ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: บังเอิญ

ตอนที่ 7
ตอนที่ 7

ลงให้สองตอนนะคะ เดี๋ยวจะไม่อยู่สามวันค่ะ


ตอนนี้ฉันกำลังเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปหาหนูเล็กตามที่นัดกันไว้ ฉันสงสัยอยู่บ่อยๆว่าหนูเล็กโดนผู้ชายทำช้ำมามากต่อมาก แต่เธอก็ไม่เลิกที่จะมองหาแฟนใหม่ตลอดเวลา หนูเล็กเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ คุยเก่ง ไม่แปลกที่จะมีคนเข้ามามาก แต่ฉันว่านะ ถ้าความรักทำให้เจ็บปวดก็ไม่รู้จะมีความรักไปทำไม เฮ้อ ถ้าฉันเป็นหนูเล็กนะ ฉันคงเลิกมองเพศตรงข้าม อาจจะหันมามองเพศเดียวกัน แต่สาบานได้เลยนั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันคิดจะทำ ฉันว่าถ้าเราหาผู้ชายดีดีไม่ได้สักคน ก็อยู่เป็นโสดไปเลยดีกว่า ฉันไม่สนหรอกนะที่จะมีใครมาพูดเยาะเย้ยว่าเป็นสมาชิกหมู่บ้าน “คานทองนิเวศน์” น่ะ และจะบอกอะไรให้ ฉันนี่ละ ดาวน์บ้านที่หมู่บ้านนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว ใช่ ฉันจะเป็นโสด!!!
“นั่นจะไปไหนล่ะ” เสียงแม่ถามขึ้นขณะที่ฉันกำลังใส่รองเท้า
“ไปหาหนูเล็กน่ะค่ะแม่ ปัญหาเดิมน่ะค่ะ” ฉันตอบ
ฉันเล่าให้แม่ฟังเรื่องหนูเล็กบ่อยๆ แม่เลยเข้าใจว่า ปัญหานั่นคืออะไร
“แต่ลูกก็ช่วยหนูเล็กแก้ปัญหาไม่ได้เลยนี่ ที่ทำได้คือคอยลูบหลังเธอให้อาเจียนลงโถส้วมหลังจากเมาได้ที่” แม่พูดถากถางฉันหรืออย่างไรกัน
“แม่คะ แต่ก็ดีกว่าให้หนูเล็กนั่งคิดมากคนเดียว เผลอๆ อาจจะ โอ๊ย ไม่อยากจะคิด หนูไปล่ะนะคะ” ฉันรีบตัดบทแล้วทำท่าจะออกไป
“แล้วลูกล่ะ ?” อยู่ๆแม่ก็พูดขึ้นมาลอยๆ
“หนู? ทำไมหรือคะแม่” ฉันสงสัย
“ไม่คิดจะมีแฟนแบบคนอื่นบ้างหรือ “ แม่ถามแล้วจ้องหน้าฉันอย่างจริงจัง
ฉันก็จ้องแม่กลับเช่นกัน จริงจัง มากๆด้วย “แม่ก็รู้นี่คะ ว่าหนูเลิกคิดเรื่องนั้นไปนานแล้ว หนูเล็กเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับหนูด้วยค่ะ ไปนะคะ”
ไม่เข้าใจเลยว่าแม่ยังจะถามคำถามนี้กับฉันอีก หลังจากหลายปีก่อนฉันตัดสินใจบอกแม่ไปแล้วว่า จะไม่มีทางแต่งงานกับใครเด็ดขาด เพราะฉันรู้ว่าเส้นทางนั้นเจ็บปวดเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นแม่ หรือหนูเล็ก ต่างก็รู้ด้วยกันทั้งนั้นว่าเวลาเราเอาหัวใจไปผูกพันกับใครสักคน ความขมขื่นที่ต้องจากกัน มันหนักหนามากกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขที่เคยมีให้กันเลยทีเดียว
แล้วตอนนี้ฉันก็มาถึง สถานที่ย้อมใจของหนูเล็ก และสถานที่ที่ฉันต้องคอย ก็นะอย่างที่แม่บอก คอยลูบหลังให้หนูเล็กอาเจียนลงโถส้วมเวลาเมาได้ที่
วันนี้ที่ร้านประจำของเรา 2 คน มีแขกเยอะมากทีเดียว ฉันมองหาหนูเล็กไม่เจอสักที เธอว่าจะใส่ชุดเดรสสีม่วงใช่หรือเปล่า ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าจะเศร้าอะไรนักหนา ใครๆก็รู้ สีม่วงเป็นสีที่อมทุกข์เพียงใด สงสัยวันนี้ได้มีน้ำตาท่วมร้านอาหารกันพอดี อ้า!! โต๊ะนั้นแน่ๆ ฉันเห็นผู้หญิงใส่ชุดม่วงนั่งหันหลังให้
แล้วฉันก็ไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังเธอ เอาสองมือปิดตา ล้อเล่นให้เธอหัวเราะเสียหน่อย
“ทายซิใครเอ่ย? “ ฉันแกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อย หนูเล็กรีบดึงมือฉันให้เปิดตาเธอใหญ่ ฉันยิ่งปิดตาเธอเหนียวแน่นขึ้น พร้อมกับส่ายหัวเธอไปมาอย่างสนุกสนาน “ถ้าไม่ตอบว่าฉันเป็นใครฉันไม่ปล่อยนะ” ฉันแกล้ง
“นี่! ปล่อยฉันนะ!!” หนูเล็ก ร้องเสียงดัง ทำเอาคนทั้งร้านอาหารมองฉันใหญ่ เฮ้ๆ เสียงหนูเล็กเปลี่ยนไปนะ แล้วทำไมต้องตะคอกฉันขนาดนี้ด้วยละ เอาละฉันจะปล่อยก็ได้
“สิดี ตายแล้ว! ฉันอยู่นี่” นั่นเสียงใครน่ะ ฉันหันไปมองตามเสียง ก็เห็นหนูเล็ก กำลังโบกไม้โบกมือเรียกฉันจากอีกฟากของร้านอาหาร ที่สำคัญเธอไม่ได้ใส่ชุดสีม่วง...
แย้กกกกกกกกก!!!!! แล้วนี่ใครกันที่ฉันปิดตาอยู่ล่ะ เธอคนนี้เริ่มดิ้นพล่านใหญ่ “ฉันบอกให้ปล่อย!!! เธอคำรามหนักขึ้น
ฉันจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย! โอ๊ย! ฉันมันบ้าจริงๆ แต่แล้วความคิดดีดีก็แล่นเข้ามา “เอ่อคุณคะ” ฉันเริ่มทำเสียงให้ดูน่าตื่นเต้น “คือ นี่เป็นอภินันทนาการจากคนที่คุณรออยู่น่ะค่ะ ขอให้คุณหลับตา จนกว่าเขาจะมาบอกคุณด้วยตัวเองให้เปิดตานะคะ”
เธอคนนั้นหยุดดิ้นทันที ฉันนี่ฉลาดของแท้! “จริงหรือคะ” เธอถามฉันเสียงนุ่มนวล
“จะ....จริงสิคะ เดี๋ยวดิฉันจะเอามือออก แต่คุณต้องหลับตาไว้นะคะ” ฉันสั่งอีก
เธอคนนี้ก็แสนจะว่านอนสอนง่าย รีบพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ค่ะๆ ขอบคุณคุณมากนะคะ” แน่ะ มีขอบคุณฉันอีก จากนั้นฉันก็ปล่อยมือออก แล้วรีบเดินอย่างเร็วที่สุดไปหาหนูเล็ก ฉันได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ถือโอกาสนี้เป็นการเสริมสร้างการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วกัน
“เธอทำอะไรน่ะสิดี คิดว่าเป็นฉันหรือไงกัน” หนูเล็กถามพลางหัวเราะคิกคัก เฮ้อ ก็ยังดีนะ ที่หัวเราะได้
“ก็แหม เธอบอกฉันเองนี่นา ว่าจะใส่ชุดสีม่วง” ฉันพูดอย่างตำหนิ “ดีนะที่เก้าอี้ตัวนี้นั่งหันหลังให้เธอคนนั้น”
หนูเล็กยังหัวเราะไม่เลิก “ฉันเลิกเศร้าแล้วละ เออนี่เธอคนนั้นยังหลับตาอยู่เลยนะ อู้ว้าว แฟนเธอมาแล้วล่ะหล่อชะมัด รู้สึกกำลังงงนะว่าเกิดอะไรขึ้น” แล้วก็หัวเราะต่อไป
“เออช่างเขาเถอะ มาพูดเรื่องของเธอดีกว่า” ฉันรีบเข้าประเด็น
แล้วหนูเล็กก็ยิ้มให้ฉัน หน้าตาดูมีความสุขมาก รับกับชุดสีส้มสดใสที่เธอใส่ สภาพไม่เหมือนคนที่พึ่งอกหักมาเลย
“ฉันทำใจได้แล้วล่ะ” เธอตอบอย่างร่าเริง
หา! อะไรนะ? หมายความว่า เธอจะเลิกมองผู้ชายแล้วเหรอ เยี่ยม! ฉันมีเพื่อนร่วมผ่อนบ้านที่คานทองนิเวศน์แล้ว!!!
“ฉันพบคนใหม่แล้ว” แล้วเธอก็จิบน้ำส้มอย่างสบายๆ อ้าว ฉัน ด่วนสรุปไปจริงๆ
“แต่หนูเล็ก เธอก็รู้นี่ ว่าเธอเจ็บจากผู้ชายมาหลายครั้งแล้ว เธอยังจะ....” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วทำไมล่ะสิดี นั่นก็หมายความว่าฉันกำลังเดินทางตามหาจุดหมายอยู่อย่างไรล่ะ ระหว่างทางเราก็ต้องคอยเลือกสิ่งที่ดีที่สุด แล้วพอรู้ว่าไม่ใช่ เราก็ต้องปล่อยไป แต่ในที่สุด เราก็พบสิ่งที่ใช่ นั่นละจุดหมายที่ฉันว่า “no pain no gain”  เธอเคยได้ยินไหมสิดี”
“แต่หนูเล็ก คำคมที่เธอว่ามันใช้กับการทำธุรกิจนะ เธอจะเอาหัวใจมาล้อเล่นไม่ได้นะ โอ้ไม่! อย่าบอกนะ หนูเล็ก ว่า
เธอเจอคนที่เป็น “จุดหมาย” แล้ว” ฉันถามอย่างตกใจ เพราะตลอดเวลาที่หนูเล็กมีแฟนมา เธอไม่เคยบอกฉันว่าคนคนนั้นเป็นจุดหมายของเธอเลย
หนูเล็กยิ้มให้ฉันอย่างมีความสุข ฉันเกลียดจริงๆรอยยิ้มอย่างนั้น ไม่ใช่ฉันอิจฉาคนที่มีความสุขหรอกนะ แต่มันหมายความว่า คือฉันกลัวว่า....ไม่มีใครร่วมผ่อนบ้านด้วยน่ะ
“ใช่” หนูเล็กตอบฉันสั้นๆ แต่ได้ใจความ
โอ๊ย! ทำไมอยู่ดีดีฉันเกิดอิจฉาเธอขึ้นมานะ ไม่ไม่ไม่ ฉันต้องยึดอุดมคติต่อไป ฉันต้องโสด!
หนูเล็กคงสังเกตเห็นความตกใจจากสีหน้าของฉัน “เธอเป็นอะไรหรือสิดี” หล่อนถาม
ฉันจึงรีบดึงสติคืนมา “เอ่อ เปล่า แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าเจอคนที่ใช่แล้วล่ะ เขาเป็นคนยังไงเหรอ” พูดจบหนูเล็กก็ตาลอยขึ้นมา
คำถามนี้คงจะถูกใจหล่อนไม่น้อย เพราะหนูเล็กมีประกายตาวาว สีหน้าเปี่ยมสุขเป็นที่สุด “เขาดีพร้อมทุกอย่างเลยละ หน้าตาดี มีฐานะ ชาติตระกูลก็ดี นิสัยก็อ่อนโยน......” แล้วเธอก็พร่ำพรรณนาคุณสมบัติของตาคนนั้นต่อไป
ฉันอดทนฟังไปได้นิดหนึ่งก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจชอบกล จึงต้องขัดเธอขึ้นมา “เดี๋ยว หนูเล็ก เขาอาจจะพร้อมอย่างที่เธอว่าก็จริงนะ แต่รู้ได้ยังไงว่าเขาก็รักเธอ แล้วรู้ได้ไงว่าเขาเป็นบุพเพวาสนาของเธอ” ฉันถามตรงประเด็น จนหนูเล็กเลิกฝัน หันมามองฉันอย่างไม่พอใจ
“ฉันก็ยังไม่รู้หรอก” เธอตอบ หา? อะไรนะ แล้วที่พูดมาเมื่อกี้คืออะไรล่ะ
“ฉันแค่เจอเขาเพราะเขาพาคุณแม่ มาตัดเสื้อผ้าที่ร้านฉันน่ะสิ” อ่านะ หนูเล็กเผยความจริงเสียที หนูเล็กเป็นดีไซเนอร์ เปิดห้องเสื้อเล็กๆเป็นของตัวเองน่ะ
ฉันสำลักน้ำ “แล้วเธอกล้าพูดเลยหรือว่าเขาเป็นจุดหมายของเธอ แค่เจอเขาเนี่ยนะ มีโอกาสสร้างสัมพันธ์กันรึยังล่ะ อ้า เธอจะบอกล่ะสิว่ายังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แค่มองเขาภายนอก เธอก็ด่วนสรุปอย่างนั้นเลยหรือหนูเล็ก ทำไมเธอยังตาบอดเรื่องผู้ชายอยู่อีกเล่า เลิกเถอะ เธอต้องยอมรับว่ารักแท้ไม่ได้หาเจอกันง่ายๆนะ”
คำพูดของฉันคงจะแรงไป ทำเอาหนูเล็กชักสีหน้า รู้เลยว่าไม่พอใจ “สิดี เธอไมีค้องมาพูดเลย เธอน่ะมันพวกไร้หัวจิตหัวใจ เธอเลิกฝันได้เลยนะ เรื่องจะเอาฉันไปผ่อนบ้านคานทองกับเธอน่ะ เธอมันบ้าไปแล้ว มีผู้หญิงที่ไหนไม่คิดจะแต่งงานบ้างล่ะ"
คำพูดของเพื่อนรักทำเอาฉันพูดไม่ออก ฉันเลยได้แต่จ้องหล่อนนิ่งๆ นี่ท้ายที่สุด ฉันก็ต้องผ่อนบ้านคเดียวสินะ
แล้วหนูเล็กก็เริ่มสั่งสอนฉันบ้าง "คนที่ไม่ยอมรับความจริงน่ะคือเธอต่างหาก เธอกลัวเจ็บ เธอไม่รู้จักหรอกว่าความรักเป็นยังไงแล้วทำมาพูดสั่งสอนคนอื่น เธอน่ะ รักใครไม่เป็น ....”
อะไรนะ! การที่ฉันไม่สนผู้ชาย ไม่ได้แปลว่าฉันไม่มีหัวจิตหัวใจนะ หนูเล็กพูดเกินไปแล้ว
“หนูเล็ก! เธอน่ะคิดหรือว่ารักแรกพบมันมีจริง เธอก็พวกอยู่แต่ในความฝัน เธอไม่เคยรับรู้หรอกว่าเวลาต้องจากคนที่เรารัก มันเป็นอย่างไร ฉันนี่ไงล่ะ ฉันต้องจากพ่อที่ฉันรักมาแล้ว ฉันเห็นแม่เจ็บปวด ฉันก็เจ็บปวด นั่นละ สิ่งที่ความรักให้กับเรา” ฉันเถียงเธอด้วยความโมโห แต่หนูเล็กกลับมองฉันอย่างสงบ
แล้วหล่อนก็เยกมือเรียวยาวนั่นมาลูบหลังมือฉัน “สิดี รู้ไหม ว่าสิ่งที่เธอต้องการคืออะไร” หนูเล็กถามเสียงอ่อนโยน ยื่นมือมาลูบฝ่ามือของฉัน
“อะไรล่ะ” ฉันถามเสียงสะบัด
“เธอต้องการรักแท้สักคน” หนูเล็กเฉลย
นี่ฉันพูดภาษาอาราบิกให้หนูเล็กฟังหรือไงเธอถึงยังไม่เข้าใจ ที่ฉันพูดมาทั้งหมดไม่ใช่เพราะฉันต้องการสื่อหรือว่า ฉันไม่ต้องการผู้ชาย
“หนูเล็ก รักแท้ของฉันคือแม่คนเดียวเท่านั้น ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” แล้วฉันก็ลุกพรวดไปเข้าห้องน้ำทีนที
ฉันอยากจะร้องไห้จริงๆ ทำไมต้องหาว่าฉันเป็นคนไม่มีหัวใจ ใช่ฉันกลัวเจ็บอีก หลังจากเสียพ่อไป ฉันตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้ ฉันจะไม่มีแฟน เพราะความเจ็บปวด เนื่องจากคนที่เรารักมันไม่สามารถหาอะไรเยียวยาได้เลย แล้วทำไมหนูเล็กยังสนับสนุนให้ฉันหารักแท้อีก ไม่มีใครเข้าใจฉันเลยรึไงกัน แม่ก็ถามฉันว่าเมื่อไรจะมีแฟน ทุกคนคิดว่า ความรักมันสวยงามขนาดนั้นเลยหรือ ในเมื่อทุกคนก็ได้เจอพิษสงของมันแล้วนี่ ฉันแค่อยากมีความสุขตลอดไป ในวันข้างหน้าแค่คิดว่าฉันต้องร้องไห้กับการจากไปของแม่อีกคน ก็แย่พออยู่แล้ว ฉันไม่คิดว่าจะทนได้หรอก ถ้าต้องร้องไห้ให้ใครอีก
“ขอโทษครับนี้ห้องน้ำผู้ชาย” มีเสียงคนพูดขึ้น จะมาบอกฉันทำไมล่ะ ก็ฉันเข้าห้องน้ำผู้หญิงอยู่นี่ไง
“คุณครับ อ้าว คุณสิดี “ เสียงผู้ชายคนเดิม พูดขึ้นอีก แล้วจูงฉันออกมาจากห้องน้ำ เฮ้ๆ เขานั่นแหละ เข้าห้องน้ำผิด แล้วเขารู้จักชื่อฉันได้ไงน่ะ
“อ้าวคุณนรนิทร์” ฉันทักเขาเสียงเศร้าสร้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นว่าเป็นใคร “เข้าห้องน้ำผิดหรือคะ” ฉันถามต่อ
ท่านประธาน มองฉันอย่างไม่พอใจ “คุณนั่นแหละเข้าห้องน้ำผิด ดูป้ายสิ”
แล้วฉันก็หันไปมอง โอ๊ย! ฉันเป็นบ้าอะไรกันนะ
“ค่ะฉันขอโทษ ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบหันหลังกลับจะเข้าห้องน้ำหญิง ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาทักทายเขาหรอก
แต่มือเขาฉุดแขนฉันรั้งเอาไว้ “คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะ แล้วทำไมดูเศร้าๆพิกล”
ฉันหันไปมองเขาพร้อมทำหน้าไม่พอใจบ้าง “ฉันปวดชิ้งฉ่องค่ะ ขอตัวนะคะ” นั่นละทำให้เขาปล่อยฉันไป
วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะ ตั้งแต่ทักคนผิด โดนหนูเล็กจี้ใจดำ เข้าห้องน้ำชายต่อหน้าเจ้านายตัวเอง
พอฉันออกมาจากห้องน้ำ ก็พบท่านประธานยังคงยืนอยู่หน้าห้องน้ำชาย
“อ้าว รอลูกค้าหรือคะ “ ฉันถาม
เขาเลิกคิ้ว “ผมรอคุณนั่นแหละ คุณเป็นอะไรไปน่ะคุณสิดี ผมว่าถ้าคุณยังไม่อยากเข้าไปข้างในเหมือนผม เราก็ออกไปตรงระเบียงกันหน่อยไหมล่ะ” เขาชวนฉัน
อะไรกัน ทำไมสถานการณ์แบบนี้ ดูเหมือน คุณนรินทร์จะกลายเป็นคนที่เข้าใจฉันแทน
ฉันคิดนิดนหนึ่ง “ไปสิคะ” ฉันตอบตกลงสีหน้ายังคงบึ้งตึง
แล้วเรา 2 คนก็มายืนรับลมตรงระเบียง ทำให้ฉันรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น
“คุณมาทำอะไรล่ะ” คุณนรินทร์ถามเสียงนุ่ม
ฉันยังคงมองไปข้างหน้า เห็นสีสันต่างๆจากแสงไฟของตึกระฟ้าทั่วกรุงเทพฯ แต่สายตาของฉันก็รับรู้ว่า คุณนรินทร์ยังคงจ้องมองฉันอยู่
“นัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ แล้วคุณล่ะคะ” ฉันถามกลับบ้าง จริงๆก็ยังไม่อยากถามหรอก ไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น แต่กลัวเสียมารยาท กลัวถูกไล่ออกน่ะ
“ก็น่าจะรู้นี่ คุณแจ้งผมเองเลยนะ” เขาพูด
มาแบบนี้อีกละ ฉันจะไปรู้เรื่องส่วนตัวของเขาได้อย่างไรกัน
“นัดช่างซ่อมแอร์ไว้เหรอคะ “ ฉันถามหยอกๆ แล้วแสร้งหัวเราะ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“นัดบอดไง คุณนี่ ยังไงกัน แต่ผมว่าคุณต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ” เขายังคงพล่ามต่อ
เออใช่ เขามีนัดบอดนี่นาลื มไปเลย สงสัยไม่ถูกใจผู้หญิงแน่ๆ เลยแอบหนีมาอย่างนี้ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของพวกกำลังเดินทางหาจุดหมาย ตามนิยามรักแท้ของหนูเล็ก
“ฉันไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณต่างหากล่ะคะที่มี” แล้วฉันก็หันกลับไปมองเขา “จริงไหมคะ”
เขาทำท่ากระอักกระอ่วน “เรื่องของผม” เขาพูดเสียงแข็ง
“เรื่อของฉันเหมือนกันค่ะ” ฉันตอบเรียบๆ แล้วหันไปมองวิวข้างหน้าต่อ สงสัยฉันคงสร้างความไม่พอใจให้เขา เพราะเห็นเขาจ้องฉันอีกสักพัก แล้วหันไปมองวิวข้างหน้าเช่นกัน จากนั้น เราทั้งสองก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรกัน แต่แล้วแล้วคุณนรินทร์ก็ทำลายความเงียบขึ้น
“ถ้าเรา 2 คนเจอกันข้างนอก ที่ไม่ใช่เวลาทำงาน คุณเรียกผมว่า นรินทร์เฉยๆก็ได้นะ”
มาทำใจดีอะไรตอนนี้ล่ะเนี่ย “ค่ะ คุณนรินทร์” ฉันตอบ
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าให้เรียก...” เขากำชับต่อ
“อ้อใช่ลืมตัว นรินทร์ เฉยๆ” ฉันแก้ให้ถูก
“ไม่ต้องมีเฉยๆ” เขาท้วงอีก คราวนี้เสียงดุ
ฉันหัวเราทันที “จะให้ฉันเรียกคุณว่า นรินทร์ เนี่ยนะ” ฉันตกใจ เพราะมันดูสนิทเกินไป
“ใช่ ไหนลองเรียกซิ” เขาทดสอบ
เหอๆ ตานี่ ทำไมต้องยุ่งยากกับเรื่องแค่นี้ด้วยนะ “ค่ะ นรินทร์” ฉันพูดแบบกระดากปาก
แล้วเขาก็ยิ้มอย่างผู้มีชัย “ดีมาก ผมก็จะเรียกคุณว่า สิดี นะ เอาละผมคงต้องไปแล้ว”
เฮ้ๆ ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลยนะเรื่องชื่อฉันน่ะ “อ่า ดิฉันก็ต้องไปเหมือนกันค่ะ เพื่อนคงรอนานแล้ว”
แล้วเรา 2 คนก็เดินเข้าห้องอาหารพร้อมกัน ฉันมองไปที่โต๊ะที่หนูเล็กนั่งอยู่ แต่ตอนนี้เธอหายไปแล้ว น่าแปลกที่ฉันรู้สึกดีใจพิกล เอาเถอะ เราสองคนไม่เคยโกรธกันนานเกินวันเดียวสักที
“สงสัยเพื่อนฉันกลับไปแล้วล่ะค่ะ งถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะคะ” ฉันบอกคุณนรินทร์ที่ตอนนี้ยังยืนอยู่ข้างฉัน
แล้วฉันก็สังเกตได้ว่า เขามองฉันกลับมาอย่างเจ้าเล่ห์ชอบกล ดวงตาของเขามีแววประหลาดฉายขึ้น จากนั้นคุณนรินทร์ก็ยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน
“คุณมากับผมหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวผมไปส่ง แล้วก็เงียบไว้เลยนะไม่ต้องพูดอะไร”
ฉันยังไม่ทันจะตั้งตัว เขาก็รวบเอวฉันไว้ พร้อมกันพาฉันไปที่โต๊ะซึ่งสาวนัดบอดของเขานั่งอยู่ แต่ที่น่าตกใจ ไม่ใช่เรื่องที่ฉันกำลังงงว่าเขาจะทำอะไร แต่คือสาวนัดบอดของเขาน่ะสิเป็นหญิงชุดม่วงที่ฉันทักผิดว่าเป็นหนูเล็ก!!!ฉันมองเธอเลิกลั่ก
“ขอโทษนะครับคุณพลอย แต่ผมบังเอิญพบแฟนที่นี่ ผมคงต้องไปส่งเธอก่อนนะครับ ลาก่อนครับ” คุณนรินทร์พูดกับคู่นัดบอดของเขาเร็วจี๋
นั่นมันแย่ที่สุดเลยนะ!!! ทำไมฉันต้องทำบาปซ้อนด้วย ฉันทำให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใจผิด 2 ครั้งเลยนะ แล้วฉันเนี่ยนะแฟนคุณนรินทร์ แค่ล้อเล่นฉันก็อยากจะอาเจียนแล้ว ฉันมองผู้หญิงคนนี้ด้วยความตกใจ แล้วรีบสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนคุณนรินทร์แต่คุณนรินทร์ก็คว้าตัวฉันมาอีกจนได้
“อะไรนะคะ? คุณคงจะล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ” สาวคนนั้นยังคงไม่เชื่อ มองฉันด้วยสายตารังเกียจ คงไม่รู้หรอกนะว่าฉันทำอะไรกับเธอไว้
“ผมจะล้อเล่นทำไมครับ ขอตัวก่อนนะครับ ไปกันเถอะที่รัก” แล้วเขาก็หันมายิ้มให้ฉัน
ฉันทำหน้าอยากจะแหวะใครเป็นที่รักของเขากัน เป็นแค่เลขาก็ปวดหัวจะแย่ แล้วคุณนรินทร์ก็ลากตัวฉันออกจากร้านอาหารไป ปล่อยให้เธอคนนั้นนั่งโมโหอยู่คนเดียว
พอออกมานอกร้าน ฉันก็สะบัดตัวออกจากเขาแล้วผลักเขาออกไป “คุณเป็นบ้าอะไรกันเนี่ย!” ฉันโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง คนแถวนั้นมองกันเต็ม คุณนรินทร์ไม่ยืนเถียงฉันให้โง่ แต่กลับผลักฉันเข้าไปในรถของเขา
“ฉันไม่เป็นแฟนคุณนะ ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ฉันโวยวายพร้อมเอากระเป๋าฟาดเขาในรถ ให้ตายสิฉันนี่ เอะอะก็ฟาดกระเป๋า ลืมไปหรือไงว่านั่นน่ะเจ้านายตัวเอง
คุณนรินทร์จับแขนฉันไว้ทัน “ผมก็ไม่อยากเป็นแฟนกับคุณหรอกน่า! ผมใช้คุณเพื่อจะได้หลุดออกมาจากการนัดบอด เข้าใจไหม!”
อ๋อ ใช่สิ เห็นฉันเป็นตัวอะไรล่ะนี่ “ฉันไม่ใช่กันชนให้คุณนะคุณนรินทร์” ฉันคำรามต่อไป
แต่เขารีบสตาร์ทรถ “ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้ 20%” เขาพูดเสียงเฉียบ
ฉันหุบปากเลิกโมโหทันที 20 เลยหรือ อืม แต่เขาคงยังไม่รู้สิเนี่ยว่าฉันเป็นคนบอกให้เธอปิดตา ฉันว่า ฉันหุบปากไว้ดีกว่านะ เดี๋ยวอดเพิ่มเงินเดือน
“บ้านคุณอยู่ไหนล่ะ” เขาถาม
“หมู่บ้าน...ค่ะ” ฉันตอบ “เอ่อ คุณนรินทร์คะ เธอคนนั้นไม่ดีตรงไหนหรือคะ คุณถึงไม่อยากอยู่ต่อ” ฉันกล้าถามไปได้อย่างไรกัน แต่ก็พอจะรู้คำตอบนะ เธอออกจะงี่เง่าเสียหน่อยที่เชื่อฉันง่ายๆแบบนั้น
เขานิ่งไปสักพัก “เอาละคุณคงสงสัยมานาน ผมจะบอกให้เคลียร์เลยนะ ผมต้องทำตามคำสั่งคุณแม่ แค่นั้นแหละ แต่ผมไม่มีวันลงเอยกับใครหรอก เพราะผมจะเป็นโสด”
หา!!!!!!! “แปลว่า คุณจะมาร่วมผ่อนบ้านคานทองกับฉันใช่ไหมคะ” ฉันถามเสียงดีใจ ลืมไปว่าตัวเองพูดอะไรออกไป
ฉันนึกว่าจะโดนคำรามใส่ แต่เขากลับหัวเราะ “คุณก็ดาวน์ไว้เหมือนกันเหรอ คานทองนิเวศน์นั่นน่ะ”
โอ้ว เขาดาวน์ไว้เหรอเนี่ย แน่ละ ใครๆก็รู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง
“แล้วใครจะรับช่วงดูแลบริษัทต่อไปล่ะคะ” ฉันถามอย่างสงสัย
“ก็นั่นล่ะ ที่คุณแม่ผมห่วง เลยต้องนัดบอดให้ผม แต่คุณคงไม่รู้นะว่าผมมีน้องชาย เขาเรียนอยู่ต่างประเทศ”
ฉันเงียบ พูดอะไรไม่ออก
“ทำไมคุณอยากเป็นโสดละ” อยู่ดีดีเขาก็ถามฉัน
ฉันไม่อยากบอกเลย ฉันไม่ชอบเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังนักหรอก แต่เขาอาจจะเข้าใจก็ได้นะ “ฉันไม่อยากเจ็บปวดเวลาต้องจากใครไปอีกน่ะค่ะ ฉันเคยเจ็บปวดตอนเสียพ่อไปแล้ว ฉันว่าฉันพอแล้วค่ะ”
เขาขับรถมาติดไฟแดงพอดี คุณนรินทร์หันมามองฉัน ดวงตาดูเป็นมิตรกว่าที่เคย “เหมือนกัน แต่ของผมแค่ไม่อยากเสียใครไปอีก” แล้วเขาก็นิ่งไปสักพักหนึ่ง นี่นับเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เราคุยกันเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน แล้วเขาก็พูดเรื่องส่วนตัวให้ฉันฟังด้วย
“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลยนะ” เขาพูดและนั่นเป็นประโยคสุดท้ายของคืนนั้นที่เราได้คุยกัน
อย่างไรก็เถอะ อย่าลืม 20% นะคะท่าน



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2555, 23:32:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2555, 23:32:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1917





<< โทรศัพท์   เรื่องใหญ่ >>
Auuuu 24 มี.ค. 2555, 23:45:57 น.
ไม่ใช่ว่าเพื่อนสิดีชอบพระเอกนะ ...
พระเอกนี่แบบว่า แก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากมาย ฮ่าๆๆ คาดว่าปัญหาตามมาแน่ๆๆ คุณแม่นี่ละคนนึงละ (_ _")

อยากให้เว้นบรรทัดบ้างอ่ะค่ะ อ่านยากเล็กน้อย แหะๆ


ลายเส้น 24 มี.ค. 2555, 23:49:38 น.
อ่อ โอเคค่ะ ได้ค่ะ วันนี้รีบ อิอิ


konhin 25 มี.ค. 2555, 02:02:46 น.
งกซะงั้น


คิมหันตุ์ 25 มี.ค. 2555, 03:58:40 น.
20% อืมน่าสนใจ


Kapoh 25 มี.ค. 2555, 10:15:36 น.
อย่าลืมชินจังเล่มใหม่นะคะ ^^


ling 25 มี.ค. 2555, 15:51:12 น.
ต๊องได้ใจจริงๆคู่นี้


wane 28 มี.ค. 2555, 07:58:58 น.
สนุกดีค๊า ...นางเอกฮามากกกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account