รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน

เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้

Tags: ฤดูหนาว

ตอน: ตอนที่ ๑๒ รัก...ไม่อาจห้ามใจ

ตอนที่ ๑๒

หลังทุกอย่างคลี่คลาย วัสนางค์จึงชวนเพื่อนสาวกลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้งและมันก็เป็นจังหวะเดียวกับเวลาการเยี่ยมคนไข้ห้องพิเศษมาถึงพอดี

ทั้งสองเข้าไปเยี่ยมรติกร พร้อมกับจอมทัพและเมยาวีที่เข้าไปก่อนหน้า ก่อนจะหมดเวลาคนทั้งหมดก็พากันออกจากห้องนั้น

เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าห้องพวกเขาได้หันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรเพราะจากที่ดูอาการของรติกรเหมือนว่าจะย่ำแย่เป็นที่สุด นอกจากเธอจะนอนไม่ได้สติแล้ว แผลบนตัวและที่ศีรษะของรติกรที่อาจจะเป็นผลทำให้เธอความจำเสื่อมก็ได้

จอมทัพเอาแต่โทษตัวเอง ที่พาเธอมาจนได้รับอุบัติเหตุในครั้งนี้ จนเมยาวีต้องเข้าไปปลอบเขาและโทษตัวเอง จนกลายเป็นว่า ปลอบกันไปปลอบกันมาอยู่เช่นนั้น

“แล้วนี่จะเอายังไงกันดีล่ะนี่” วัสนางค์เอ่ยขึ้น เธอหันมองคนทั้งหมดในกลุ่มเหมือนจะปรึกษาและขอความเห็น

“ผมว่าจะย้ายคุณรติไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ ครับ เพราะใกล้บ้านของเธอ คนในครอบครัวของเธอจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย” จอมทัพออกความเห็นด้วยใบหน้าเศร้าๆ

“แต่เหมยว่ายังไม่เหมาะที่จะย้ายคุณรติในตอนนี้นะคะ รอให้เธอฟื้นก่อนไม่ดีกว่าหรือคะ”

“แต่ทางครอบครัวของคุณรติจะต้องรู้เรื่องนี้นะครับ”

“เราก็โทรไปแจ้งก็ได้นี่คะ รอให้คุณรติฟื้นก่อนไม่ดีกว่าหรือคะแล้วค่อยส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลทางกรุงเทพฯ” วัสนางค์ให้ความเห็นและเห็นด้วยกับที่เพื่อนสาวพูด

“ใช่ค่ะ...อย่างน้อยก็ให้คุณรติรู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน เผื่ออะไรไม่ร้ายแรงอย่างที่เราคิดอย่างไรล่ะคะ” มณีกานดาให้ความเห็นในที่สุด

“เรื่องค่าใช้จ่าย คุณจอมไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เหมยจะเป็นคนรับผิดชอบเองค่ะ”

“จะดีหรือครับ เรื่องนี้ผมว่าผมจะจัดการเอง ไม่อยากจะรบกวนคุณเหมย”

“ไม่ดีหรอกค่ะ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นที่ไร่ของเหมย เหมยก็ควรจะรับผิดชอบสิคะ”

ทั้งสองหันมามองหน้ากันและเถียงกันถึงเรื่องค่าใช้จ่ายและดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยอมใครเสียด้วย จึงต้องเป็นภาระให้วัสนางค์ต้องแทรกขึ้นมาอีกครั้ง

“เอาเป็นว่า ในเมื่อไม่มีใครยอม ก็ให้ช่วยกันหารคนละครึ่งจะดีกว่านะ นะคะคุณจอมทัพ”

“เอ่อ...ก็ดีครับ” ชายหนุ่มเห็นด้วยก่อนจะหันมาทางเมยาวีที่กำลังมองมาที่เขาอยู่เช่นกัน

“ว่าอย่างไรครับคุณเหมย”

“ก็ได้ค่ะ...คนละครึ่งก็คนละครึ่ง”

/////

ปุณชิกาเดินมาหยุดที่สวนตรงจุดเดิมซึ่งเมื่อวานชัยได้พาเธอมานั่งและมองภาพสวยของท้องทุ่งดอกไม้ในไร่ศีตกรรณด้วยความรู้สึกที่ว้าวุ่นในหัวใจ

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย มันเหมือนจะวุ่นวายยิ่งนัก จนอดที่จะทำให้เธอคิดสับสนไปด้วยไม่ได้ มันรวดเร็วเกินไปจนเธอตั้งตัวไม่ติดและมันก็ร้ายแรงจนบางครั้งเธอก็อดที่จะบอกกับตัวเองว่าตนรับมันไม่ได้เหมือนกัน
เธอจำได้ว่าตอนนั้นตกน้ำไปพร้อมกับรติกร แต่เพราะได้สำลักและกลืนน้ำไปหลายอึก จนทำให้ภาพทั้งหมดฝ่ามัว แล้วสติทั้งหมดก็ขาดผึงไป ตราบจนชัยได้ช่วยแก้ไขให้เธอฟื้นขึ้นมานั่นแหละเธอจึงได้รู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นคืออะไร

แล้วรติกรล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายถึงได้ยังไม่ได้สติฟื้นคืนมาอย่างกับเธอและดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ร้ายแรงเสียด้วยสิ

ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกกลัว ที่แห่งนี้มันเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวแอบแฝงอยู่และเธอก็เชื่อ สิ่งนั้นอาจจะคอยทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็เป็นได้

เธอทรุดกายลงนั่งบนหินก้อนใหญ่ ไม่อยากจะเชื่อสักนิดเพียงแค่ไม่กี่วันที่มาถึงที่นี่ มันได้เกิดเรื่องราวหลายอย่างจนสับสน เช่นในเวลานี้ท้องทุ่งดอกไม้ที่สวยงามมันเหมือนจะมีมนต์ร้ายอะไรสักอย่างเคลือบแฝงอยู่จนน่ากลัว

คิดแล้วเธอก็เริ่มลังเล เมื่อเป็นเช่นนั้น เห็นทีเธอควรจะชวนจอมทัพกลับกรุงเทพฯ สักที

“คิดอะไรอยู่หรือครับ คุณปูเป้” เสียงนั้น ทำให้ร่างบางซึ่งอยู่กับความคิดสะดุ้งและดึงตัวเองออกจากภวังค์ในทันที

“เอ่อ...นายชัย”

ชัยขยับเข้ามานั่งเคียงข้างกับหญิงสาว พร้อมกับมองที่กรอบหน้าสวยของเธออย่างสงสัย “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณปูเป้”

“เปล่า...ไม่มีอะไร” เธอปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความค้างคา

“แต่หน้าของคุณฟ้องอยู่นะครับ”

“ฟ้อง มันฟ้องว่ายังไง” เริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายคาดคั้นเอาจากเธออย่างกับเป็นนักโทษ

“ก็ฟ้องว่า เวลานี้ คุณเหมือนจะมีเรื่องหนักใจอะไรบางอย่าง ให้คิดวิตกอย่างไรล่ะครับ”

ใช่...สิ่งที่ชัยพูดมันก็ถูก หญิงสาวก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ที่สำคัญ ในเวลานี้เธออยากจะให้
ใครสักคนช่วยรับฟังและคนนั้นก็เห็นจะไม่ใช่ใครนอกจากเขา

“เอ่อ...ฉันกำลังคิดว่า ที่สวนดอกไม้แห่งนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว”

“หืม...อะไรหรือครับ”

ยิ่งเธอพูดชัยก็ยิ่งงง ทว่ากรอบหน้าสวยกลับนิ่งเงียบและเธอก็ทอดสายตามองไปยังท้องทุ่งกว้างเบื้องหน้าอย่างค้นหา

“อะไรหรือครับที่คุณปูเป้คิดว่าน่ากลัว”

“ไม่รู้...” เธอส่ายหน้า ก่อนจะหันมาทางเขาที่นั่งมองหน้าของเธออยู่ก่อนแล้ว เธอขมวดคิ้วมองชัยอย่างค้นหาอีกเช่นกัน

“แต่ฉันรู้สึกเช่นนั้น และมันอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ได้”

“แล้วอะไรล่ะครับ ที่ทำให้คุณคิดเช่นนั้นน่ะ”

“ก็ในระหว่างที่ฉันและพี่จอมมาที่นี่ มันได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน” เธอคิดเช่นนั้นจริงๆ ทว่าชัยกลับคิดว่าเธอกำลังคิดหนักกับเรื่องเมื่อตอนกลางวันอยู่อย่างแน่นอน

“ผมว่าคุณปูเป้คิดมากไปจริงๆ ครับ”

“แต่ฉันไม่ได้คิดไปเองนะ เพราะมันมีหลายสิ่งหลายอย่างทำให้ฉันต้องคิด”

“แล้วอะไรล่ะครับ ที่ทำให้คุณคิด”

“ก็...ฉันบอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าฉันก็ไม่รู้ แต่ความรู้สึกมันบอกฉันเช่นนั้น”

สุดท้าย คำตอบที่เธอคิดว่าดีที่สุดและให้เขาได้เชื่อในสิ่งที่เธอคิดนั้นกลับไม่มี ปุณชิกาพาตัวเองเข้าสู่ความเงียบอีกครั้งและมันก็เป็นความเงียบที่ชัยก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเกิดขึ้นกับคนอย่างปุณชิกา

เขามองกรอบหน้าที่เคร่งเครียดนั้นก็ยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบเหล่านั้น

“ผมว่าคุณปูเป้กำลังเครียดกับเรื่องนี้จริงๆ เอาเป็นว่าผมจะพาคุณไปที่ที่หนึ่ง เผื่อมันจะทำให้คุณผ่อนคลายบ้าง ตามผมมาสิครับ”

เขาลุกขึ้นและไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปคว้ามือบางให้ลุกตามไปด้วย ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาเช่นทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะว่าในเวลานี้ปุณชิกากำลังสับสนอยู่ เมื่อเขายื่นข้อเสนอเพื่อจะให้เธอผ่อนคลาย เธอจึงตามเขาไป

///////

ชัยพาปุณชิกาเข้ามายังโรงเรือนเลี้ยงกล้วยไม้ ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก ภาพดอกกล้วยไม้ที่พากันบานสะพรั่งและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของพวกมัน ทำให้ปุณชิกายิ้มและลืมเรื่องที่กำลังคิดหนักไปได้

“สวยจังนายชัย เยอะด้วย”

“ยังมีเยอะกว่านี้อีกครับ อยู่ข้างในสวนนู้นแหละครับ ที่นี่เป็นแค่เพียงแหล่งทดลองปลูกเท่านั้น”

ชัยบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปลึกกว่าเดิม ผ่านหมู่กระบะกล้วยไม้ชนิดต่างๆ หลากหลายพันธุ์ แม้บางพันธุ์เธอจะรู้จักและคุ้น แต่ก็ยังมีอีกหลายพันธุ์ที่เธอไม่รู้จักอยู่ดี

เช่นเดียวกับกลิ่นหอมของกล้วยไม้ ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด หญิงสาวรู้สึกสับสนเหมือนตนกำลังยืนอยู่บนดินแดนแห่งสวนกล้วยไม้หรือว่าไร่ศีตกรรณกันแน่

“ที่นี่นายดูแลเองเลยหรือชัย”

“ใช่ครับ...พี่เหมยให้ผมดูแลในส่วนนี้ ให้ผมวิจัยงาน เมื่อสำเร็จก็จะเคลื่อนย้ายไปยังโรงเลี้ยงขนาดใหญ่ที่กลางไร่ครับ”

“งานวิจัย วิจัยอะไร ฉันไม่เข้าใจ” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้เป็นที่สุด

“ก็งานวิจัยเกี่ยวกับเพาะพันธุ์เนื้อเยื่อ คัดแยกและผสมพันธุ์เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่อย่างไรล่ะครับ”

“งานวิจัยทำกล้วยไม้พันธุ์ใหม่”

หญิงสาวสนใจเรื่องนี้เป็นที่สุด ชัยกำลังบอกเธอว่ากล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าที่นี่จะต้องมีกล้วยไม้พันธุ์แปลกๆ ที่เธอไม่เคยเห็นล่ะสิ

“ใช่ครับ...จากการวิจัยเกือบสามปีเต็ม ทำให้ผมและทางไร่ของเราได้กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ถึงสามพันธุ์เลยนะครับ”

“สามพันธุ์ นายนี่เก่งเหมือนกันนะ ชัย”

ชมเขาขนาดนั้น ชัยก็อดที่จะยิ้มเก้อเขินไปด้วยไม่ได้ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เป็นแค่ชิ้นงานที่คิดทำกันเล่นๆ น่ะครับ”

“นี่ขนาดคิดเล่นๆ นะ ยังได้ถึงสามพันธุ์ แล้วถ้าทำกันอย่างจริงจังล่ะ จะได้สักกี่พันธุ์”

“แหม คุณปูเป้ก็พูดเกินไป มาครับ มาทางนี้ดีกว่าครับ”

ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนชัยจะจูงมือหญิงสาวให้ตามเขาไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่วางกระบะของหมู่กล้วยไม้พันธุ์ใหม่

“กล้วยไม้พวกนี้ คุณปูเป้เคยเห็นที่ไหนบ้างครับ”

เขาหันมาเอ่ยถามกับหญิงสาว ซึ่งไม่แปลกเลยที่ปุณชิกาจะเบิกตาอย่างตื่นตะลึง เพราะนอกจากกลิ่นที่หอมแล้ว ลักษณะดอกของมันยังไม่เหมือนกับดอกกล้วยไม้เลยสักนิด

ตรงกันข้าม มันคล้ายกับดอกลีลาวดี เสียมากกว่า

“ไม่...ชัย นี่ใช่ไหมที่นายกำลังจะบอกฉันว่ามันเป็นผลงานของนาย”

เธอตื่นตะลึงเป็นยิ่งนักกับภาพที่เห็น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่กลีบดอกของกล้วยไม้ช่อนั้นอย่างหลงใหล

“เหมือนอย่างกับดอกลีลาวดีเลย นายตั้งชื่อของมันหรือยัง ว่าชื่อพันธุ์อะไร”

“แคทลียา ลีลาวดีครับ”

“แคทลียา ลีลาวดี...”

เธอทวนชื่อนั้นอย่างตื่นตะลึงสุดๆ ใช่ ลำต้นของมันเหมือนกับพันธุ์แคทลียาและดอกของมันก็เหมือนกับดอกของดอกลีลาวดี

“ว้าว...นายนี่เก่งจริงๆ เลยนะ ชัย”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณปูเป้ ยังมีอีกหลายคนที่เก่งกว่าผมเยอะแยะไป” เขาถ่อมตัว ก่อนจะเดินไปยังเสาต้นหนึ่ง หยิบกรรไกตัดดอก มาตัดกล้วยไม้ช่อหนึ่งส่งให้กับหญิงสาว

“ผมให้คุณครับคุณปูเป้ เพราะมันสวยเหมือนคุณเลยและที่สำคัญ ผมก็คิดว่าคุณคงจะชอบมันเหมือนกัน”

“ขอบใจนายมากนะชัย”

ปุณชิกาดีใจเป็นที่สุด กับการได้รับกล้วยไม้ช่อนั้นมาถือเอาไว้ เธอก้มหน้าลงสูดกลิ่นของมันอย่างหลงใหลและชื่นชอบ ขณะชัยก็คลี่ยิ้มบางๆ อย่างดีใจที่เธอยอมรับสิ่งที่เขามอบให้

จากนั้นชัยก็พาปุณชิกาเดินต่อเข้าไป เพื่อให้เธอได้ดูและรู้จักกับโปรเจ็กต์ตัวใหม่ของไร่ศีตกรรณ เพราะนั่นคือกล้วยไม้พันธุ์ล่าสุดที่เขาคิดค้น และใช้ในการเป็นตัวโปรโหมดสวนดอกไม้แห่งนี้

ดูแล้วปุณชิกาจะชอบไม่แพ้กันกับกลิ่นหอมของมันซึ่งคล้ายกับดอกแก้วที่บานและส่งกลิ่นหอมเย็นในยามเช้า พร้อมกับชมเปราะชายหนุ่มถึงความเก่งไม่ขาดปาก

เห็นเธอว่าเช่นนั้นและเริ่มจะสนิทไว้ใจเขามาก ชัยก็ยิ่งรู้สึกดีใจ หลายครั้งที่เขาแอบมองเธอในครั้งที่ก้มลงสูดกลิ่นดอกกล้วยไม้และรอยยิ้มของเธอ เขายอมรับ มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามและน่ารักที่สุด

รัก...มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ยังมีอะไรอีกมาก ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง บางทีแล้ว สำหรับเธอกับเขา มันอาจจะมากไปกว่าความรักเลยก็ว่าได้และเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะรู้สึกแบบเดียวกับที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้หรือไม่...

/////

จอมทัพและเมยาวีกลับมาที่ไร่ศีตกรรณอีกครั้งหนึ่งด้วยใบหน้าที่อิดโรยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะหญิงสาวที่ดูเหมือนว่ากำลังใจทั้งหมดจะเหือดหายไปในทันที เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในสถานที่ของเธอ

ชายหนุ่มเดินมาส่งเจ้าของไร่สาวถึงทางขึ้นตึกหลังใหญ่ เขาส่งยิ้มให้กับเธอ เหมือนจะบอกให้เธอวางใจกับสิ่ง
ที่เกิดขึ้นบ้าง

“เอ่อ...ส่งเหมยแค่นี้ก็ได้ค่ะ คุณก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ” เมยาวีหันมาบอกเขาด้วยสีหน้าเพลียๆ เช่นเดิม แม้จะได้รับรอยยิ้มจากเขาแล้วก็ตาม

“คุณเหมยครับ” หลังเห็นเธอจะหันหลังกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“อะไรคะ” เมยาวีหันกลับมา ดวงตาคู่สวยฉายแววใคร่รู้

“เย็นนี้พอจะว่างมาคุยกับผมไหมครับ ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณ”

“เรื่อง...เรื่องอะไรหรือคะ”

หัวใจสาวเต้นรัว เมื่อได้คำตอบเช่นนั้นและดูเหมือนว่า เธอจะมองเห็นในแววตาของเขาว่ามีบางสิ่งบางอย่างจริงๆ

“นิดหน่อยครับ ถ้าคุณลงมา คุณก็จะรู้”

“ค่ะ...เอาเป็นว่าตอนเย็นนะคะ เหมยจะลงไปหาคุณ”

“ที่สวนด้านหน้านี้นะครับ”

เขาผายมือไปทางสถานที่เป้าหมายประกอบการบอกกับหญิงสาว ขณะเมยาวีเริ่มหน้าเข้มขึ้น เมื่อคิดไปถึงภาพที่เขาจูบเธอ

“เอ่อ...ค่ะ”

เมยาวีรับปากได้แค่นั้นก็หมุนตัวเดินขึ้นบ้านไป โดยที่บัดนี้หัวใจของหญิงสาวกลับยิ่งเต้นรัว อยากจะรู้เสียแล้วสิ ว่าสิ่งที่เขาจะบอกเธอนั้น มันคืออะไร

////

ภูเขาน้อยใหญ่วางตัวสลับกันไปมาไกลออกไป โดยมีหมู่ทิวหมอกสีขาวดั่งปุยนุ่นลอยปกคลุม แสงอาทิตย์ยามบ่ายอ่อนแสงลงไปมาก แค่บ่ายสามโมงกว่าๆ เท่านั้น หมู่เมฆหมอกก็เข้าบดบังแสงเสียแล้ว จนบริเวณโดยรอบเริ่มจะสลัวคล้ายดั่งเวลาใกล้ค่ำเต็มที

รถตู้คันใหญ่ เคลื่อนไปตามถนนลาดยางมะตอยด้วยความเร็วพอสมควร คนบนรถแต่ละคนมีใบหน้าที่น่ากลัวกันยิ่งนัก มันมาด้วยกันประมาณเจ็ดแปดคน หลายคนนั่งคุมตัวเด็กหญิงและหญิงวัยรุ่นอีกจำนวนหนึ่ง ที่ต่างนั่งก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก

พวกค้ามนุษย์ พวกมันกำลังจะส่งหญิงสาวพวกนี้ออกนอกประเทศ เพื่อจะเอาไปบำเรอกามพวกเศรษฐีที่มาเล่นการพนันในบ่อนคาสิโน ซึ่งเปิดขึ้นอย่างลับๆ ในบริเวณพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศทั้งสาม อย่างลาว พม่า และไทย

ที่นั่นคือจุดรวมสามแผ่นดินหรือที่ทุกคนต่างรู้จักที่นั่นว่าสามเหลี่ยมทองคำ

ในอดีต สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่บาปเป็นแหล่งทำเงินให้กับพวกนอกกฎหมาย ทั้งที่แหล่งวัตถุดิบผลิตยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นฝิ่นและใบกระท่อม อีกทั้งใช้เป็นสถานที่สราญรมย์ทางด้านจิตใจของพวกนายทุนทั้งจากในประเทศไทย ลาว พม่า และหมู่นักธุรกิจชื่อดังจากต่างประเทศ

ต่อเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานที่แห่งนั้นถูกทางตำรวจเข้าทลายและจับกุมกลุ่มคนพวกนั้นจนกลายเป็นข่าวโด่งดังและนั่นก็ทำให้ชื่อ ‘สามเหลี่ยมทองคำ’ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แม้จะมีการเข้าทะลายสถานที่แห่งนั้น แต่ก็น้อยเต็มทีกับการที่พวกมันจะถูกจับกุมได้หมดเพราะจนเมื่อเรื่องเงียบลงแล้ว ความชั่วช้าเหล่านี้ก็เกิดขึ้นอีกเป็นวัฎจักร อีกทั้งเป็นสถานที่ซึ่งอยู่นอกประเทศ แถมยังเป็นพื้นที่ส่วนรวม การควบคุมจึงลำบากไปด้วย

นอกจากการทำสิ่งผิดกฎหมายบนสถานที่บาปแห่งนั้นแล้ว บางส่วนยังขยับเข้าไปตั้งอยู่ในบริเวณของประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องเพราะเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ในป่าและง่ายต่อการหลบหนี ทั้งยังเป็นเรื่องยากต่อการเข้าจับกุม ทำให้การทำงานของเหล่าตำรวจยิ่งยากเข้าไปอีก

เมื่อไม่สามารถจะทำอะไรได้ การค้าทางด้านผิดกฎหมายก็ยิ่งสร้างธุรกิจที่ขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นองค์กรธุรกิจค้ามนุษย์ที่สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว

ข่าวหญิงสาววัยรุ่นที่หายออกจากบ้าน เป็นข่าวโด่งดังไปทั้งประเทศและนั่นจึงเป็นผลให้การทำงานของตำรวจท้องที่ยิ่งถูกกดดันและเป็นเป้าสายตาของหลายๆ ฝ่าย

ยิ่งเห็นเรื่องนิ่งเงียบไปเท่าไร ดูเหมือนว่ากลุ่มคนค้ามนุษย์พวกนี้ยิ่งจะได้ใจ กระทำการโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายสักน้อยนิดและวันนี้ พวกมันก็ได้เหยื่อสาวจำนวนหนึ่ง เพื่อจะส่งไปยังนายทุนซึ่งติดเครื่องเรือยนต์อยู่ที่ท่าน้ำ รอการส่ง ‘ของ’ ข้ามฝั่งที่ใกล้จะไปถึงในไม่ช้านี้แล้ว

“ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ พวกเรากลัวแล้ว”

หญิงสาวคนหนึ่ง ผิวเนื้อนวลเนียนตามแบบฉบับสาวเหนือร้องขออุทธรณ์จากชายคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นนัก

ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือฝ่ามือของไอ้คนนั้นที่ฟาดลงมาบนหน้าของเธออย่างแรง

“อย่าพูดมาก ไม่อย่างนั้นมึงตายแน่”

“อย่า...อย่าฆ่าพวกเราเลยนะจ้ะ พวกเรากลัวแล้ว”

“กลัวก็เงียบสิวะหรือพวกมึงอยากจะโดนอีก ห๊ะ” มันขู่ตะคอกเสียงเข้ม เท่านั้นแหละหญิงสาวเหล่านั้นจึงได้เงียบเสียงไปในที่สุด

“ไอ้สัตว์แม่-ง ตบมันเยอะ เดี๋ยวก็ถูกนายด่าหรอก”

ถ้อยคำอันอุบาทและไม่สุภาพจากไอ้เพื่อนคนหนึ่งดังเตือนมาจากเบาะหน้า ก่อนไอ้คนนั้นจะพยักหน้าและเอ่ยเป็นเชิงขอโทษ ทว่าก็ยังมิวายหันมาขู่เหล่าสาวๆ อีก

“พวกมึงอย่าพูดมากนะเว้ย ใครขืนพูดมาอีก คราวนี้กูจะไม่แค่ตบ แต่กูจะเอาปืนกรอกปากพวกมึงเลยล่ะ” เท่านั้นแหละเหล่าสาวๆ ที่นั่งเบียดกัน ก็ยิ่งนั่งเบียดแน่นเข้าไปอีก ด้วยความกลัวที่มันเกาะกุมอยู่ในหัวใจ

“พี่ชุน ด่านพี่ ด่านตำรวจ” ไอ้คนขับหันมาบอกชายคนหนึ่งที่ดั่งอยู่เบาะข้างๆ ก่อนมันจะชะเง้อมองไปข้างหน้าอย่างตกใจเป็นที่สุด

“ห่าเอ้ย...มันมาตั้งด่านตั้งแต่เมื่อไรวะ เมื่อก่อนไม่เห็นมีนี่” ไอ้ชุนสบถอย่างหัวเสียสุดๆ

“เอาไงดีพี่” ไอ้คนขับถามมาอีกอย่างลังเล

“แม่ง...ชนฝ่าด่านไปเลยเว้ย ไป เดี๋ยวกูช่วยเคลียร์ทางให้”

ว่าแล้วมันก็งัดเอาปืนสั้นสีดำมะเมือมออกมาจากซอกเอว เช่นเดียวกับเหล่าลูกน้องอีกหลายคนที่ทำตาม พร้อมกันนั้น เหล่าสาวๆ ที่เห็นสิ่งอันน่าเสียวไส้นั้นก็พากันกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง

“หยุดเว้ย หยุด...ไม่หยุดพวกมึงตาย”

ไอ้ชุนหันมาตะคอกเสียงที่ดังอยู่ข้างหลังอย่างหัวเสียสุดๆ ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องเปิดกระจกและเล็งปืนออกไปนอกรถพร้อมกับลั่นไกเสียงดังลั่น

ปัง ปัง!!

ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกับไอ้คนขับรถที่เหยียบคันเร่งฝ่าด่านตรวจไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงร้องลั่นของเหล่าตำรวจในเครื่องแบบ

รถตู้คันนั้นชนกรวยกลางถนนกระจาย พร้อมกับเสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างหูดับตับไหม้ ทั้งของตำรวจที่ต่างรีบขึ้นรถและตามมาและจากคนบนรถตู้ที่สู้แบบให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

สถานการณ์เหล่านั้นเริ่มคลี่คลายในเวลาต่อมา เมื่อรถตู้คันนั้นสามารถสลัดกลุ่มรถตำรวจที่ตามมาแต่ไม่ทันไปได้อย่างหวุดหวิด คนบนรถไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด พร้อมๆ กับเหล่าสาวๆ ที่เงียบเสียงลงไปอีกครั้งพรางคิดในใจ ขนาดด่านตำรวจพวกมันยังพากันรอดมาได้ แล้วจะมีใครสักกี่คนที่จะช่วยพวกเธอได้อีก

หรือพวกเธอจะต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมต่อไป

“โหพี่...เจ๋งเลยว่ะ” ไอ้คนขับรถเอ่ยแข่งกับเสียงตื่นเต้นของตัวเอง

“ทำงานกับกู พวกมึงไม่ต้องกลัว กับแค่ด่านแค่นี้ สบายๆ “

ไอ้ชุนยอตัวเอง ทว่าในเวลานั้นมันต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันหนึ่ง เคลื่อนขึ้นมาจากข้างทางมาปาดหน้ารถของพวกมันเองไว้อย่างกระชันชิด จนไอ้คนขับรถอ้าปากหวอ เบรกรถจนตัวโก่ง

“เฮ้ย....”

มันร้องลั่น พร้อมระบบเบรกทำงานอย่างหนัก จนล้อที่เลื่อนอยู่บนพื้นถนนไถลไปข้างหน้าจนมันต้องพารถเข้าเสียบข้างทางในนั้น

“เชี่ยเอ้ย...ใครวะ”

ไอ้ชุนสบถได้แค่นั้น ก็ต้องทำหน้าเหวอเมื่อเห็นชัดๆ ว่าคนบนรถคันนั้นลงจากรถมาพร้อมกับอาวุธปืนที่ครบพร้อมและพร้อมกันนั้น รถตำรวจที่ตามมาก็เข้ามาจอดขนาบข้างหลังของมัน

“พี่ จะทำยังไงดีเนี่ย เราถูกล้อมแล้วนะ” ไอ้คนหนึ่งหันมาถามความเห็นจากลูกพี่ ก่อนไอ้ชุนจะตัดสินใจขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ก็หนีสิวะ ไป ลงจากรถ”

“แล้วผู้หญิงล่ะครับพี่...”

“ปล่อยแม่งเอาไว้ตรงนี้ล่ะ หรือมึงจะเอาพวกมันไปเป็นภาระห๊ะ ไป้...” แล้วก็กระโจนลงจากรถ พร้อมกับลูกน้องของพวกมันที่ตามกันลงไปจนเป็นแถว จากนั้นเสียงปืนต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

ดูเหมือนว่า ป่าทั้งป่าจะเริ่มแตกตื่นอีกครั้ง เมื่อฝ่ายไอ้ชุนและลูกน้องที่วิ่งหนีตาย โดยมีตำรวจตามไปอย่างกระชันชิด มีหลายคนถูกตำรวจวิสามัญตายป แต่กระนั้นก็ยังมีคนหนีไปได้ในที่สุด

“โธ่เว้ย...หนีไปได้”

รักษ์ราช ที่ถือปืนคู่ใจวิ่งมาทันเห็นไอ้พวกนั้นซึ่งวิ่งข้ามแม่น้ำไปอยู่หลังไวๆ ก็ต้องสบถอย่างหัวเสียสุดๆ จะประทับปืนขึ้นเล็งมัน ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้ว เพราะไอ้ตัวหัวหน้ามันได้หนีขึ้นฝั่งไปตั้งนานแล้ว เสียเวลาและเสียลูกปืนไปเปล่าๆ

“ทันไหมคะ หมวด” กัญสิณี นายตำรวจหญิงแห่งกองปราบวิ่งตามมาถึง ตรงที่ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่และเอ่ยถามขึ้น

“ไม่ทันครับ แล้วทางหมวดล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ผู้หญิงปลอดภัยไหม”

“ค่ะ พวกสาวๆ ไม่เป็นอะไรมาก สิว่าเรากลับไปที่รถกันเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้ให้ทางจ่าเมฆจัดการแทน” ผู้หมวดสาวชวนเขากลับไปยังรถในที่สุด ท่ามกลางความไม่พอใจสักเท่าไรของรักษ์ราช ที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาทำงานพลาด ปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้

“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะหมวด อย่างไรแล้วคราวหน้าเราก็ต้องมีโอกาสได้จับกุมพวกมัน”

“กว่าจะถึงเวลานั้น ยังจะมีเหยื่ออย่างพวกนี้อีกสักกี่คนล่ะครับ ที่จะต้องถูกพรากออกจากอกของพ่อแม่” ชายหนุ่มชี้ไปยังหญิงสาววัยรุ่นที่ถูกพาลงจากรถ แต่ละคนมีสีหน้าดีใจเป็นยิ่งนัก เมื่ออิสรภาพเดินทางมาถึงอีกครั้ง

“เมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละค่ะ เราไม่สามารถที่จะไปกำหนดอะไรได้ นอกจากจะกำจัดพวกมันให้หมดไป” ร้อยตำรวจตรีหญิงกัญสิณีเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปสอบปากคำกับเหล่าสาวๆ เหยื่อของพวกกากเดนนรกพวกนั้น
เมื่อคู่สนทนาสาวเดินเลี่ยงจากไป รักษ์ราชจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยจะพอใจดูเหมือนว่าคำพูดของผู้หมวดกัญสิณี จะเป็นได้แค่ครึ่งเดียวกับสิ่งที่เขาอยากจะให้เป็น เมื่อสุดที่จะทำอย่างไรได้แล้ว เขาจึงได้แต่กลับไปนั่งรอเธอที่รถ

เมื่อไรล่ะ เขาจะกำจัดไอ้พวกกากเดนพวกนั้นได้และเมื่อไร ที่คนพวกนี้จะหมดไปจากสังคมไทยสักที



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มี.ค. 2555, 22:43:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มี.ค. 2555, 22:43:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1801





<< ตอนที่ ๑๑ พรหมลิขิต   ตอนที่ ๑๓ ร้าย...ไม่เลิก >>
pattisa 28 มี.ค. 2555, 23:24:22 น.
เย้ คู่ของวัสนางค์โผล่มาซะที :)


anOO 29 มี.ค. 2555, 12:45:04 น.
นายจอมจะคุยเรื่องอะไรกับเหมยนะ


teesaparn 30 มี.ค. 2555, 11:22:07 น.
มันก่อยากเนอะ การห้ามเนี่ย สู้ๆๆเน้อเจ้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account