เล่ห์สลับขั้ว
เมื่อความจำเป็นทำให้ต้องมาอยู่ร่วมรั้วบ้านเดียวกัน และรู้ว่าจะต้องโดนจับคู่ เธอจึงสร้างสถานการณ์ให้เขาเข้าใจผิด หวังให้เกลียด แต่ความใกล้ชิดทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม เธอชอบเขา และเขาก็ชอบเธอแม้ความจริงเรื่องชายไม่จริงหญิงแท้จะยังคลุมเครือเต็มทีก็ตาม และ...สิ่งที่เรียกว่ารักก็ทำให้เขายอมฝ่าฝันอุปสรรคหัวใจตัวเองและคู่ต่อสู้ได้ในทุกทางและอภัยได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายความจริงบางอย่างในอดีตต้องทำให้เธอคิดจะวิ่งหนีเขาเพื่อไปทำใจ...วิมวิพาหวังสักวันจะยอมอภัยในสิ่งที่ผิดพลาดครั้งเยาว์วัยของคฑาคินได้ด้วยคำว่า 'รัก'
Tags: น่ารัก

ตอน: ตอนที่ 2 ตอกย้ำความเข้าใจผิด

ตอนที่ 2

“ทำไมต้องให้พิธีกรเขาประกาศบอกว่าพวกเราเป็นกะเทยด้วยละพี่ฟีน่า” นินิวบ่นกระปอดกระแปดแบบนี้มาพักหนึ่งแล้วตั้งแต่อยู่ในห้องจัดงานจนตอนนี้รับค่าตัวเดินออกมาถึงชั้นจอดรถแล้วเธอก็ยังไม่วายจะบ่นขึ้นอีก

“พวกแกไม่เท่าไหร่หรอกนินิว ฉันกับยายเข็มนะซิ ป่านนี้คนในงานก็คงพากันเหมารวมคิดว่าฉันเป็นพวกเดียวกับแกไปแล้วจริง ๆ”

“ยังไม่ชินอีกเหรอนังวิม ทำไมเป็นพวกเดียวกับฉันแล้วมันแย่ตรงไหนยะ” ฟีน่าหันมาค้อนขวับ “ก็เพราะแกอยู่กับพวกฉันไม่ใช่หรอกเรอะ ถึงได้มีงานมีเงินไปช่วยพ่อแกใช้หนี้...”

“พี่ฟีน่าก็ทำเป็นน้อยใจไปได้” วิมวิพารีบเดินมาดึงแขนพี่ใหญ่ไปกอดแน่นเมื่อเห็นท่าว่าเจ้าหล่อนจะเคืองขุ่น “วิมไม่ได้ว่ามันไม่ดีสักหน่อย โอเค วิมยอมเป็นเพศเดียวกันพี่ก็ได้ ถ้าพี่จะมีงานดี ๆ ให้ทำอีก”

“แน่นอนอยู่แล้วละย่ะ อยู่กับฉันมีงานง่ายได้เงินงามให้ทำเสมออยู่แล้ว แต่การที่ฉันให้เขา
ประกาศความเป็นตัวตนจริง ๆ ก็แค่อยากจะบอกให้ใครได้รับรู้ว่า ถึงพวกเราจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้แต่ว่าพวกเรามีดีมากกว่า” ฟีน่าเชิดหน้าตอบอย่างภาคภูมิใจ และมันก็เป็นความภูมิใจที่ทุกคนในกลุ่มต้องยอมทำตามและเห็นด้วยอย่างเสียมิได้

“วิมแล้วคืนนี้แกจะต้องไปทำงานที่ผับต่อหรือเปล่า” ขีโรชาถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล ออกจะเห็นใจวิมวิพาอยู่ไม่น้อยที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินของบิดา ถ้าไม่มีงานพิเศษอะไรอย่างเช่นคืนนี้ โดยปกติวิมวิพาก็ต้องไปทำงานที่ผับของรุ่นพี่ซึ่งรู้จักกัน แม้การทำงานตอนกลางคืนจะได้เงินดีแต่ต้องแลกด้วยความเสี่ยงอย่างมาก กว่าจะเชียร์ให้คนมาเที่ยวเปิดเหล้าได้สักขวดก็ต้องใช้ลูกล่อลูกเล่นเอาตัวรอดสารพัด

“ไม่หรอก ช่วงนี้หยุดก่อนน่ะเหนื่อย ไปเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องอีกปีเดียวก็จะจบแล้วด้วยไม่อยากเสียเวลา” วิมวิพาเม้นมากแน่น เธอไม่อยากจะทำงานพวกนี้เลยให้ตายแต่จะให้เธอเอาเวลาไปทำงานตอนกลางวันก็คงไม่ได้ เพราะไหนจะเรียนอีก ถ้าเธอรู้ก่อนว่าอนาคตบิดาจะต้องมาเจอสภาวะตกต่ำเช่นนี้ เธอเองก็คงไม่เลือกเรียนมหาวิทยาลัยดัง ค่าเทอมแสนแพงเช่นนี้แน่ “บอกตามตรงจะเข็มใจจริงฉันอยากจะเลิกทำงานเป็นสาวเชียร์เบียร์ เชียร์เหล้านี้เต็มแก่ เกลียดไอ้พวกผู้ชายมือยาว เฮ้อ...”

เสียงผ่อนลมหายในเฮือกยาวทำให้เพื่อนทุกคนหันมองมายังวิมวิพาด้วยความเห็นอกเห็นใจไปตาม ๆ กัน
“เอาน่าเดี๋ยวอีกสองวันพี่ก็มีงานให้ทำอีก ไม่ต้องไปตอหลบตอแหลใส่ไอ้พวกผู้ชายชีกอพวกนั้นด้วย งานนี้สบายไม่เปลืองตัว” ฟีน่าแตะเบา ๆ บนบ่าเล็กของเพื่อนร่วมกลุ่ม
“ดีเลย ไอ้วิมจะได้พักผ่อนซะบ้าง ช่วงนี้ดูมันจะผอมลงเยอะเลยด้วย” ขีโรชาเพื่อนรักและเพื่อนสาวแท้คนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยความหวังดีจากใจ
***--***--***--***--***--***--***
รถยนต์ตระกูลญี่ปุ่นสีขาวมุกเข้ามาจอดในบริเวณบ้านหลังกะทัดรัดของโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง วิมวิพาหย่อนเท้าก้าวลงมาจากรถเปิดประตูรถคันที่เป็นสมบัติจากน้ำพักน้ำแรงเพียงชิ้นเดียวอย่างทะนุถนอม ก่อนเดินเข้าไปในตัวบ้าน และก็พบว่าคุณวัชชัยผู้เป็นบิดาและนิดาแฟนสาวใหญ่ของบิดาเดินตรงเข้ามาหาเธอทันทียังห้องครัว ขณะที่เธอกำลังเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วดื่มคลายกระหาย

“วิมกลับมาแล้วหรือลูก” คุณวัชชัยเอ่ยถามบุตรสาว นัยน์แววตาของเขาหม่นหมองระคนสงสาร รู้สึกผิดอยู่เต็มอกที่ทำให้บุตรสาวเพียงคนเดียวต้องมีภาระรับผิดชอบในครอบครัวเกินตัวเช่นนี้ วัยเพียงยี่สิบเอ็ดอย่างวิมวิพาน่าจะได้เรียน เล่นและมีความสุขตามวัยของเธอมากกว่า ตั้งแต่ภรรยาของเขาเสียไปไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องทนเห็นบุตรสาวลำบากเหน็ดเหนื่อยได้ถึงขั้นนี้ ในฐานะบิดาเขาสู้อุตส่าห์ทำทุกอย่างให้บุตรสาวมีชีวิตที่สุขสบายเท่าที่จะทำได้ หากแต่ในระยะสองปีหลังมานี้ที่ธุรกิจโรงงานทำน้ำแข็งของเขาประสบปัญหาและหนี้สินพะรุงพะรังจนต้องยอมปิดตัวลงไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ก็เลยทำให้วิมวิพาต้องดิ้นรนหางานพิเศษทำเพื่อนำเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกทางหนึ่ง
หญิงสาวรีบกระดกน้ำดื่มจนหมดแก้ว ก่อนวางแก้วเปล่าในมือลงกับโต๊ะข้างตู้เย็น “พ่อ น้านิด จะเที่ยงคืนแล้วนะคะ ยังไม่นอนกันอีกเหรอคะ”

“ก็รอหนูนั้นแหละ พ่อกับน้านิดมีเรื่องอยากจะคุยกับหนู” บิดาพูดน้ำเสียงเครียดทำหน้าหนักอกอย่างเห็นได้ชัด

วิมวิพาเลิกคิ้วสูงแต่ใช่ว่าจะตกใจนัก กับแววตาหม่นแสงและสีหน้าเครียดขึ้งของบิดาหรอก เธอเห็นมันบ่อยมากช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา จนรู้สึกได้ว่าบิดาดูซูบผอมและแก่ขึ้นเยอะ “ดูท่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก เอาเป็นว่าวันนี้วิมขอผ่านก่อนได้ไหมค่ะพ่อ พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน วิมกลัวฟังเรื่องของพ่อแล้วจะนอนไม่หลับ”
“พรุ่งนี้เห็นทีจะไม่ทันแล้วละวิม มานั่งนี่มา แล้วน้ากับพ่อของหนูจะบอกอะไรให้ฟัง” นิดาจับมือเรียวของหญิงสาวหลวม ๆ ดึงให้เธอเดินไปนั่งตรงโซฟาตัวยาวสีเขียวที่เข้ากับผ้าม่านผืนยาวตรงมุมนั่งเล่นรวมถึงเป็นมุมรับแขกด้วยของบ้าน

“พ่อกับน้านิดมีอะไรรีบร้อนมากขนาดนั้นเลยหรือคะ เจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้เราเหรอ” วิมวิพาถามขึ้นหลังจากหย่อนตัวลงนั่งคั่นกลางระหว่างบิดากับน้านิด เธอค้นกระเป๋าสะพายล้วงซองสีขาวออกมาพร้อมเปิดยิ้มเมื่อคิดได้ว่านี่อาจเป็นตัวแปลสำคัญที่จะทำให้หน้าตึง ๆ ของผู้ใหญ่ทั้งสองหย่อนลงบ้าง “พ่อต้องการเงินใช่ไหมคะนี่ค่าตัวที่วิมไปเต้นมา มันไม่มากแต่วิมยกให้พ่อหมดเลย”
คุณวัชชัยยกมือขึ้นปัดปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกลูก ต่อไปนี้วิมไม่ต้องลำบากหาเงินมาช่วยพ่ออีกแล้วนะ วิมเก็บไว้ใช้ ไว้ซื้อของที่ลูกอยากได้เถอะ”

“ทำไมละคะ ทุกทีวิมก็ให้พ่อนี่” บุตรสาวเริ่มสงสัยกับอาการในตอนนี้ของบิดามากขึ้น มันคงมีเรื่องอะไรมากกว่าเรื่องเงินเป็นแน่ เพราะบรรยากาศรอบด้านมันวังเวงพิกล
ผู้ใหญ่สองคนเงียบไปอึดใจ ก่อนที่นิดาจะเอ่ยเสียงเบาวิวราวกับมาจากที่ไกล หากทว่าคนตั้งใจฟังรับรู้เต็มสองหู
“พ่อหนูกับน้าเราตกลงขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว...”
“อะไรนะคะ ขายไม่ได้นะคะ” หญิงสาวร้องเสียงเร็วสูงลิบ บ้านหลังนี้ไม่ได้มีเนื้อที่กว้างขวางหรือมีสนามหญ้าเขียวให้วิ่งเล่นหรอก ไม่ได้สวยงามเหมือนบ้านคนรวยในละครหลังข่าว ไม่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวในบ้าน หรืออะไรทั้งนั้น หากมันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เธอรู้สึกว่ามันมีไออุ่นของมารดาที่เสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว ปกคลุมอยู่ทุกอณูในบ้านหลังนี้ มันเป็นบ้านที่เธอผูกพันและคิดว่ารักมากเพราะอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด

“แต่เราขายไปแล้วนะวิม เงินส่วนหนึ่งเอาไปใช้หนี้” นิดาย้ำคำ ซึ่งมันทำให้สะเทือนใจวิมวิพาจนน้ำตาคลอ “ส่วนเงินก้อนนี้มันจะทำให้หนูใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ลำบากนัก และเรียนจบได้ภายในปีนี้”

หญิงสาวมองสมุดธนาคารพร้อมบัตรเอทีเอ็มที่แฟนของบิดากำลังยื่นส่งมาให้ตรงหน้า มือเรียวสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะรับมาเปิดดูตัวเลขในสมุด มันก็ถูกอย่างที่น้านิดของเธอบอก ถ้าเธอจะไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เธอก็คงจะเรียนจบได้โดยไม่ต้องเหนื่อยหางานพิเศษทำมากนัก แต่ยังไงมันก็คงจะไม่พอจะส่งค่างวดรถยนต์ที่จอดอยู่นอกบ้านคันนั้นของเธอแน่ ในขณะที่ในสมองเริ่มสับสน ตัวเลขยอดเงินในสมุดธนาคารเริ่มพร่าเบลอด้วยน้ำตาบดบัง เสียงแหบแห้งจากบิดาก็กลับดังก้องเข้ากระทบโสตประสาทจนมึนงงไปหมด

“พ่อจะไปอยู่กับน้านิดที่อังกฤษ...”
“พ่อขายบ้านโดยไม่ถามวิมสักคำ แถม...จะทิ้งวิมไปอยู่อังกฤษ... แล้วจะให้วิมอยู่กับใคร...อยู่กับใครละคะ” บุตรสาวพูดเสียงขาดช่วง สะอื้นไห้อย่างยากข่ม

“พ่อไม่ได้ทิ้งวิมนะลูก ถ้าพ่ออยู่ที่โน้นแล้วหาอะไรทำพอจะตั้งตัวได้ พ่อก็จะมารับหนูไปอยู่ด้วยหลังจากหนูเรียนจบ” มือหนาของบิดาลูบลงกลางกระหม่อมบุตรสาวเบา ๆ “พ่อรู้ว่าหนูรักบ้านหลังนี้มาก แต่หนูก็รู้ว่าพ่อมีความจำเป็น”

คุณวัชชัยพยายามอธิบายเหตุผลหลายต่อหลายอย่างซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นทั้งนั้น และวิมวิพาในฐานะบุตรสาวก็ได้แต่รับฟัง เธอยกมือขึ้นกรีดน้ำตาก่อนจะเปิดยิ้มจาง ๆ เมื่อรู้ว่าเสียใจไปก็เท่านั้นทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามทางของมัน แม้จะเสียใจสักเท่าไหร่ที่ต้องเสียบ้านหลังนี้ แต่คนมองโลกในแง่ดีคิดบวก และให้กำลังใจตัวเองเพื่อยืนหยัดอยู่ได้ในโลกใบนี้ต่อ ก็ต้องปล่อยไปและยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามนั้น
วิมวิพาปรับน้ำเสียงให้ดีขึ้นหลังจากข่มน้ำตาให้หยุดไหลได้บ้าง “แล้ววิมจะไปอยู่ที่ไหนละคะพ่อ เช่าห้องเหรอ”
“ไม่หรอก พ่อไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวแบบนั้นแน่ หนูเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวไม่ปลอดภัย” เขามองบุตรสาวอย่างเอ็นดูและสงสาร “พ่อมีที่จะให้วิมไปอยู่แล้วละลูก บ้านคุณลุงภพกับคุณป้ากันย์ วิมยังจำพวกท่านได้อยู่ไหม”
เธอส่ายหน้าน้อย ๆ “ใครกันค่ะ วิมจำไม่ได้หรอก”
“คุณลุงดรัณภพ กับคุณป้ากันยกา พวกท่านเป็นเจ้านายเก่าของพ่อกับแม่ พวกท่านเป็นคนดีมากนะลูก สมัยหนูเด็ก ๆ พวกท่านยังชอบพาหนูไปเที่ยวเล่นที่บ้านของพวกท่านบ่อย ๆ พ่อได้ไปคุยกับพวกท่านไว้แล้วว่าจะฝากวิมให้อาศัยอยู่ที่บ้านนั้น”

วิมวิพานิ่วหน้านึกถึงคุณลุงคุณป้าที่บิดาพูดถึง ทว่าคนความจำสั้นอย่างเธอดูเหมือนจะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าไปเคยรู้จักคนพวกนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่

“แต่วิมจำพวกท่านไม่ได้ พ่อไม่เคยเห็นบอกวิมมาก่อนเลย...”
“ก็พวกเราต่างฝ่ายก็ต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง ไม่เคยได้ติดต่อเจ้านายเก่านานแล้วละ แต่ว่า...” คุณวัชชัยนิ่งไปอึดใจก่อนพูดต่อเสียงแผ่ว “เออ...เมื่อสามเดือนก่อนตอนที่พ่อหาเงินใช้หนี้ไม่ได้ พ่อเลยตัดสินใจไปขอยืมเงินจากพวกท่านมาก้อนหนึ่ง...”

บุตรสาวเบิกตาโต เธอเริ่มจะได้กลิ่นไม่ดีและรู้สึกถึงอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว บางทีที่บิดาของเธอต้องการจะเอาเธอไปฝากไว้ที่บ้านหลังนั้นทั้งที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง อาจเป็นเพราะบิดากำลังจะเอาเธอไปขัดดอก โดยการให้ไปแต่งงานกับลูกหลานบ้านนั้น หรือไม่ก็เอาเธอไปเป็นคนรับใช้หรือตัวประกันการหนีหนี้ของบิดาเธอก็เป็นได้

“วิมไม่ไปหรอกค่ะ พ่อจะให้วิมไปเป็นตัวประกันหนี้ที่พ่อยืมมาใช่ไหม เกิดคนบ้านนั้นเขาทำกับวิมเยี่ยงทาสละ วิมจะทำยังไง”
“วิม หนูคิดอะไรอยู่น่ะ พวกท่านเป็นคนดีนะ รักหนูเหมือนเป็นลูกเป็นหลานของพวกท่านเลยแหละ”
“พ่ออย่ามาโกหกดีกว่า ถึงพวกท่านจะเคยเจอวิมตอนเด็ก ๆ แต่นั่นก็นานมาแล้ว จะมาจำวิมได้ยังไงกันคะ” บุตรสาวพูดเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิม คนที่ไม่เคยเจอหน้าคร่าตากันมานมนาน จะมารัก และเอ็นดูเธออย่างลูกอย่างหลานได้เช่นไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าบิดาเธอกุเรื่องขึ้นมาเองเพื่อหวังโน้มน้าวจิตใจเธอให้อ่อนยอมตามน้ำ
“แต่วิมไม่มีเวลาจะมาปฏิเสธแล้วนะลูก พรุ่งนี้ตอนเย็นหนูต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านโน้นแล้ว...”
“คะ ! พ่อว่าอะไรนะคะ ! พรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ”
***--***--***--***--***--***--***

กลุ่มเด็กสาวในชุดนักศึกษานั่งคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ้าวตรงมุมขวาด้านหน้าสุดของร้านอาหารแถวย่านเอกมัย เสียงอุทานพร้อมกันของพวกเธอที่ดังครั้งแล้วครั้งเล่าเรียกสายตาตกตะลึงจากลูกค้าที่นั่งโต๊ะข้างเคียงได้เป็นระยะ ๆ

“ไปอังกฤษ ! ” เสียงแหลมสูงประสานกันเกือบจะพร้อมเพรียง ของขีโรชา แซลลี่และนินิว ทำให้มีหลายคนโต๊ะใกล้ ๆ พากันหันพรืดมามอง พวกเธอหดคอต่ำ งุดหน้าหลบลงเมื่อรู้สึกว่าสายตาที่ส่งมาพวกนั้นออกไปทางแนวไม่เป็นมิตรนัก

“พ่อแกจะไปอังกฤษกับน้านิดพรุ่งนี้จริง ๆ เหรอวิม” ขีโรชาหรี่เสียงกลายเป็นกระซิบกระซาบ ถามย้ำในสิ่งที่วิมวิพาพึ่งเล่าจบอีกรอบ

“อืม...จริง ๆ ซิ เพราะอย่างนี้ไงวันนี้ฉันเลยต้องมาขอร้องพวกแกให้ช่วยไปขนของหน่อย” วิมวิพาพ่นลมหายใจยาวเหยียด เรื่องนี้เธอได้คุยกับบิดามาแล้วทั้งคืน ตรึกตรองหลายรอบแล้ว ที่สุดก็ต้องยอมทำตามที่บิดาวางไว้ คือการย้ายไปอยู่บ้านคุณลุงคุณป้าอะไรนั่น

“แกขายบ้าน แล้วแกจะย้ายไปอยู่บ้านคนที่พึ่งรู้จักชื่อ จากปากของพ่อแกเนี้ยนะ” นินิวเสริมทัพถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก ว่าจู่ ๆ เพื่อนสาวก็จะกลายเป็นพวกระเหเร่ร่อนไม่มีที่สิงสถิตเป็นของตัวเอง
“ฉันไม่ได้เป็นคนขายบ้าน พ่อฉันต่างหาก แล้วที่ต้องอพยพไปอยู่บ้านคนอื่นก็เพราะว่าพ่อฉันอีกนั้นแหละ” คนไม่มีที่ซุกหัวนอนขึ้นมาชั่วข้ามคืนทำหน้าเศร้าสร้อย นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นในฐานะอะไร
“วิมแกคิดไหมว่าบางทีแกอาจจะเหมือนนางเอกในละครหลังข่าว ได้พบรักกับพระเอกรูปงาม ร่ำรวย ในคฤหาสน์หลังใหญ่” แซลลี่ทำหน้าเคลิ้มฝัน ก่อนจะปรับน้ำเสียงราวกับเล่าเรื่องสยองน่ากลัว สีหน้าถมึงทึงเปลี่ยนอารมณ์รวดเร็ว “หรือไม่ก็...โดนทุบตี ทำร้ายร่างกาย โดนจิกหัวใช้อย่างบ้าคลั่ง นอนห้องใต้หลังคา ไม่แน่อาจมีแนวฆาตกรรมด้วย...”

“หุบปากอัปมงคลของแกเลยแซลลี่ ไม่ให้กำลังใจแล้วยังจะมาคิดพล็อตเรื่องน่ากลัว ๆ ให้อีก” วิมวิพาตวัดหางตาค้อนเพื่อนปากเสีย ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นมาเท้าคาง ทำหน้าหนักอกอย่างคนคิดไม่ตก “ว่าไปฉันก็กลัวเหมือนกันจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ ถึงจะบังเอิญไปเจอเจ้าชายรูปงาม แต่พวกแกก็รู้ใช่ไหมว่าชาตินี้ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากพี่ปั้น” คิดถึงชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ปั้นหรือโปษัณ รุ่นพี่ที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเมื่อเข้ามาเป็นนิสิตน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยก็พลอยยิ้มได้บ้าง

วิมวิพามีโอกาสได้รู้จักกับโปษัณแค่ปีเดียว ชายหนุ่มซึ่งอยู่ปีสุดท้ายก็เรียนจบออกไปและบินไปเรียนต่อไกลถึงเมืองนอกเมืองนา ทว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรคหรอกเธอกับเขายังมีโอกาสติดต่อกันอยู่เสมอ ตลอดระยะเวลาที่ชายหนุ่มอยู่ไกล แต่กระนั้นก็เหมือนว่าฝ่ายชายไม่ได้มองเธอเป็นคนพิเศษเสียทีเดียวในสายตาของเขายังคงมองเห็นเธอเป็นเสมือนน้องสาวหรือไม่ก็เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเท่านั้นเอง หากตอนนี้โปษัณก็ได้กลับมาแล้วมิหนำซ้ำยังมาเป็นอาจารย์สอนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ แม้ว่านักศึกษาสาขาสื่อสารมวลชนอย่างเธอไม่มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์สุดหล่ออย่างเขา แต่ก็มีวิธีเจอเขาตามในรั้วมหาวิทยาลัยได้เสมอเช่นกัน

“แหม...กล้าพูดนะยะยายวิม ชาตินี้จะรักใครไม่ได้อีกแล้ว ฉันว่าแกเลิกคิดเรื่องเพ้อฝันนี้ซะก่อนจะดีไหม แล้วเอาสมองน้อย ๆ ของแกไปคิดซิว่าจะขนของยังไงให้หมดภายในคืนนี้ อาจารย์พี่ปั้นอะไรของแกนั่นอาจนะมีเมียเป็นสิบตั้งแต่เรียนอยู่ที่นิวยอร์กแล้วละมั้ง” นินิวแขวะขึ้นขัดจังหวะฝันเฟื่องวิมานสีชมพูของวิมวิพาทันที

“เออน่า ! ฝันนิดฝันหน่อยไม่ได้เชียว” คนถูกค่อนแคะสะบัดหน้าพรืด “ของฉันไม่มีอะไรมากหรอก ไม่ได้ขนตู้เสื้อผ้า เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ตู้เซฟสักหน่อย เพราะของพวกนั้นพ่อก็ขายไปพร้อมบ้านแล้วด้วยเหมือนกัน”
“อ้าว ! ถ้ามีแค่เสื่อผืนหมอนใบ แกก็ขนเอาคนเดียวก็ได้นี่หนา จะมาลำบากเพื่อน ๆ ทำไมยะ” แซลลี่ถามเสียงสูงขึ้นอีกคน

“พวกแกก็รู้ว่าไอ้ลำพังแค่เสื้อผ้าของฉันอย่างเดียว ยัดใส่รถเก๋งคันเล็ก ๆ มันก็จะไม่พออยู่แล้ว พวกแกก็ต้องไปช่วยกันขนนั่นแหละถึงจะถูกต้องที่สุด”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบ ๆ กินกันเถอะ นี่จะบ่ายอยู่แล้ว ดีนะที่วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเช้า ไม่งั้นไอ้วิมเอ้ย...พวกฉันคงได้ช่วยแกขนเสื้อผ้า หน้า ผมของแกจนถึงเที่ยงคืนแน่” ขีโรชาที่ทำหน้าตึง ๆ เงียบไปเมื่อครู่นี้เริ่มพูดอีกครั้ง รู้ว่าวิมวิพาทำงานพิเศษตอนกลางคืนเสื้อผ้า รองเท้า แม้กระทั่งวิกผม และเครื่องแต่งตัวของเจ้าหล่อนมีมากหลายยิ่งนัก ซึ่งแน่นอนว่าถ้าพวกเพื่อน ๆ ไม่ไปช่วยกันขนย้ายก็ใช่ว่าเจ้าตัวเองจะมีปัญญาขนหมดเพียงค่ำคืนเดียวแน่

ระหว่างที่สองสาวแท้กับอีกสองสาวเทียมตั้งใจลงมือทานอาหารบนโต๊ะมากขึ้นกว่าเดิมแล้วก็ตาม หากยังคงส่งเสียงดังอื้ออึง พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องจิปาถะตามแบบฉบับผู้หญิงรักสวยรักงามกันมากกว่าจะเป็นเรื่องมีสาระแก่นสาร เสียงหัวเราะคิกคักกอปรอากัปกิริยากรีดไม้กรีดมือของพวกเธอนั้นได้อยู่ในสายตาและความสนใจของชายหนุ่มสองคนที่นั่งโต๊ะเยื้องไปทางด้านหลังอย่างที่พวกเธอนั้นไม่ได้รู้เรื่องเลย

“พี่ชวินนั้นพวกสาวเกาหลีนักเต้นเมื่อคืนไม่ใช่เหรอ พี่ไม่คิดจะเข้าไปทักพวกเธอหน่อยรึ” คฑาคินยังจดจำได้ดีกับกลุ่มแม่สาวประเภทสองที่ไปเต้นเปิดงานให้บริษัทเขาเมื่อคืนนี้ แม้ว่าเวลานี้พวกเธอจะอยู่ในชุดนักศึกษาดูน่ารัก แถมยังแต่งหน้าอ่อน ๆ เหมาะกับวัยและดูคล้ายจะเหมือนผู้หญิงเอามาก ๆ เสียด้วย หากก็แปลกทั้งที่พวกเธอถอดร่างกันแตกต่างจากภาพลักษณ์เมื่อคืนเอามากแต่ชายหนุ่มกลับจำได้ไม่ลืม

“ถ้าเป็นผู้หญิงจริง ๆ ผมเข้าไปทักนานแล้วละครับ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาขนาดนี้หรอก ว่าแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ว่ะ ให้ตายเถอะ” ชวินสุ่มเสียงและสีหน้าบอกอาการตามที่พูด เขาชะเง้อมองไปยังกลุ่มหญิงสาวอย่างแสนเสียดาย สาวสวยเสียขนาดนั้นไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเธอเป็นของปลอมทั้งตัว
ได้ยินพวกเจ้าหล่อนกลุ่มนั้นคุยเรื่องกรีดปาก เสริมอก ยกบั้นท้าย ยัดนั้นใส่นี้เต็มตัว คฑาคินและชวินก็ต้องยอมรับความจริง ในสิ่งที่ได้ยินว่าไม่มีส่วนไหนเลยของพวกแม่คุณจะเป็นของจริงที่พ่อแม่ให้มาเลยสักอย่าง แค่ลองนั่งนึกเล่น ๆ ว่าก่อนหน้าที่พวกเธอทั้งสี่จะสวยได้ขนาดนี้เคยเป็นยังไงและผ่านอะไรมาบ้างก็ทำให้สองหนุ่มขนลุกเกรียวกันเลยทีเดียว

คฑาคินยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ญาติผู้พี่ที่นั่งตรงกันข้าม “ไม่อยากจะลองเปลี่ยนสเปกดูหน่อยเหรอพี่ ว่าไปพวกเธอก็น่าสนใจไม่ใช่หน่อยนะครับ คนชอบควงผู้หญิงสวย ๆ อย่างพี่น่าจะลองดูนะ”

“นายล่ะคิน ลองก่อนดีไหม”
“ไม่ละ” คฑาคินรีบส่ายหน้า “ผมไม่ชอบของปลอม โลกนี้ยังมีผู้หญิงแท้ที่สวย ๆ อีกตั้งเยอะแยะ เรื่องอะไรจะให้เสียเชิงชายไปควงผู้ชายด้วยกันเองละ”

“ไม่สนจริง ๆ รึไอ้น้องชาย” ชวินยิ้มยียวน ยักคิ้วข้างหนึ่งเนิบ ๆ “คนอย่างนายคฑาคินจำสาวสวยที่พึ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวได้ มันก็น่าสงสัยอยู่นะ... ถ้าไม่สนใจอย่างที่พูดจริง ๆ แล้วทำไมถึงจำพวกนั้นได้ ทั้งที่ตอนนี้พวกเธออยู่ในชุดนักศึกษา”

คฑาคินอึ้งไปครู่ คิดไปก็น่าแปลกอยู่หรอกที่คนให้ความสนใจกับผู้หญิงน้อยอย่างเขาจะจำใครได้เร็วขนาดนี้ เพียงแวบแรกที่เห็นเท่านั้นเขาก็รู้ทันทีว่าพวกเธอเป็นใคร แค่เขาหันไปตามเสียงใสเจื้อยแจ้วของกลุ่มแม่สาวประเภทสองนั่น เหมือนมีเปลวแสงสว่างวาบส่องไปยังพวกเธอโดยเฉพาะแม่สาวผมยาวคนนั้น
“เออ...ก็เสียงคนพวกนั้นแหลมดังจะตาย ทำไมผมจะจำไม่ได้ แถมยังทำท่าทางกระดี๊กะด๊าเกินผู้หญิง เห็นแวบเดียวก็จำได้แล้วละ” ญาติผู้น้องรีบหาเหตุผล ขณะที่ลอบปรายหางตามองไปยังวิมวิพาปราดหนึ่ง
หลังมื้ออาหารกลางวันเสร็จสิ้นลงเรียบร้อยคฑาคินกับชวินก็เรียกพนักงานมาเก็บเงินและเดินออกจากมุมโต๊ะที่พวกเขานั่ง ขณะกำลังเดินตรงไปยังประตูร้านต้องผ่านโต๊ะที่พวกกลุ่มแม่สาวนิสิตนักศึกษานั่งเมื่อครู่ด้วย ซึ่งพวกเธอได้ลุกออกไปจากร้านนี้ก่อนหน้าพวกเขาแล้วเมื่อห้านาทีก่อน

สองหนุ่มมองผ่านกระจกใสตามหลังกลุ่มสาวประเภทสองที่เดินอยู่ด้านนอกของร้าน ทุกท่วงท่าที่พวกเธอย่างกรีดกรายพาหุ่นสมส่วนสวยงามผ่านใครต่อใครไป ได้รับสายตาชื่นชมจากคนที่ลอบมองในความสวยนั้นเกือบจะตลอดทาง

“พวกนี้ดูสวยมั่นใจ เหมาะกับจะเป็นเป็นนางแบบโฆษณาน้ำดื่มตัวใหญ่ของบริษัทเราเลยว่าไหมคิน” ชวินเปรยออกมา

“แต่พวกเราต้องการของจริงเท่านั้นนะพี่ชวิน อย่าลืมซิ” ญาติผู้น้องค้านเสียงแผ่วเบา เพราะว่าในใจก็เห็นด้วยกับความคิดของชวินอยู่ไม่น้อย นอกจากพวกเธอจะสวยมั่นใจแล้ว เมื่อคืนที่เขาเห็นลีลาการเต้นดูแข็งแรงด้วยแล้วละก็ ยอมรับว่าสาวเทียมกลุ่มนั้นจะเหมาะกับคอนเซปต์ของโฆษณาตัวใหม่นี้เอามาก

ระหว่างที่เดินไปจนถึงโต๊ะมุมขวาด้านหน้าสุดของร้านอาหาร หางตาของคฑาคินก็สะดุดกับบางสิ่งบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะตัวนั้น เขาหันไปมองให้เต็มตาและแน่ชัดว่าไอ้ที่เห็นแวบ ๆ นั้นคืออะไร หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งคงใช้ประกอบการเรียนการศึกษาของพวกแม่สาวเทียมเมื่อกี้ คงเป็นของใครในสี่คนนั้นที่ลืมทิ้งไว้ ชายหนุ่มเดินไปหยิบหนังสือเล่มไม่หนามากขึ้นมาพลิกดูอย่างถือวิสาสะ เขาไม่ได้เจอชื่อเจ้าของหนังสือที่บ่งบอกว่าเป็นของใครหากกลับมีบางสิ่งที่ปลิวตกลงมาจากหนังสือในมือของเขา

ชวินที่ยืนมองอยู่ด้วย ก้มเก็บเจ้าแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ สามใบที่ปลิวตกเมื่อกี้ขึ้นมาพลิกดูและเกือบจะช็อกตาย เขายื่นรูปในมือให้คฑาคินดูด้วย และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กและก้มมองรูปภาพในมืออีกครั้งพร้อมกัน มันเป็นรูปเด็กชายตัดผมหัวเกรียนในชุดนักเรียนมัธยมต้น หากทว่าทาปากแดงจัดปัดมาสคาร่าขนตางอน แก้มชมพูระเรื่อ สำหรับคนในรูปอาจคิดว่ามันสวยมากกระมัง หากตอนนี้สำหรับคฑาคินและชวินมันเป็นภาพเขย่าขวัญสั่นประสาทพวกเขาน่าดูเลยเชียว อีกภาพคล้าย ๆ กันแต่ดูเหมือนผมเด็กชายนั้นจะยาวมาหน่อยและหน้าตาดูเริ่มคล้ายผู้หญิงมากขึ้น ชวินรีบดูรูปสุดท้ายและมือเขาก็สั่นขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่ามันเป็นรูปกลุ่มแม่สาวสี่คนเมื่อครู่ รูปนี้พวกเธอสวยสดในชุดนักศึกษาและดูไม่ออกเลยว่าใครคนไหนกันแน่คือเด็กชายในรูปที่เขาดูผ่านมาเมื่อกี้

“ไม่อยากจะเชื่อเลยศัลยกรรมทำให้ผู้ชายเปลี่ยนเป็นหญิงสวยได้ขนาดนี้” ชวินหันไปสบตาญาติผู้น้องปริบ ๆ รู้สึกเสียดายขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองพร้อมใจกันส่ายหน้าเร็ว ๆ ไล่ภาพน่าสยดสยองเล่นขนลุกขนพองให้ลบออกไปจากสมอง ไม่เข้าใจว่าพวกเธอเก็บรูปวิวัฒนาการความเปลี่ยนแปลงพวกนี้ไว้ทำไม และทำไมพวกเขาถึงต้องมาซวยเห็นรูปกะเทยมัธยมพวกนี้ด้วยหนา มันทำให้พวกเขาประหวั่นที่จะเจอแม่สาวอีกครั้ง เพราะเชื่อได้เลยว่าถ้าเขาสองคนเจอก็คงไม่กล้าจะเข้าไปทักทายพวกเธออย่างสนิทใจเป็นแน่

“เออ...ผมว่า...พี่ชวินวิ่งเอาไปคืนพวกเธอดีกว่านะ ผมขอบายละ” คฑาคินไหล่สั่นทำท่าขนลุก รีบยื่นหนังสือในมือส่งให้ญาติผู้พี่ทันที
“อะไรว่ะ นายเป็นคนเจอ นายก็เอาไปคืนดิ” ชวินยัดรูปในมือสอดคืนเข้าหนังสืออย่างรวดเร็วเช่นกัน
และขณะที่สองหนุ่มเกี่ยงกันว่าใครจะเดินถือหนังสือเล่มนี้ไปคืน หรือว่าจะเอาไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ของร้านอาหารอยู่นั้น เสียงใสกังวานพร้อมใบหน้าและรอยยิ้มสวยจากสาวคนหนึ่งในกลุ่มเมื่อครู่ ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาเสียแล้ว

“คุณคะ ขอโทษนะคะ คือว่า...เออ...นั่นของฉันใช่หรือเปล่าคะ” วิมวิพาแม่สาวปากอิ่มยิ้มเยื้อน ก่อนก้มมองหนังสือในมือคฑาคิน

วูบหนึ่งในความคิดของชายหนุ่มบอกว่าไอ้เจ้าของหนังสือและรูปถ่ายพวกนี้ก็คงต้องเป็นของแม่สาวคนตรงหน้านี้เป็นแน่ ชายหนุ่มทั้งสองยืนอ้าปากค้างนิ่งไปชั่ววินาทีหนึ่ง สำรวจดวงหน้าสวยหมดจด ที่ทั้งปากทั้งจมูกและดวงตางดงามราวกับมีใครปั้นแต่งสร้างให้ แต่แน่ละก็ของพวกนี้ปลอมทั้งหมด เธอทำมาทั้งนั้นมันจะสวยมากเป็นพิเศษกว่าของธรรมชาติก็ไม่แปลก

วิมวิพาเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังไม่มีทีท่าจะได้ยินในสิ่งที่เธอพูดจนคฑาคินสะดุ้งโหยงหลุดออกจากห้วงความคิด
“คุณคะ ฉันขอหนังสือคืนได้ไหมคะ”

“เออ...ขะ...ครับ คุณลืมมันวางไว้ที่โต๊ะ” คฑาคินยื่นหนังสือส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ แต่กระนั้นบางสิ่งที่คลางแคลงใจอยู่ก็ทำให้เขาลองถามขึ้นอีกครั้ง “หนังสือเล่มนี้ของคุณอย่างนั้นรึครับ”
“ใช่ค่ะ ของฉันเอง ขอบคุณมากนะคะ” วิมวิพาแปลกใจกับแววตาคมกริบสองคู่นี้เหมือนกัน ที่มองเธอดุจว่าหน้าเธอกำลังมีอะไรงอกขึ้นมาเสียอย่างนั้น หญิงสาวเอียงคอมองชายหนุ่มทั้งสองสลับไปมาและรู้สึกเช่นกันว่าคลับคล้ายคลับคลาเคยเห็นมาก่อนที่ไหนสักแห่ง “คุ้น ๆ หน้าคุณสองคนจัง ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า...”

“อ้อ ! ไม่ครับ / ครับใช่” หนุ่มสองคนพูดคำตอบที่แตกต่าง ในขณะที่คฑาคินปฏิเสธเพราะกลัวว่าเธอจะทำเป็นรู้จักมักจี่เขาขึ้นมา ด้วยเพราะกลัวอะไรก็ไม่ทราบได้เหมือนกันแต่รู้ว่าเขาไม่อยากจะสนิทหรือรู้จักสาวประเภทสองคนนี้ต่ออีกเป็นแน่ ซึ่งตรงข้ามกับชวินแม้จะรู้ว่าหญิงสาวไม่ใช่ผู้หญิงแท้แต่เธอสวยและถูกใจเขาจนหัวใจเต้นแรง ทำให้อยากจะเปลี่ยนความคิดมาชอบของปลอมอย่างเธอเสียให้ได้
***--***--***--***--***--***--***

ชอบไม่ชอบ รบกวนติชม แนะนำด้วยนะคะ



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2555, 17:29:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2555, 19:09:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1640





<< ตอนที่ 1 ต้นเหตุความเข้าใจผิด   ตอนที่ 6 ขอโทษโกหกเพราะจำเป็น >>
Canopus 31 มี.ค. 2555, 20:01:01 น.
ชื่อไรเตอร์เก๋ดีจัง


กันเหงา 31 มี.ค. 2555, 21:04:37 น.
ขอบคุณค่ะสำหรับคำชมนามปากกา แห่ะ ๆ ... หวังว่านิยายจะเก๋โดนใจคนอ่านบ้างนะคะ ไงก็ช่วยแนะนำ ติชม ด่าก็ได้เอ้า... 555+


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account