดคนข้างนอกให้รู้นักว่าต่อให้เธอไม่มีเขาเธอก็อยู่ได้ อยากจะประชดให้เขารู้สึกบ้างว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวที่เธอต้องง้อ
พนาดรรู้สึกรสขมปร่าที่ริมฝีปาก ชายหนุ่มขบฟันจนเห็นสันกรามนูน ประโยคที่ว่า ‘น้ำเป็นห่วงเขา’ เสียงหวานใสเมื่อครู่เล่นเอาเขาแทบบ้า

...เป็นห่วง...เฮอะ! แล้วเขาล่ะ เขาที่โดนไอ้เต้ด่าซะยับ ด่าซะไม่เหลือชิ้นดี ถ้าติดที่ว่ามันไม่อยู่กรุงเทพฯป่านนี้หน้าเขาคงจะยับเพราะโดนมันต่อยไปแล้ว ฮึ! ไงล่ะเจอฤทธิ์สาวชาวกรุงเข้าให้ ใครเขาจะไปอยากได้สามีที่วันๆเอาแต่ทำงานอยู่ในไร่ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเกียรติ ไม่มีหน้าตาทางสังคม สู้มีสามีเป็นหมอ ทำงานอยู่ในสายอาชีพเดียวกัน ดีกว่าหลายร้อยเท่า...

“ได้ พี่จะไม่บอกไอ้เต้ก็ได้ แต่ถ้ามีครั้งหน้า ถ้าพี่โดนด่าฟรีอีกล่ะก็ พี่ไม่ปล่อยไว้แน่ ทั้งหมอเขตของน้ำ ทั้งไอ้เต้ จะจัดการด้วยกันซะทั้งคู่” พูดจบร่างสูงก็ย่ำเท้าตึงๆจากไป

“ป่าเถื่อน” คนในห้องเอ่ยขึ้นอย่างเบาๆ ค้อนลมค้อนแล้งไปตามประสา

ใครว่าเตวิชญ์จัดการผิดคน ที่พี่พนาดรโดนน่ะถูกแล้ว ถูกซะยิ่งกว่าถูก แต่ที่พูดไปแบบนั้นเธอแค่อยากจะประชดคนแถวนี้ก็แค่นั้น ให้เขารู้บ้างว่าเธอก็มีคุณค่าให้เขาเสียดายได้เหมือนกัน












“อาทิตย์หน้าก็เอาเฝือกออกได้แล้วนะครับ หายเร็วกว่าที่หมอคิดนะ” คุณหมอบอกพร้อมกับส่งยิ้มมาให้เมื่ออาการของเธอดีขึ้นมากจนเป็นที่น่าพอใจ ผิดกับรินที่ออกจะตกใจนิดหน่อยเมื่อขาหายเร็วกว่าที่ควรจะเป็นทั้งๆที่เธอออกจะสมบุกสมบันต่อสู่กับศัตรูตัวโตที่ยืนจ้องเธออยู่ตอนนี้!

“ใกล้หายแล้วนี่” รินสะบัดหน้าหนีแต่ก็ไม่รู้จะมองไปทางไหนเพราะตอนนี้ร่างของเธอถูกอุ้มกลับมาขึ้นรถเพราะไม่มีไม้ค้ำและนั่นก็เป็นจุดสนใจของคนค่อนโรงพยาบาลเป็นอย่างดี

“กะจะนั่งเชิดอย่างนั้นไปจนถึงไร่เลยรึไง” ธนาดลถามขึ้นเมื่อหันมองหญิงสาวข้างตัวที่นั่งคอเชิดตรง

“เรื่องของฉัน” รินตอบเสียงสะบัด และยังคงเชิดหน้าต่อไป

“ดี ขาหายแล้วจะได้ใส่เฝือกที่คอแทน”

รินหันไปมองคนขับตาเขียว ปากบางเม้มแน่นสนิทก่อนที่จะสะบัดหน้าไปมองวิวข้างทาง อาทิตย์หน้า...อีกแค่อาทิตย์เดียวเธอก็จะหายดี

...อาทิตย์หน้า...ฉันจะเล่นงานคุณให้แสบเลยคุณดล!...

โฟร์วีลสีดำจอดสนิทหน้าบ้านสักทองหลังใหญ่หลังส่วนซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่ล้อมรอบ ร่างสูงเปิดประตูด้านที่หญิงสาวนั่ง ตาคมปรายตามองมาที่ร่างเล็กบางที่ทำหน้าง้ำอย่างจวัก

“ทำไม อยู่กับฉันมันอึดอัดมากนักรึไงถึงได้ทำหน้าบุญไม่รับขนาดนี้ ทีอยู่กับไอ้นนท์ล่ะระริกระรี้เนื้อตัวแทบสั่น ไอ้นนท์มันมีอะไรดีนักหนา หรือว่ารสจูบมันร้อนแรงกว่าฉัน” รินหันไปมองหน้าคนปากพล่อยทันที มือเล็กกำแน่นด้วยความโกรธ

“หยาบคาย ในหัวคุณมันมีแต่ความคิดทุเรศๆแบบนี้รึไง แต่ก็นั่นแหละคนอย่างคุณมันคงจะดีกว่านี้ไม่ได้แล้วถ้าคุณฉลาดพอคุณคงไม่ต้องถามว่านนท์มีอะไรดีกว่าคุณเพราะถ้าให้ฉันพูด วันนี้ก็คงไม่จบเพราะนนท์น่ะมีดีกว่าคุณเยอะ”

เส้นความอดทนของธนาดลขาดผึงเมื่อถูกหยามกันต่อหน้า ยิ่งเอาไปเปรียบเทียบกับนนทนัฐพายุของความโกรธก็ยิ่งโหมกระหน่ำมากกว่าเดิม มือหนาคว้าเข้าที่ต้นแขนบอบบางก่อนจะออกแรงบีบ

“กล้ามากนะศรินดา กล้ามากที่พูดกับฉันแบบนี้” ดวงตาสีดำมองดวงหน้าหวานและรูปร่างอ้อนแอ้นนั้นราวกับจะทำให้ร่างนั้นมอดไหม้ไปตรงหน้าและไม่ทันที่จะให้หญิงสาวโต้ตอบวงแขนแข็งแรงก็ตวัดอุ้มร่างนั้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย

ตุบ!

ธนาดลวางศรินดาลงบนโซฟา ไม่สิจะพูดว่าวางก็ไม่ถูกเพราะชายหนุ่มไม่ได้วางเธออย่างแผ่วเบาอย่างที่ควรกระทำหากเขากลับโยนเธอลงบนโซฟาทั้งๆที่ขาเธอยังไม่หายดีแต่รินก็ยังรู้ทันที่จะกันขาตัวเองไม่ให้กระทบกระเทือนได้ทันท่วงที

“ทีหน้าทีหลังหัดประมาณตัวเองซะบ้างว่าเธอควรหรือไม่ควรจะพูดอะไรฉัน ฉันมันโมโหง่าย และถ้าฉันโมโหเธอจะเจ็บตัว จำไว้!” พูดจบร่างสูงก็หันหลังเดินลิ่วๆจากไปด้วยอารมณ์ใกล้เคียงกับพายุทอร์นาโดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งให้หายไปกับตา!

รินยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา นึกขอบคุณคุณพระคุณเจ้าที่กระดูกซี่โครงไม่หักเพราะมีโซฟานุ่มๆมารองรับถ้าเธอถูกโยนลงพื้นดินแข็งๆ มีหวัง...กระดูกได้หักอีกหลายซี่ หน้าเรียวหวานหันซ้ายหันขวาเพื่อหาไม้ค้ำคู่ชีพเผื่อว่าจะมีใครเก็บเข้ามาไว้บ้างแต่ก็...ไม่มีแม้แต่เงา จนเมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงเดินลงบันไดมานั่นล่ะถึงได้หันมามองเพื่อขอความช่วยเหลือ หากแต่ก็ต้องคิดใหม่เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนว่ามันดูไม่ได้เลย เผลอๆก็โทรมไม่ต่างจากเธอด้วยซ้ำ

“โอเคมั้ยน้ำ” รินถามเบาๆเมื่อเพื่อนหย่อนตัวนั่งข้างๆ

“อือ”

“โอเคแน่นะ” รินถามอีกทีเน้นๆเมื่อเห็นว่าสลิลธารตอบแบบขอไปทีแล้วเหมือนจะสติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“อือ”

“เฮ้ย! แกเป็นอะไร” รินสะกิดถามเพื่อน อย่างไม่ทันตั้งตัวหมอน้ำโถมตัวเข้ามากอดเพื่อนที่อาการยังไม่ครบสามสิบสองเต็มแรง

“เฮ้ย!! เป็นไร แล้วร้องไห้ทำไม” รินตบหลังเพื่อนสาวเบาๆและเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หยุดร้องไห้วงแขนเรียวจึงตวัดกอดเพื่อนอย่างอ่อนโยน

“เป็นอะไรน้ำ ร้องไห้ทำไม” เสียงหวานถามนิ่มๆ ทว่ารู้สึกเป็นห่วงสุดใจ

“เจอคนบ้ามาชวนทะเลาะ” สลิลธารผละออกจากอ้อมกอดของเพื่อน มือเรียวขาวป้ายน้ำตาอย่างลวกๆไม่สนใจว่ามันจะหมดจากดวงหน้าหรือไม่ ตาเรียวเล็กอย่างสาวหมวยบวมแดง ไม่เว้นแต่ปลายจมูกเชิดรั้นที่แดงมากกว่าปกติ

“ใครล่ะ?” รินถาม ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม

“คนบ้า” หากคำตอบของสลิลธารกลับมีแค่นี้ไม่ว่าเธอจะถามอีกกี่รอบก็ตาม

“เออ! คนบ้าก็คนบ้า ไม่เซ้าซี้แล้ว” หญิงสาวกล่าวอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดไปกว่า
‘คนบ้า’

“เลิกร้องไห้แล้วก็ไปหาไม้ค้ำให้ทีสิ ไม่รู้ใครเก็บไป” เมื่อเห็นว่าสลิลธารเพลาๆอาการร้องไห้ได้แล้ว รินจึงไหว้วาน

“แกใช้ของแกคนเดียวใครจะเก็บไป”

“ก็ตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับฉันแล้ว เข้าใจป่ะ อ๊ะๆ หยุดนะแก ไม่ต้องมาทำหน้างงสงสัยขนาดนั้นว่าทำไมไม้มันไม่ได้อยู่ที่ฉัน” รินรีบปรามเมื่อเห็นว่าสลิลธารเตรียมอ้าปากที่จะถามเพราะเธอจะไม่เล่าเด็ดขาดว่าเมื่อเช้าเธอไปโรงพยาบาลยังไงและไปด้วยวิธีอะไร

“ไปหาให้หน่อยนะน้ำนะ ถามเอื้องเอาก็ได้ นะๆ ช่วยฉันที” รินเริ่มใช้ไม่อ่อนอ้อนคุณหมอสาวและก็ได้ผลซะด้วยเมื่อสลิลธารยอมรับปาด้วยคำสั้นๆว่า

“เออ”

ลับหลังคุณหมอเด็ก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น รินหันซ้ายหันขวาเพื่อมองว่าจะมีใครมารับโทรศัพท์ไหม แต่ก็...ไม่มีใครมารับเลย หญิงสาวจึงต้องเดินกระต่ายขาเดียวมารับ ปากบางบ่นงึมงำพร้อมคำแช่งสองสามคำที่ใครไม่รู้ดันโทรมาตอนนี้ให้เธอลำบากกระโดดเหยงๆไปรับโทรศัพท์

“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานกรอกใส่โทรศัพท์อย่างมีมารยาทแม้ว่าในใจกำลังสาปแช่งคนโทรมาก็ตามที่ทำให้เธอต้องลากสังขารที่ไม่ครบสามสิบสองมารับแบบนี้

“ทำไมมารับช้าแบบนี้ยะ รู้มั้ยว่าฉันถือสายรอนานแค่ไหน” อีกฝ่ายแว้ดมาจนรินต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าเสียงวีนแหลมๆแบบนี้เคยได้ยินที่ไหน

“ถ้านานมากก็วางไปเลยสิคะ ไม่มีใครใช้ให้คุณถือรอนี่” รินสวนกลับ ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนอย่าง ศรินดาน่ะมันเป็นยังไง

“นี่! แกเป็นแค่คนใช้มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ยะไปตามดลมาพูดกับฉันซิ” แล้วเสียงอ๋อ...ก็ดังขึ้นในหัว ถึงว่าทำไมเสียงคุ้นๆที่แท้ก็เพื่อของผู้ชายคนนั้น

“ไม่อยู่” เสียงหวานที่เริ่มแข็งตอบกลับไปสั้นๆ

“ใครไม่อยู่”

“ก็คุณถามถึงใครล่ะคะ” แล้วรินก็เอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูแทบไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายกรี๊ดลั่น

“แกอย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกดลด้วยว่านาฏ...ชินานาฏ โทรมาให้โทรกลับด้วย เข้าใจหรือเปล่า”

“ค่ะ” แล้วเสียงวางโทรศัพท์ก็ถูกวางลงอย่างกระแทกกระทั้นจากอีกฝ่าย รินมองโทรศัพท์อย่างพินิจ

‘ชินานาฏ’...อยากรู้จังว่าหน้าตาจะเป็นยังไง นิสัยแย่ขนาดนี้ คบกับคนแย่ๆอย่างธนาดลได้ ท่าทางจะเป็นมนุษย์พิเศษ รินสะบัดศีรษะเบาๆเพื่อไล่ความคิดเหล่านั้นออกจากสมอง จะคิดไปทำไมศรินดาเพราะยังไงเธอก็คงจะไม่มีทางเจอผู้หญิงคนนั้นหรอก
หากความจริงมักตรงกันข้ามกับความคิดเสมอ รินไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่เธอคิดว่าจะไม่เจอ หากตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป เธอนี่แหละที่ต้องเจอกับผู้หญิงคนนั้นทุกวัน!











โถงทางเดินของชั้นบน ร่างบางอ้อนแอ้นยืนชะเง้อคอยาวหาตัวช่วยในการประกอบภารกิจเสี่ยงตาย ริมฝีปากบางแย้มยิ้มเมื่อสาวใช้ชาวเหนือเดินมาพร้อมกับถ้วยกาแฟ

“ไปไหนเอื้อง” รินถามทั้งๆที่รู้อยู่ว่าจุดหมายปลายทางของสาวใช้คนนี้อยู่ที่ไหน

“เอากาแฟไปให้คุณดลที่ห้องหนังสือเจ้า” ริมปากบางยิ้มกว้างเมื่อเจอตัวช่วยไปประกอบภารกิจเสี่ยงตายแทน

“งั้นเอื้องบอกคุณดลทีนะว่าเมื่อตอนบ่ายคุณชินานาฏโทรมา ให้คุณดลโทรกลับด้วย”

“แล้วทำไมคุณรินไม่ไปบอกคุณดลเองล่ะเจ้า” สาวใช้ขี้สงสัยถามขึ้นมาอย่างใคร่รู้ แต่คนเป็นเจ้านายกลับทำท่าทางอึกอัก

“เอ่อ...ก็ไหนๆเอื้องต้องไปไง รินฝากเอื้องไปบอกก็เหมือนกันแหละ” หญิงสาวเริ่มแสดงอาการ ‘ไถ’ ไปเรื่อยๆ เอื้องพยักหน้าแล้วจึงเดินผ่านไป รินมองตามหลังร่างสาวใช้ไปอย่างยินดี แค่นี้ก็เรียบร้อย ไม่ต้องไปบอกด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปปะทะอารมณ์ ไม่ต้องไปเห็นหน้าคนที่ไม่อยากเห็น ไม่ต้องไปเห็นหน้าคนที่เกลียด! เกลียดๆๆๆ รินย้ำซ้ำๆในใจ ย้ำเพื่อเธอจะได้ไม่ลืมว่าเธอจะต้องเอาคืนเขาอย่างไร เอาคืนเขาให้เจ็บแต่ไหน

ศรินดาทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่นุ่มก่อนจะค่อยๆเอนหลังลงนอน อีกนิดเดียวเท่านั้นที่ศีรษะจะสัมผัสถึงหมอนแต่เสียงโทรศัพท์ในห้องกลับดังขั้น ตากลมโตตวัดมองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด

...ใครโทรมานะ คนจะหลับจะนอน... แต่ถึงจะหงุดหงิดและยากจะฆ่าคนที่โทรมากวนเต็มแก่แต่มือ
เรียวก็เอื้อมไปรับโทรศัพท์อย่างอดไม่ได้

“สวัสดีค่ะ”

“มาหาฉันที่ห้องหนังสือถายในสามนาที ถ้าสามนาทีแล้วฉันยังไม่เห็นเธอ ฉันจะไปตามเธอถึงห้อง!” แล้วโทรศัพท์ก็ถูกวางลงอย่างแรง รินมองโทรศัพท์ที่ถือค้างอยู่ในมืออย่างงงๆ สมองก็เริ่มที่จะประมวลผลออกมาได้ว่าตอนนี้เธอสมควรที่จะไปถึงที่ห้องหนังสือภายในสามนาที ก่อนที่คนบ้าบางคนจะ ‘บ้าเต็มขั้น’ มาตามเธอถึงห้องจริงๆ

ร่างเล็กบางเปิดประตูพรวดเข้าไปในห้องโดยที่ไม่แม้แต่เคาะประตูเพราะถ้าเธอเสียเวลาเคาะอีกแค่นิดเดียว แค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น เวลาสามนาทีที่ธนาดลกำหนดจะหมดเวลาลงทันใด ตาคมราวเหยี่ยวจับจ้องมาที่ร่างบาง มือเรียวสวยขนาดศรินดาที่เป็นผู้หญิงยังต้องอายวางปากกาด้ามหรูลงบนกองเอกสารก่อนที่เจ้าตัวจะออกคำสั่งเสียงเย็น

“มานี่”

รินยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้าประตู

“อย่าให้ฉันต้องสั่งเป็นครั้งที่สองนะศรินดา” คราวนี้น้ำเสียงของธนาดลเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รินจึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่งนั้นอย่าขัดไม่ได้ทั้งๆใจจริงเธออยากจะขัดคำสั่งนั้นใจจะขาดก็ตาม

“มีอะไร” เธอถามห้วนๆหากคำตอบจากปากคนตรงหน้ากลับเป็น

“นั่ง” คำสั่งแค่คำเดียว! แล้วก็อีกนั่นแหละ หญิงสาวยืนตัวแข็งไม่ยอมนั่งอย่างที่เขาบอกแต่พอถูกสายตาคมสีดำสนิทนั่นจ้องราวกับเขาสามารถที่จะฆ่าเธอได้ถ้าเขาจะทำ หญิงสาวก็ต้องจำใจนั่งลงตามคำสั่งอีกตามเคย

ตุบ!

แฟ้มๆหนึ่งถูกโยนมาตรงหน้าเธอ

“ทำบัญชีนี่ให้ฉันด้วย ฉันรู้ว่าเธอเรียนด้านนี้มา” รินหยิบแฟ้มสีดำนั่นมาเปิดดู นี่มันบัญชีย้อนหลังสามสี่ปีนี่ เขาจะให้เธอทำย้อนไปทำไมตั้งหลายปี แล้วคำตอบก็ออกมาอย่างรวดเร็ว เขาต้องการจะแกล้งเธอ! คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ตากลมโตจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน

“บัญชีย้อนหลังตั้งหลายปี คุณจะให้ฉันทำทำไม” ธนาดลละสายตาจากเอกสารบนโต๊ะทันที

“ฉันสั่งให้เธอทำเธอก็ต้องทำ ไม่ต้องถามมาก พ่อฉันอุตส่าห์ส่งเธอเรียนจนจบ หัดทำอะไรตอบแทนเงินกับข้าวแดงแกงร้อนที่พ่อฉันเลี้ยงดูเธอกับแม่บ้างสิ ไม่ใช่นั่งกินนอนกินผลาญสมบัติของพ่อฉันแบบนี้”

รินกัดฟันกรอดอย่างอดทน ทำไมชีวิตเธอต้องมาเจอกับผู้ชายเลวๆอย่างธนาดลด้วย ทำไมชีวิตเธอต้องเจอกับอะไรที่โชคร้ายแบบนี้ ถ้าพ่อไม่ตาย ถ้าพ่อเธอยังอยู่ แม่ก็จะไม่มีวันที่จะเจอกับพ่อเลี้ยงธฤต และเธอก็จะไม่มีวันเจอกับธนาดล...ไม่มีวัน!!

“แล้วพรุ่งนี้ฉันจะเอามาให้คุณ” รินหนีบแฟ้มไว้กับแขน ลุกขึ้นยืนพร้อมไม้ค้ำ หากธนาดลก็ไว้พอที่จะตวัดมือจับท่อนแขนกลมกลึงของหญิงสาวไว้มั่น

“ทำที่นี่ เดี๋ยวนี้”

“ว่าไงนะ” รินย้อนถามเสียงสูง

“ฉันไม่ชอบที่จะต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สองหรอกนะศรินดา ทำไม? หรือเธอ ‘กลัว’ ที่จะต้องทำบัญชีห้องเดียวกับฉัน” ท้ายประโยค ธนาดลพูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย และนั่นก็ทำให้ผู้หญิงที่ชื่อว่าศรินดานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วลงมือทำบัญชีรายรับรายจ่ายย้อนหลังของไร่ชาที่หนาเป็นปึก!










“เสร็จแล้ว” รินปิดแฟ้ม ยื่นตรงไปให้คนตรงหน้าที่ยังทำงานอย่างเคร่งเครียด ธนาดลยื่นมือไปรับแล้ววางแฟ้มนั้นไว้ข้างๆโดยไม่แม้แต่จะเปิดดู

“แค่นี้ใช่มั้ย ฉันจะได้ไป” เมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายแลดูบัญชีที่หญิงสาวนั่งหลังขดหลังแข็งทำจนเสร็จ ศรินดาจึงลุกเพื่อที่จะออกไปให้พ้นๆจากธนาดลเสียที

“เดี๋ยว!” แต่คนที่ยังนั่งทำงานอยู่ดันเอ่ยเสียงรั้งไว้เสียก่อน

“อะไร”

“นาฏโทรมาบอกเธอว่าอะไร” รินขมวดคิ้ว เขาจะถามเธอซ้ำให้มันได้อะไรขึ้นมา

“อย่างที่เอื้องบอกคุณ” พูดจบร่างบางก็หันหลังเดินออกจากห้องทันที ธนาดลมองตามหลังหญิงสาวที่เริ่มจะ ‘แข็ง’ กับตนเองขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ

...มาคอยดูกันว่าคนอย่างฉันจะปราบพยศเธอไม่ได้!...












แล้ววันที่ศรินดารอคอยก็มาถึง วันที่เธอครบสามสิบสอง วันที่เธอไม่ต้องใช้ไม้ค้ำเพื่อนยากที่อยู่กับเธอมาหลายอาทิตย์ วันที่เธอเดินได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป

“ทำอะไรน่ะริน” สลิลธารถามเมื่อเห็นรินเดินลิ่วเข้าหาจักรยาน

“อยากถีบจักรยานเล่น ไม่ได้ถีบมานานแล้ว” รินยิ้มกว้าง คว้าจักรยานคันเก่งคู่กาย

“จะบ้าเหรอยัยริน ขาเพิ่งจะหาย หมอก็บอกแล้วรึไงว่าไม่ให้ทำอะไรหักโหม” คุณหมอน้ำเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ก็ฉันเบื่อนี่ พิการมาตั้งหลายอาทิตย์ นิดเดียวนะน้ำนะ ขอถีบนิดเดียวเอง” แต่คนที่เพิ่งจะหายป่วยยังคงดื้อดึงแถมยังเริ่มออดอ้อนจนคุณหมอน้ำเริ่มคิดหนัก

“ไม่ได้!” แล้วคำปฏิเสธก็ประกาศออกมาอย่างชัดเจน “แต่ถ้าแกเบื่อจริงๆ ฉันถีบ แกซ้อน เอาไหม” หากสลิลธารก็ยังใจดีอาสาที่จะถีบจักรยานให้เพื่อนซ้อน

“จะบ้าเหรอ! แกเหนื่อยตายเลย” รินโวยลั่นแต่สลิลธารกลับยิ้มกว้าง

“ฉันน่ะ ไม่เหนื่อยหรอก”

แล้วศรินดาก็กระจ่างในความคิดทันทีว่าทำไมสลิลธารจึงไม่เหนื่อย ก็จะให้เพื่อนเธอคนนี้เหนื่อยได้อย่างไรในเมื่อเธอซ้อนท้ายจักรยานของสลิลธารแค่ระยะทางสั้นๆ นอกจากนั้นคนที่รับผิดชอบเป็นสารถีถีบจักรยานให้เธอซ้อนก็กลับกลายเป็น...นนทนัฐ ที่คุณหมอสาวลงทุนโทรตามมาเป็นคนขับให้เธอ

“หนักมั้ยนนท์” รินถามเบาๆเมื่อนนทนัฐพาเธอซ้อนมาได้ซักพัก

“รินตัวเบาจะตาย แค่นี้ไม่หนักหรอก” นนทนัฐบอกพร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้ความจริงจะเหนื่อยหากแต่ว่าถ้าคนซ้อนคือศรินดา ไม่รู้ทำไม...เหมือนความเหนื่อยมันมลายหายไปจนสิ้น

“ใช่ๆ นายนนท์น่ะ แค่นี้ไม่หนักหรอก” จักรยานของสลิลธารตีขนาบข้างมาสนับสนุน

“จอดตรงนี้แหละนนท์ เดี๋ยวรินนั่งซ้อนท้ายน้ำเข้าบ้านเองดีกว่า ขอบคุณนะที่มาเป็นสารถีให้ รินเลยนั่งสบายเลย” เมื่อเจอรินขอร้องแบบนี้นนทนัฐจึงยอมจอดให้รินลงแต่โดยดี

“อยากให้สารถีคนนี้ถีบให้เมื่อไหร่ก็บอกนะ รับจ๊อบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการ” นนทนัฐบอกยิ้มๆ

“อื้ม...ถ้ารินอยากจะสบายเมื่อไหร่รินจะให้นนท์มาถีบให้แล้วกันนะ ถีบกลับดีๆล่ะนนท์” รินโบกมือให้และมองจักรยานของนนทนัฐที่ค่อยๆคันเล็กลง...เล็กลง

“นายนนท์นี่ก็มั่นคงกับแกดีเนอะ จีบมาตั้งแต่เรียนมหา’ลัยแล้วนี่" หมอน้ำพูดขึ้นและก็ได้เสียง ‘ป้าบ’ไปเป็นรางวัลทันทีที่พูดจบ

“จีบเจิบอะไรล่ะ ก็เพื่อนกันทั้งนั้น”

“โห...เพื่อนมากเลยเนอะ ตามันเวลามองแกนี่เยิ้มแทบจะเป็นน้ำเชื่อมอยู่แล้ว” คราวนี้รินใช้ความเงียบแทนที่จะต่อความยาวสาวความยืดเพราะถ้าพูดไปก็มีแต่จะเข้าตัวเสียเปล่าๆ

จักรยานของสองสาวจอดสนิทที่หน้าบ้าน สายตาของทั้งคู่เพ่งไปที่รถโฟร์วีลสีดำที่มีหญิงสาวร่างบางระหง ใส่เสื้อผ้าราวกับหลุดมาจากหนังสือแฟชั่นหน้าหนาว แต่ก็เถียงไม่ได้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นไม่สวยเพราะเธอสวยมาก สวย...ขนาดเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังยอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ หากแต่อะไรบางอย่างกลับทำให้ศรินดารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย สาเหตุหนึ่งคงมาจากสายตาที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังมองมาที่เธอตอนนี้กระมัง มันเหมือน...ดูถูก เป็นสายตาที่ไม่ต่างจากยามที่ธนาดลจ้องมองเธอ

“มองอะไรยะหล่อนมาขนกระเป๋าฉันเข้าไปข้างในสิ” แล้วประโยคนี้ก็เล่นเอาเธอกับสลิลธารถึงกับค้างเติ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก นี่หน้าเธอมันบ่งบอกถึงรัศมีคนใช้ถึงขนาดนั้นเลยหรือยังไงกัน

“ขอโทษนะคะ เผอิญว่าพวกเราไม่ใช่คนใช้” แล้วก็เป็นสลิลธารที่ดึงมือของเพื่อนสาวให้เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน

“สองคนนั้นไม่ใช่คนใช้หรือคะดล” ชินานาฏหันมาถามชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยุ่ข้างๆ ชายหนุ่มละสายตาจากร่างเล็กบางที่ถูกดึงเข้าไปในบ้านก่อนจะตอบรับ

“คนที่พูดกับคุณเมื่อกี้น่ะ...ไม่ใช่ แต่อีกคน...คือคนที่จะคอยรับใช้คุณตลอดที่คุณอยู่ที่นี่” ชินานาฏเขย่งปลายเท้าเพื่อหอมแก้มชายหนุ่ม

“ขอบคุณนะคะดล นาฏรักดลที่สุดเลย” สาวร่างระหงซบหน้าลงกับอกกว้าง ธนาดลยิ้มอย่างมีเลิศนัยสายตาคมมองเข้าไปในบ้าน บ้าน...ที่ศรินดาเพิ่งจะก้าวเท้ากลับเข้าไป

...มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ความเจ็บปวดที่เธอกำลังจะโดน มันยังไม่ได้ครึ่งของที่แม่ฉันได้รับด้วยซ้ำไป...


-----------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนนี้ยาวมากๆเลยค่ะ อย่างที่บอกพระเอกคนนี้อารมณ์ร้าย โมโหง่าย เหตุผลไม่ค่อยจะมี ความเป็นสุภาพบุรุษหายากมว้ากกกกก เพราะฉะนั้นนางเอกจะดูน่าสงสารหน่อยนะคะ (แต่เธอไม่อาภัพมากขนาดนั้นนะคะ บางทีเธอก็เอาคืนได้บ้างอะไรบ้างค่ะ)

อยากให้ช่วยติดตามและติ-ชมกันได้เลยนะคะ จะได้นำไปปรับปรุงค่ะ เพราะเรื่องแนวนี้เขียนมาเมื่อนานมาแล้วและช่วงนี้ก็ไม่ได้เขียนเรื่องประมาณนี้เลยนำมารีไรท์ใหม่จึงอาจจะทำได้ไม่ค่อยดีนัก ยังไงก็...ช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ

หวังว่าจะชอบนะคะ :)





คุยกันดีกว่าเนอะ...

คุณ Amata : โดนสิคะ จะเหลือเร้อออออ หุหุหุ

คุณ nunoi : ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ ความจริงถ้ารินไม่เถียงอาจจะไม่โดนดีก็ได้...ล่ะมังคะ ฮาาาา

คุณ ดาวคันชั่ง : อะไรที่เป็นศรินดา คุณดลพร้อมหาเรื่องเสมอค่ะ (ฮือออ...บอกแล้วว่าพระเอกไร้เหตุผลแบบสุดๆไปเลย)

คุณ roseolar : คู่นี้ลุ้นกันยาวววววว เลยล่ะค่ะ เพราะพี่ต้นแกโดนมาเย๊อะะะะะ

คุณ anOO : แน่นอนที่สุดค่ะ แค่หมอนมันเบาไป อย่างคุณดลต้องมากกว่านั้น

คุณ หมูบูลิน : ซวยที่สุดค่ะ แต่รินไม่ได้ซวยตลอดเรื่องแน่ค่ะ อาจจะแค่...เกือบตลอดเรื่อง แหะๆๆๆๆ

คุณ tutas : แต่หนูรินโดนเอาคืนยิ่งกว่าสินะคะ -0-




ปอแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2555, 10:09:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2555, 19:03:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 2156





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
anOO 24 มี.ค. 2555, 19:52:24 น.
จะแกล้งกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลยรึไง
จู่ๆ จะให้ไปรับใช้สาวของตัวเอง ซะงั้น


ดาวคันชั่ง 24 มี.ค. 2555, 21:42:23 น.
ซวยอีกแล้วหนูริน นายดลกับนาฏ ช่างเหมาะสมกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุ -*-


หมูบูลิน 25 มี.ค. 2555, 00:02:02 น.
อยากจะเอามีดจ่วงนายดลซะจิงๆ แกล้งหนูรินซะขนาดนี้ เป็นเรานะไม่ยอมหลอก ฮ่าๆ


nunoi 25 มี.ค. 2555, 10:01:50 น.
คิดจะเอายัยนาฎมาแกล้งหนูรินด้วยเหรอเนี๊ยะ ใจร้ายมากกก


มุกมาดา 26 มี.ค. 2555, 15:50:51 น.
ธนาดลคิดจะทำอะไรต่อไปอีกนะ อย่าใจร้ายเกินไปสิจ๊ะ


บุรีวาด 27 มี.ค. 2555, 03:06:16 น.
บอกได้คำเดียวว่าคุณดลใจร้ายอ่ะ


Amata 27 มี.ค. 2555, 14:48:20 น.
โห...แบบว่า แรง...จริงๆอ่ะ โมโหร้าย โกรธแรง อย่างนี้ ก็ต้องรักแรง...ด้วยสิเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account