The Promise...สัญญาใจ สัญญารัก(สนพ.อิงค์)
“สัญญานะพี่มาร์คว่าจะกลับมา เอาเรือลำใหญ่ๆ มารับอลิสด้วยนะ อลิสอยากนั่งเรือไปดูดอกไม้สวยๆ”

เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญากับเด็กชายวัยเก้าขวบยังคงอยู่ในความทรงจำของชญานิศไม่เคยจาง หล่อนมักฝันถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กในสถานเด็กกำพร้าเสมอ พร้อมกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเด็กชายคนนั้นจะกลับมาหาหล่อนตามคำสัญญาที่มีให้กัน

กระทั่งหล่อนได้พบกับกรวิชญ์สถาปนิกหนุ่มแสนกะล่อนและเจ้าชู้

เขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเพื่อคุมความประพฤติหลานชายตัวแสบ ไม่ให้เข้ามาก่อกวนชีวิตโสดของเขา เพราะเหตุนี้นี่เองชญานิศจึงรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว...กรวิชญ์คือพี่มาร์คในความทรงจำของหล่อน !


หากเขายังจำอลิสตัวน้อยได้อยู่อีกเหรอ ในเมื่อตอนนี้...เขาเห็นหล่อนเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเฉิ่มๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น


Tags: เด็ก,เจ้าชู้,สรัน,น่ารัก,สถาปนิก,เปิ่น,ยิปซี,สัญญา

ตอน: บทที่ 2

บทที่ 2



“ดอกไม้ ดอกแล้ว ดอกเล่าถูกส่งมาให้แก่มาเรียจากแดนไกล เธอมองดอกไม้เหล่านั้นด้วยความงุนงง เพราะดอกไม้ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันแห้งเหี่ยวเลยเสียด้วยซ้ำ...กระทั่งฤดูร้อนในวันหนึ่ง จอห์นชายคนรักของมาเรียก็กลับมาตามคำสัญญา เขาสร้างเรือใบสีขาวเพื่อมารับตัวเธอไปด้วยกัน ท่ามกลางแสงแดดสีทองที่โรยตัวระยิบระยับ เรือใบสีขาวล่องไปในทะเลสีฟ้าครามสดใส....” เสียงนุ่มนวลของนักบวชหญิงที่กำลังขับกล่อมนิทานยามบ่ายให้เด็กตัวเล็กๆ ฟังเลื่อนลอยไปตามอากาศ คราเดียวกับที่อลิสเหม่อมองผ่านบานหน้าต่างข้างกาย หยุดนิ่งอยู่ที่นกพิราบสีขาวที่กำลังบินล้อแสงแดดอยู่บนท้องฟ้า แววตาคู่น้อยทอดมองไปไกลแสนไกลราวกับตัวเธอเป็นนกพิราบตัวนั้นก็ไม่ปาน

“ไปข้างนอกกันอลิส”

เด็กหญิงที่ชื่ออลิสตื่นจากภวังค์ แปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าของเสียงใสนั้นเป็นมาร์คเด็กชายวัยเก้าขวบในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นซอมซ่อปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ทั้งที่เวลานี้เขาน่าจะถูกส่งตัวให้ครอบครัวแปลกหน้าแล้ว

เด็กหญิงผมหยิกหยักศกยังคงมองเด็กชายเหนือศีรษะตาปริบๆ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านสีหน้างงงวยของเด็กหญิงออกจึงยื่นมือให้อลิสเกาะกุมก่อนฉุดให้ลุกขึ้นยืน จูงมือพากันออกมายังหน้าโบสถ์ของสถานเด็กกำพร้า

มาร์คปั่นจักรยานลัดเลาะมาตามถนนลูกรังแคบๆ ส่วนผู้โดยสารนั้นเอาแต่ชื่นชมความงามของคลื่นทะเล มือโอบเอวคนขับกระชับขึ้นทุกครั้งที่เบรก สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายเขา มาร์คคงไม่รู้ตัวหรอกว่าเด็กหญิงตัวน้อยมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้ใกล้ชิดเขาเช่นนี้

การเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อจักรยานจอดลงใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กชายโค้งตัวให้รุ่นน้องดั่งองครักษ์โค้งคำนับให้เจ้าหญิงในเทพนิยาย

“เชิญครับ องค์หญิงของพี่”

อลิสเด็กหญิงวัยห้าขวบหัวเราะชอบใจ วางมือน้อยๆ ลงบนฝ่ามือขององครักษ์ มาร์คมักเรียกเธอแบบนี้เสมอ และทุกคราวไปที่ ‘องค์หญิง’ ของเขาต้องทำเป็นวางมาดเจ้าหญิง ก้าวอย่างสง่าลงจากจักรยาน

ทั้งสองนั่งลงบนผืนทรายอาศัยร่มเงาของต้นไม้เป็นที่พักพิง ทุกอย่างเงียบ...มีเพียงเสียงผ่อนลมหายใจยาวของเด็กชายข้างกาย ดวงตากลมโตภายใต้แว่นสายตามองเหม่อไปยังทิวเขาสวยตรงหน้า...วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ...ที่เธอจะได้อยู่กับเขาแบบนี้

“ต่อไปนี้ไม่มีพี่แล้ว อลิสต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”

การที่จู่ๆ มาร์คก็โพล่งขึ้นมาทำให้เด็กหญิงต้องตั้งสติเล็กน้อย ขณะที่เด็กชายยังคงจับจ้องมายังคนตัวเล็กนิ่ง คล้ายต้องการส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลผ่านแววตาคู่นั้น ไม่รู้ว่าอลิสคิดมากไปเองรึเปล่าถึงได้เห็นแววตาของเขาเศร้าไม่แพ้เธอเลย

คราวนี้มาร์คกระเถิบกายเข้ามาใกล้เด็กหญิง กระซิบที่ข้างหู “แล้วพี่จะกลับมาหาอลิสนะ”

สาวน้อยหัวเราะคิกอย่างอายๆ แวบแรกนั้นรู้สึกจั๊กจี้หูยังไงไม่รู้ที่ได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยของเขาดังอยู่ใกล้ๆ แต่ใจนั้นโผบินไปไกลแล้วเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น “จริงนะพี่มาร์ค อย่าหลอกอลิสนะ อลิสจะรอพี่มาร์คอยู่ที่นี่ ถ้าพี่มาร์คไม่มาอลิสโกรธจริงๆ ด้วย”

น้ำเสียงคาดโทษกับจมูกที่เชิดขึ้นอย่างรั้นๆ นั้นทำให้เด็กชายอดขยี้ศีรษะเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ “พี่ไม่ทิ้งเราไปไหนหรอกน่ะ”

“งั้นสัญญานะพี่มาร์คว่าจะกลับมา เอาเรือลำใหญ่ๆ มารับอลิสด้วยนะ อลิสอยากนั่งเรือไปดูดอกไม้สวยๆ” อลิสขอร้องเขาอย่างตื่นเต้น ดวงตาคู่เล็กจับจ้อง ‘พี่มาร์ค’ ของเธอนิ่ง ยังคงวาดฝันตามนิทานหลอกเด็กที่แม่ชีเล่าเมื่อครู่

ครานั้นเองที่ได้เห็น ‘พี่มาร์ค’ ส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน นิ้วน้อยๆ เกี่ยวก้อยกันและกันพร้อมกับเด็กชายวัยเก้าขวบเอ่ยให้คำมั่นสัญญาด้วยเสียงหนักแน่น และแล้วภาพของเด็กชายตรงหน้ากลับค่อยๆ ห่างไกลไปทุกที...ทุกที ขณะที่คำสัญญายังคงดังก้องในหัวสมองชัดเจนทุกถ้อยคำ

เสียงนั้น...เอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับระฆังดังกังวานย้ำเตือนถึงความทรงจำ

“พี่มาร์ค...พี่มาร์ค” เด็กหญิงตัวน้อยร้องเรียกทั้งน้ำตาเมื่อเห็นพี่มาร์คค่อยๆ กลืนหายไปในม่านหมอกสีขาว...ก่อนที่ภาพทุกอย่างเลือนหายในพริบตาคราเดียวกับที่ชญานิศลืมตาตื่นจากความฝันอันโหดร้าย

“พี่มาร์ค...”

ชญานิศเผลอครางชื่อเด็กชายในฝันออกมา แต่แล้วแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านม่านบางเบาเข้ามาทางหน้าต่างทำให้หล่อนต้องหรี่ตามองไปรอบกาย

ความเงียบที่ปกคลุมทั่วบริเวณ มีเพียงตัวหล่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียงทำให้ชญานิศผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมาก่อนปาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้ม สาวเจ้าเพิ่งรู้ตัวว่าฝันไปจึงหลับตาลงดังเดิมเผื่อจะช่วยลบความฝันเมื่อครู่ไปได้ หากภาพเด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อยที่สวมเสื้อซอมซ่อนั่งรถจักรยานเคียงคู่กันไปบนถนนยาวสุดสายตาเพื่อกลับเข้าสู่เส้นทางของการจากลายังคงฝังจำ

พลิกตัวไปมาอยู่ครู่เลยตัดสินใจลุกขึ้นนั่งบนที่นอน ชญานิศเหลือบมองไปยังโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วต้องคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อพบว่ามีดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งถูกวางทิ้งไว้เหมือนเช่นทุกเช้า กลิ่นหอมหวานของดอกไม้ตรงหน้าเชิญชวนให้สาวเจ้าคว้ามาเชยชม

ทุกคืนชญานิศมักฝันถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่สถานกำพร้าเสมอ หากทว่าหล่อนไม่ได้ฝันถึง ‘พี่มาร์ค’ มาเนิ่นนานแล้ว...แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่เมื่อครู่นี้ฝันถึงเขาได้ ทั้งที่ความทรงจำเหล่านั้นควรถูกลบเลือนออกไปจากใจเสียที

ยามนั้นหล่อนมีชื่อว่า ‘อลิส’ เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูเอาใจใส่ของนักบวชที่โบสถ์คริสต์ ไม่ใช่ ‘ชญานิศ’ อย่างที่ทุกคนรู้จักอยู่ตอนนี้ เรื่องนี้นอกจากครอบครัวแม็คฟาร์แลนด์ที่รับหล่อนมาเลี้ยงดูแล้ว มีแต่นภเกตน์เพื่อนสนิทของหล่อนเท่านั้นที่รู้ และทุกคราวไปที่ชญานิศมักเล่าถึงคำสัญญาในวัยเด็กให้เพื่อนสาวฟัง รวมถึงเรื่องดอกกุหลาบสีขาวในมือหล่อนด้วย

บัวตองแม่บ้านสาวของหล่อนมักเจอดอกกุหลาบสีขาวปริศนานี้ถูกเสียบคาอยู่ที่กล่องไปรษณีย์ทุกเช้า และจะต้องนำมาวางทิ้งไว้ให้หล่อนจนกลายเป็นเรื่องเคยชินไปเสียแล้ว ไม่แปลกที่บนโต๊ะทำงานของชญานิศยามนี้ถึงได้มีดอกไม้แห้งวางทับสุมเป็นกองพะเนิน ตรงก้านของมันจะมีกระดาษสาแผ่นเล็กๆ เขียนชื่อของหล่อนว่า ‘อลิส’ ติดไว้เสมอ

ชญานิศไม่รู้หรอกว่าดอกกุหลาบขาวปริศนาพวกนี้ส่งมาจากใคร แต่หล่อนกลับชื่นใจทุกครั้งที่ได้เห็นมัน ความหอมของดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ช่วยให้หล่อนลืมฝันร้ายในความทรงจำไปได้ทุกครา

“อ้าว อยู่บ้านกับเขาด้วยเหรอแม่อลิส ฉันนึกว่าออกไปทำงานที่ร้านอาหารงี่เง่านั่นแล้วเสียอีก”

น้ำเสียงแข็งกระด้างที่ทักดังมาจากห้องอาหารทำให้คนที่กำลังก้าวลงบันไดมายังชั้นล่างชะงักฝีเท้าเล็กน้อย

ชญานิศเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายตัว หล่อนตั้งใจไว้ว่าลงมาทานอาหารเช้าเสร็จจะออกไปตระเวนหางานพิเศษทำฆ่าเวลา แต่คงเพราะหล่อนมัวแต่เพลินกับการสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ในมือเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะอาหารไม่ได้ไร้ผู้คนอย่างที่คิด หากมีรุ่งระวี...มารดาบุญธรรมของหล่อนกำลังนั่งทาเนยลงบนขนมปังอาหารเช้า ข้างกายมีสามีวัยกลางคนหน้าลูกครึ่งไทย-สก็อตอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่หัวโต๊ะ

มารดาบุญธรรมมักเรียกชญานิศด้วยชื่อเดิมเสมอ หล่อนคงได้ยินเสียงสร้อยกระพรวนที่ลูกสาวสวมใส่ไว้ที่ข้อเท้าดังมาตั้งแต่ชั้นบนแล้ว ชญานิศเลยยิ้มเจื่อนก่อนพาตัวเองมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยอีกคน

“หนู...เอ่อ...ลาออกแล้วน่ะค่ะ” ตอบไปแล้วมีสีหน้าเหยเก รู้สึกผิดอยู่หรอกที่พูดปดออกไป

ลูกสาวแค่ไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้บิดามารดาไม่สบายใจก็เท่านั้น ชาร์ล...บิดาบุญธรรมของหล่อนจึงเลิกสนใจข่าวในหนังสือพิมพ์พับเก็บวางบนโต๊ะ เอ่ยขึ้นบ้างด้วยสำเนียงภาษาไทยแปร่งหู “ดีแล้วล่ะเรา เพิ่งเข้ามหา’ลัยได้แค่ปีเดียวเอง ยังไม่ต้องสนใจหางานเก็บเงินให้เหนื่อยหรอก พ่อมีปัญญาส่งเสียเราได้ หรือถ้าเราอยากจะเรียนต่อโท เอกก็ยังไหว ลูกสาวพ่อทั้งคนมีความสามารถมากกว่าการเป็นพนักงานเสิร์ฟตามร้านอาหารตั้งเยอะ”

ชาร์ลโยกศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดูเรียกรอยยิ้มสดใสจากชญานิศได้หน่อย ขณะที่รุ่งระวีเบ้ปาก

คล้อยหลังบัวตองเสิร์ฟอาหารเช้าให้ลูกสาวเจ้าของบ้าน ชญานิศก็ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารท่าเดียว นานทีลูกสาวจะลงมาร่วมรับประทานอาหารเช้าทันบิดามารดาตรงหน้าสักครั้งอาหารจึงอร่อยเป็นพิเศษแม้ว่ามีเพียงไข่ดาวกับไส้กรอกชิ้นเดียวก็ตาม

ไม่ได้สนใจสักนิดว่ามีสายตาตำหนิแกมรังเกียจของมารดาบุญธรรมมองมากรายๆ

“จริงสิ เราสนใจจะไปกับพ่อรึเปล่า วันนี้พ่อมีนัดตีกอล์ฟกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมด้วยกันน่ะ นานๆ จะได้เจอกันที นี่ก็หลายคนเลยนะที่ตั้งแต่จบมัธยมกันไปก็ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตากันอีกเลย โผล่มาอีกทีเป็นใหญ่เป็นโตกันไปหมดแล้ว เราจำลุงศิลป์ได้มั้ย คนที่เคยแวะมาเยี่ยมพ่อที่บ้านไง เราน่าจะได้เจอลุงเขานะ”

ชญานิศนึกตามที่บิดาบุญธรรมว่าแล้วร้องอ้อ ชาร์ลคงหมายถึงสรศิลป์ชายมีอายุร่างสูงดูภูมิฐานที่เคยแวะมาที่บ้านครั้งหนึ่งตอนที่หล่อนเพิ่งกลับจากโรงเรียนพอดี

“ตอนนี้ลุงเขาเป็นอาจารย์สอนพวกวิชาเกี่ยวกับสถาปัตย์อยู่ที่มหา’ลัย อืม...พ่อจำไม่ได้เสียด้วยสิว่าชื่อมหา’ลัยอะไร แต่ใครๆ ในวงการสถาปัตย์ก็ต่างรู้จักลุงเขาทั้งนั้น กลายเป็นนักวิชาการด้านสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของวงการไปแล้วล่ะ” ชาร์ลดูมีความสุขไม่น้อยยามนึกถึงเรื่องวันวานถึงได้เล่าไปยิ้มไปอย่างออกรส

“จะว่าไปชีวิตคนเราก็เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ เราไม่รู้อะไร สมัยเรียนมัธยมด้วยกันพ่อเห็นลุงศิลป์วันๆ เอาแต่วาดรูปโน่นรูปนี่อะไรไม่รู้ โห สมุดจดการบ้านลุงเขาน่ะเชื่อมั้ยว่ามีแต่รูปการ์ตูนเต็มไปหมด พ่อยังจำได้อยู่เลยว่าวิชาเลขครูชอบแซวศิลป์มันเรื่อยว่าข้อสอบมันมีแต่รูปตัวเลขมีหู ตา จมูก ปากเต็มหน้าข้อสอบ วาดเสียสวยเชียวล่ะ แต่คำตอบไม่มีสักข้อ พูดแล้วยังขำไม่หาย”

ชาร์ลเล่าพฤติกรรมของเพื่อนสมัยเรียนด้วยกันแล้วอดหัวเราะให้ไม่ได้ เช่นเดียวกับชญานิศที่ยิ้มขันเมื่อนึกภาพตามที่บิดาเล่า ไม่อยากบอกบิดาบุญธรรมเลยว่าลุงสรศิลป์นั้นเหมือนหล่อนเปี๊ยบ

เห็นจะมีเพียงรุ่งระวีที่ยังคงสนใจอาหารตรงหน้า ทำทีเป็นละเลียดทานไข่ดาวฟองเล็กในจานอยู่อย่างนั้น

“ฉันไม่เห็นว่าเรื่องมันจะน่าขำตรงไหนเลยคุณ ยัยอลิสเองก็ไม่ต่างไปจากเพื่อนคุณสมัยนั้นนักหรอก วิชาเลขเอาถ่านที่ไหน ไม่อย่างนั้นจะมาเรียนคณะขีดๆ เขียนๆ อยู่แบบนี้เหรอคะ” จู่ๆ รุ่งระวีก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ คล้ายต้องการขัดบทสนทนาของสามี

ครานั้นเองที่ความเงียบปกคลุมโต๊ะอาหาร ชาร์ลเลือกที่จะหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านั้นหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านตามเดิมด้วยสีหน้าตึงเครียดไม่ต่างจากยามแรกที่ชญานิศลงมาร่วมรับประทานอาหาร

เป็นชญานิศที่เหลือบมองบิดาบุญธรรมมาเนืองๆ อย่างเดาอารมณ์

ขณะที่ภรรยาของเขายังไม่รู้ตัวเอ่ยต่ออย่างสนุกปากว่า “คุณออกเป็นถึงวิศกรมีฝีมือ ฉันล่ะเสียดายแทนคุณจริงๆ ไม่รู้คิดยังไงถึงยอมให้ยัยอลิสเรียนคณะพวกนี้ได้ทั้งที่เราอุตส่าห์รับยัยอลิสมาเลี้ยงเพื่อสืบทอด...”

“ลูกเราไม่ถนัดด้านนี้ เราจะไปบังคับลูกได้ยังไง” ชาร์ลค้านภรรยาในที่สุด

นั่นเองที่ชญานิศเห็นรอยยิ้มแสยะที่มุมปากมารดาบุญธรรม

“นั่นสิคะ ยัยอลิสไม่ถนัดเราจะบังคับแกได้ยังไง ดีนะคะคุณที่เรายังมีลูกสิอีกคน รายนั้นเรียนได้เกรดสี่ทุกวิชา สงสัยคงจะเอาเชื้อเก่งมาจากคุณนะคะ” รุ่งระวีเชิดหน้าชูคอด้วยความภาคภูมิใจยามเล่าถึงรังสิมา...ลูกสาวคนเล็กของบ้านแม็คฟาร์แลนด์ “อีกปีเดียวก็จะสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว แกเคยมาเปรยๆ กับฉันนะคะว่าอยากเรียนวิศวะเหมือนคุณ”

“เอ้อ คุณพูดถึงเจ้าสิขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน นี่ก็สายมากแล้วผมยังไม่เห็นหน้าเลย คุณรู้มั้ยว่าลูกหายไปไหน”

พอได้ยินสามีถามถึงลูกสาวคนเล็กขึ้นมาเสียเอง เป็นรุ่งระวีที่อึกอัก จากที่คุยโวอยู่ดีๆ กลายเป็นหน้าซีดเผือด

“เอ่อ...กะ...แกคงออกไปติวหนังสือกับเพื่อนแต่เช้าแล้วละค่ะคุณ แหม...ปิดเทอมทั้งทีลูกสิก็ต้องใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์หน่อยสิคะ ใครจะไปเหมือน...” รุ่งระวีละไว้พลางมองเหยียดมายังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ชญานิศนั้นกำลังทานอาหารอยู่ดีๆ พอเห็นสายตาคมกริบของมารดาบุญธรรมเลยผลุบตาลงต่ำคนไข่ดาวเละๆ ในจานแทนอย่างรู้ตัว

รุ่งระวีชอบเปรียบเทียบหล่อนกับรังสิมาเป็นประจำ ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การแต่งตัว การวางตัวหรือแม้แต่กระทั่งการพูดจา มารดาบุญธรรมมักชมเชยลูกสาวคนเล็กของบ้านแม็คฟาร์แลนด์เสมอ ผิดกับหล่อนที่หาเรื่องติได้ไม่เว้นแต่ละวัน

ไม่แปลกที่รุ่งระวีจะรักรังสิมาลูกสาวที่เกิดมาจากความรักของหล่อนและสามีมากกว่าเด็กกำพร้าอย่างหล่อน

ชาร์ลคงเห็นสายตาคู่นั้นของภรรยาเช่นกัน หากน้ำใสๆ ที่เริ่มระรื้นขึ้นที่ขอบตาลูกสาวบุญธรรมทำให้ผู้เป็นสามีหัวเสียไม่น้อย กระแทกหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ ทำท่าจะลุกจากโต๊ะอาหารเสียเดี๋ยวนั้นร้อนถึงรุ่งระวีพลอยชะงักไปด้วย

ละล่ำละลักถามสามี “เอ่อ...คุณจะไปสนามกอล์ฟแล้วเหรอคะ”

“ตกลงสนใจไปตีกอล์ฟกับพ่อมั้ยเรา” ชาร์ลไม่ยอมตอบภรรยา กลับหันไปเอ่ยกับลูกสาวยิ้มๆ

คนที่หมั่นไส้ชญานิศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นสามีเอาอกเอาใจลูกสาวคนโตออกนอกหน้าจึงค้อนสามีเข้าให้วงใหญ่ก่อนหนีขึ้นบันไดไปยังชั้นบน

ขณะที่ชาร์ลไม่สนใจภรรยาสักนิด กลับยังคงยิ้มให้คนที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่บนโต๊ะอาหาร ก่อนขยี้ศีรษะลูกสาวเล่นอย่างกับชญานิศยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ของเขาย้ำคำถามเดิม “พ่อพูดจริงๆ นะเรา ไปกับพ่อรึเปล่า พ่อจะได้แนะนำลูกสาวพ่อให้เพื่อนๆ รู้จักด้วย”

ชญานิศส่ายหน้าพลางปาดน้ำตาทิ้ง “อย่าดีกว่าค่ะพ่อ หนูตีกอล์ฟไม่เป็น กลัวไปด้วยแล้วจะทำให้พ่อหมดสนุกเปล่าๆ”

“งั้นก็ตามใจ พ่อไปก่อนนะเรา ฝากบอกแม่เขาด้วยว่าเย็นนี้ไม่ต้องรอกินข้าว พ่อคงอยู่สังสรรค์กับเพื่อนต่อจนดึก” ชาร์ลเอ่ยบอกกับลูกสาว ก่อนที่แววตาสุดท้ายเหลือบมองขึ้นไปยังชั้นบนหวังว่าจะเห็นภรรยาอยู่แถวนั้น

คล้อยหลังบิดาบุญธรรมขับรถหายออกจากบ้านไปแล้ว ชญานิศได้ยินเสียงประตูห้องนอนชั้นบนปิดดังปัง

น้ำใสๆ เอ่อคลอเบ้าตาลูกสาวอีกครั้ง รู้ดีว่ารุ่งระวีคงไม่พอใจพฤติกรรมเมื่อครู่ของสามีเท่าไหร่ เพราะตลอดระยะเวลาที่ชญานิศได้มาอยู่บ้านแม็คฟาร์แลนด์เห็นจะมีเพียงบิดาบุญธรรมที่ให้ความกรุณาแก่หล่อนเสมอมา ชาร์ลรักหล่อนเปรียบเสมือนลูกสาวแท้ๆ ของเขาก็ไม่ปาน และนั่นทำให้ชญานิศรู้สึกผิดไม่น้อยที่มักเป็นต้นเหตุให้เขาผิดใจกับภรรยาอยู่ร่ำไป...ไม่ต่างจากวันนี้เลย


******************


ประกาศแจ้งเตือนให้ย้ายบริษัทก่อนสิ้นปีถูกกรวิชญ์วางลงบนโต๊ะทำงานอย่างเซ็งๆ พร้อมเสียงถอนหายใจออกมาดังพรืด เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างคนหมดกำลัง

หลังจากที่กลับมาจากทานข้าวกับอัปสรเขาก็เห็นประกาศแผ่นนี้ติดอยู่ที่หน้าบริษัทของเขาแล้ว

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขาเพราะทางเจ้าของตึกที่เขาเช่าอยู่นั้นได้เคยแจ้งเตือนมาแล้วครั้งหนึ่งว่า จะทุบตึกนี้ทิ้งภายในสิ้นปีเนื่องจากเจ้าของตึกคนใหม่ต้องการสร้างทาวน์เฮ้าส์ บรรดาผู้ที่เช่าตึกนี้ทั้งหลายจึงได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน รวมถึงบริษัทเล็กๆ อย่างบริษัทเกรทเฮาส์ซึ่งเป็นบริษัทสถาปนิกของเขาด้วย และแม้ว่ากรวิชญ์จะทำใจได้บ้างแล้วก็ตาม หากการที่มีประกาศบ้าๆ นี้คอยตอกย้ำอยู่ทุกวี่วันทำให้เขาท้อได้เหมือนกันกับการต้องวิ่งวุ่นหาที่อยู่ใหม่ให้กับบริษัทด้วยตัวเอง

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง ทำให้กรวิชญ์รีบพับประกาศนั้นเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน

นภนัยเพื่อนร่วมหุ้นส่วนนั่นเองที่ยิ้มร่าเข้ามา “เป็นไงพ่อหนุ่มเนื้อหอม แหม...ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ เมื่อคืนก็กับสาวอีกคนนึง เช้านี้ยังมีสาวอีกคนมารออีก แม้แต่สาวรุ่นใหญ่ยังไม่เว้นนะครับท่านประธาน”

“พอเลยไอ้นภ” กรวิชญ์โบกไล่อย่างไม่สบอารมณ์ ลำพังแค่เรื่องประกาศนั่นทำให้เขาปวดหัวมากพออยู่แล้ว ไม่มีอารมณ์จะมาต่อกรกับเพื่อนนักหรอก “ตอนนี้ฉันกำลังอารมณ์ไม่ดี ถ้านายว่างนักก็ไปแซวคนอื่นเถอะไป”

อาการหัวเสียของ ‘ท่านประธาน’ บวกกับสีหน้าบูดบึ้งนั้นทำให้ ‘คนว่าง’ เลิกยั่วแหย่ชั่วขณะ นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานพินิจพิเคราะห์เพื่อน “เป็นอะไรของนาย เมื่อกี้ตอนเข้าบริษัทมาเห็นยังดีๆ อยู่เลย ฉันแค่แซวเล่นนิดเดียวทำมาเป็นอารมณ์บูด หรือว่าคุณอัปสรไม่พอใจงานออกแบบห้างสรรพสินค้าของนาย”

“เปล่า” กรวิชญ์ตอบสั้นและห้วน ไม่ยอมสบตาเพื่อน

เล่นเอานภนัยงุนงงหนักกว่าเก่าเพราะตามอารมณ์เพื่อนไม่ทัน แต่แล้วพอเห็นเพื่อนยังอมพะนำไม่พูดไม่จาเลยยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ชวนเปลี่ยนเรื่องเสียเอง “ช่างเถอะ นายกลับมาก็ดีแล้ว รู้มั้ย ตอนนี้พนักงานในบริษัททุกคนกำลังลุ้นกันตัวโก่งว่าทางบริษัทธรรมเชษฐ์จะประกาศประกวดราคาเมื่อไหร่”

ข่าวใหม่จากเพื่อนร่วมหุ้นส่วนเรียกความสนใจจากประธานบริษัทเล็กน้อย เลิกคิ้วสูงอย่างฉงน

กรวิชญ์รู้ดีว่านภนัยหมายถึงบริษัทของตระกูลใหญ่ ซึ่งกำลังร่วมหุ้นกับบรรดาบริษัทห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่อีกมากมาย สร้างห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ ในรูปแบบผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับประเพณีวัฒนธรรมของไทยแบบดั้งเดิม

หากสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือวันที่ทางนั้นจะประกาศ เพื่อเปิดโอกาสให้บรรดาบริษัทสถาปนิกมืออาชีพทั้งหลายเข้ามาซื้อซองประมูลงานออกแบบห้างสรรพสินค้าดังกล่าวต่างหาก “เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด บริษัทธรรมเชษฐ์จะประกาศผ่านเว็บอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มารอลุ้นกันวันนี้ล่ะ”

“โห...ท่านประธาน มัวแต่หมกมุ่นเรื่องสาวๆ จนตกข่าวใช่มั้ยเนี่ย...เออๆ ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นดุไปได้” ประโยคท้ายรีบยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้เพราะท่านประธานหันขวับมาอย่างเอาเรื่อง

หันซ้ายหันขวากระซิบที่ข้างหูกรวิชญ์อย่างกับกลัวใครจะมาได้ยินเสียอย่างนั้น “นั่นมันข่าวมั่ว ใครปล่อยข่าวก็ไม่รู้ แต่นี่จริงแท้แน่นอน คนในบริษัทเราไปสืบรู้มาจากวงในว่าบริษัทจะประกาศล่วงหน้านั่นก็คือวันนี้ งานนี้ใครเร็วกว่าได้เปรียบเห็นๆ นายคอยเตรียมตัวไว้แล้วกัน ถ้าเรารู้คอนเซปต์ของงานนี้เมื่อไหร่นายลงมือได้เลย เพื่อเงินเพื่อน”

ไม่เพียงพูดยังตบบ่าให้กำลังใจท่านประธาน กรวิชญ์จึงปัดมือเพื่อนออกอย่างรำคาญๆ ก่อนขยับกายนั่งหลังตรงทำทีเป็นสนใจงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปอย่างนั้น

ครานั้นเองที่มีคนเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง ทำเอาคนที่กำลังนั่งเพ้อฝันถึงเงินจำนวนมากที่จะได้ตามมาจากการชนะประมูลงานออกแบบครั้งนี้สะดุ้งโหยง เหงื่อตกเมื่อเห็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งคุ้นตาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า !

“คุณโรส ! มะ...มาได้ยังไงครับเนี่ย” ละล่ำละลักถาม ภาพที่นางแบบสาวตามมาอาละวาดกรวิชญ์เรื่องอัปสรถึงบริษัทร้อนถึงเพื่อนเขาต้องพาไปเลี้ยงข้าวปลอบใจถึงภัตตาคารหรูยังติดตา

โรสไม่ตอบคำถามนภนัยสักนิด เจ้าหล่อนทำราวกับเพื่อนของคนรักไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้ด้วยซ้ำ ย้วยระยาดเข้ามาหาคนที่นั่งหลังโต๊ะทำงาน โอบกอดรอบคอชายหนุ่มเชิงประจบ “กรนะกร ใจร้ายมากเลยนะคะที่เมื่อเช้าทิ้งโรสไว้ที่คอนโดโดยไม่ร่ำลาสักคำ”

“ผมมีงานด่วนน่ะโรส” กรวิชญ์เอี้ยวตัวมาหอมแก้มสาวด้านหลังคล้ายเอาใจ

ภาพหวานปานจะกลืนกินนั้นทำให้คนที่ยังหลอนกับภาพนังมารร้ายของสาวตรงหน้างุนงง “เอ่อ...นะ...นายกับคุณโรส ดีกันแล้วเหรอ”

กรวิชญ์ยักคิ้วกวนๆ ให้เพื่อนแทนคำตอบก่อนหันไปเอ่ยกับโรสเสียงหวานว่า “คุณอย่าโกรธผมเลยนะโรส งอนบ่อยๆ ไม่น่ารักนะครับ...นี่ก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณไปกินข้าวเป็นการไถ่โทษดีมั้ย”

“เฮ้ย ! แล้วเรื่องประมูลล่ะกร” นภนัยร้องเรียกตามหลังมาเมื่อเห็นเพื่อนควงสาวออกจากห้องไปดื้อๆ

กรวิชญ์เลยตะโกนตอบผ่านประตูห้องมาว่า “ฝากนายดูแทนแล้วกัน ได้เรื่องยังไงโทร.มาบอกฉันด้วย”

รถเปิดประทุนสีแดงร้อนแรงเทียบจอดหน้าร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดของกรวิชญ์มากนัก ใช้เวลาทานอาหารด้วยกันไม่นานนางแบบสาวก็ชวนเขาไปสนุกด้วยกันต่อที่สถานบันเทิงยามค่ำคืน ซึ่งกรวิชญ์นั้นไม่ปฏิเสธแต่อย่างใดเพราะเขาอยากเอาใจสาวเจ้าอยู่แล้วจึงพาไปยังร้านที่หล่อนกับเขามาเป็นประจำ

“ไม่ออกไปเต้นหน่อยเหรอคะกร” สาวที่นั่งคลอเคลียอยู่ข้างกายอ้อน เพราะตั้งแต่สั่งเครื่องดื่มกันไปชายหนุ่มก็เอาแต่นั่งดื่ม ไม่พูดจากับหล่อนสักคำ

กรวิชญ์เพียงยิ้มๆ ปกติแค่โรสอ้อนนิดเดียวเขาก็ลุกขึ้นไปเต้นเป็นเพื่อนหล่อนแล้ว หากด้วยความที่ตอนนี้ยังมีเรื่องประกาศแจ้งเตือนจากเจ้าของตึกวนเวียนในหัวสมองจึงไม่มีอารมณ์จะมาสนุกเท่าไหร่ จึงกระดกเหล้าขึ้นดื่มเป็นนัยปฏิเสธ

นั่นแหละถึงได้ยินเจ้าหล่อนทำเสียงฮึดฮัดอย่างคนหัวเสียก่อนลุกไปเต้นกลางวงกับหนุ่มๆ คนอื่นประชดเขา

หากแทนที่กรวิชญ์จะหึงหวงกลับนั่งเซ็งอยู่อย่างนั้น ดื่มเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าเผื่อจะช่วยให้เขาลืมเรื่องเครียดๆ ไปได้บ้าง

“ขอโทษครับพี่ มีผู้หญิงโต๊ะนั้นฝากเอามาให้พี่ครับ” บริกรชายในชุดหูกระต่ายเรียกความสนใจจากกรวิชญ์เล็กน้อย ส่งกระดาษทิชชูให้เขาพลางชี้ไปยังหน้าเคาท์เตอร์บาร์

หญิงสาวคนหนึ่งในชุดรัดรูปตัวจิ๋วกำลังส่งยิ้มหวานมาให้ กรวิชญ์จึงยิ้มตอบก่อนเพ่งสายตาฝ่าความมืดภายในร้านอ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือบนกระดาษทิชชูที่เพิ่งได้รับมาจากบริกร นึกขันในลายมือหวัดที่บรรจงเขียนตัวเลขลงบนกระดาษยับยู่ยี่แผ่นนั้น เจ้าของลายมือคงไม่พ้นสาวหน้าเคาท์เตอร์บาร์

ทำทีเป็นไม่สนใจ นั่งดื่มเหล้าไปเรื่อยเปื่อยก่อนเก็บกระดาษทิชชูแผ่นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ

กรวิชญ์เจอเรื่องแบบนี้มาจนชินแล้วและทุกครั้งไปที่สาวเจ้าจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาก่อนคล้ายเชิญชวน ซึ่งกรวิชญ์ไม่เคยปฏิเสธความต้องการของหญิงสาวอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นโรสจะหลงเขาหัวปักหัวปำขนาดนี้เหรอ

“ค่อยๆ เดินครับโรส” กรวิชญ์ประคองนางแบบสาวลงจากรถเข้ามายังบริเวณชั้นล่างของคอนโด

โรสยามนี้ไม่มีสติสัมปชัญญะแม้แต่น้อย ตามเนื้อตัวของเจ้าหล่อนมีกลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งยิ่งกว่าเขาเสียอีก

ทีแรกกรวิชญ์ตั้งใจจะไปส่งหญิงสาวที่บ้านแต่หล่อนกลับโวยวายท่าเดียว ขู่ว่าถ้าเขาพาไปส่งบ้านหล่อนจะตัดขาดกับเขา ร้อนถึงกรวิชญ์จำใจพาสาวเจ้ามาคอนโดของเขาตามเคย ไม่รู้ทำไมหล่อนต้องเมาประชดชีวิตด้วยกับแค่เพียงเขาไม่ยอมลุกไปเต้นเป็นเพื่อน

“เดี๋ยวค่ะคุณกรวิชญ์” จู่ๆ พนักงานเคาท์เตอร์ด้านหน้าคอนโดก็เรียกรั้งไว้ คนที่กำลังประคองนางแบบสาวอย่างทุลักทุเลเลยชะงักฝีเท้า

สีหน้ายุ่งๆ ของชายหนุ่มที่หันมาทำให้พนักงานสาวเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ขอโทษนะคะที่...เอ่อ...รบกวนคุณสองคน แต่เผอิญมีเด็กมาขอพบคุณตั้งแต่ตอนเย็นแล้วน่ะค่ะ ทีแรกแกจะขึ้นไปหาคุณที่ห้องเลยด้วยซ้ำแต่พอฉันบอกว่าคุณยังไม่กลับแกเลยนั่งรออยู่ตรงนั้นน่ะค่ะ”

“เด็กเหรอครับ ?” กรวิชญ์ทวนคำอย่างงงๆ ก่อนมองตามพนักงานสาวไปยังลานต้อนรับซึ่งจัดเป็นโซฟายาวมุมหนึ่งไม่ไกลจากเคาท์เตอร์นัก

แต่แล้วกรวิชญ์ต้องขมวดคิ้วเป็นปมยุ่งเมื่อเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งเตะขาอย่างเซ็งๆ อยู่บนโซฟาเพียงลำพัง ข้างกายมีกระเป๋าเป้ใบเบ้อเริ่มลายอุลตร้าแมนสีแดงเป็นเพื่อนแก้เหงา

แปลกใจที่ดึกดื่นป่านนี้มีเด็กที่ไหนมานั่งรอ หากจะทำเป็นไม่สนใจก็ใช่ที่เลยเอ่ยกับพนักงานหน้าเคาท์เตอร์ว่า “ผมฝากคุณดูแลโรสครู่นึงได้มั้ย เดี๋ยวผมไปหาเด็กคนนั้นก่อน”

“ได้ค่ะ” พนักงานสาวดึงนางแบบมายืนพิงกายอยู่หน้าเคาท์เตอร์

เป็นกรวิชญ์ที่สาวเท้าเข้าไปหาเด็กแปลกหน้า หากยังไม่ทันก้าวถึงโซฟาดีเด็กคนนั้นก็เงยหน้ามาสบตากับเขา นั่นเองที่กรวิชญ์เห็นเด็กชายคนนั้นฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เวลาแห่งการรอคอยสิ้นสุดลง ก่อนวิ่งถลาเข้ามาโผกอดเขาร้องเรียกลั่นคอนโด

“คุณพ่อ !” #



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2555, 20:19:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ย. 2558, 22:55:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1597





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
nunoi 27 มี.ค. 2555, 11:19:05 น.
กำลังสนุกค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ


สรัน 27 มี.ค. 2555, 19:13:46 น.
ขอบคุณค่าคุณ nunoi
นึกว่าจะไม่มีคนอ่านซะแล้ว แหะๆ
กำลังอัพบทที่ 3 อยู่จ้า แป๊บเดียว อิอิ


จิรารัตน์ 3 ส.ค. 2555, 13:19:41 น.
ค่อยๆกระดึ๊บไล่เก็บไปที่ละตอนอยู่ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account