เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด

ตอน: ตอนที่ ๓ แรกพบ

ตอนที่ ๓

รุ่งเช้า เหล่าไก่ขานขันประสานเสียงแข่งกัน เช่นเดียวกับนกน้อยนานาชนิดก็ต่างโบยบินออกจากรวงรัง ในช่วงนี้เริ่มจะเข้าสู่เหมันตฤดู อากาศโดยรอบจึงเริ่มมีกลุ่มไอหมอกลอยคว้างอยู่ในมวลอากาศที่เริ่มหนาวเย็น

วันนี้เป็นวันพระ ดังนั้นนางเพ็ญมารดาของจันทร์เจ้าจึงได้จัดสำรับเพื่อจะใส่บาตรพระ

หญิงสาวลงจากห้องก็เจอกับมารดาที่กำลังตั้งสำรับอยู่ จึงรีบเข้าไปช่วย ก่อนจะพร้อมใจ ตามมารดาไปตักบาตรพระที่ด้านหน้าของบ้าน

สายหมองบางเบา ลอยคว้าง ประดับประดาอยู่เหนือไม้ใหญ่ มวลอากาศเย็นยังคงลอยเวียนวน พระอาทิตย์ยังคงลับเหลี่ยมดอย หากเมื่อพ้นออกมาได้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะพ้นไปจากการปกคลุมของเจ้าหมอกหนาหรือไม่

ตราบจนช่วงสายของวันนั่นแหละ แสงสุริยาที่เริงแรง จึงจะขับไล่ไอความเย็นลงไปได้บ้าง

ไม่นานหลังจากที่ช่วยมารดานำสำรับกับข้าวมาตั้งที่หน้าบ้าน ภายในครองจักษุการมองเห็นของจันทร์เจ้า ก็เห็น
ชายผ้าเหลืองของพระภิกษุสองรูปเดินออกมาจากมุมซอย

กระแสความเย็นและอบอุ่น พาลพากันลอยเข้ากระทบหัวใจบางๆ ของเธอ แม้จะเหน็บหนาว หากก็รู้สึกอบอุ่นไม่แพ้กัน

พระพุทธศาสนา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอและคนในครอบครัว ดังนั้น พระสงฆ์ จึงเป็นตัวเชื่อมให้รู้สึกอุ่นใจและมีที่ยึดเหนี่ยว

หญิงสาวก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใด ตนจะต้องรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นชายผ้าเหลือง ความปลื้มปีติที่มากล้น ผ่านพ้นออกมาทางดวงหน้าสวยซึ่งอิ่มเอม ในครั้งที่ใส่บาตรและนั่งลงฟังพระสงฆ์สวดอำนวยอวยพร

หลังพระทั้งสองรูป เดินทางจากไป ทั้งสองแม่ลูกจึงกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ผู้เป็นแม่เดินทางเข้าไปทางห้องครัว หญิงสาวจึงเดินตามไป

“มีอะไรให้จันทร์ช่วยไหมคะ แม่”

เสียงหวานดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้ม นางเพ็ญหันกลับมา ก่อนจะจัดการมอบหมายงานให้กับบุตรสาว

“ถ้าอย่างนั้น ลูกตักแกงนี่ไปให้ย่าบัวคำหน่อยนะ ส่วนแม่จะจัดสำรับกับข้าว พอกลับมา เราจะได้ทานข้าวกัน”

“คุณพ่อยังไม่ลงมาอีกหรือคะ”

“เดี๋ยวแม่ว่าจะขึ้นไปเรียกเหมือนกัน จันทร์ตักแกงไปให้ย่าบัวคำเถอะ”

หลังได้รับคำสั่งอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว จันทร์เจ้าจึงตักแกงใส่ปิ่นโต เพื่อจะนำไปให้กับย่าบัวคำ คนข้างบ้านที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายมารดาของเธอ

ส่วนธรรมเนียมการตักอาหารไปให้กันนั้น เป็นการแสดงน้ำใจของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งในสมัยนี้จะเห็นได้ยากนักเพราะต่างบ้านต่างอยู่ ไม่สนใจกัน

ทว่าสำหรับในชนบทแล้ว ก็ยังมีอยู่บ้าง นอกจากจะแสดงน้ำจิตน้ำใจที่มีต่อกันแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นประเพณีที่มีมาแต่ครั้งโบราณ นั่นก็คือการพึ่งพาอาศัยกัน

สำหรับบ้านของจันทร์เจ้าแล้ว การส่งอาหารให้กับเพื่อนข้างบ้าน ไม่ใช่เพื่อจะหวังผลที่จะตอบแทนมา ที่ให้คือน้ำใจ ส่วนอีกฝ่ายจะมีน้ำใจตอบกลับมาหรือเปล่านั้น ก็ไม่ได้หวังอะไร

หลังจากที่ตักแกงใส่ปิ่นโตเรียบร้อยแล้ว จันทร์เจ้าก็เดินออกจากบ้าน ลัดเลาะไปตามรั้วรอบ ก่อนจะไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักหรืออาจจะเรียกว่ามีรั้วบ้านติดกันเลยก็ว่าได้

เธอเดินเข้าไปยังบ้านไม้ ทรงไทยล้านนาประยุกต์หลังนั้นอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเห็นหญิงชรานามย่าบัวคำ กำลังรดน้ำต้นไม้และดอกไม้อยู่ที่สวนข้างเรือนตนเอง

“สวัสดียามเช้าค่ะย่าบัวคำ” หญิงสาวยกมือประนมไหว้ หลังหญิงชราวางสายยางและหันกลับมาด้วยรอยยิ้มยินดี

“ไหว้สาเถอะหนูจันทร์ วันนี้เอาอะไรมาให้ย่าอีกล่ะ” หญิงชราท่าทางใจดี เอ่ยถามอย่างกันเอง ก่อนจะเดินมารับปิ่นโตจากหญิงสาว

“แกงฮังเลค่ะ คุณแม่ทำใส่บาตร ในเช้าวันนี้ เห็นว่าเยอะก็เลยเอามาให้ย่าบัวคำด้วยค่ะ”

“ขอบใจมากนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณย่า...คนกันเองทั้งนั้น”

รอยยิ้มแจ่มใสจุดขึ้น ย่าบัวคำไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินนำหญิงสาวเข้าไปนั่งยังซุ้มดอกไม้ ซึ่งบัดนี้มีดอกพวงชมพู สีสวยแถมยังน่ารักออกดอกสะพรั่งและเลื้อยไปตามรูปทรงของซุ้มอย่างสวยงาม

“ยังไงย่าก็ต้องขอบใจหนูและแม่เพ็ญมากนะ” หญิงชรานั่งลงตรงเก้าอี้ ก่อนจะเชื้อเชิญให้จันทร์เจ้านั่งตาม

ในเวลานั้น จึงทำให้หญิงสาวได้มองสำรวจไปโดยรอบ ด้วยความสนใจ ก่อนจมูกจะรับรู้ถึงกลิ่นหอมของไม้
ดอกที่ลอยโชยมาตามสายลม

กลิ่นนั้นเป็นลักษณะเดียวกับกลิ่นที่เธอรับรู้เมื่อเย็นวาน

ดอกพุดซ้อน...

“หอมจังเลยนะคะ ยามเช้าอย่างนี้ ได้กลิ่นหอมเย็นๆ ของดอกไม้ ทำให้สดชื่นมากเลยค่ะ”

จันทร์เจ้าคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น เหมือนจะมองหาที่มาของกลิ่นหอม ซึ่งลอยมาตามสายลมเข้ามาในที่แห่งนั้น

“อ้อ...ดอกเก็ตถวาน่ะ โน้นไง” หญิงชราว่าพร้อมกับชี้นิ้วไปยังไม้พุ่มชนิดหนึ่งซึ่งบัดนี้กำลังชูช่อดอกสีขาวจนเต็มต้น

“เก็ตถวา ดอกอะไรหรือคะ”

จันทร์เจ้ามองตาม แต่ด้วยไม้พุ่มชนิดนั้นอยู่ไกลจนเกินไป กล่าวคืออยู่เยื่องไปทางข้างบ้านอีกทีหนึ่ง แม้จะเห็นว่าเป็นดอกสีขาวและเธอก็แน่ใจว่านั่นคือไม้ดอกชนิดเดียวกับที่เธอคิดอยู่ในหัวก็ตาม ทว่าชื่อที่แปร่งแปลกกลับทำให้หญิงสาวไม่อาจเก็บคำถามเอาไว้ได้

“ภาษาเหนือบ้านเราเรียกดอกเก็ตถวา ชาวภาคกลางเรียกดอกพุดซ้อน”

“ดอกพุดซ้อน คือเก็ตถวา หรือคะ”

จันทร์เจ้าทวนชื่อนั้นอย่างคุ้นเคย ใช่ เก็ตถวา...

ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ พลันความรู้สึกบางอย่างก็แล่นปราดเข้ามา เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พร้อมกับยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน

‘กลิ่นหอมเจ้านาง...เก็ตถวาเสียดแซม’

“อยากจะไปดูหรือเปล่าล่ะ ย่าจะพาไป” เสียงของย่าบัวคำแทรกขึ้น ก่อนจะเดินนำตรงไปยังไม้พุ่มต้นนั้น
จันทร์เจ้าหยุดความคิดบางอย่าง แล้วรีบเยื่องกายตามหญิงชราไปในทันที

“ดอกหอมจริงๆ เลยนะคะ”

เธอเอื้อมมือไประที่ดอกไม้สีขาวดอกหนึ่ง โดยไม่ยอมที่จะเด็ดมันขึ้นมาเพราะรู้ ไม้ต้นหนึ่งมันมีชีวิต การเด็ดดอกไม้ก็เปรียบเสมือนทำร้ายมัน

“เก็ตถวา ไม้ดอกหอม คนเฒ่าคนแก่เปิ้นมักจะเด็ดมาเสียดแซมผมและเอาไปไหว้พระไหว้เจ้าเวลาไปวัด แม่ย่าก็มักจะเด็ดมันไปปูจาพระเจ้าเหมือนกัน”

ช่างเป็นดอกไม้ที่น่าชื่นชมเสียจริง ในความรู้สึกของหญิงสาว ยามที่เห็นไม้ดอกชนิดนี้ก็พลันปีติในหัวใจ เหมือนดั่งว่าจะได้เจอกับของรักอีกครั้ง

‘กลิ่นหอมเจ้านาง...เก็ตถวาเสียดแซม’

เก็ตถวา...เจ้านาง...

//////

เสียงดนตรีพื้นเมืองขับขานดังไปจนทั่ววัดแห่งนั้น เหล่าผู้คนทั้งชายหญิง คนหนุ่มคนแก่ ต่างพากันมารวมตัวยังวัดแห่งนี้ ด้วยเพราะมีงานบุญวันปีใหม่

เสียงหนุ่มสาวทักทายกันเซ็งแซ่ บ้างก็พากันไปก่อกองทรายที่ลานถัดไป บางกลุ่มก็นำขันน้ำอบน้ำปรุง ตักน้ำรดกันอย่างสนุกสนาน

ส่วนคนเฒ่าคนแก่ ก็มารวมตัวกันในอุโบสถของวัด เพื่อจะนั่งฟังธรรมซึ่งมักจะมีพระสงฆ์เสียงไพเราะมานั่งเทศน์ให้ฟังอยู่ร่ำไป

ในหมู่ของหนุ่มสาวที่มารวมตัวกันด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้น มีอยู่หนึ่งหนุ่ม ที่มาจากแดนไกล เขามาพร้อมกับเพื่อนอีกคน

ผิวเนื้อของชายผู้นั้นขาวสะอาดอย่างคนที่รักษาสุขภาพดี กรอบหน้าแม้จะไม่ถึงกับคม แต่ก็จัดอยู่ในขั้นของผู้ที่หน้าตาดีอยู่ประหนึ่งเทพบุตร ที่หลากล้อมไปด้วยเหล่าสามัญชนทั่วไป

เจ้าน้อยภูมินทร์...คือชื่อของเขา

เจ้าน้อยภูมินทร์ คือบุตรเพียงคนเดียวของเจ้าบ่อนเมือง เจ้าเมืองเวียงยา เวียงขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ห่างจากวรนครแห่งนี้การเดินทางเพียงชั่ววันเท่านั้น

ด้วยเป็นบ้านป่าเมืองดอย ประเพณีส่วนใหญ่จึงไม่ได้จัดขึ้นอย่างสนุกสนานอย่างวรนคร เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงตัดสินใจชวนสหายสนิท เดินทางมายังที่แห่งนี้เพื่อร่วมประเพณีดังกล่าว

เหล่าแม่หญิงพื้นเมืองต่างให้ความสนใจกับเจ้าชายหนุ่มซึ่งปลอมตัวมานี้ บ้างล้อมรอบเขาเพื่อจะสาดน้ำให้อย่างประเพณี บ้างก็พากันเข้ามาพูดจาทักทายอย่างคนอัชฌาสัยดี

นานครั้งจึ่งจะได้มาท่องเที่ยวเช่นนี้ งานในเพลานี้จึงสนุกสนานเป็นยิ่งนัก

“ปี๋หน้า เฮามาแห๋มน้อ เจ้า”

สีป้อ สหายสนิทเพียงคนเดียวซึ่งติดสอยห้อยตามกันมาแต่เวียงยาเอ่ยขึ้น หลังจากที่งานเริ่มสร่างซาลง ทั่วทั้งเนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำอบน้ำปรุง

“อ้ายก็ชอบเหมือนกันกา อ้ายสีป้อ ครั้งแรกเฮาพามาค่อยอิดออด” สรรพสำเนียงคล้ายเหน็บแนม จนอีกฝ่ายอดมองค้อนอีกไม่ได้

“ก็ในครั้งแรกอ้ายกึ๊ดว่ามันบ่ม่วนนะก่า”

“แล้วเพลานี้ม่วนก่อละ” เจ้าชายหนุ่มคลี่ยิ้มและเดินนำอีกฝ่าย เพื่อจะไปพักยังบ้านของพ่อหนานคำปัน ลุงของสีป้อ ซึ่งเจ้าชายและผู้เป็นหลานมาขอพักอาศัยด้วย

“ม่วนกา ม่วนขนาด”

หนุ่มสีป้อเอ่ยบอก พร้อมกับเร่งรุดติดตามชายหนุ่มไปในทันที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ทว่าในเวลานั้น ร่างสองร่างที่ตามติดกันมาก็ต้องหยุดชะงัก คนที่เดินตามหลังมาแทบจะเบรกไม่ทัน เมื่อคนเบื้องหน้าหยุดลง หลังภายในสายตาไปหยุดอยู่ที่ภาพหนึ่งเบื้องหน้า

ภาพขบวนหามเสลี่ยงของเจ้านายฝ่ายสูงผู้หนึ่ง ที่เพิ่งจะพากันเข้ามาภายในวัด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่บนเสลี่ยงคานนั้น ยิ่งทำให้เจ้าน้อยสนใจเป็นยิ่งนัก

บนนั้นคือแม่หญิงผู้หนึ่ง แม้จะเห็นจากที่ไกลๆ หากเขาแน่ใจว่านางงามนัก

ศรรักปักอกเพียงแค่แรกเห็น...จู่ๆ เจ้าชายหนุ่มก็เกิดชอบพอกับบุคคลบนนั้นในทันที

รักแรกพบ...รักแรกที่เจ้าหนุ่มก็ไม่เข้าใจ

“อ้าย...อ้าย ผ่อปู้นโละ ขบวนของที่ไหนนะ”

“น่าจักเป๋นขบวนของเจ้าหญิงเจ้านางแห่งเวียงนี้กระมัง กระหม่อม”

“ขบวนเจ้านางกา แล้วเปิ้นเป๋นไผนะ”

ไม่ต้องรอให้คำตอบนั้นค้างคา เจ้าน้อยภูมินทร์จึงรีบเร่งรุดตรงไปในทันที

เหล่าผู้คน ทั้งคนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่ ต่างออกมายืนออกันที่หน้าลานวัด หลังได้เห็นขบวนเสด็จของเจ้านางน้อยซึ่งมาในเย็นวันนี้

ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างสนใจแต่จะชมความงามของเจ้าจันทร์งาม ที่ต่างมีคำร่ำลือกันว่างามอย่างเทพเทวาปั้นแต่ง แถมกลิ่นกายของนางนั้นยังหอมเป็นยิ่งนัก

เจ้านางนั้นงามแค่ไหน...บัดนี้จึ่งประจักษ์

ขบวนขนาดย่อมหยุดลง พร้อมกับเหล่าทหารหาญซึ่งค่อยๆ วางเสลี่ยงลงอย่างเชื่องช้าทะนุถนอม

เจ้านางจันทร์งาม เจ้านางน้อยราชธิดาแห่งเจ้าคำผาเมืองและเจ้านางเกล็ดหล้า อยู่ในชุดพื้นเมืองไตลื้อ เสื้อปั๊ดคอป้ายลายสาบเสื้องดงามแขนยาวทรงกระบอกสีฮ้อมย้อม เข้ารูปทรงกับผ้าซิ่นทอลายน้ำไหล ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

ร่างโปร่งบางหยัดกายลุกขึ้น กรอบหน้าสวย น่ารัก ทอดมองเหล่าพสกนิกรทั่วหล้าและคลี่ยิ้มส่งให้ ก่อนจะเดินตามเหล่าคุณท้าวคุณนางเข้าไปภายในอุโบสถของวัดทันที

ท่ามกลางเหล่าฝูงชนเหล่านั้น เจ้าน้อยภูมินทร์ มองตามร่างบางซึ่งเดินผ่านหน้าของตนไปอย่างหลงใหล ไม่เคยคิด ตนจักได้เจอกับเจ้านางผู้เลื่องชื่อนางนี้ในวันนี้ได้

ที่ผ่านเคยแต่ได้ยินผ่านคำค่าวคำซอ ถึงการชมโฉมเจ้านางจันทร์งามที่งามหยาดฟ้ามาดิน ตนยังเคยคิดขัด คนอะไรจักงามปานนั้น

ต่อเมื่อเวลานี้ ทุกสิ่งจึ่งยืนยัน คำพรรณนาเหล่านั้นยังน้อยนัก หากจักเทียบกัน

เจ้าจันทร์งาม...นางช่างงามนัก งามขนาด

งามกว่าจันทร์ฉายบนห้วงนภากาศ...

/////

สรรพสัตว์แมลงกลางคืนต่างกรีดปีกประสานเสียงกัน บรรเลงบทเพลงแห่งราตรีกาลอย่างไพเราะเสนาะหู เจ้าราชบุตรแห่งเวียงยานั่งนิ่งบนแคร่ไม้ใต้ต้นยางใหญ่ หน้าบ้านของพ่อหนานคำปัน

มีเพียงแสงคบไต้คบไฟเท่านั้น ที่พอจะให้แสงสว่างและควันของมันก็พอจะไล่เหลือบริ้นยุงไร ไปได้บ้าง

เจ้าหนุ่มทอดถอนใจ พรางมองออกไปยังความมืดของทางเบื้องหน้า

ใครจักรู้ ภายในสำนึกแห่งความคิดของเจ้าราชบุตรหนุ่ม บัดนี้มีภาพของเจ้าจันทร์งามคอยลอยวนรบกวนอยู่ร่ำไป

แม้จะแค่แรกเห็น...กลับติดตรึง

แม้จักแค่ชั่วครั้งชั่วยามที่แล...กลับทำให้เจ้าหนุ่มตะลึง

โอ...แม่หญิงผู้นี้ ช่างมีเสน่ห์ยวนเย้าเป็นยิ่งนัก

ไม่เคยคิด ภาพงามของนางนั้นจักมีอิทธิพล มาทำให้เจ้าหนุ่มนั่งเหม่อมองคะนึงหาเช่นเพลานี้

แสงจันทร์กระจ่างฟ้า แขวนอยู่เหนือปลายฟ้าทางบุรพาทิศ สายลมยามหน้าร้อนพัดแผ่ว หากไม่เคยใจร้ายจน
เกินไป ปล่อยคลื่นความร้อนแม้กระทั่งกลางคืน

ยามราตรี แม้ลมเย็นเพียงนิด ก็ทำให้จิตชื่นชุ่ม...เฝ้าเพียรถามตนเอง เมื่อไรจักได้เจอกับนาง

เจ้าจันทร์งาม...นางงามอย่างเทพเทวาปั้นแต่งหรือไร แล้วกลิ่นกายนางที่ใครๆ ต่างเล่าลือล่ะว่าหอมอย่างอบปรุงนั้น จักหอมมากเพียงไร

หัวใจหนุ่มพลันเต้นรัว เมื่อคิดมาถึงเพลานี้ ชายหนึ่งที่ต้องกายนาง ตัวของตนจักได้มีโอกาสได้พึงกระทำเช่นนั้นหรือไม่

อยากจักเข้าไปพูดจา อยากจะเข้าไปทักทายหมายสื่อสัมพันธ์ เอาเถอะสักวันมันคงจักไม่พ้นฝีมือของตน

แต่ก่อนจะทันได้คิดอันใดต่อ เสียงของสีป้อก็ทะลุเข้ามาในห้วงความคิดของเจ้าราชบุตรหนุ่ม ชักพาให้อีกฝ่ายต้องดึงความคิดและสติกลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง

“กำลังคิดอะหยังอยู่ เจ้าน้อย”

เจ้าภูมินทร์หันมาทางเจ้าของเสียงก่อนจะมองค้อนอีกฝ่าย “กึ้ดอะหยัง มันก็เรื่องของเฮากา แล้วอ้ายมาเกี่ยวอะหยังตวย”

“อ้ายก็อยากจะฮู้พ้องก่า หันว่านั่งยิ้มอยู่คนเดียวหรือว่าเจ้าจะเป๋นผีบ้าไปแล้ว” ประโยคท้าย ยิ่งทำให้อีก
ฝ่ายกรอบหน้าแดงซ่าน สีป้อเป็นคนที่ชอบพูดเล่นเย้าแหย่และครั้งนี้ ก็ไม่พ้นที่จะทำให้เจ้าราชบุตร ถลึงตาใส่อย่างนึกรำคาญ

“อ้ายน่ะก่าเป๋นผีบ้า เฮาบ่ได้เป๋นสักน่อย”

“อ่ะๆ บ่เป๋นก่บ่เป๋น แล้วจะบอกอ้ายได้ก่อ ว่าเจ้ากึ้ดอะหยังอยู่”

“เรื่องอะหยังเฮาจะบอก”

เจ้าน้อยภูมินทร์คลี่ยิ้มบางพรางหยัดยืนขึ้น ทว่าสายตายังมิวางจะแหงนเงยมองดวงจันทร์ซึ่งกำลังส่องแสงกระจ่างฟ้า

“อ้ายว่าเจ้าจะต้องกึ้ดถึง เจ้านางน้อย เจ้าจันททร์งามอยู่แน่เลย ไจ้ก่อ” ประโยคนั้นช่างตรงต่อหัวใจของเจ้าหนุ่มเป็นยิ่งนัก

เจ้าน้อยผินดวงหน้ามามองผู้พูดนิดหนึ่งด้วยรอยยิ้มเย็นดุจเดิม ก่อนจะเยื่องกายเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร

สีป้อมองตามร่างสูงใหญ่นั้น ก็พรางยกมือขึ้นเกาหัว รอยยิ้มยังไม่จืดจาง

ความคิดของตนจักต้องบ่ผิด...เจ้าน้อยภูมินทร์ จักต้องกำลังคะนึงหาเจ้านางผู้นั้นอย่างแน่นอน

เจ้าจันทร์งาม...เจ้านางผู้งามดั่งจันทร์ฉายเหนือฟากฟ้าแดนไกล...

/////

ร่างสูงทรุดกายลงนั่งตั่งไม้บนบ้านอีกครั้ง จนทำให้ผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ก่อนแล้ว ต้องเลื่อนตัวเองลงมานั่งยังพื้นเบื้องล่าง เพราะรู้ศักดิ์ของตนกับชายหนุ่ม มันต่างกันนัก

แค่เจ้าน้อยมาขอพักอาศัยยังบ้านของตน ก็ถือว่าเป็นบุญหัวนักแล้ว

“ไยพ่อลุงถึงขยับไปนั่งที่พื้นจะอั้นละ” เจ้าราชบุตรหนุ่มเอ่ยถามอย่างแปลกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย

“เจ้า...เป็นถึงเจ้าราชบุตร พ่อลุงเป็นแค่ชาวบ้าน”

“แต่พ่อลุงก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้บ่ไจ้กา อีกอย่างหนึ่งเฮาก่บ่ถือดอก ขึ้นมานั่งบนนี้ตวยกั๋นเต๊อะ”

“พ่อลุงบ่บังอาจ เจ้าเป็นถึงเจ้าราชบุตร หื้อพ่อลุงขึ้นไปนั่งบนนั้น เดี๋ยวจักบ่มีเงาหัว”

“เฮาบอกแล้วอย่างไรละว่าเฮาบ่ถือ แห๋มอย่างหนึ่งที่นี่บ่ไจ้เวียงยา เฮาจึ่งเหมือนชาวบ้านทั่วไป”

เจ้าน้อยคลี่ยิ้ม มองชายชราซึ่งนั่งอยู่บนพื้นอย่างเมตตา นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นนาน ประเดี๋ยวเป็นตะคริว ใครจักช่วยได้ทัน

“แต่...”

“บ่มีแต่แล้วพ่อลุง เจ้าเปิ้นหื้อโอกาสขนาดนั้นแล้ว บ่ดีอิดออดเน้อ”

เสียงของสีป้อ หลานรักของพ่อหนานคำปันดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่เดินขึ้นบันไดมาและเสียงนั้น นั่นเอง ที่ทำให้พ่อหนานคำปัน ต้องหันไปทางต้นเสียง ก่อนคำเหน็บจะตามมาอีกเป็นชุด

“ข้าบ่เหมือนตั๋ว สีป้อ สักวันเต๊อะขี้กลากจักกิ๋นหัวมึง บ่ว่าเจ้านายองค์ใด มึงก็บ่เกยทำตั๋วอ่อนน้อม ผ่อโละ เจ้าเปิ้นยอมหื้อเป๋นเพื่อนเป๋นสหาย ผ่อทำตั๋วโละ กร่างบ่เข้าตี้ ไปเดินกาดบ่ใด จักถูกไอ้ขี้ลักขี้ยาหมู่นั่น พากั๋นฮุมซ้อมมึง แล้วเมื่อนั้น บ่ต้องมาขอความช่วยเหลือกูเน้อ ไอ้สีป้อ”

“ปาดโทะพ่อลุง จ่มเหมือนแม่อุ้ยเลยน้อ เปิ้นต๋ายมาเป๋นปีแล้ว ฮับมรดกมาไจ้ก่อ”

สีป้อไม่เคยสะทกสะท้านต่อคำด่าหรือการสั่งสอนของผู้เป็นลุงมากนัก แถมยังทำหน้าทะเล้นในยามที่เข้าไปนั่งจนชิดกับพ่อหนานคำปัน จนอีกฝ่ายต้องเอามะเหงกเขกที่กบาลมันไปหลายโป๊ก

“พอได้ละพ่อลุง ขึ้นมานั่งกับเฮาเต๊อะ มะ”

เจ้าน้อยคลี่ยิ้มกับภาพความสนิทของผู้เป็นลุงกับหลาน ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปห้ามศึก พาพ่อหนานคำปันขึ้นมานั่งยังตั่งไม้ตัวใหญ่

ส่วนสีป้อก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม โดยยังยกมือขึ้นสีหัวตนเอง ตรงตำแหน่งที่เพิ่งโดนมะเหงกมหากาฬของพ่อหนานคำปันไป

“สมน้ำหน้ามึงนัก ไอ้สีป้อ” พ่อหนานเค้นเสียงหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะหันมาทางเจ้าราชบุตรหนุ่ม

“น้อ...เจ้าก่อ พ่อลุงว่าบ่นั่งก็ยังหื้อนั่งอยู่ แค่เจ้ามาอาศัยอยู่บนเฮือนหลังนี้ ก็เป๋นศักดิ์เป๋นศรีกับลุงขนาดแล้ว”

“จะใด เฮาก็ขอขอบใจ๋ลุงขนาดเน้อ ที่หื้อที่พักอาศัยกับเฮา”

“ยินดีขนาดนักเจ้า...ว่าแต่ว่า เจ้าจักปิ๊กเวียงวันพูกนี่กา”

เห็นหมายกำหนดการที่เจ้าหลานตัวดีนำมาให้คราวแรก ว่าเจ้าราชบุตรหนุ่ม...เจ้าน้อยภูมินทร์ จะมาพักที่นี่วันสองวัน แม้จักยินดี ทว่าสำหรับพ่อหนานคำปันแล้วกลับอยากจะให้เจ้าน้อยอยู่ที่นี้ให้นานๆ

“น่าจักอยู่เมินๆ หนา ลงมาแอ่ววรนครทั้งที น่าจะแอ่วหื้อเมินๆ”

“ไจ้แล้วล่ะพ่อลุง ตอนแรกเฮาว่าจะอยู่ถึงวันพูกและก็บอกเจ้าป้อเจ้าแม่เอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้ เฮาเปลี่ยนใจ๋ละ เฮาจะขออยู่ที่นี่อีกสักพัก”

เจ้าน้อยยิ้มกรอบหน้าหล่อคมมองยาวออกไปยังความมืดนอกตัวเรือนเบื้องหน้า

ฝ่ายพ่อหนานคำปันก็แย้มยิ้มอย่างดีใจไม่แพ้กัน ถึงคราวที่ตนจักได้รับใช้เจ้าราชบุตรหนุ่มให้นานๆ จักได้เป็นเกียรติเป็นศรีกับตนเอง

การได้รับใช้เจ้านายฝ่ายสูงนั้น แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว




พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2555, 20:33:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2555, 20:33:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1564





<< ตอนที่ ๒ ดอกไม้ปริศนา   ตอนที่ ๔ เจ้าจันทร์งาม >>
tookta 25 มี.ค. 2555, 17:05:07 น.
ส่งกำลังใจมาให้เจ้าน้อย สู้ๆๆ55


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account