ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy
ตอน: ลึกซึ้ง
ตอนที่ 9
ฉันมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ฉันเบื่อแล้วนะ จะบอกอะไรให้ ทั้งชีวิตของฉันถึงจะโดนหัวเราะเยาะมาตลอดก็จริง แต่ไม่เคยโดนผู้ชายอกสามศอก พูดต่อหน้าตรงๆว่าฉันไม่ได้ถอนขนรักแร้ ฉันปากเหม็น ฉันไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ ที่สำคัญ ฉันไม่เคยถูกผู้ชายงุบงิบเงินไปซื้อมือถือด้วย!!!! แล้วเขาเป็นใครกัน คิดว่าเป็นเจ้าของโรงแรมสาขามากมาย มีเงินหลาร้อยล้าน และเป็นเจ้านายฉัน แค่นั้นน่ะหรือถึงคิดว่าจะมาเหยียดเพศและละเมิดสิทธิมนุษยชนกันได้....
ฉันมองเขาด้วยความเคียดแค้นเป็นครั้งสุดท้าย เอาเถอะ ถึงฉันจะต้องตกงานอีกครั้ง ถึงฉันจะไม่มีเงินเก็บกับใครเขาเสียที แต่ฉันจะไม่ยอมให้ตาบ้านรินทร์ มาเอาเปรียบอีกแล้ว
“ฉันบ้วนลิสเตอรีนหลังทานอาหารแล้วนะ!!!!” ฉันตะโกนนออกไปสุดเสียง... ไม่ใช่สิ...
“เอ่อ...ฉันหมายความว่า จะอย่างไรก็เถอะ ฉันเกลียดคุณ!!! คุณมัน....ฉันจะลาออก!!!”
คราวนี้เขาลดมือที่ปิดจมูกลง ดวงตาเฉยชามากขึ้น
“ตามใจ” เขาพูดเรียบๆ
ฉันยังคงยืนจ้องเขา หา!!! เขาบอกว่าตามใจ ง่ายๆแค่นั้นเหรอ ฉันนึกว่าเขาอาจจะรั้งฉันมากกว่านี้ โอย ฉันเป็นบ้าอะไรเนี่ย ฉันยืนกรานที่จะลาออกเองนะ และแล้วฉันก็ยืดอก ปาดน้ำตา และแคะขี้มูก
“ดี ขอบคุณ” ฉันพูดกระแทกและไร้หางเสียง จากนั้นก็เดินผ่านเขาไป ผ่าน โซฟางี่เง่า ผ่านตู้เอกสารปัญญาอ่อน เฮ้ๆ ฉันจะถึงประตูอยู่แล้วนะ เขาจะไม่รั้งฉันไว้อีกหน่อยเหรอ แล้วฉันก็เอื้อมมือผลักประตูออกพร้อมพาร่างตัวเองออกตามไป แต่อยู่ดีๆ ฉันก็รู้สึก ผิดหวัง เฮ้ย! จะผิดหวังอะไรเล่า ตานรินทร์ก็ไม่เคยทำอะไรให้ฉันรู้สึกดีเท่าไรเลยนะ และนี่เลย เขาเอาเงินฉันไปซื้อมือถือ ถึงฉันทำของเขาพังก็เถอะ แต่ฉันก็ทำงานให้เขาชดใช้แล้วไงล่ะ อีกอย่างการที่ฉันเป็นกระโถนรองรับอารมณ์แปรปรวนที่มักเกิดเสมอหลังการนัดบอด นั่นก็น่าจะเพียงพอต่อการชดใช้แล้วนี่นา....
“เดี๋ยว” นั่นเสียงเขานี่! แต่ก็คงเหมือนกับครั้งก่อนที่ขอขวดยาหม่องน้ำคืนอีกล่ะสิ ฉันไม่หลงกลให้เขาล้อเล่นอีกหรอก ฉันจึงเดินหน้าต่อไป และปิดประตูตามหลังดังปัง! อืม จบกันที กับเจ้านายบ้าบอแบบนี้ เขาคิดว่าสิ่งที่ทำนั่นถูกแล้วเหรอ เขาไม่คิดจะขอโทษ หรืออธิบายอะไรมากกว่านั้นเลยใช่ไหม ตอนแรกฉันคิดว่าเขาเป็นคนใช้ได้ทีเดียว แต่ตอนนี้ ก็เหมือนกับพวกวัตถุนิยมคนอื่นๆนั่นแหละ
“สิดี เป็นอะไรไป” นลินที่เห็นฉันเดินคอตกออกมาจากห้องประธานก็ถามอย่างอยากรู้ พนักงานแถวนั้นรีบหูผึ่งตามๆกัน ฉันยิ้มให้เธอ เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีของฉันอีกคนหนึ่ง
“ฉันลาออกแล้วค่ะ ว่างก็โทรมาหากันบ้างนะ” แล้วฉันก็รีบเดินไปขึ้นลิฟท์ ระหว่างนั้นฉันได้ยินเสียงพูดคุยอย่างตกใจของเหล่าพนักงาน อืม เสียงพวกนี้ ฉันคงไม่ได้ยินอีกแล้ว
ประตูลิฟท์เปิดออกแล้วพาฉันมาถึงชั้นล่างสุด ไม่มียามร่างยักษ์มายืนขวางอีกต่อไป ฉันเดินอ้อยสร้อยกว่าที่ควรจะเป็น จนกระทั่งอออกมาหน้าออฟฟิศ ฉันจึงหันไปมองตึกสูง 15 ชั้น บริษัทนราธร เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็เคยได้ทำงานที่นี่ล่ะนะ
ตอนนี้ฉันไม่มีแรงเดินไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านแล้ว ฉันจึงเรียกแท็กซี่แถวนั้น พอก้าวขึ้นรถแท็กซี่น้ำตาฉันก็ไหลออกมา
พ่อคะ หลังงานศพพ่อ หนูก็สัญญาว่าจะไม่ร้องไห้ หนูร้องไห้ครั้งล่าสุดก็เมื่อหลายปีที่แล้วที่เจ้าด่างสุนัขพันธุ์ทางถูกรถทับตาย จากนั้นหนูก็ไม่เคยร้องอีกเลย แต่ไม่กี่เดือนมานี้ หนูต้องร้องเพราะใครคนหนึ่งทำให้หนูไม่มีงานทำถึง 2 ครั้ง และเขาคนนั้นไม่เคยอธิบายอะไรให้ฟังเลยว่าที่ต้องทำกับหนูแบบนั้นเพราะอะไร ทีพ่อ ก่อนพ่อจะจากไป พ่อยังอธิบายเลยจริงไหมคะ ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แค่ตกงานเท่านั้นน่ะเหรอ ที่ทำให้บ่อน้ำตาแตก จริงๆแล้ว ฉันอาจจะรู้สึกผูกพันกับคนขี้โมโห ไม่มีอารมณ์ขัน และแข็งกระด้าง มากกว่าที่คิดก็เป็นได้
“มีเรื่องอะไรเหรอลูก!” เมื่อฉันเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังจนจบว่าขอลาออกแล้ว แม่ตกใจมากจนทำปากกาที่กำลังใช้เขียนงาน ซึ่งแม่บอกว่างานนี้เป็นระดับ ‘master piece’ ตกกระทบพื้นดัง แกร๊ง!
“คือ คุณนรินทร์เขาขี้โมโหเกินไปน่ะค่ะ” ฉันตอบไม่เต็มเสียง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกความจริงกับแม่ไป เอ่อ ถ้าบอก ไม่รู้สิ คุณนรินทร์นั่นแหละผิด แต่ฉันก็ทำของของเขาเสียหาย โอ๊ย!!! ฉันเกลียดเขาจริงๆ เขานั่นแหละผิดๆๆๆๆๆๆๆ
แม่มองฉันด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนกัน สงสัย ไม่เข้าใจ ผิดหวัง ฉันไม่ชอบความรู้สึกสุดท้ายเลยแฮะ แล้วแม่ก็ยื่นมืออันอบอุ่นมาจับไหล่ฉัน จากนั้นก็โอบรอบตัวฉันไว้
“แม่รู้ว่าลูกโกหกอยู่นะจ๊ะ แต่เอาเถอะ แม่เชื่อใจลูกว่าลูกของแม่คงจะมีเหตุผลมากกว่านั้นที่บอกแม่ไม่ได้”
โอ๊ย! แม่สมเป็นแม่ฉันจริงจริ๊ง...
.
“แม่คะ...คือ หนู... ไม่ได้โกหกนะคะ คุณนรินทร์น่ะ ชอบตะคอกใส่หนูอยู่เรื่อย” ฉันพูดความจริงนะ
“แต่ แค่นั้นคงไม่ทำให้ลูกของแม่ลาออกหรอกจริงไหม เขาต้องมีอะไรที่แย่มากกว่านั้นจริงๆ ช่างเถอะลูก มีอีกตั้งหลายบริษัทนี่จ๊ะ ยิ่งถ้ามีประวัติว่าทำงานที่นราธร ก็ยิ่งมีภาษี” คราวนี้แม่ยิ้มละไม ไม่มีแววตาผิดหวังอีกแล้ว
อืม... หนูขอโทษค่ะแม่ “แต่แม่คะ หนูทำได้เดือนเดียวก็ออก บริษัทอื่นอาจจะสงสัยก็ได้นะคะ”
“ก็ตอบเหตุผลที่แท้จริงกับเขาไปสิลูก คราวที่แล้วลูกก็ตอบความเป็นจริงไม่ใช่เหรอ” แม่เน้นคำว่า ‘ที่แท้จริง’ มาก
เอ่อ... ให้บอกว่า ดิฉันลาออก เพราะเจ้านายงุบงิบเงินไปซื้อมือถือทดแทนเครื่องที่ฉันทำพังเองกับมือน่ะเหรอ ชีวิตฉันจบสิ้นแล้วจริงๆ ฉันรีบพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงขอบคุณแม่ แล้ววิ่งแจ้นขึ้นห้องนอนไป
เอ..เดี๋ยวสิ ฉันรีบหันหลังกลับไปมองแม่ ที่ตอนนี้กำลังเริ่มเขียนงาน ‘master piece’ ต่อไป
“แม่คะ ทำไมแม่ไม่บังคับให้หนูบอกความจริงล่ะ”
แม่หัวเราะเสียงดัง “ก็เพราะนี่ยังไงล่ะลูก สิดี ลูกน่ะ ปิดบังแม่ได้ไม่นานหรอก”
อ้าว นี่ฉันเผลอบอกไปแล้วเหรอว่าโกหก เออโง่จริ' ฉันยิ้มแหยๆ แต่รู้สึกสบายใจพิกล
“ถ้าหนูพร้อมแล้วหนูจะบอกนะคะ” แล้วก็รีบขึ้นห้องนอนไป
ฉันสับสนในตัวเองไปหมด หรือว่าฉันเองที่เดินทางผิด คิดถึงหนูเล็กจะโทรไปหาก็ คงจะงอนไม่เลิก ที่คิดไว้ว่าจะซื้อรองเท้าไปง้อ คงต้องยกเลิกไปก่อน เฮ้อ พรุ่งนี้ฉันจะเริ่มชีวิตจากตรงไหนดีนะ เปิดดูประกาศรับสมัครงานจากหนังสือพิมพ์อีกตามเคย จากนั้นคงจบลงด้วยการรวบรวมประวัติการทำงานที่พูดเต็มปากไม่ได้ว่าน่าภูมิใจ แล้วฉันก็เดินไปหยิบหนังสือรวบรวมภาพสีน้ำมันของ Claude Monet มาดู พลิกหน้ากระดาษพิจารณาไปทีละรูป แค่นี้ก็ช่วยให้ฉันผ่อนคลายได้บ้างเหมือนกัน ฉันชอบดูภาพสีน้ำมันน่ะ ศึกษาของหลายคนอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะ Renoir Rodin Van Gogh แต่ชอบของ Monet ที่สุด ภาพที่ฉันประทับใจคือ Wild Poppies มองภาพนี้นานๆแล้วเหมือนอยู่ในความฝัน ในภาพมีทุ่งดอกป๊อปปี้สีแดงอยู่ทางด้านซ้าย ถัดมาหน่อยมีรูปสองแม่ลูกในชุดสตรีสมัยก่อนเดินจูงมือฝ่าทุ่งหญ้าไปด้วยกัน ผู้หญิงและเด็กในภาพ เป็นภรรยาและลูกชายของ Monet เอง ทั้งสองกำลังเดินอยู่ใต้ท้องฟ้าคราม ซึ่ง Monet จรดปลายพูกันสื่ออกมาได้งดงามมาก ฉันว่ามันโรแมนติกดีนะ ที่สามีวาดภาพภรรยา อู้ววว...
มันก็น่าแปลกเหมือนกันที่ฉันชอบดูภาพเหล่านั้นแล้วไม่เกิดความรู้สึกอยากเป็นศิลปินวาดเองบ้าง อ๊ะ!!!! ฉันคิดอะไรออกแล้ว! ฉันจะไปเรียนวาดภาพสีน้ำมัน แล้วจะยึดอาชีพศิลปินไปตลอดชีวิต ฉันจะไม่ทำงานออฟฟิศที่คอยสร้างปัญหา และทำให้อนาคตฉันตกต่ำอีกต่อไป ฉันจะอยู่กับศิลปะ ธรรมชาติ ทำงานเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่ยุ่งกับผู้คน ฉันจะได้ไม่ต้องถูกใครหัวเราะเยาะอีก อืม เอาละ ฉันจะเป็น Artist! ฉันปิดหนังสือภาพดังปัง! แล้วเปิดตู้เก็บของออก ค้นหาใบปลิวรับสอนวาดภาพสีน้ำมันที่ฉันได้มาเมื่อหลายเดือนก่อนตอนไปเดินห้างกับหนูเล็ก ตอนนั้นฉันก็ว่าน่าสนใจดี แต่ก็ยุ่งกับงานมากจนไม่ได้สนใจ หึหึ ถ้าดังหน่อยล่ะก็ ภาพของฉันคงราคาหลายแสน เผลอๆ พอชื่อติดลมแล้ว แค่หลับตาปาดพู่กันซ้ายที ขวาสองทีครึ่ง คงขายได้เป็นล้าน เหมือน Picasso ที่ไม่ว่าฉันจะมองตรงๆ ตีลังกามอง หรือ นอนตะแคง ก็ยังคงไม่เข้าใจภาพของเขาสักที แต่ก็ยังมีเศรษฐีทั่วโลกประมูลแย่งภาพของเขาด้วยราคาสูงลิ่ว ศิลปะ ก็น่าประหลาดใจตรงนี้แหละ คือสามารถคัดกรองระดับของผู้เสพได้ และพอฉันรวยเทียบเท่าหรือมากกว่าตานรินทร์ ฉันก็จะ take over กิจการของเขา แล้วไล่เขาให้ไปนั่งขายมือถือมือสองแทน...ก็เขาชอบมือถือมากไม่ใช่รึไง
วันต่อมา ฉันไม่รีรอ รีบออกจากบ้านไปสมัครเรียนวาดสีน้ำมันทันที แม่มองฉันกระตือรือร้นออกไปจากบ้านด้วยความแปลกใจ อารมณ์ของฉันตอนนี้คงแตกต่างจากเมื่อเย็นวานมากนัก ฉันไม่ได้บอกแม่หรอกว่าจะเบนเข็มไปเป็นศิลปิน แม่คงคิดว่าฉันออกไปหางานตามปกติน่ะแหละ เฮ้อ ฉันงี่เง่าหางานเป็นหลักแหล่งกับเขาไม่ได้สักที แม่ก็อายุปาไป 50 แล้ว คงจะกังวลในตัวฉันไม่น้อย แต่แม่กลับเข้าใจและคอยให้กำลังใจ
ฉันหาทางไปที่ ‘บ้านศิลปะ’ อย่างทุลักทุเล ต้องเข้าไปในซอยลึกมาก แถมเปลี่ยวอีกต่างหาก ถ้ามาตอนกลางคืนคงโดนดักฉุดเป็นแน่ เอ ในใบปลิวบอกว่าบ้านเลขที่ 102/70 ฉันก็มายืนอยู่หน้าบ้านเลขที่นี้แล้วนะ แต่ที่นี่มันไม่เหมือนสถานที่ใช้สอนวาดภาพเลย บ้านไม้หลังเก่าชั้นเดียว จะเรียกว่าโทรมแทบไม่ได้รับการดูแลก็ว่าได้ บนหลังคามีกิ่งไม้เลื่อยยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แถมประตูหน้าต่างก็ปิดสนิท มีป้ายไม้ที่โทรมพอๆกันถูกเขียนด้วยลายมือง่ายๆ แต่ดู ‘อาร์ต’ ว่า ‘บ้านศิลปะ’ แขวนไว้หน้าบ้าน รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ใหญ่เกินจะเรียกได้ว่าแผ่ความร่มเย็นเพียงอย่างเดียว โอ้ว! ฉันเห็นบ้านต้นไม้ข้องจริงไม่อิงนิยาย ที่ถูกสร้างอย่างประณีตและได้รับการดูแลดียิ่งกว่า บ้านจริงๆอีก มันตั้งตระหง่านอยู่บนกิ่งมโหฬารของต้นไทร อุแม่เจ้า!!! ขอเข้าไปสำรวจเสียหน่อยเถอะ แต่ฉันจะถูกงูกัดไหมนี่
บ้านต้นไม้น่ารักจัง มีบันไดปีนขึ้นไปด้วย คงไม่มีใครอยู่หรอกมั้ง หรืออาจจะปิดทำการไปแล้วก็เป็นได้ เพื่อไม่ให้มาเสียเที่ยวขอสำรวจหน่อยแล้วกัน ฉันปีนบันได้ไม้ขึ้นไป แล้วก็ถึงตัวประตู ลองเปิดมันออก โอ๊ะ! ไม่ได้ใส่กุญแจไว้อีกต่างหาก ฉันยื่นหัวเข้าไปมองภายใน อืม ยังมีข้าวของอยู่เลยนะ เก็บไว้เรียบร้อย แถมสะอาดสะอ้าน นี่แสดงว่าอาจจะมีคนอยู่ก็เป็นได้ แต่ของก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากกองหนังสือมหึมา ฟูกที่นอน โคมไฟ ขาตั้งขนาดย่อมที่มีเฟรมวาดภาพขึงผ้าเสร็จสรรพ ตั้งอยู่ ผ้ายังคงขาวสะอาด ข้างๆขาตั้ง มีกองสีน้ำมัน และถาดสีวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ...
“ช่วยด้วย!!! ขโมยขึ้น ช่วยด้วย!!!” มีเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากข้างล่าง พอฉันมองลงไปด้วยความตกใจ ก็เห็น เฮ้ย!!! นักโทษแหกคุกมาแน่ ตายล่ะ ฉันจะทำอย่างไรดีเนี่ย สภาพคนที่ฉันเห็นนั้นคือชายที่พะรุงพะรังไปด้วยหนวดเครา ผมก็ยาวยิ่งกว่าฉันเสียอีก แต่งตัวก็ยีนขาดๆ มอมแมมเป็นที่สุด นักโทษคนนี้ยังตะโกนไม่หยุด ฉันก็เอาบ้าง
“ช่วยด้วย นักโทษแหกคุกมา ช่วยด้วยค่า!!!!” ฉันกลัวจริงๆนะ ตัวฉันเต้นเร่าๆอยู่บนสะพานไม้บอบบาง โอ๊ย ฉันมาผิดบ้านจริงๆ ทำไงดี๊!!!
โครม!!! “โอ๊ย!!!!” สะพานไม้นั่นหักเป็นสองท่อน ฉันจึงดิ่งพสุธาตกลงมาดังตุ้บ! ทำเอาอีตานักโทษแหกคุกหุบปากทันที เขาวิ่งหื่นกระหายไปหยิบเชือกมา ตายแล้ว!!! ฉันต้องรีบลุกขึ้นหนี ฉันพยายามพยุงตัวเองขึ้นมา แต่ขากลับรู้สึกเจ๊บแปล๊บ
“อยู่นิ่งๆ!” เสียงนักโทษน่ากลัวมาก เขาพยายามจะจับฉันมัดเชือก ไม่นะ ทำไมฉันดวงซวยอย่างนี้ ใครก็ได้ช่วยที!!! ฉันดิ้นสุดฤทธิ์ ตะโกนให้คนช่วยไม่หยุด แล้วในที่สุด ฉันก็ถูกนักโทษแหกคุกจับมัดเสร็จสิ้น
“จะฆ่าฉันเหรอ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ใครก็ได้ช่วยที้!!!! แก ไอ้นักโทษแหกคุก ยังไงตำรวจก็ตามจับแกอยู่แน่นอนตอนนี้ แกไม่รอดร้อก! ช่วยด้วยๆๆๆๆๆ!!!!” ได้ผล เจ้านั่นหยุดนิ่ง
“คุณนั่นแหละหัวขโมย มาทำอะไรลับๆล่อๆ นี่บ้านผมนะ ผมสอนศิลปะอยู่ที่นี่ คุณอยู่นี่ไปก่อนเถอะ ผมจะไปแจ้งตำรวจ” แล้วเขาก็ทำท่าวิ่งออกไป
หา??? เนี่ยนะ คนนี้นี่นะ จะมาสอนศิลปะฉัน!!!!
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวค่ะ.....คือ...ฉันมาสมัครเรียนศิลปะค่ะ” ฉันพูดอย่างเหนื่อยหอบ ว่าที่อาจารย์ของฉันหยุดทุกทสิ่งทุกอย่างแล้วหันมามองด้วยสีหน้าแสนตกใจ ดวงตาภายใต้คิ้วรกๆนั่นฉายประกายวิบวับ
แล้วเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง เครารกๆนั่น แทบจะจุกปากเขาได้เลย เขารีบวิ่งมาแกมัดให้ฉัน
“ผมขอโทษจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมาสมัครเรียน เห็นมายืนลับๆล่อๆ คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ ขอโทษจริงๆ”
“เจ็บสะโพกค่ะ ขาก็เจ็บ แล้วฉันท่าทางเหมือนขโมยมากเหรอคะ” ฉันถามอย่างไม่พอใจ
“ครับ มาๆ มานั่งพักที่นี่ก่อน” แล้วเขาก็พยุงฉันเข้า ‘บ้านศิลปะ’
ฉันเนี่ยนะเหมือนขโมย พับผ่าสิ เขานั่นแหละ โจร 500 ชัดๆ
เมื่อเข้ามาใน ‘บ้านศิลปะ’ ฉันก็ต้องประหลาดใจ เพราะในนี้ จัดเฟอร์นิเจอร์ไว้อย่างเรียบร้อย แถมพื้นก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีวี่แววของหยักใย่เลยสักนิด ที่น่าประทับใจที่สุดคือรอบบ้านเต็มไปด้วยรูปวาดสีน้ำมัน เป็นภาพทุ่งดอกเดซี่ ดอกทิวลิป ดอกป๊อปปี้ ส่วนมากจะออกแนวภาพวิวทิวทัศน์ตามท้องทุ่งชนบท แต่คิดว่าชนบทของฝรั่งนะ เพราะดูจากวิวประกอบ และพันธุ์ดอกไม้ต่างๆ
“เอ่อ อาจารย์ชื่ออะไรเหรอคะ” ฉันถามเขาขณะเขาพยุงฉันมานั่งที่เก้าอี้นวมแสนสบาย
“ไม่ต้องเรียกอาจงอาจารย์อะไรร้อก เรียกสั้นๆว่า แจ๊กกี้ ก็พอ” เขาบอกแล้วกุลีกุจอไปหาน้ำมาให้ฉัน พร้อมยานวดขวดหนึ่ง
“ดื่มน้ำเสียสิคุณ ดูจะ thirsty มากนะ” เขาสั่ง
“แล้วเจ็บตรงไหน มาผมจะนวดให้” เขาพูดพลางก้มๆมองๆ แถวสะโพกฉัน
“เหอๆ ไม่ต้องค่ะ แค่เคล็ดนิดเดียวเท่านั้น แล้วคุณแจ๊กกี้ คิดค่าสอนยังไงคะ” ฉันถามเข้าเรื่อง
“ถูกๆน่ะคุณ มาๆ เจ็บตรงนี้ใช้ไหม ผมนวดให้ เขยิบก้นขึ้นหน่อยได้ม้าย” แจ๊กกี้ยังคงพยายามจะนวดก้นฉันให้ได้
“ไม่ต้อง!!! คือ หายเจ็บแล้วค่ะ ถูกๆนะกี่บาทคะ” ฉันถามต่อไป
“Oh don’t worry, just 10000บาทต่อเดือน เท่านั้น” เขาพูดแล้วขว้างยาหม่องน้ำใส่ตู้เก็บของ
บ้า!!! หมื่นนึง เนี่ยนะ เรียนกับคนหน้าตาเหมือนโจรห้าร้อน แถมพยายามจะจับฉันส่งตำรวจ อีกทั้ง ยืนยันจะนวดก้นฉันให้ได้
“เนี่ยนะถูก แพงจะตาย ฉันไม่เรียนแล้วนะคะ ขอโทษที่รบกวน” ฉันรีบลุกหนีออกไป ฉันโดนหลอกรึเปล่าเนี่ย ใบปลิวนั่นก็ดูเชื่อถือไม่ค่อยได้เสียด้วย มันไม่มีเบอร์ติดต่อ มีแต่ที่อยู่เท่านั้น
“wait! ผมจะลดให้ถูกๆแล้วกัน เหลือ thousand เดียวดีไหม” เขารีบดักคอสายตาภายใต้หนวดเฟิ้มนั้นอ้อนวอนสุดขีด
ฉันหันไปมองด้วยความไม่เชื่อหู ทำไมมันลดพรวดพราดยังงั้นละยิ่งกว่า midnidght sale อีกนะ อืม ขอคิดก่อนนะ ทางเข้าบ้านเขาก็น่ากลัว ตัวบ้านก็อยู่โดดเดี่ยว แถมสวนรอบข้างรกอย่างกับป่า หน้าตาเขาก็มองไม่ออกว่าเป็นยังไงกันแน่ เห็นแต่หนวดดกดำ ที่รุงรัง สกปรก...
“ตกลงค่ะ! เริ่มเรียนวันไหนคะ” ฉันถามอย่างกระตือรือร้น ดูเขาก็ใจดีไม่แพ้กัน
“tomorrow เลย….เอ่อ...pay money ล่วงหน้าได้มะ”
“อ่า...ค่ะๆ” แล้วฉันก็ล้วงกระเป๋าควักแบ็งค์พันออกมา เขารีบคว้าไปก่อนฉันจะยื่นให้เสียอีก หวังว่าคงไม่เอาไปเสพยานะ...
“thank you ๆๆๆๆๆ” แจ๊กกี้ขอบคุณฉันไม่หยุด
“คุณแจ๊กกี้ ช่วยสอนให้ฉันเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ด้วยนะคะ” ฉันรีบออดอ้อน
แจ๊กกี้ หยุดตื่นเต้นกับเงินทันที หันมามองฉันด้วยความจริงจัง
“อ้า...ถ้างั้น....นี่เลย คุณต้องคุกเข่ากับพื้น แล้วพูดว่า แจ๊กกี้เอย โปรดรับข้าน้อย ตามด้วยชื่อคุณเอง เป็นศิษย์ด้วยเถิด นั่นละ ถึงจะเป็นการไหว้ครูและปวารณาตัวในการเรียนศิลปะที่สมบูรณ์แบบ”
เหย... นี่ฉันมาเรียนกับคนบ้ารึเปล่าเนี่ย ทำไมมันเหมือนการฝากตัวเป็นศิษย์ของเหล่าจอมยุทธในนิยายกำลังภายในเลยล่ะ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคิดอะไร แต่ก็คุกเข่าลงตามที่เขาบอก
“อะแฮ่ม... แจ๊กกี้เอย โปรดรับข้าน้อย ทรัพย์สิดี ดีแต่เกิด เป็นศิษย์ด้วยเถิด”
แล้วแจ๊กกี้ก็ร้องออกมาด้วยเสียงปลื้มปีติ “โอ้ว ศิษย์ข้า!”
แล้วอยู่ดีดีฉันก็พูดตอบกลับเขาอย่างอัตโนมัติ “โอ้ว อาจารย์!”
ฉันกลับมาบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน เจ็บก้น และปวดขา ไม่รู้กระดูกหักบ้างรึเปล่า พอถึงบ้านฉันก็ให้แม่ทายานวดทันที แน่นอนแม่ถามอีกว่าฉันไปทำอะไรมา คราวนี้ ฉันตอบตามจริงว่าไปสมัครเรียนสีน้ำมัน บอกแม่ว่าจะเป็นศิลปิน แม่ไม่สะทกสะท้าน กลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้
“อ่านซะ” แม่สั่ง ฉันมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยความงงงวย
‘ติดต่อ จิทัศน์ สิทรา ด่วน 09-xxxxxxx’ นั่นคือข้อความในกระดาษ
“หมายความว่าไงคะแม่” ฉันถามด้วยความสงสัย
แม่ยิ้มกว้าง...กว้าง...กว้าง...
“หมายความตามนั้นจ้ะ สิดี โทรไปเสียสิ ลูกได้งานที่สิทราแน่ๆ” แม่รีบคะยั้นคะยอ...หา? เกิดอะไรขึ้นกับฉันอีกล่ะนี่
ฉันรีบต่อโทรศัพท์ไปทันที มีแม่ยืนวี้ดว้ายกระตู้วู้ อยู่ข้างๆ
“สวัสดีครับ” เสียงคุณจิทัศน์เป็นแน่
“เอ่อ ดbฉันทรัพย์สิดีค่ะ ที่คุณติดต่อมา มีธุระอะไรหรือคะ” ฉันถามพยายามทำเสียงไม่ให้ประหม่า...
“อ้อ คุณนั่นเอง คือผมทราบมาว่าคุณลาออกจากนราธรแล้ว และตอนนี้ผมยังหาเลขาไม่ได้ ถ้าผมจะเสนอให้คุณมาเป็นเลขาของผม จะว่าอย่างๆไรครับ”
ให้ฟ้าเป็นพยาน ฉันถูกเรียกตัวไปทำงานกับบริษัท สิทรา ด้วยตัวประธานบริษัทเองเลยหรือ!!!!! โอ้ว!!! ที่ก็องดิดเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่านั่นจริงเสียด้วย แต่ฉันว่าเรื่องนี้แปลกๆนะ คุณนรินทร์บอกว่าเขาได้เลขาจบนอกไม่ใช่เหรอ
“เอ่อ คุณมีเลขาแล้วไม่ใช่เหรอคะ” ฉันถามตรงๆ
คุณจิทัศน์เงียบไปนิดหนึ่ง “เธอออกไปแล้วครับ”
ฉันว่าเขาโกหก ถึงจะไม่เข้าใจเหตุผลก็ตาม ฉันประมวลผมความคิดนิดหนึ่ง ไม่รู้จะหาหลักการหรือเหตุผลอะไรมาสนับสนุนการตัดสินใจครั้งนี้ แค่อยู่ดีดีฉันก็นึกถึงใบหน้าของเขา คุณนรินทร์ ไม่รู้สิ ถึงเขาไม่หล่อ ฉันก็คงทำแบบนี้แหละ
“ขอโทษนะคะ ดิฉันคงต้องปฏิเสธน่ะค่ะ เพราะได้งานอย่างอื่นทำแล้ว ขอบคุณมากนะคะ สวัสดีค่ะ”
แล้วฉันก็วางโทรศัพท์ไปดื้อๆ แม่ที่ตอนแรกเต้นเย้วๆ ตอนนี้กลับมองฉันอย่างประหลาดใจ ฉันทำถูกแล้วล่ะ คุณนรินทร์ คุณน่ะเป็นหนี้ฉันนะ
ฉันมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ฉันเบื่อแล้วนะ จะบอกอะไรให้ ทั้งชีวิตของฉันถึงจะโดนหัวเราะเยาะมาตลอดก็จริง แต่ไม่เคยโดนผู้ชายอกสามศอก พูดต่อหน้าตรงๆว่าฉันไม่ได้ถอนขนรักแร้ ฉันปากเหม็น ฉันไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ ที่สำคัญ ฉันไม่เคยถูกผู้ชายงุบงิบเงินไปซื้อมือถือด้วย!!!! แล้วเขาเป็นใครกัน คิดว่าเป็นเจ้าของโรงแรมสาขามากมาย มีเงินหลาร้อยล้าน และเป็นเจ้านายฉัน แค่นั้นน่ะหรือถึงคิดว่าจะมาเหยียดเพศและละเมิดสิทธิมนุษยชนกันได้....
ฉันมองเขาด้วยความเคียดแค้นเป็นครั้งสุดท้าย เอาเถอะ ถึงฉันจะต้องตกงานอีกครั้ง ถึงฉันจะไม่มีเงินเก็บกับใครเขาเสียที แต่ฉันจะไม่ยอมให้ตาบ้านรินทร์ มาเอาเปรียบอีกแล้ว
“ฉันบ้วนลิสเตอรีนหลังทานอาหารแล้วนะ!!!!” ฉันตะโกนนออกไปสุดเสียง... ไม่ใช่สิ...
“เอ่อ...ฉันหมายความว่า จะอย่างไรก็เถอะ ฉันเกลียดคุณ!!! คุณมัน....ฉันจะลาออก!!!”
คราวนี้เขาลดมือที่ปิดจมูกลง ดวงตาเฉยชามากขึ้น
“ตามใจ” เขาพูดเรียบๆ
ฉันยังคงยืนจ้องเขา หา!!! เขาบอกว่าตามใจ ง่ายๆแค่นั้นเหรอ ฉันนึกว่าเขาอาจจะรั้งฉันมากกว่านี้ โอย ฉันเป็นบ้าอะไรเนี่ย ฉันยืนกรานที่จะลาออกเองนะ และแล้วฉันก็ยืดอก ปาดน้ำตา และแคะขี้มูก
“ดี ขอบคุณ” ฉันพูดกระแทกและไร้หางเสียง จากนั้นก็เดินผ่านเขาไป ผ่าน โซฟางี่เง่า ผ่านตู้เอกสารปัญญาอ่อน เฮ้ๆ ฉันจะถึงประตูอยู่แล้วนะ เขาจะไม่รั้งฉันไว้อีกหน่อยเหรอ แล้วฉันก็เอื้อมมือผลักประตูออกพร้อมพาร่างตัวเองออกตามไป แต่อยู่ดีๆ ฉันก็รู้สึก ผิดหวัง เฮ้ย! จะผิดหวังอะไรเล่า ตานรินทร์ก็ไม่เคยทำอะไรให้ฉันรู้สึกดีเท่าไรเลยนะ และนี่เลย เขาเอาเงินฉันไปซื้อมือถือ ถึงฉันทำของเขาพังก็เถอะ แต่ฉันก็ทำงานให้เขาชดใช้แล้วไงล่ะ อีกอย่างการที่ฉันเป็นกระโถนรองรับอารมณ์แปรปรวนที่มักเกิดเสมอหลังการนัดบอด นั่นก็น่าจะเพียงพอต่อการชดใช้แล้วนี่นา....
“เดี๋ยว” นั่นเสียงเขานี่! แต่ก็คงเหมือนกับครั้งก่อนที่ขอขวดยาหม่องน้ำคืนอีกล่ะสิ ฉันไม่หลงกลให้เขาล้อเล่นอีกหรอก ฉันจึงเดินหน้าต่อไป และปิดประตูตามหลังดังปัง! อืม จบกันที กับเจ้านายบ้าบอแบบนี้ เขาคิดว่าสิ่งที่ทำนั่นถูกแล้วเหรอ เขาไม่คิดจะขอโทษ หรืออธิบายอะไรมากกว่านั้นเลยใช่ไหม ตอนแรกฉันคิดว่าเขาเป็นคนใช้ได้ทีเดียว แต่ตอนนี้ ก็เหมือนกับพวกวัตถุนิยมคนอื่นๆนั่นแหละ
“สิดี เป็นอะไรไป” นลินที่เห็นฉันเดินคอตกออกมาจากห้องประธานก็ถามอย่างอยากรู้ พนักงานแถวนั้นรีบหูผึ่งตามๆกัน ฉันยิ้มให้เธอ เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีของฉันอีกคนหนึ่ง
“ฉันลาออกแล้วค่ะ ว่างก็โทรมาหากันบ้างนะ” แล้วฉันก็รีบเดินไปขึ้นลิฟท์ ระหว่างนั้นฉันได้ยินเสียงพูดคุยอย่างตกใจของเหล่าพนักงาน อืม เสียงพวกนี้ ฉันคงไม่ได้ยินอีกแล้ว
ประตูลิฟท์เปิดออกแล้วพาฉันมาถึงชั้นล่างสุด ไม่มียามร่างยักษ์มายืนขวางอีกต่อไป ฉันเดินอ้อยสร้อยกว่าที่ควรจะเป็น จนกระทั่งอออกมาหน้าออฟฟิศ ฉันจึงหันไปมองตึกสูง 15 ชั้น บริษัทนราธร เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็เคยได้ทำงานที่นี่ล่ะนะ
ตอนนี้ฉันไม่มีแรงเดินไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านแล้ว ฉันจึงเรียกแท็กซี่แถวนั้น พอก้าวขึ้นรถแท็กซี่น้ำตาฉันก็ไหลออกมา
พ่อคะ หลังงานศพพ่อ หนูก็สัญญาว่าจะไม่ร้องไห้ หนูร้องไห้ครั้งล่าสุดก็เมื่อหลายปีที่แล้วที่เจ้าด่างสุนัขพันธุ์ทางถูกรถทับตาย จากนั้นหนูก็ไม่เคยร้องอีกเลย แต่ไม่กี่เดือนมานี้ หนูต้องร้องเพราะใครคนหนึ่งทำให้หนูไม่มีงานทำถึง 2 ครั้ง และเขาคนนั้นไม่เคยอธิบายอะไรให้ฟังเลยว่าที่ต้องทำกับหนูแบบนั้นเพราะอะไร ทีพ่อ ก่อนพ่อจะจากไป พ่อยังอธิบายเลยจริงไหมคะ ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แค่ตกงานเท่านั้นน่ะเหรอ ที่ทำให้บ่อน้ำตาแตก จริงๆแล้ว ฉันอาจจะรู้สึกผูกพันกับคนขี้โมโห ไม่มีอารมณ์ขัน และแข็งกระด้าง มากกว่าที่คิดก็เป็นได้
“มีเรื่องอะไรเหรอลูก!” เมื่อฉันเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังจนจบว่าขอลาออกแล้ว แม่ตกใจมากจนทำปากกาที่กำลังใช้เขียนงาน ซึ่งแม่บอกว่างานนี้เป็นระดับ ‘master piece’ ตกกระทบพื้นดัง แกร๊ง!
“คือ คุณนรินทร์เขาขี้โมโหเกินไปน่ะค่ะ” ฉันตอบไม่เต็มเสียง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกความจริงกับแม่ไป เอ่อ ถ้าบอก ไม่รู้สิ คุณนรินทร์นั่นแหละผิด แต่ฉันก็ทำของของเขาเสียหาย โอ๊ย!!! ฉันเกลียดเขาจริงๆ เขานั่นแหละผิดๆๆๆๆๆๆๆ
แม่มองฉันด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนกัน สงสัย ไม่เข้าใจ ผิดหวัง ฉันไม่ชอบความรู้สึกสุดท้ายเลยแฮะ แล้วแม่ก็ยื่นมืออันอบอุ่นมาจับไหล่ฉัน จากนั้นก็โอบรอบตัวฉันไว้
“แม่รู้ว่าลูกโกหกอยู่นะจ๊ะ แต่เอาเถอะ แม่เชื่อใจลูกว่าลูกของแม่คงจะมีเหตุผลมากกว่านั้นที่บอกแม่ไม่ได้”
โอ๊ย! แม่สมเป็นแม่ฉันจริงจริ๊ง...
.
“แม่คะ...คือ หนู... ไม่ได้โกหกนะคะ คุณนรินทร์น่ะ ชอบตะคอกใส่หนูอยู่เรื่อย” ฉันพูดความจริงนะ
“แต่ แค่นั้นคงไม่ทำให้ลูกของแม่ลาออกหรอกจริงไหม เขาต้องมีอะไรที่แย่มากกว่านั้นจริงๆ ช่างเถอะลูก มีอีกตั้งหลายบริษัทนี่จ๊ะ ยิ่งถ้ามีประวัติว่าทำงานที่นราธร ก็ยิ่งมีภาษี” คราวนี้แม่ยิ้มละไม ไม่มีแววตาผิดหวังอีกแล้ว
อืม... หนูขอโทษค่ะแม่ “แต่แม่คะ หนูทำได้เดือนเดียวก็ออก บริษัทอื่นอาจจะสงสัยก็ได้นะคะ”
“ก็ตอบเหตุผลที่แท้จริงกับเขาไปสิลูก คราวที่แล้วลูกก็ตอบความเป็นจริงไม่ใช่เหรอ” แม่เน้นคำว่า ‘ที่แท้จริง’ มาก
เอ่อ... ให้บอกว่า ดิฉันลาออก เพราะเจ้านายงุบงิบเงินไปซื้อมือถือทดแทนเครื่องที่ฉันทำพังเองกับมือน่ะเหรอ ชีวิตฉันจบสิ้นแล้วจริงๆ ฉันรีบพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงขอบคุณแม่ แล้ววิ่งแจ้นขึ้นห้องนอนไป
เอ..เดี๋ยวสิ ฉันรีบหันหลังกลับไปมองแม่ ที่ตอนนี้กำลังเริ่มเขียนงาน ‘master piece’ ต่อไป
“แม่คะ ทำไมแม่ไม่บังคับให้หนูบอกความจริงล่ะ”
แม่หัวเราะเสียงดัง “ก็เพราะนี่ยังไงล่ะลูก สิดี ลูกน่ะ ปิดบังแม่ได้ไม่นานหรอก”
อ้าว นี่ฉันเผลอบอกไปแล้วเหรอว่าโกหก เออโง่จริ' ฉันยิ้มแหยๆ แต่รู้สึกสบายใจพิกล
“ถ้าหนูพร้อมแล้วหนูจะบอกนะคะ” แล้วก็รีบขึ้นห้องนอนไป
ฉันสับสนในตัวเองไปหมด หรือว่าฉันเองที่เดินทางผิด คิดถึงหนูเล็กจะโทรไปหาก็ คงจะงอนไม่เลิก ที่คิดไว้ว่าจะซื้อรองเท้าไปง้อ คงต้องยกเลิกไปก่อน เฮ้อ พรุ่งนี้ฉันจะเริ่มชีวิตจากตรงไหนดีนะ เปิดดูประกาศรับสมัครงานจากหนังสือพิมพ์อีกตามเคย จากนั้นคงจบลงด้วยการรวบรวมประวัติการทำงานที่พูดเต็มปากไม่ได้ว่าน่าภูมิใจ แล้วฉันก็เดินไปหยิบหนังสือรวบรวมภาพสีน้ำมันของ Claude Monet มาดู พลิกหน้ากระดาษพิจารณาไปทีละรูป แค่นี้ก็ช่วยให้ฉันผ่อนคลายได้บ้างเหมือนกัน ฉันชอบดูภาพสีน้ำมันน่ะ ศึกษาของหลายคนอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะ Renoir Rodin Van Gogh แต่ชอบของ Monet ที่สุด ภาพที่ฉันประทับใจคือ Wild Poppies มองภาพนี้นานๆแล้วเหมือนอยู่ในความฝัน ในภาพมีทุ่งดอกป๊อปปี้สีแดงอยู่ทางด้านซ้าย ถัดมาหน่อยมีรูปสองแม่ลูกในชุดสตรีสมัยก่อนเดินจูงมือฝ่าทุ่งหญ้าไปด้วยกัน ผู้หญิงและเด็กในภาพ เป็นภรรยาและลูกชายของ Monet เอง ทั้งสองกำลังเดินอยู่ใต้ท้องฟ้าคราม ซึ่ง Monet จรดปลายพูกันสื่ออกมาได้งดงามมาก ฉันว่ามันโรแมนติกดีนะ ที่สามีวาดภาพภรรยา อู้ววว...
มันก็น่าแปลกเหมือนกันที่ฉันชอบดูภาพเหล่านั้นแล้วไม่เกิดความรู้สึกอยากเป็นศิลปินวาดเองบ้าง อ๊ะ!!!! ฉันคิดอะไรออกแล้ว! ฉันจะไปเรียนวาดภาพสีน้ำมัน แล้วจะยึดอาชีพศิลปินไปตลอดชีวิต ฉันจะไม่ทำงานออฟฟิศที่คอยสร้างปัญหา และทำให้อนาคตฉันตกต่ำอีกต่อไป ฉันจะอยู่กับศิลปะ ธรรมชาติ ทำงานเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่ยุ่งกับผู้คน ฉันจะได้ไม่ต้องถูกใครหัวเราะเยาะอีก อืม เอาละ ฉันจะเป็น Artist! ฉันปิดหนังสือภาพดังปัง! แล้วเปิดตู้เก็บของออก ค้นหาใบปลิวรับสอนวาดภาพสีน้ำมันที่ฉันได้มาเมื่อหลายเดือนก่อนตอนไปเดินห้างกับหนูเล็ก ตอนนั้นฉันก็ว่าน่าสนใจดี แต่ก็ยุ่งกับงานมากจนไม่ได้สนใจ หึหึ ถ้าดังหน่อยล่ะก็ ภาพของฉันคงราคาหลายแสน เผลอๆ พอชื่อติดลมแล้ว แค่หลับตาปาดพู่กันซ้ายที ขวาสองทีครึ่ง คงขายได้เป็นล้าน เหมือน Picasso ที่ไม่ว่าฉันจะมองตรงๆ ตีลังกามอง หรือ นอนตะแคง ก็ยังคงไม่เข้าใจภาพของเขาสักที แต่ก็ยังมีเศรษฐีทั่วโลกประมูลแย่งภาพของเขาด้วยราคาสูงลิ่ว ศิลปะ ก็น่าประหลาดใจตรงนี้แหละ คือสามารถคัดกรองระดับของผู้เสพได้ และพอฉันรวยเทียบเท่าหรือมากกว่าตานรินทร์ ฉันก็จะ take over กิจการของเขา แล้วไล่เขาให้ไปนั่งขายมือถือมือสองแทน...ก็เขาชอบมือถือมากไม่ใช่รึไง
วันต่อมา ฉันไม่รีรอ รีบออกจากบ้านไปสมัครเรียนวาดสีน้ำมันทันที แม่มองฉันกระตือรือร้นออกไปจากบ้านด้วยความแปลกใจ อารมณ์ของฉันตอนนี้คงแตกต่างจากเมื่อเย็นวานมากนัก ฉันไม่ได้บอกแม่หรอกว่าจะเบนเข็มไปเป็นศิลปิน แม่คงคิดว่าฉันออกไปหางานตามปกติน่ะแหละ เฮ้อ ฉันงี่เง่าหางานเป็นหลักแหล่งกับเขาไม่ได้สักที แม่ก็อายุปาไป 50 แล้ว คงจะกังวลในตัวฉันไม่น้อย แต่แม่กลับเข้าใจและคอยให้กำลังใจ
ฉันหาทางไปที่ ‘บ้านศิลปะ’ อย่างทุลักทุเล ต้องเข้าไปในซอยลึกมาก แถมเปลี่ยวอีกต่างหาก ถ้ามาตอนกลางคืนคงโดนดักฉุดเป็นแน่ เอ ในใบปลิวบอกว่าบ้านเลขที่ 102/70 ฉันก็มายืนอยู่หน้าบ้านเลขที่นี้แล้วนะ แต่ที่นี่มันไม่เหมือนสถานที่ใช้สอนวาดภาพเลย บ้านไม้หลังเก่าชั้นเดียว จะเรียกว่าโทรมแทบไม่ได้รับการดูแลก็ว่าได้ บนหลังคามีกิ่งไม้เลื่อยยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แถมประตูหน้าต่างก็ปิดสนิท มีป้ายไม้ที่โทรมพอๆกันถูกเขียนด้วยลายมือง่ายๆ แต่ดู ‘อาร์ต’ ว่า ‘บ้านศิลปะ’ แขวนไว้หน้าบ้าน รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ใหญ่เกินจะเรียกได้ว่าแผ่ความร่มเย็นเพียงอย่างเดียว โอ้ว! ฉันเห็นบ้านต้นไม้ข้องจริงไม่อิงนิยาย ที่ถูกสร้างอย่างประณีตและได้รับการดูแลดียิ่งกว่า บ้านจริงๆอีก มันตั้งตระหง่านอยู่บนกิ่งมโหฬารของต้นไทร อุแม่เจ้า!!! ขอเข้าไปสำรวจเสียหน่อยเถอะ แต่ฉันจะถูกงูกัดไหมนี่
บ้านต้นไม้น่ารักจัง มีบันไดปีนขึ้นไปด้วย คงไม่มีใครอยู่หรอกมั้ง หรืออาจจะปิดทำการไปแล้วก็เป็นได้ เพื่อไม่ให้มาเสียเที่ยวขอสำรวจหน่อยแล้วกัน ฉันปีนบันได้ไม้ขึ้นไป แล้วก็ถึงตัวประตู ลองเปิดมันออก โอ๊ะ! ไม่ได้ใส่กุญแจไว้อีกต่างหาก ฉันยื่นหัวเข้าไปมองภายใน อืม ยังมีข้าวของอยู่เลยนะ เก็บไว้เรียบร้อย แถมสะอาดสะอ้าน นี่แสดงว่าอาจจะมีคนอยู่ก็เป็นได้ แต่ของก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากกองหนังสือมหึมา ฟูกที่นอน โคมไฟ ขาตั้งขนาดย่อมที่มีเฟรมวาดภาพขึงผ้าเสร็จสรรพ ตั้งอยู่ ผ้ายังคงขาวสะอาด ข้างๆขาตั้ง มีกองสีน้ำมัน และถาดสีวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ...
“ช่วยด้วย!!! ขโมยขึ้น ช่วยด้วย!!!” มีเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากข้างล่าง พอฉันมองลงไปด้วยความตกใจ ก็เห็น เฮ้ย!!! นักโทษแหกคุกมาแน่ ตายล่ะ ฉันจะทำอย่างไรดีเนี่ย สภาพคนที่ฉันเห็นนั้นคือชายที่พะรุงพะรังไปด้วยหนวดเครา ผมก็ยาวยิ่งกว่าฉันเสียอีก แต่งตัวก็ยีนขาดๆ มอมแมมเป็นที่สุด นักโทษคนนี้ยังตะโกนไม่หยุด ฉันก็เอาบ้าง
“ช่วยด้วย นักโทษแหกคุกมา ช่วยด้วยค่า!!!!” ฉันกลัวจริงๆนะ ตัวฉันเต้นเร่าๆอยู่บนสะพานไม้บอบบาง โอ๊ย ฉันมาผิดบ้านจริงๆ ทำไงดี๊!!!
โครม!!! “โอ๊ย!!!!” สะพานไม้นั่นหักเป็นสองท่อน ฉันจึงดิ่งพสุธาตกลงมาดังตุ้บ! ทำเอาอีตานักโทษแหกคุกหุบปากทันที เขาวิ่งหื่นกระหายไปหยิบเชือกมา ตายแล้ว!!! ฉันต้องรีบลุกขึ้นหนี ฉันพยายามพยุงตัวเองขึ้นมา แต่ขากลับรู้สึกเจ๊บแปล๊บ
“อยู่นิ่งๆ!” เสียงนักโทษน่ากลัวมาก เขาพยายามจะจับฉันมัดเชือก ไม่นะ ทำไมฉันดวงซวยอย่างนี้ ใครก็ได้ช่วยที!!! ฉันดิ้นสุดฤทธิ์ ตะโกนให้คนช่วยไม่หยุด แล้วในที่สุด ฉันก็ถูกนักโทษแหกคุกจับมัดเสร็จสิ้น
“จะฆ่าฉันเหรอ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ใครก็ได้ช่วยที้!!!! แก ไอ้นักโทษแหกคุก ยังไงตำรวจก็ตามจับแกอยู่แน่นอนตอนนี้ แกไม่รอดร้อก! ช่วยด้วยๆๆๆๆๆ!!!!” ได้ผล เจ้านั่นหยุดนิ่ง
“คุณนั่นแหละหัวขโมย มาทำอะไรลับๆล่อๆ นี่บ้านผมนะ ผมสอนศิลปะอยู่ที่นี่ คุณอยู่นี่ไปก่อนเถอะ ผมจะไปแจ้งตำรวจ” แล้วเขาก็ทำท่าวิ่งออกไป
หา??? เนี่ยนะ คนนี้นี่นะ จะมาสอนศิลปะฉัน!!!!
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวค่ะ.....คือ...ฉันมาสมัครเรียนศิลปะค่ะ” ฉันพูดอย่างเหนื่อยหอบ ว่าที่อาจารย์ของฉันหยุดทุกทสิ่งทุกอย่างแล้วหันมามองด้วยสีหน้าแสนตกใจ ดวงตาภายใต้คิ้วรกๆนั่นฉายประกายวิบวับ
แล้วเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง เครารกๆนั่น แทบจะจุกปากเขาได้เลย เขารีบวิ่งมาแกมัดให้ฉัน
“ผมขอโทษจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมาสมัครเรียน เห็นมายืนลับๆล่อๆ คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ ขอโทษจริงๆ”
“เจ็บสะโพกค่ะ ขาก็เจ็บ แล้วฉันท่าทางเหมือนขโมยมากเหรอคะ” ฉันถามอย่างไม่พอใจ
“ครับ มาๆ มานั่งพักที่นี่ก่อน” แล้วเขาก็พยุงฉันเข้า ‘บ้านศิลปะ’
ฉันเนี่ยนะเหมือนขโมย พับผ่าสิ เขานั่นแหละ โจร 500 ชัดๆ
เมื่อเข้ามาใน ‘บ้านศิลปะ’ ฉันก็ต้องประหลาดใจ เพราะในนี้ จัดเฟอร์นิเจอร์ไว้อย่างเรียบร้อย แถมพื้นก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีวี่แววของหยักใย่เลยสักนิด ที่น่าประทับใจที่สุดคือรอบบ้านเต็มไปด้วยรูปวาดสีน้ำมัน เป็นภาพทุ่งดอกเดซี่ ดอกทิวลิป ดอกป๊อปปี้ ส่วนมากจะออกแนวภาพวิวทิวทัศน์ตามท้องทุ่งชนบท แต่คิดว่าชนบทของฝรั่งนะ เพราะดูจากวิวประกอบ และพันธุ์ดอกไม้ต่างๆ
“เอ่อ อาจารย์ชื่ออะไรเหรอคะ” ฉันถามเขาขณะเขาพยุงฉันมานั่งที่เก้าอี้นวมแสนสบาย
“ไม่ต้องเรียกอาจงอาจารย์อะไรร้อก เรียกสั้นๆว่า แจ๊กกี้ ก็พอ” เขาบอกแล้วกุลีกุจอไปหาน้ำมาให้ฉัน พร้อมยานวดขวดหนึ่ง
“ดื่มน้ำเสียสิคุณ ดูจะ thirsty มากนะ” เขาสั่ง
“แล้วเจ็บตรงไหน มาผมจะนวดให้” เขาพูดพลางก้มๆมองๆ แถวสะโพกฉัน
“เหอๆ ไม่ต้องค่ะ แค่เคล็ดนิดเดียวเท่านั้น แล้วคุณแจ๊กกี้ คิดค่าสอนยังไงคะ” ฉันถามเข้าเรื่อง
“ถูกๆน่ะคุณ มาๆ เจ็บตรงนี้ใช้ไหม ผมนวดให้ เขยิบก้นขึ้นหน่อยได้ม้าย” แจ๊กกี้ยังคงพยายามจะนวดก้นฉันให้ได้
“ไม่ต้อง!!! คือ หายเจ็บแล้วค่ะ ถูกๆนะกี่บาทคะ” ฉันถามต่อไป
“Oh don’t worry, just 10000บาทต่อเดือน เท่านั้น” เขาพูดแล้วขว้างยาหม่องน้ำใส่ตู้เก็บของ
บ้า!!! หมื่นนึง เนี่ยนะ เรียนกับคนหน้าตาเหมือนโจรห้าร้อน แถมพยายามจะจับฉันส่งตำรวจ อีกทั้ง ยืนยันจะนวดก้นฉันให้ได้
“เนี่ยนะถูก แพงจะตาย ฉันไม่เรียนแล้วนะคะ ขอโทษที่รบกวน” ฉันรีบลุกหนีออกไป ฉันโดนหลอกรึเปล่าเนี่ย ใบปลิวนั่นก็ดูเชื่อถือไม่ค่อยได้เสียด้วย มันไม่มีเบอร์ติดต่อ มีแต่ที่อยู่เท่านั้น
“wait! ผมจะลดให้ถูกๆแล้วกัน เหลือ thousand เดียวดีไหม” เขารีบดักคอสายตาภายใต้หนวดเฟิ้มนั้นอ้อนวอนสุดขีด
ฉันหันไปมองด้วยความไม่เชื่อหู ทำไมมันลดพรวดพราดยังงั้นละยิ่งกว่า midnidght sale อีกนะ อืม ขอคิดก่อนนะ ทางเข้าบ้านเขาก็น่ากลัว ตัวบ้านก็อยู่โดดเดี่ยว แถมสวนรอบข้างรกอย่างกับป่า หน้าตาเขาก็มองไม่ออกว่าเป็นยังไงกันแน่ เห็นแต่หนวดดกดำ ที่รุงรัง สกปรก...
“ตกลงค่ะ! เริ่มเรียนวันไหนคะ” ฉันถามอย่างกระตือรือร้น ดูเขาก็ใจดีไม่แพ้กัน
“tomorrow เลย….เอ่อ...pay money ล่วงหน้าได้มะ”
“อ่า...ค่ะๆ” แล้วฉันก็ล้วงกระเป๋าควักแบ็งค์พันออกมา เขารีบคว้าไปก่อนฉันจะยื่นให้เสียอีก หวังว่าคงไม่เอาไปเสพยานะ...
“thank you ๆๆๆๆๆ” แจ๊กกี้ขอบคุณฉันไม่หยุด
“คุณแจ๊กกี้ ช่วยสอนให้ฉันเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ด้วยนะคะ” ฉันรีบออดอ้อน
แจ๊กกี้ หยุดตื่นเต้นกับเงินทันที หันมามองฉันด้วยความจริงจัง
“อ้า...ถ้างั้น....นี่เลย คุณต้องคุกเข่ากับพื้น แล้วพูดว่า แจ๊กกี้เอย โปรดรับข้าน้อย ตามด้วยชื่อคุณเอง เป็นศิษย์ด้วยเถิด นั่นละ ถึงจะเป็นการไหว้ครูและปวารณาตัวในการเรียนศิลปะที่สมบูรณ์แบบ”
เหย... นี่ฉันมาเรียนกับคนบ้ารึเปล่าเนี่ย ทำไมมันเหมือนการฝากตัวเป็นศิษย์ของเหล่าจอมยุทธในนิยายกำลังภายในเลยล่ะ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคิดอะไร แต่ก็คุกเข่าลงตามที่เขาบอก
“อะแฮ่ม... แจ๊กกี้เอย โปรดรับข้าน้อย ทรัพย์สิดี ดีแต่เกิด เป็นศิษย์ด้วยเถิด”
แล้วแจ๊กกี้ก็ร้องออกมาด้วยเสียงปลื้มปีติ “โอ้ว ศิษย์ข้า!”
แล้วอยู่ดีดีฉันก็พูดตอบกลับเขาอย่างอัตโนมัติ “โอ้ว อาจารย์!”
ฉันกลับมาบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน เจ็บก้น และปวดขา ไม่รู้กระดูกหักบ้างรึเปล่า พอถึงบ้านฉันก็ให้แม่ทายานวดทันที แน่นอนแม่ถามอีกว่าฉันไปทำอะไรมา คราวนี้ ฉันตอบตามจริงว่าไปสมัครเรียนสีน้ำมัน บอกแม่ว่าจะเป็นศิลปิน แม่ไม่สะทกสะท้าน กลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้
“อ่านซะ” แม่สั่ง ฉันมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยความงงงวย
‘ติดต่อ จิทัศน์ สิทรา ด่วน 09-xxxxxxx’ นั่นคือข้อความในกระดาษ
“หมายความว่าไงคะแม่” ฉันถามด้วยความสงสัย
แม่ยิ้มกว้าง...กว้าง...กว้าง...
“หมายความตามนั้นจ้ะ สิดี โทรไปเสียสิ ลูกได้งานที่สิทราแน่ๆ” แม่รีบคะยั้นคะยอ...หา? เกิดอะไรขึ้นกับฉันอีกล่ะนี่
ฉันรีบต่อโทรศัพท์ไปทันที มีแม่ยืนวี้ดว้ายกระตู้วู้ อยู่ข้างๆ
“สวัสดีครับ” เสียงคุณจิทัศน์เป็นแน่
“เอ่อ ดbฉันทรัพย์สิดีค่ะ ที่คุณติดต่อมา มีธุระอะไรหรือคะ” ฉันถามพยายามทำเสียงไม่ให้ประหม่า...
“อ้อ คุณนั่นเอง คือผมทราบมาว่าคุณลาออกจากนราธรแล้ว และตอนนี้ผมยังหาเลขาไม่ได้ ถ้าผมจะเสนอให้คุณมาเป็นเลขาของผม จะว่าอย่างๆไรครับ”
ให้ฟ้าเป็นพยาน ฉันถูกเรียกตัวไปทำงานกับบริษัท สิทรา ด้วยตัวประธานบริษัทเองเลยหรือ!!!!! โอ้ว!!! ที่ก็องดิดเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่านั่นจริงเสียด้วย แต่ฉันว่าเรื่องนี้แปลกๆนะ คุณนรินทร์บอกว่าเขาได้เลขาจบนอกไม่ใช่เหรอ
“เอ่อ คุณมีเลขาแล้วไม่ใช่เหรอคะ” ฉันถามตรงๆ
คุณจิทัศน์เงียบไปนิดหนึ่ง “เธอออกไปแล้วครับ”
ฉันว่าเขาโกหก ถึงจะไม่เข้าใจเหตุผลก็ตาม ฉันประมวลผมความคิดนิดหนึ่ง ไม่รู้จะหาหลักการหรือเหตุผลอะไรมาสนับสนุนการตัดสินใจครั้งนี้ แค่อยู่ดีดีฉันก็นึกถึงใบหน้าของเขา คุณนรินทร์ ไม่รู้สิ ถึงเขาไม่หล่อ ฉันก็คงทำแบบนี้แหละ
“ขอโทษนะคะ ดิฉันคงต้องปฏิเสธน่ะค่ะ เพราะได้งานอย่างอื่นทำแล้ว ขอบคุณมากนะคะ สวัสดีค่ะ”
แล้วฉันก็วางโทรศัพท์ไปดื้อๆ แม่ที่ตอนแรกเต้นเย้วๆ ตอนนี้กลับมองฉันอย่างประหลาดใจ ฉันทำถูกแล้วล่ะ คุณนรินทร์ คุณน่ะเป็นหนี้ฉันนะ
ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มี.ค. 2555, 14:49:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มี.ค. 2555, 14:49:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 2107
<< เรื่องใหญ่ | สามเท่า >> |
pattisa 29 มี.ค. 2555, 17:46:08 น.
นั่นเเน่ นางเอกเเอบชอบพระเอกแล้วล่ะสิ
นั่นเเน่ นางเอกเเอบชอบพระเอกแล้วล่ะสิ
ling 30 มี.ค. 2555, 00:39:02 น.
นางเอกเราต้องอย่างนี้สิ ได้ใจไปเล้ย
นางเอกเราต้องอย่างนี้สิ ได้ใจไปเล้ย
เนยแข็ง 3 เม.ย. 2555, 13:51:42 น.
คำผิด
มีเงินหลาร้อยล้าน >> มีเงินหลายร้อยล้าน
เออโง่จริ' >> เออโง่จริง
ต้นไม้ข้องจริง >> ต้นไม้ของจริง
อ่อ ดbฉันทรัพย์สิดีค่ะ >> อ่อ ดิฉันทรัพย์สิดีค่ะ
ส่วนเรื่องลาออก ไม่แน่ใจว่านางเอกมาทำงานขนของอะไรมาหรือเปล่า แต่ถ้าเงินเดือนออก แสดงว่าทำงานมาครบเดือนแล้ว น่าจะมีสมบัติอะไรบ้าง เดินออกมาเลยตัวเปล่าๆ คงไม่น่าใช่อ่ะค่ะ
อย่างตอนที่แล้ว วิ่งออกมาเลย เข้าใจว่าอารมณ์พาไป แต่ตอนนี้เดืนออกมาเงียบๆ บอกเพื่อนร่วมงานอีกต่างหาก ก็น่าจะมีสติพอไปเก็บของก่อน จะได้ไม่ต้องกลับมาอีก
ปล. ตอนนี้นางเอกก็จินตนาการกว้างไกลอีกแล้ว อยากเป็นจิตรกร มีภาพวาดเป็นแสน ทั้งที่ยังไม่ได้ไปเรียนเลย 5555++
แล้วยังเพี้ยนทั้งอ. ทั้งลูกศิษย์เลยนะ 5555
คำผิด
มีเงินหลาร้อยล้าน >> มีเงินหลายร้อยล้าน
เออโง่จริ' >> เออโง่จริง
ต้นไม้ข้องจริง >> ต้นไม้ของจริง
อ่อ ดbฉันทรัพย์สิดีค่ะ >> อ่อ ดิฉันทรัพย์สิดีค่ะ
ส่วนเรื่องลาออก ไม่แน่ใจว่านางเอกมาทำงานขนของอะไรมาหรือเปล่า แต่ถ้าเงินเดือนออก แสดงว่าทำงานมาครบเดือนแล้ว น่าจะมีสมบัติอะไรบ้าง เดินออกมาเลยตัวเปล่าๆ คงไม่น่าใช่อ่ะค่ะ
อย่างตอนที่แล้ว วิ่งออกมาเลย เข้าใจว่าอารมณ์พาไป แต่ตอนนี้เดืนออกมาเงียบๆ บอกเพื่อนร่วมงานอีกต่างหาก ก็น่าจะมีสติพอไปเก็บของก่อน จะได้ไม่ต้องกลับมาอีก
ปล. ตอนนี้นางเอกก็จินตนาการกว้างไกลอีกแล้ว อยากเป็นจิตรกร มีภาพวาดเป็นแสน ทั้งที่ยังไม่ได้ไปเรียนเลย 5555++
แล้วยังเพี้ยนทั้งอ. ทั้งลูกศิษย์เลยนะ 5555