The Promise...สัญญาใจ สัญญารัก(สนพ.อิงค์)
“สัญญานะพี่มาร์คว่าจะกลับมา เอาเรือลำใหญ่ๆ มารับอลิสด้วยนะ อลิสอยากนั่งเรือไปดูดอกไม้สวยๆ”

เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญากับเด็กชายวัยเก้าขวบยังคงอยู่ในความทรงจำของชญานิศไม่เคยจาง หล่อนมักฝันถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กในสถานเด็กกำพร้าเสมอ พร้อมกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเด็กชายคนนั้นจะกลับมาหาหล่อนตามคำสัญญาที่มีให้กัน

กระทั่งหล่อนได้พบกับกรวิชญ์สถาปนิกหนุ่มแสนกะล่อนและเจ้าชู้

เขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเพื่อคุมความประพฤติหลานชายตัวแสบ ไม่ให้เข้ามาก่อกวนชีวิตโสดของเขา เพราะเหตุนี้นี่เองชญานิศจึงรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว...กรวิชญ์คือพี่มาร์คในความทรงจำของหล่อน !


หากเขายังจำอลิสตัวน้อยได้อยู่อีกเหรอ ในเมื่อตอนนี้...เขาเห็นหล่อนเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเฉิ่มๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น


Tags: เด็ก,เจ้าชู้,สรัน,น่ารัก,สถาปนิก,เปิ่น,ยิปซี,สัญญา

ตอน: บทที่ 4

บทที่ 4



ภายในสถานก่อสร้างย่านเศรษฐกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนคู่หนึ่งกำลังกวาดตามองสำรวจพื้นที่หลายตารางกิโลเมตรสำหรับสร้างห้างสรรพสินค้ารูปแบบใหม่ในอนาคต

กรวิชญ์นัดกับนภนัยแต่เช้ามาดูสถานที่จริงเพื่อวางคอนเซ็ปต์ของโครงการ แต่นภนัยนั้นเอาแต่พร่ามถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของบริษัทที่จะได้จากการประมูลงานครั้งนี้ ซึ่งต่างจากกรวิชญ์ที่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับลานดินว่างเปล่าเบื้องหน้าวาดฝันแบบแปลนห้างสรรพสินค้าในหัวสมอง

ทั้งสองใช้เวลาร่วมชั่วโมงถ่ายภาพเก็บบรรยากาศพื้นที่โดยรอบเรียบร้อยก็ออกมาจากเขตก่อสร้าง กลับมายังรถของกรวิชญ์ซึ่งจอดเทียบฟุดปาธอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ก่อสร้างมากนัก

ยังไม่ทันถึงรถดี กรวิชญ์สะดุดตากับรถสีดำคันหนึ่งที่เพิ่งเคลื่อนตัวมาจอดเทียบริมฟุตปาธหน้ารถของเขา

“โธ่...นึกว่าใคร” นภนัยเท้าสะเอวเอ่ยแค่นหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ในชุดดำแปรสถานะจากคนขับรถกุลีกุจอลงมาเปิดประตูให้ชายมีอายุในชุดสูทร่างสันทัดคนหนึ่งก้าวลงจากรถ รู้เลยว่าต้องเกิดศึกขนาดย่อมขึ้นแน่นอน

กรวิชญ์ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย เป็นชายมีอายุตรงหน้าที่ขยับสูทเล็กน้อยวางมาดขรึมเหมือนทุกคราวที่พบเจอ ลงจากรถแล้วแต่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายคอยให้เหยื่อเข้ามาหา คาดว่าอีกฝ่ายคงเห็นสองหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่รถยังไม่จอดดีด้วยซ้ำ

หากกรวิชญ์ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นธาตุอากาศ เดินผ่านหน้าชายในชุดสูทไปยังรถของตัวเอง

ชายฉกรรจ์ชุดดำที่ยืนกร่างอยู่ไม่ห่างนายทำท่าจะพุ่งเข้ามาเอาเรื่องกรวิชญ์แต่กลับถูกนายยกมือห้าม

“ไม่ต้อง วันนี้ฉันไม่อยากมีเรื่อง” ไกรศรเอ่ยบอกคนของเขาเสียงเรียบก่อนเป็นฝ่ายทักชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นก่อน “ฉันไม่นึกเลยนะว่าเราจะลงแข่งประมูลงานออกแบบโครงการนี้กับเขาด้วย”

“พวกเราจะลงแข่งหรือไม่ มันหนักหัวแกนักรึไง” นภนัยออกโรงแทนเพื่อน

นั่นเองคนที่กำลังจะเปิดประตูขึ้นรถจึงหันมาส่งสายตาปรามเพื่อน อาการเป็นเดือดเป็นร้อนของนภนัยทำให้กรวิชญ์กระแทกประตูรถปิดดังปัง ยอมพูดกับไกรศรทั้งที่ยังเสมองไปทางอื่นอย่างเซ็งๆ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่อยากจะสนทนาด้วยถ้าไม่จำเป็น “อย่ามาเสียเวลากับบริษัทเล็กๆ อย่างพวกเราหน่อยเลยคุณไกรศร เอาเวลานี้ไปกว้านซื้อตัวสถาปนิกเก่งๆ จากบริษัทอื่นมาออกแบบเหมือนอย่างเคยยังจะดีเสียกว่า เผื่อจะช่วยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของคุณชนะโครงการได้ง่ายขึ้น” กรวิชญ์เหน็บ

แต่แทนที่อีกฝ่ายจะละอายใจกลับหัวเราะออกมาอย่างกับเป็นเรื่องปกติ “ยังปากเก่งเหมือนเดิมนะเจ้ากร ก็ดี ได้ยินแบบนี้ฉันค่อยโล่งอกหน่อย นึกว่าการที่แกต้องหาที่อยู่ใหม่ให้บริษัทจะทำให้แกยอมถอดใจจากวงการนี้แล้วเสียอีก”

ประโยคท้ายเรียกความสนใจจากกรวิชญ์หันขวับมายังไกรศร

สีหน้าฉงนนั้นสร้างความพอใจแก่ประธานบริษัทออกแบบยักษ์ใหญ่ดีนักเชียว เชิดมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มเยาะ “นี่แกยังไม่รู้อีกเหรอว่าที่บริษัทแกโดนเด้งออกจากตึกเช่านั่นเพราะอะไร...ยังอ่อนหัดเหมือนเดิมนะเจ้ากร เหมือนพ่อกับแม่ของแกไม่มีผิด”

“แก !” กรวิชญ์ตะคอกใส่ชายมีอายุตรงหน้าในที่สุด สติสัมปชัญญะขาดสะบั้นจะกระโจนเข้าหา

ร้อนถึงนภนัยรีบโผเข้ามารั้งตัวเพื่อนไว้ “อย่าหลงกลมันไอ้กร มันกำลังพยายามยั่วโมโหแกอยู่นะโว้ย”

นั่นเองคนโมโหเลยได้สติ สะลัดเพื่อนออกจากการเกาะกุมได้แต่กำหมัดแน่น

กรวิชญ์พยายามระงับเลือดร้อนที่วิ่งพล่านในกายไม่ให้กระโจนเข้าไปชกหน้าคนตรงหน้า ! กี่ครั้งกี่หนกันแล้วที่เขาต้องทนฟังชายมีอายุน่ารังเกียจขยะแขยงผู้นี้ดูถูกบิดามารดาของเขา...นับตั้งแต่วันที่กรวิชญ์สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง เริ่มก่อตั้งบริษัทออกแบบเล็กๆ ขึ้นเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบิดา

“แก...หมายความว่ายังไง” กรวิชญ์เค้นเสียงในลำคอพยายามควบคุมอารมณ์ให้นิ่งที่สุด

ขณะที่ไกรศรยักไหล่อย่างไม่ยี่หระคล้ายกวนประสาทชายหนุ่มตรงหน้าเล่น “เรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ฉันก็แค่ไปขอซื้อตึกที่แกเช่าอยู่ก็เท่านั้น แต่ของแบบนี้มันต้องมีเทคนิคหลอกล่อกันนิดหน่อย ฉันเลยเสนอเงินไปก้อนหนึ่ง หึ แต่มันไม่ได้มากมายอะไรเลยถ้าเทียบกับเงินที่บริษัทฉันได้รับในแต่ละเดือนด้วยซ้ำ...นับว่าฉันปรานีแกมากแค่ไหนที่ให้เวลาแกหาที่อยู่ใหม่จนถึงสิ้นปี”

“แกมันเลวจริงๆ ไอ้ไกรศร !” นภนัยจะเป็นฝ่ายพุ่งหมัดเข้าหาไกรศรเสียเอง

หากเสียงโทรศัพท์มือถือที่กรีดร้องขึ้นฉุดคนที่กำลังสติแตกให้หยุดตัวเองไว้เพียงแค่นั้น สบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ที่มีคนโทร.มาขัดจังหวะก่อนหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา แต่แล้วเบอร์บริษัทบนหน้าจอทำให้นภนัยหันมามองไกรศรเป็นเชิงฝากไว้ก่อนหลบไปคุยโทรศัพท์เพียงลำพัง

กรวิชญ์นั้นพอเห็นเพื่อนปลีกตัวออกไปแล้วจึงทำทีเป็นไม่สนใจไกรศรเช่นกัน เขาเองก็เอือมระอาเต็มทนที่มาเสียเวลาสุงสิงกับคนพรรค์นี้ได้เป็นนานสองนานทั้งที่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพจิตของเขาดีขึ้นสักนิด

จะเดินกลับไปรอเพื่อนในรถ ทว่าเพียงหันหลังให้กรวิชญ์กลับได้ยินเสียงคนของไกรศรร้องโอยลั่น

กรวิชญ์หันกลับมายังอีกฝ่ายพลัน จังหวะนั้นเองมีรองเท้าข้างหนึ่งตกอยู่บนพื้นข้างกายชายในชุดดำ ขณะที่คนถูกรองเท้าปาใส่เอามือกุมขมับหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าของรองเท้าเลิกลั่กอย่างเอาเรื่อง คาดว่ารองเท้าข้างนั้นคงลอยละลิ่วมาจากที่ใดสักแห่งแล้วมากระแทกศีรษะคนของไกรศรพอดี !

“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้คนเลว หยุดไง ฉันบอกให้หยุด !”

เสียงเล็กแหลมของใครคนหนึ่งตะโกนฝ่าเสียงการจราจรที่จอแจบนท้องถนน ก่อนที่ชายผิวคล้ำผอมโซในชุดซอมซ่อวิ่งมาจากไหนไม่รู้ผ่านหน้ากรวิชญ์ไปเร็วปานสายฟ้าแลบ

กรวิชญ์มองตามชายผิวคล้ำคนนั้นไปอย่างงุนงง เช่นเดียวกับไกรศรและชายฉกรรจ์ในชุดดำที่ยืนค้างอยู่บนฟุตปาธ ตามมาด้วยหญิงสาวสวมแว่นตาหนาเตอะในชุดยิปซีกระโปรงยาวลากพื้นสีสันแสบตาวิ่งไล่ชายคนนั้นมาติดๆ ตะโกนเรียกเสียลั่นถนน ครานั้นเองที่กรวิชญ์ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ สาวตรงหน้าก็ถกกระโปรงที่ยาวลุ่มล่ามนั้น เท้าข้างหนึ่งที่เปลือยเปล่ามีเพียงสร้อยข้อเท้าห้อยกระพรวนเล็กๆ สะดุดตากรวิชญ์ชั่วขณะ บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของรองเท้าลอยละลิ่วมานั้นคือเจ้าหล่อนนั่นเอง

ไม่รอช้าสาวยิปซีผู้นั้นก็ถอดรองเท้าอีกข้างปาใส่ชายผิวคล้ำตรงหน้าอย่างไม่กริ่งเกรงสายตานับร้อยคู่ที่จับจ้องมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน ก่อนวิ่งไกลออกไปจนลับตา

“เด็กเวร !” ไกรศรก่นด่าไล่หลังอย่างหัวเสีย เพราะแม่คุณเล่นปารองเท้าผ่านหน้าเขาไปแบบฉิวเฉียด

ภาพความชุลมุนตรงหน้าชวนให้กรวิชญ์ยิ้มขันออกมา นึกขอบคุณแม่สาวยิปซีอยู่ลึกๆ ที่ช่วยฝากรอยเท้าไว้ให้กับคนพวกนั้น




*********************


“ขับให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้รึไงวะไอ้กร” นภนัยเร่งเพื่อนยิกๆ

ขณะที่กรวิชญ์ซึ่งกระวนกระกายใจไม่แพ้กันร้องค้าน “เงียบเถอะน่ะไอ้นภ นี่ฉันก็เร่งเครื่องเต็มที่แล้ว ขืนขับเร็วกว่านี้ได้ลงไปนอนแอ้งแม้งบนถนนกันทั้งคู่แทนไปถึงบริษัทกันพอดี”

“แต่ฉันเป็นห่วงงานที่บริษัทโว้ย ไม่รู้ป่านนี้หลานแกปู้ยี้ปู้ยำงานฉันจนป่นปี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้” นภนัยยังคงเถียง

หลังจากที่กรวิชญ์นั่งรออยู่ในรถได้ไม่นานนภนัยก็กลับมาพร้อมร่ายยาวเป็นชุดถึงพฤติกรรมของหลานชายตัวแสบของเขา ไม่วายเร่งให้เพื่อนขับรถพุ่งทะยานกลับมายังบริษัทให้เร็วที่สุด

ก่อนหน้านี้พนักงานที่บริษัทแค่โทร.มาขอเอกสารคำนวณราคาการออกแบบแปลนที่หนึ่งของลูกค้าจากนภนัย แต่พอคนอีกฟากพบว่าเอกสารเหล่านั้นถูกอเล็กซ์เอาไปฉีกพับเล่นเป็นจรวดร่อนไปทั่วบริษัทแล้วเรียบร้อย คนโวยจึงเป็นนภนัยกลับมาต่อว่าเพื่อนในรถเสียยกใหญ่ที่ทิ้งหลานไว้ที่บริษัท โดยหารู้ไม่ว่ากรวิชญ์เองก็เดือดเนื้อร้อนใจไม่แพ้กัน

รู้สึกผิดด้วยที่ไม่กำชับให้คนในบริษัทดูแลอเล็กซ์เป็นเรื่องเป็นราวก่อนออกมาดูสถานก่อสร้างกับนภนัย เขาแค่กลัวหลานชายจะทำข้าวของในคอนโดเละเทะก็เท่านั้น ไม่นึกว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงอเล็กซ์จะก่อเรื่องอีกจนได้

รถเปิดประทุนสีแดงแล่นปราดเทียบจอดหน้าบริษัทออกแบบของทั้งสอง นภนัยเป็นคนแรกที่ก้าวลงจากรถผลักบานประตูเข้าไปในบริษัท ตามมาด้วยกรวิชญ์ที่เพียงยืนเท้าสะเอวมองความวุ่นวายตรงหน้า ยามนี้บริษัทของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบขนาดย่อมแล้วเรียบร้อยด้วยกระดาษก้อนขยุกขยุยขยำเกลื่อนพื้น บนโคมไฟกับบนโต๊ะทำงานมีจรวดกระดาษหลายสิบลำร่อนไปติดแหง็กอยู่บนนั้น โดยมีลูกจ้างของเขาซึ่งมีจำนวนน้อยนิดกำลังตามเก็บกันให้วุ่น

ท่ามกลางสมรภูมิรบตรงหน้า หลานชายตัวแสบของกรวิชญ์กำลังนั่งระบายสีสบายอารมณ์อยู่บนโต๊ะตัวยาวกลางห้องซึ่งปกติเป็นโต๊ะที่ไว้ใช้ประชุมกับพนักงาน

กรวิชญ์ลอบโล่งอกที่อย่างน้อยอเล็กซ์ยังฟังคำสั่งเขาบ้าง ยอมนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น ไม่หนีไปไหน

“น้ากรกลับมาแล้ว” อเล็กซ์ร้องร่าดีใจที่เห็นน้าชาย รีบผละจากงานศิลป์ในมือโผกอดผู้เป็นน้า

เป็นนภนัยที่พุ่งพรวดไปยังโต๊ะที่เด็กนั่ง แฟ้มเอกสารที่เปิดหราอยู่ตรงหน้าที่นั่งอเล็กซ์เมื่อครู่ทำให้นภนัยถึงกับควันออกหู หันมาตวาดคนตัวเล็กเสียงเขียว “นี่มันอะไรอเล็กซ์ ทำไมงานน้าถึงได้เละแบบนี้ !”

“เออ...เป็นความผิดของตูนเองค่ะคุณนภ ตูนมัวแต่วุ่นๆ กับงานเลยไม่ทันได้ดูน้อง” พนักงานสาวที่กำลังก้มๆ เงยๆ ตามเก็บเศษกระดาษฝีมือเด็กบนพื้นออกรับแทนด้วยสีหน้าเหยเก

แต่คำอธิบายนั้นดูเหมือนไม่ได้เข้าหูนภนัยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เขากำลังจ้องเขม็งมายังคนตัวเล็กอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ร้อนถึงอเล็กซ์เกาะหลบอยู่หลังน้าชาย โผล่แค่เสี้ยวหน้ามองตาปริบๆ มาให้คนตัวโตกว่าตรงหน้าอย่างรู้ตัว

ท่าทีของกรวิชญ์ที่ยืนนิ่งประจันหน้าคล้ายปกป้องหลานชายมากรายๆ ทำให้คนที่ตั้งท่าจะกระโจนเข้าหาเด็กด้วยความโมโหประสาทกินหนักกว่าเก่า กระแทกแฟ้มลงบนโต๊ะสบถออกมา จะไม่ให้เขาเดือดได้ไงในเมื่อเอกสารสำคัญของเขาตอนนี้มีแต่รูปภาพตัวการ์ตูนบ้าๆ วาดเละเต็มหน้าไปหมด !

พอลงโทษเด็กก็ไม่ได้ แถมผู้ใหญ่ยังให้ท้ายอีก สุดท้ายนภนัยเลยเลี่ยงหลบเข้าไปในห้องทำงานเพื่อนเพื่อบอกเป็นนัยว่ามีเรื่องต้องการพูดกันแค่สองคน

เมื่อประตูห้องทำงานปิดลงแล้วกรวิชญ์จึงถอยห่างจากหลานชาย ท่าทางไม่สบอารมณ์ของเพื่อนทำให้น้าชายผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมาก่อนย่อตัวเสมอหลานปรามอย่างใจเย็น “รู้ตัวใช่มั้ยเราว่าทำอะไรลงไป”

ไม่มีคำตอบจากอเล็กซ์ เพราะรายนั้นได้แต่ก้มหน้ารับผิด

กลับกลายเป็นผู้เป็นน้าที่โกรธไม่ลง ได้แต่เขย่าศีรษะหลานชายอย่างอ่อนใจ หลายวันมานี้กรวิชญ์เริ่มชินแล้วกับพฤติกรรมซนเป็นลิงของหลานชายตัวแสบ แต่สำหรับนภนัยซึ่งเป็นคนนอกคงยากที่จะเข้าใจ คิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยบอกให้อเล็กซ์เก็บกระดาษพวกนั้นให้เรียบร้อยนั่นแหละถึงได้เห็นคนตัวเล็กยิ้มออก รีบพยักหน้ารับคำน้าชายก่อนกลับไปจัดการสมรภูมิรบของตัวเอง

ภาพคนตัวเล็กที่กุลีกุจอเข้าไปช่วยพนักงานของเขาตามคำบอกทำให้กรวิชญ์ระบายยิ้มออกมาได้หน่อยก่อนตามนภนัยเข้าไปในห้องทำงานในเวลาถัดมา




*********************

“ฉันมาหาคุณกรวิชญ์ค่ะ”

เสียงใสๆ ด้านหน้าเคาท์เตอร์เรียกความสนใจจากพนักงานต้อนรับประจำคอนโดให้เงยหน้าจากนิตยสารอ่านเล่นสบมอง แต่แล้วคิ้วเรียวที่ถูกแต่งเติมอย่างบรรจงต้องขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดยิปซีสไตล์โบฮีเมียนสวมแว่นตาหนาเตอะยืนอยู่ตรงหน้ากำลังส่งยิ้มหวานมาให้หล่อนอย่างเป็นมิตร

“เอ่อ...คุณมาหาใครนะคะ” ภาพของหญิงสาวแปลกหน้าทำให้พนักงานสาวถามด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่าพิกล นึกว่าหูฝาดเพราะไม่ค่อยเห็นผู้หญิงในลักษณะนี้มาหากรวิชญ์นักหรอก

และนั่นทำให้คนที่ส่งยิ้มหวานมาให้กลายเป็นยิ้มแห้งแล้ง ชญานิศวันนี้หล่อนสวมเดรสสายเดี่ยวสีเขียวใบไม้ยาวกรอมเท้าพร้อมที่คาดผมแบบเชือกถักตามปกติของหล่อน ทว่าสายตาที่พนักงานหลังเคาท์เตอร์มองมานั้นลดความมั่นใจหล่อนไปเยอะ เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่ามาถูกที่รึเปล่า

“ฉันมาหาคุณกรวิชญ์น่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเขาพักอยู่ที่นี่รึเปล่า เผอิญฉันนัดกับเขาไว้ว่าจะมาช่วยดูแลหลานให้เขาที่คอนโด...” ชญานิศคลายกระดาษโน้ตแผ่นเล็กในมือออกมาอ่านชื่อคอนโดที่เพิ่งได้มาจากนภเกตน์ทางโทรศัพท์ แต่ด้วยความที่กำไว้ในมือนานไปหน่อยกระดาษเลยกลายเป็นก้อนขยุกขยุย ต้องขยับแว่นสายตาพยายามอ่านชื่อคอนโดตะกุกตะกักแกะลายมือตัวเอง

ไม่ได้สังเกตหรอกว่าแววตาของพนักงานสาวที่มองมานั้นกระจ่างแจ้งตั้งแต่ได้ยินเหตุผลของหล่อนแล้ว “อ๋อ คุณนั่นเอง...คุณชญานิศใช่มั้ยคะ”

“ค่ะใช่ค่ะ” สาวยิปซีถึงกับโล่งอก

“คุณกรบอกฉันไว้แล้วค่ะว่าคุณจะมา” พนักงานประจำเคาท์เตอร์เอ่ยบอกชั้นและหมายเลขห้องของกรวิชญ์ให้แขกทราบก่อนเอ่ยต่อว่า “ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณชญานิศที่ดิฉันเสียมารยาท คุณกรบอกไว้แล้วว่าถ้าคุณมาถึงเมื่อไหร่ให้ขึ้นไปหาได้เลย เดี๋ยวดิฉันโทรศัพท์บอกคุณกรให้ค่ะ”

“ขอบคุณนะคะคุณ...”

“ฉันปาลิตาค่ะ” พนักงานต้อนรับแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มสดใส

หลังจากปาลิตาโทรศัพท์รายงานให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องทราบถึงการมาของพี่เลี้ยงเด็กเรียบร้อย ชญานิศจึงขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่พนักงานต้อนรับบอก ความมั่นใจที่มีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วเวลานี้ไม่รู้หดหายไปไหนหมด รู้สึกเหมือนที่ที่หล่อนยืนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ที่ของหล่อนเอาเสียเลย

ตั้งแต่นั่งแท็กซี่มาลงหน้าคอนโดแล้วล่ะ ด้วยความหรูหราของการตกแต่งสถานที่และยังการแต่งกายของคนที่พักอาศัยอยู่ที่นี่อีก แต่ละคนดูภูมิฐานจนชญานิศอดโทษตัวเองไม่ได้ที่ไม่ยอมให้นภเกตน์มาเป็นเพื่อนแต่แรกทั้งที่รายนั้นอุตส่าห์ออกตัวว่าจะลางานมาด้วยแล้วแท้ๆ

เดิมทีนั้นชญานิศไม่ได้ตกปากรับคำกับเพื่อนแต่แรกหรอกว่าจะมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กรวิชญ์ ถึงขั้นตั้งใจไว้แล้วด้วยว่าต่อจากนี้ไปหล่อนจะไม่หางานพิเศษทำอีก แต่จะรีบๆ เรียนให้จบแล้วออกมาหางานทำแทน ด้วยไม่อยากเป็นภาระของคนที่บ้าน

นภเกตน์พอรู้เรื่องก็โวยวายยกใหญ่ “ได้ไงนิศ แกเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าสมัยนี้ใครๆ เขาก็จบปริญญาโท ปริญญาเอกกันทั้งนั้น จบแค่ปริญญาตรีหางานทำลำบากจะตาย”

“ฉันบอกกับทางสถานเด็กกำพร้าไว้แล้วว่าเรียนจบเมื่อไหร่จะไปสมัครเป็นครูที่นั่น ทางนั้นเขายังขาดคนที่จะมาสอนเด็กๆ อีกมากนะเกตน์ แล้วตอนนี้โรงเรียนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วด้วย ฉันกับหมอวัลลภเพิ่งไปช่วยเด็กๆ ทาสีโรงเรียนกันมาเอง”

ชญานิศยิ้มอย่างสุขใจยามนึกถึงภาพเด็กชายหญิงขะมักเขม้นช่วยกันทาสีอาคารเรียนสองชั้นบนลานโล่งของสถานเด็กกำพร้า เด็กๆ ทุกคนต่างตื่นเต้นกันมากที่จะได้มีสถานที่เรียนหนังสือเป็นเรื่องเป็นราวเสียที แววตาคู่น้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังนั้นทำให้ชญานิศตื้นตันใจเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้เพื่อนสาวเข้าใจ

“แต่ฉันอุตส่าห์หางานง่ายๆ ให้แกทำแล้วนะ ค่าจ้างก็ไม่ใช่น้อยๆ แค่ไปเช้าเย็นกลับเองยัยนิศ ตอนนี้งานที่บริษัทพี่เขากำลังยุ่งๆ ถ้าได้คนมาช่วยดูแลหลานสักคนคงทุ่นแรงไปได้เยอะ”

พอเห็นชญานิศยังลังเล นภเกตน์ก็ถอนใจออกมาดังเฮือก

“ทุกวันนี้ที่แกวิ่งวุ่นหางานพิเศษทำก็เพื่อเก็บเงินไว้ส่งตัวเองเรียนต่ออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นภาระของคนที่บ้านแม็คฟาร์แลนด์ตรงไหน หรือว่าป้ามหาภัย เอิ่ม แม่แกน่ะพูดอะไรไม่เข้าหูอีก ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าป้ารุ่งจะเอาอะไรกับแกนักหนา มีลูกจิตใจงดงามดั่งแม่พระอย่างแกทั้งคนไม่ชอบรึไง สงสัยต้องเจอลูกนังมารร้ายอย่างฉัน”

“เปล่าเสียหน่อยเกตน์ แม่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น” ไม่อยากได้ยินเพื่อนพูดถึงมารดาบุญธรรมเสียๆ หายๆ ไปมากกว่านี้เลยอ้อมแอ้มหาเหตุผลมาอธิบาย “ฉันแค่รู้สึกเหมือนตัวเองเห็นแก่ตัวยังไงก็ไม่รู้ สู้ฉันรีบเรียนให้จบแล้วออกมาทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูพวกเขาน่าจะดีกว่า”

“ทดแทนบุญคุณว่างั้น” นภเกตน์เบ้หน้า

ชญานิศไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเพื่อน ภาพวันที่รุ่งระวีปั้นปึงใส่สามีลุกออกจากโต๊ะอาหารไปยังติดตา

ชญานิศรู้ตัวดีว่ามารดาบุญธรรมไม่ได้เต็มใจอยากรับหล่อนมาเลี้ยงดูนักหรอก แต่รุ่งระวีไม่อาจปฏิเสธความต้องการของชาร์ลได้ด้วยว่าไม่สามารถมีลูกให้กับเขาได้ในยามแรก และที่ชาร์ลรับเด็กกำพร้าอย่างหล่อนมาเลี้ยงดูก็เพื่ออยากให้มีผู้สืบทอดกิจการของเขาในภายภาคหน้าก็เท่านั้น

ในเมื่อชญานิศไม่อาจเป็นได้ดั่งที่สามีของเจ้าหล่อนฝัน แววตาสุดท้ายที่รุ่งระวีมองมายังลูกสาวบุญธรรมนั้นจึงไม่แปลกที่มีแต่ความเกลียดชัง...ฝังจำจนชญานิศไม่อาจลบเลือนไปได้จากใจ และหล่อนไม่อยากให้มารดาบุญธรรมรังเกียจลูกสาวบุญธรรมอย่างหล่อนไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“ก็ได้นิศ แกยังไม่ต้องให้คำตอบฉันตอนนี้ก็ได้ คิดดีแล้วค่อยโทร.มาบอกฉันแล้วกัน แต่ฉันอยากให้แกรู้ไว้นะว่าการทดแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณนั้นทำไม่ได้กับคนทุกคนเสมอไปหรอก บางคนต่อให้เราทำดีกับเขาแค่ไหน แต่ตราบใดที่เขาไม่เห็นค่าในตัวเราก็เปล่าประโยชน์”

ชญานิศเพิ่งมารู้ซึ้งในคำเตือนของเพื่อนก็ตอนวันที่หล่อนจะออกไปขายของที่ตลาดตามปกตินั่นแหละ

มารดาบุญธรรมสั่งให้หล่อนอยู่ซักผ้าก่อนโดยให้เหตุผลที่ฟังแปร่งหูพิกล แถมยังมองสร้อยลูกปัดหลากสีราคาถูกในถุงสัมภาระของหล่อนที่เตรียมนำไปวางขายด้วยสายตาเหยียดๆ ค่อนไปทางดูแคลนอยู่ในที

“ฉันไม่ว่าหรอกนะถ้าเธอจะออกไปขายของกระจอกๆ พวกนั้น แต่คืนนี้ฉันต้องไปงานเลี้ยงกับสามีเลยอยากได้ชุดราตรีสวยๆ สักชุดใส่เสียหน่อย แต่ส่วนใหญ่ฉันเก็บไว้ในตู้จนมันเหม็นอับไปหมด หวังว่าเธอคงช่วยซักชุดพวกนี้ให้ฉันได้ก่อนเที่ยงนะแม่อลิส”

“เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้คุณนิศซักคนเดียวไม่ไหวหรอกจ้ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบัวเหมือนเดิมดีกว่านะจ๊ะ”

“ได้ไงล่ะบัวตอง ฉันเห็นเธอซักผ้าทีไรถนัดแต่จับยัดลงเครื่องตลอด เสื้อผ้าฉันแต่ละชุดเนื้อผ้าดี ราคาแพงทั้งนั้นต้องซักมือผ้าถึงจะได้ไม่เสียทรง ให้แม่อลิสซักน่ะดีแล้ว”

รุ่งระวีก็น่าจะรู้ว่าลำพังชุดนักศึกษาหล่อนเองยังไม่มีปัญญาจะซักให้สะอาดเลยนับประสาอะไรกับชุดราตรีราคาแพง แถมมารดาบุญธรรมยังกันท่าไม่ให้บัวตองยื่นมือมาช่วยหล่อนอีก

ที่จริงเรื่องแค่นี้ชญานิศพอรับได้อยู่บ้าง เพราะยังไงเสียสิ่งที่มารดาบุญธรรมสั่งมานั้นไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่หล่อนจะทำให้ได้ และถ้ามันจะเป็นหนทางหนึ่งที่หล่อนจะได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณที่รุ่งระวีเลี้ยงดูหล่อนให้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ หล่อนก็ไม่ควรปฏิเสธ

แต่สิ่งที่ชญานิศคิดผิดถนัด !

หล่อนบังเอิญได้ยินรุ่งระวีคุยโทรศัพท์กับเพื่อนในวันนั้น ทุกถ้อยคำของมารดาบุญธรรมยามพูดถึงลูกบุญธรรมอย่างหล่อนยังจดจำ

“สามีฉันทั้งรักทั้งทะนุถนอมนังนั่นอย่างกับอะไรดี ทำอะไรรุนแรงมากๆ ไม่ได้หรอก แต่ไอเดียเธอก็ไม่เลวนะ ดีกว่าแผนฉันที่แกล้งใช้ให้มันซักผ้านิดนึง นี่ฉันคิดไว้แล้วนะว่าพอมันซักเสร็จ ฉันจะแกล้งหาเรื่องให้มันโดนสามีฉันด่าเสียหน่อย เธอว่าฉันควรทำอะไรดี แกล้งหาว่ามันทำชุดฉันขาดดีมั้ย หรือด่ามันที่ทำผ้าสีตกดี ไม่ดีกว่า ทั้งสองข้อหาเลยเป็นไง”

ภาพของมารดาบุญธรรมที่เอ่ยถึงหล่อนในทางเสียๆ หายๆ อย่างสนุกปากทำให้ชญานิศน้ำตาร่วง

แม้รู้อยู่เต็มอกว่ารุ่งระวีไม่ชอบขี้หน้าก็ตาม...หากครั้งนี้มันมากเกินกว่าที่หล่อนจะรับได้จริงๆ ไม่นึกเลยว่ามารดาบุญธรรมจะคิดร้ายกับหล่อนได้ถึงเพียงนี้


******************

ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกชญานิศสัมผัสได้ถึงความเงียบสงัดภายในคอนโด ผู้มาใหม่อย่างหล่อนค่อยๆ ก้าวออกมาจากลิฟต์อย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก มองซ้ายแลขวาหาทางไป ยามนี้มีเพียงเสียงกระพรวนที่ข้อเท้าของหล่อนดังกรุ๋งกริ๋งตามจังหวะการก้าวเดินไปตามบริเวณทางเดินแคบๆ ไม่นานชญานิศก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องมุมในสุดของชั้น เห็นว่าใช่หมายเลขห้องเดียวกับที่ปาลิตาบอกจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด รวบรวมความกล้ากดกริ่งหน้าห้อง ยืนกระสับกระส่ายรออย่างใจจดใจจ่อ

วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังแกรกเป็นสัญญาณเตือนว่าคนในห้องกำลังจะเปิดประตูออกมา ชญานิศเผลอกระชับกระเป๋าผ้าแนบกายแน่นคล้ายเป็นหลักยึดให้อุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อน กระทั่งบานประตูถูกผลักเปิดออกเผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าลูกครึ่งตะวันตกคนหนึ่งโผล่พ้นประตูห้องออกมา

“คุณชญานิศ ?” เขาถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่พลางพินิจมองหญิงสาวตรงหน้าครู่หนึ่ง แต่แล้วกลับปรากฏแววฉงนแกมประหลาดใจในดวงตาคู่นั้น

ขณะที่ชญานิศยังคงนิ่งงัน มองตาปริบๆ มายังชายเจ้าของห้อง ใบหน้าคมสันเกลี้ยงเกลาของเขาคุ้นตาหล่อนอย่างบอกไม่ถูก

หากแวบนั้นที่หล่อนได้สบตากับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น ใจกลับเต้นแรง ยืนแข็งทื่อไม่ต่างจากคนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูง เพราะภาพชายแปลกหน้าที่ถูกหญิงสาวสาดน้ำใส่ในวันนั้นที่ภัตตาคารหรูหวนกลับเข้ามาในห้วงคำนึงทันใด

ชญานิศจำชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ดูสง่าราวเทพบุตรตรงหน้าได้ ตอนนั้นหล่อนแอบมองเขาเคลิ้มอยู่เหมือนกันอาจด้วยว่าเขาอยู่ภายใต้เสื้อสูทตัวยาวเข้ารูปก็เป็นได้ที่ทำให้เขาดูสง่าราวกับเทพบุตรมาจุติจากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน แต่ทว่าใบหน้าคมสันเกลี้ยงเกลาที่ออกไปทางลูกครึ่งตะวันตก กับคิ้วเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นของเขาที่ชวนให้คุ้นเคยต่างหาก กลับทำให้ชญานิศยังคงจดจำเขาได้ขึ้นใจ ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้เจอชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งในระยะประชิดเช่นนี้!

ชญานิศยิ้มเหยเกเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะจำผู้หญิงที่ไปยืนเกะกะขวางทางเขาตอนทะเลาะกับแฟนได้รึเปล่า ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรก็มีเสียงของใครบางคนดังมาจากในห้อง

“ใช่พี่เลี้ยงเด็กรึเปล่าคะคุณกร”

ชายหนุ่มเจ้าของห้องทำเหมือนเสียงถามนั้นเป็นลมพัดผ่านหู ยังคงมองสาวหน้าห้องอย่างขอคำตอบ พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับจึงเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อเชื้อเชิญ ‘พี่เลี้ยงเด็ก’ เข้ามาในห้อง

จากปากประตูเลี้ยวซ้ายเข้ามาจะพบส่วนครัวของคอนโด บริเวณใกล้เคียงนั้นเป็นโต๊ะรับประทานอาหารขนาดกลาง มองเลยผ่านไปใกล้ระเบียงเปิดโล่งมีโซฟาชุดตั้งวางสำหรับไว้ให้เจ้าของห้องนั่งเล่นพักผ่อนดูโทรทัศน์หรือทำกิจกรรมยามว่าง บริเวณซ้ายและขวามีบานประตูเปิดเป็นห้องแยกออกไป

ชญานิศดันแว่นสายตาขึ้นเหนือจมูกเล็กน้อย เพื่อเพ่งมองเก็บรายละเอียดภายในคอนโดของเขาให้มากที่สุดในเวลาอันสั้น แล้วเพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เองว่ามีสาวคนหนึ่งโผล่หน้าผ่านบานประตูห้องทางขวามือออกมา แต่แล้วชญานิศต้องเบนสายตาหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน อายแทนที่เห็นสาวผู้นั้นมีเพียงผ้าห่มพันกาย

หากแทนที่เจ้าตัวจะรีบหลบเข้าไปในห้องกลับหัวเราะขันราวกับท่าทางเขินอายของชญานิศเป็นเรื่องตลกสิ้นดี เป็นกรวิชญ์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังชญานิศส่งสายตาตำหนิ สาวตรงหน้าจึงยอมกลับเข้าไปในห้องในที่สุด

“คุณนั่งรอที่โซฟาก่อนแล้วกัน ผมขอจัดการธุระส่วนตัวสักครู่แล้วจะออกมาคุยกับคุณเรื่องหลานของผม”

“เอ่อ...แล้วหลานคุณล่ะคะ” ชญานิศถามเพราะไม่เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อยู่แถวนี้เลย

“เดี๋ยวผมมา” กรวิชญ์เลี่ยงไม่ตอบคำถาม ไม่รู้ว่าหล่อนคิดมากไปเองรึเปล่าถึงรู้สึกว่านายจ้างของหล่อนไม่ค่อยอยากจะสุงสิงด้วยเสียเท่าไหร่ก่อนตามผู้หญิงคนนั้นหายเข้าไปในห้องนอนอีกคน

เหลือเพียงชญานิศที่ยืนเคว้ง ยังคงจับจ้องไปยังประตูห้องนอนบานนั้น เอะใจที่สาวที่มีผ้าห่มพันกายไม่ใช่ผู้หญิงที่มีปากเสียงกับเขาที่ภัตตาคารคราวก่อน

‘แกไปอยู่กับพี่กรก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน พี่นภบอกว่าพี่กรน่ะเป็นเสือผู้หญิง แต่ไม่รู้สิแก ยังไงฉันก็ว่าพี่นภมีอคติกับพี่กรมากไป ฉันก็เห็นพี่เขาเป็นสุภาพบุรุษดีออก ชายในฝันของสาวๆ เลยนะแก ฉันล่ะอิจฉาแกจริงที่ได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับพี่เขา นี่ถ้าฉันไม่ติดว่าพี่นภห้ามไว้ล่ะก็ ฉันกระโดดไปดูแลหลานชายสุดที่รักของเขาแทนแกแล้ว’ ครานั้นเองที่เสียงเตือนก่อนมาของเพื่อนสาวในสายโทรศัพท์แล่นผ่านเข้ามาในหัวสมอง แล้วเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งตอนนี้เองว่าทำไมนภเกตน์ถึงได้เป็นปลื้มเพื่อนของพี่ชายคนนี้นักหนา หล่อนเองก็หลงในความหล่อราวเทพบุตรของกรวิชญ์ไปแล้วเหมือนกัน !

อีกใจหนึ่งก็อดเชื่อไม่ได้ว่าบางทีนภนัยอาจคิดถูกที่เตือนน้องสาวเช่นนั้น เพราะเท่าที่หล่อนเจอกรวิชญ์แม้เพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม ทุกคราวไปเขาต้องมีผู้หญิงมาเกี่ยวข้องพัวพันด้วยเสมอ แถมยังเป็นคนละคนอีกต่างหาก

นึกมาถึงตรงนี้แล้วชญานิศได้แต่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่หลวมตัวรับงานนี้เพราะความน้อยใจมารดาบุญธรรมแท้ๆ

ปล่อยให้ชญานิศวิตกจริตอยู่เพียงลำพังพักใหญ่ กรวิชญ์ก็กลับมาออกมาอีกครั้งพร้อมหญิงสาวของเขาที่เวลานี้ใส่เสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย ไม่วายสาวคนนั้นก็โน้มตัวมาจูบแก้มลาเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินย้วยระยาดออกจากห้องไป ไม่แคร์สายตาของชญานิศที่หน้าแดงซ่านอายแทนสาวเจ้า

ต่างจากกรวิชญ์ที่ไม่ได้สนใจสาวผู้นั้นสักนิด เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครอีกคน “ได้ครับโรส พอผมเสร็จธุระบ่ายนี้แล้วผมจะรีบไปรับคุณทันทีเลย รอผมก่อนนะคนดี”

แหวะ ชญานิศหันหลังให้เขาทำท่าคลื่นไส้ในคำพูดหวานชวนเลี่ยนนั้น

คนในสายที่ชื่อโรสชญานิศจำได้ว่าเป็นชื่อผู้หญิงที่เอาน้ำสาดใส่กรวิชญ์ที่ภัตตาคารคราวก่อน ยังไม่ทันพ้นสาวคนหนึ่งมาเลยเขาก็คุยโทรศัพท์สวีทหวานกับสาวอีกคนแล้วเหรอเนี่ย

จู่ๆ เสียงกริ่งประตูห้องก็ดังขึ้น ฉุดสาวที่กำลังนึกวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของนายจ้างกรายๆ หลุดจากภวังค์ มองบานประตูสลับกับเจ้าของห้อง แต่พอเห็นกรวิชญ์ยังคงเอาแต่คุยโทรศัพท์กับหวานใจชญานิศจึงทำหน้าที่เปิดประตูต้อนรับคนด้านนอกแทน

ทันทีที่ประตูเปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวสวมแว่นตาหนาเตอะหลังบานประตู สาวร่างท้วมที่ยืนรออยู่ด้านนอกถึงกับอ้าปากค้างอย่างกับคนเหวอไปชั่วขณะ คล้ายตกใจที่มีสาวอยู่ในห้อง

ร้อนถึงคนเปิดประตูต้องละล่ำละลักอธิบายเพราะกลัวคนตรงหน้าเข้าใจผิด ทั้งที่ไม่จำเป็นก็ตาม “ฉะ...ฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่คุณกรวิชญ์จ้างมาน่ะค่ะ มะ...ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอคะ แล้ว...เอิ่ม...มาหาคุณกรวิชญ์ใช่มั้ย”

“พี่เลี้ยงเด็ก ?” ได้ยินสาวในชุดยิปซีแนะนำตัวเช่นนั้นสาวร่างท้วมเลยทวนคำอย่างงงๆ ยังคงช็อค

ขณะที่ชญานิศเพียงยิ้มๆ ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงได้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กลัวตกเป็นหนึ่งในผู้หญิงของหนุ่มเจ้าของห้องเสียก็ไม่รู้

หากภายใต้ความงุนงงของคนทั้งคู่ ชญานิศกลับสะดุดตากับเด็กผู้ชายตัวสูงเท่าเอวในอ้อมแขนของสาวร่างท้วมตรงหน้า เพิ่งสังเกตเห็นว่าสาวเจ้าพาเด็กมาด้วย รายนั้นเพียงเอียงคอมองหล่อนอย่างสนใจ เป็นคนพามาที่คลี่ยิ้มออกเมื่อตั้งสติได้

“ตายจริง ฟ้าต้องขอโทษด้วยนะคะที่เข้าใจว่าคุณ...เป็น...”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก” ชญานิศรีบตัดบทเพราะพอจะอ่านสีหน้าคนตรงหน้าออก

“ฉันฟ้างามนะคะ แต่คุณจะเรียกว่าฟ้าเฉยๆ ก็ได้” ฟ้างามแนะนำตัวอย่างสนิทสนม “ฟ้าอยู่ห้องถัดไปนี้เองค่ะ ว่างๆ แวะมาหาฟ้าได้เสมอนะคะ”

ชญานิศยิ้มรับไมตรีที่สาวร่างท้วมมอบให้ “ขอบคุณนะคะคุณฟ้า ฉันชญานิศค่ะ แต่คุณฟ้าจะเรียกนิศเฉยๆ ก็ได้เช่นกัน”

กำลังจะอ้าปากถามถึงชื่อเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขน อยู่ดีๆ คนที่ง่วนอยู่กับการคุยโทรศัพท์กับสาวเมื่อครู่ก็เข้ามาแทรกกลางการสนทนาระหว่างหล่อนกับฟ้างาม “อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับคุณฟ้างาม”

“น้ากร” เด็กชายตัวเล็กผละจากสาวร่างท้วม แทรกตัวชญานิศเข้ามาหาชายหนุ่มเจ้าของห้องทันที

กรวิชญ์นั้นเพิ่งวางสายจากโรสก่อนหน้าที่จะเห็นสองสาวยืนคุยกันอยู่ปากประตูเมื่อครู่นี้เอง กำลังจะเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยแต่ไม่ไวเท่าหลานชายที่โผเข้ามากอดเสียก่อน เป็นชญานิศที่มองตามเด็กไปด้วยสีหน้างงงวย ก่อนมองนายจ้างของหล่อนสลับกับสาวหน้าห้อง

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลหลานผมให้เมื่อคืน ถ้าไม่ได้คุณเช้านี้งานผมคงยังไม่เสร็จแน่”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณกร ฟ้าเต็มใจ” ฟ้างามยิ้มรับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอาการเขินอาย

ทั้งสองพูดคุยกันไปมาโดยไม่ได้สังเกตหรอกว่ามีหญิงสาวอีกคนที่พยายามจับต้นชนปลายเรื่องทั้งหมดจากบทสนทนาเหล่านั้น แต่แล้วชญานิศต้องเบ้หน้าให้กับคำว่า ‘งาน’ ที่หลุดจากปากนายจ้างของหล่อน รู้อยู่เต็มอกว่างานที่ชายหนุ่มว่าคงไม่พ้นหญิงสาวที่เพิ่งออกจากห้องนอนเขาไปเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ ! #



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2555, 11:47:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2558, 15:16:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1660





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
teaw 31 มี.ค. 2555, 12:40:31 น.
ได้อ่านผลงานของรันอีกแล้ว

ไม่ค่อยมีเวลาไม่ได้อ่านนิยายซะนาน


สรัน 31 มี.ค. 2555, 22:12:10 น.
กรี๊ดดด ทิพย์ใช่มั้ยคะเนี่ย
ไม่ได้คุยกันนานเลย คิดถึง><


nunoi 1 เม.ย. 2555, 09:06:26 น.
ซนจริงๆเลยน่ะพ่อหนูน้อย


ปอแก้ว 1 เม.ย. 2555, 10:44:16 น.
ตามอ่านต่อจ้า :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account