เล่ห์สลับขั้ว
เมื่อความจำเป็นทำให้ต้องมาอยู่ร่วมรั้วบ้านเดียวกัน และรู้ว่าจะต้องโดนจับคู่ เธอจึงสร้างสถานการณ์ให้เขาเข้าใจผิด หวังให้เกลียด แต่ความใกล้ชิดทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม เธอชอบเขา และเขาก็ชอบเธอแม้ความจริงเรื่องชายไม่จริงหญิงแท้จะยังคลุมเครือเต็มทีก็ตาม และ...สิ่งที่เรียกว่ารักก็ทำให้เขายอมฝ่าฝันอุปสรรคหัวใจตัวเองและคู่ต่อสู้ได้ในทุกทางและอภัยได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายความจริงบางอย่างในอดีตต้องทำให้เธอคิดจะวิ่งหนีเขาเพื่อไปทำใจ...วิมวิพาหวังสักวันจะยอมอภัยในสิ่งที่ผิดพลาดครั้งเยาว์วัยของคฑาคินได้ด้วยคำว่า 'รัก'
Tags: น่ารัก

ตอน: ตอนที่ 6 ขอโทษโกหกเพราะจำเป็น

ตอนที่ 6

ในห้องทำงานกว้างของคฑาคินตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นเน้นเฟอร์นิเจอร์สีดำตัดกับสีห้องขาวสะอาด ดูดีไม่แพ้กับบ้านหลังสวยของเขาเลยสักนิด ชายหนุ่มทั้งสองนั่งจิบกาแฟคุยกันตรงโซฟาสีดำที่ตั้งอยู่เกือบติดกับผนังที่กรุด้วยกระจกใสด้านหนึ่งของห้อง และเรื่องการย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของวิมวิพาครั้งนี้ ทำให้คนที่พึ่งรู้ตาโตตื่นเต้น ชวินเคยเจอวิมวิพามาบ้างและรู้ว่าเธอสวยมากจนเขาเองก็เกือบเผลอจะจีบตามนิสัยความเจ้าชู้ แต่เพราะเรื่องเพศของเจ้าหล่อนนั้นแหละเลยทำให้เขาต้องรีบเปลี่ยนใจเสียก่อน ทว่าตอนนี้วิมวิพาดันเข้ามาอยู่ในบ้านครอบครัวใหญ่ของเขา มันทำให้ความอยากเจอหน้าเธอแวบเข้ามาในสมองอีกครั้ง ยิ่งรับรู้จากปากคฑาคินว่า หล่อนแสบเล่นลิ้นเก่งเช่นนี้แล้วด้วย คนอย่างชวินก็อดไม่ได้ที่อยากจะลองพิสูจน์

“น่าสนใจดีนี่ บางทีพวกเราอาจคิดไปเองก็ได้นะ ว่าน้องวิมเป็น...ตุ๊ดซี่” ชวินเรียกวิมวิพาว่าน้องเต็มปากเต็มคำ ทั้งที่มันเป็นครั้งแรกของเขาด้วยซ้ำที่ได้รู้จักชื่อของหญิงสาว

“น้องวิมเหรอ พี่ชวินเรียกได้ไม่กระดากปากเลยนะ ถ้าผมไม่โดนคุณแม่บังคับ บอกเลยว่าไม่มีทางเรียกเด็กนั้นว่าน้องแน่” คฑาคินพูดเสียงแข็ง พลางยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นจิบอย่างจะระงับอารมณ์โกรธเก่าที่ค้างอยู่

“ทำไมนายทำท่าเกลียดเธอขนาดนั้น ผู้หญิงสวย ๆ อยู่ร่วมบ้านด้วย นายน่าจะดีใจนะ เผื่อว่าจะเปลี่ยนใจอยากแต่งงง แต่งงานขึ้นมาบ้าง”

“ยายเด็กนั้นไม่ใช่ผู้หญิงนะพี่ก็รู้อยู่ แล้วอย่ามาคิดให้ผมขนลุก แต่งงานกับเพศเดียวกันเนี้ยนะไม่เอาซะหรอก”

“ออ เพราะเรื่องนี้นายก็เลยไม่ค่อยจะชอบเธอ ว่างั้นเถอะ”

“ก็ไม่เชิงเรื่องเพศซะทีเดียว เรื่องมารยาของเธอมากกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแสดงละครให้คุณแม่เอ็ดผมด้วย” เขานิ่วหน้าคิด ซึ่งไม่มีคำตอบออกมาจากส่วนสมอง ว่าทำไมวิมวิพาถึงทำนิสัยเช่นนั้น หรือเป็นเพราะว่ามันเป็นนิสัยติดตัวของเธอมาตั้งแต่เด็ก

“เอาไว้เย็นนี้พี่จะลองเข้าไปดูสักหน่อย ว่าน้องวิมอะไรนั้นจะแสนแสบ เจ้ามารยาสาไถยอย่างนายว่ารึเปล่า” ชวินกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีเล่ห์ เขาชอบความท้าทายและบางทีก็อาจจะขอพิสูจน์เลยว่าเธอใช่ผู้หญิงของเก๊อย่างที่เขากับคฑาคินเข้าใจหรือเปล่าด้วยเลย

“เอ้า ! เลิกทำหน้ายุ่งได้แล้ว ประเดี๋ยวพวกพนักงานก็พลอยไม่ได้ทำงานกันพอดีเพราะมัวแต่เกร็งหน้านาย” ชวินพูดต่อเป็นเชิงตำหนิระคนขบขันเมื่อเหลือบมองญาติผู้น้องที่ยังคงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่องมาคุย “แล้วว่ายังไงเรื่องโปรโมตสินค้าตัวใหม่ ไปถึงไหนแล้วล่ะ”

คฑาคินหันมามองประธานใหญ่อย่างให้ความสนใจ พลางตอบเสียงเป็นการเป็นงานว่า “ผมนัดคุณเรเธอมาประชุมพร้อมกันกับทีมงานพรุ่งนี้ครับ ส่วนเรื่องถ่ายโฆษณาก็คงจะเริ่มอาทิตย์หน้า ถ้าการประชุมแผนงานพรุ่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” คุณเรที่ชายหนุ่มพูดถึงก็คือเรวริน นางแบบโฆษณาคนใหม่ที่ทางบริษัทของเขาคัดเลือกมาเอง ด้วยการประกวดเมื่อหลายวันก่อน

“อืม ถ้าได้ตามนั้นก็ดี พี่อยากจะให้มีการเปิดตัวสินค้าวางจำหน่าย วันเดียวกับที่ปล่อยสปอตโฆษณาตัวใหม่นี้ออกอากาศทางทีวีเลย ยังไงน่าจะให้ทันตามกำหนดการเดิมนะ ถ้าถึงเวลานั้นบางทีเราคงต้องมีการพรีเซ็นต์อะไรที่มันมากขึ้นเพื่อเรียกความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็กรุ่น ๆ เดียวกับนางแบบโฆษณาของเรา เอาเป็นว่ายังไงคุยกันในที่ประชุมอีกทีละกัน”

“ครับผม” คฑาคินรับคำน้ำเสียงหนักแน่น เพราะถ้าเป็นเรื่องงานเขายินดีจะทำและทุ่มเทเต็มที่เสมอ ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่มีเวลาแบ่งไปให้สาวคนใด ผิดกับอีกฝ่ายที่แม้จะมีภาระรับผิดชอบมากในหน้าที่การงาน หากยังเจียดเวลาหาความสุขให้กับตัวเองได้ตลอด

“แล้วนายก็หัดยิ้มไว้ซะบ้างละ ทุกวันนี้ที่นายทำหน้าเฉย ๆ พวกพนักงานเค้าก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้นายแล้ว และถ้าขืนยังทำหน้าบอกพ่อไม่เอา แม่ไม่รับเหมือนเมื่อกี้อีก มีหวังพี่คงต้องส่งนายไปสถาบันเพิ่มอีคิวซะบ้างแล้วละ” ชวินพูดติดตลกล้อเลียนญาติผู้น้องที่เริ่มจะมีรอยยิ้มบาง ๆ รับอารมณ์ขันขึ้นมาได้บางแล้ว ก่อนขอตัวกลับห้องทำงานของตัวเองหลังจากดื่มกาแฟหมดแก้ว

***--***--***--***--***--***--***

สรุปวันนั้นชวินก็มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่บ้านใหญ่ด้วยจริง ๆ หลังจากที่ร่วมเดือนกว่าแล้วกระมัง ที่เขาไม่แวะเข้ามาเยี่ยมคนในบ้านหลังนี้เลย ทั้งที่คอนโดของเขาไม่ได้จะไกลขนาดที่ว่าขับรถมาไม่ได้ แต่เพราะนิสัยส่วนตัวที่ชอบรักสนุกอยู่คนเดียวเสียมากกว่า จึงทำให้ชวินมีเวลาให้คนในครอบครัวน้อย ด้วยเหตุนี้คุณอิงอรมารดาของเขาจึงดูดีใจมากที่บุตรชายโผล่มาให้เห็นหน้าได้ในวันนี้ เหมือนกับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหล่อนและบุตรชายอยู่ห่างกันไกลเป็นหลายพันไมล์จนไม่สามารถติดต่อกันได้อย่างนั้นแหละ

“เอ...เท่าที่แม่จำความได้ วันนี้ไม่ใช่วันเกิดของใครในบ้านนะ แต่แปลกที่ลูกชายแม่มากินข้าวด้วยได้” อิงอรแขวะบุตรชายอีกรอบบนโต๊ะอาหาร หลังจากที่หล่อนได้เอ่ยประโยคหยอกเย้าประมาณนี้มาแล้วก่อนหน้า ตั้งแต่ชวินก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณบ้านก็ว่าได้

“คุณแม่ก็... วันนี้ผมจะคิดถึงคุณแม่ คุณอาทั้งสองคน คิดถึงป้าพิณ แล้วก็สาวใช้ที่บ้านนี้บ้างไม่ได้เหรอครับ...”

“ได้ซิ...คิดถึงทุกวันเลยก็น่าจะดีนะ คุณแม่ของเราจะได้ไม่ต้องออกไปหาเพื่อนกินข้าวข้างนอกบ่อย ๆ” ดรัณภพประมุขบ้านเอ่ยล้อเลียน ก็ดูอย่างวันนี้ซิ ที่อิงอรพบบุตรชาย หล่อนก็แทบจะไม่อยากกระดิกตัวไปไหนไกลเกินเมตร นั่งทำตัวติดชวินไม่ห่างเหมือนกับว่าเป็นคนแก่ขาดความอบอุ่นจากลูกหลานมานานก็ไม่ปาน

“นี่ภพ เธอกำลังจะฟ้องลูกชายฉันใช่ไหมว่าฉันออกไปข้างนอกเกือบทุกวัน” คนถูกแขวะออกอาการร้อนตัว หันไปค้อนขวับให้น้องชายสามีทีหนึ่ง ก่อนจะหันมาโปรยยิ้มหวานอย่างเอาใจให้แก่ชวินที่นั่งด้านขวามือ พร้อมพูดเสียงประมาณว่าน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา “ก็ชวินไม่ยอมกลับมากินข้าว มานอนที่บ้านเราเป็นเพื่อนแม่บ้างเลยนี่ คนแก่ที่ถูกทิ้งให้อยู่เหงา ๆ ก็ต้องออกไปหาสังคมกันบ้าง”

บุตรชายยิ้มรับกว้างขวาง “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณแม่นี่ครับ คุณแม่มีความสุขกับสิ่งไหนก็ทำไปเถอะ จะปาร์ตี้กลับดึกก็ตามแต่สะดวกเลยครับ”

คฑาคินหัวเราะคึกคึกในลำคอกับคำที่ญาติผู้พี่บอกกับมารดาของเขา ก็คงอาจจะเหมือนชวินกระมัง ที่มีความสุขกับพวกผู้หญิงของเขา ถึงได้ทำตามความสุขของตัวเองจนไม่อยากจะกลับมาอยู่บ้าน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ

ชวินจ้องเขม็งปรามคนที่แอบหัวเราะเยาะเขาอย่างมีนัย ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องถามถึงใครคนหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เขาเข้ามาพบครอบครัวในวันนี้ได้

“แล้วไหนละครับสมาชิกใหม่ของบ้านเรา ตั้งแต่ผมมาถึงยังไม่เห็นเจอเธอเลย”

“อาก็รออยู่เหมือนกัน หนูวิมนี่ยังไงกันนะ จะกลับค่ำไม่มากินข้าวเย็นที่บ้าน ก็ไม่โทรมาบอกมากล่าวสักคำ” กันยกาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงวิมวิพาขึ้นมาตงิด ๆ บ่นพึมพำ ในทีแรกหล่อนก็ไม่ได้นึกเป็นห่วงเท่าไหร่ คิดว่าวิมวิพาคงอาจจะกลับช้ากว่าปกติหน่อยเพราะอาจจะมีเรียนช่วงเย็น แต่ทว่าตอนนี้ล่วงเลยเวลาอาหารมื้อค่ำมาเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว แม้แต่โทรศัพท์สักกริ้งเดียวก็ยังไม่ได้รับจากหญิงสาว จึงอดที่จะเป็นห่วงไปต่าง ๆ นา ๆ ไม่ได้

บนโต๊ะอาหารที่พร้อมหน้าด้วยคนในครอบครัว หากไม่มีวิมวิพาร่วมโต๊ะอยู่ด้วย หลังจากอิ่มกับมือค่ำ เด็กรับใช้ในบ้านเริ่มเก็บจานชามอาหารบนโต๊ะออก แล้วเสิร์ฟจานผลไม้ให้เจ้านายแทน กันยกายังคงมองออกไปด้านหน้าประตูบ้านอย่างใจรุ่มร้อน แม้วิมวิพาจะไม่ใช่ลูกในไส้หลานร่วมสายเลือดก็ตาม แต่เมื่อหล่อนสัญญากับใครบางคนว่าจะดูแลเด็กคนนี้อย่างดี ก็ไม่อยากจะผิดสัญญาและรู้ว่าหล่อนเองก็คงไม่มีความสุขตลอดชีวิตแน่ถ้าหากวิมวิพาได้รับอันตราย

“คินทำไมเมื่อตอนเย็นไม่แวะไปรับน้องที่มหา’ลัยด้วยเลยละ คินก็รู้ว่าน้องไม่มีรถใช้ ดูซินี่ยังไม่กลับถึงบ้านเลย ไม่รู้หลงทางหรือเปล่า” คนที่เป็นห่วงวิมวิพากว่าใครเพื่อนออกปากตำหนิบุตรชาย จนบุตรชายที่กำลังจิ้มผลไม้เข้าปากอยู่ถึงกับชะงักมือวางช้อนส้อมลงกับจานทันทีอย่างเสียอารมณ์

“คุณแม่ครับ ลูกสาวคุณแม่ไม่ได้เป็นโรคความจำเสื่อมหรอกมั้งครับถึงจะได้หลงทาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ขับรถไปมาเองได้” ชายหนุ่มตอบเสียงเขียว เคืองวิมวิพานักแลที่ทำให้เขาถูกเอ็ดอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่เขาเองไม่ได้เป็นคนก่อขึ้น

“เออ...คุณอาครับ คุณอาลองโทรไปหาน้องวิมหรือยังละครับ” ชวินรีบเบนประเด็น เมื่อเห็นสีหน้าของคฑาคินบอกชัดว่ากริ้วด้วยหัวคิ้วขมวด

“โทรไปแล้วจ้า แต่เหมือนว่าแบตจะหมดหรือไม่ก็ปิดเครื่องอะไรทำนองนี้แหละ อาติดต่อไม่ได้เลย” กันยกาส่ายหน้าเนือย ๆ

ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงฝีเท้าคู่เล็กของใครบางคนที่เดินเข้ามาในบ้าน ทำให้ห้าคนที่อยู่ในห้องอาหาร พร้อมใจกันชะเง้อหน้ามอง

“หนูวิม กลับมาแล้วเหรอหนู ไปไหนมาทำไมถึงกลับมามืดค่ำอย่างนี้ละ” กันยการีบลุกจากโต๊ะอาหารอย่างร้อนรน เดินแกมวิ่งเข้าไปจับแขนวิมวิพา ซึ่งเดินก้มหน้าก้าวเข้ามาหาอย่างคนรู้ตัวว่าทำผิด คนมาใหม่ทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน ยามเห็นท่าทางห่วงใยของคุณป้ากันย์คนนี้

“เออ...คุณป้า วิมขอโทษนะคะที่กลับบ้านผิดเวลา เออ...คือว่า...” หญิงสาวเว้นจังหวะพูดนึกหาคำที่น่าจะฟังดูสละสลวยสำหรับการแก้ตัวเสียก่อน เพราะดูแล้วสถานการณ์ตอนนี้ออกตึงเครียด เหลือบมองเห็นสายตาทุกคู่ของคนในบ้านจับจ้องเขม็งมายังเธอเหมือนรอคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตาย เพียงแค่เธอกลับเข้าบ้านตอนทุ่มสี่สิบห้าเนี้ยนะเหรอ อยากจะบอกคนพวกนี้จริง ๆ ว่าแต่ก่อนชีวิตเธอต้องกลับเข้าบ้านเกือบเช้าก็ยังมีเลย “วิมไปติวหนังสือบ้านเพื่อนมาน่ะค่ะ พอดีใกล้จะสอบแล้ว”

“แล้วทำไมถึงไม่โทรมาบอกก่อนละ ป้าโทรไปก็ติดต่อไม่ได้ หนูรู้ไหมว่าคนที่บ้านนี้เขาเป็นห่วงหนูแค่ไหน หนูวิมหนูทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ คุณพ่อหนูเขาฝากหนูไว้กับลุงภพกับป้า แล้วถ้าหนูเกิดเป็นอะไรขึ้นมาละ พวกเราจะตอบคุณพ่อของหนูว่ายังไง” แม้น้ำเสียงของกันยกาจะดูคล้ายกรุ่นโกรธอยู่บ้างแต่หากแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเสียมากกว่า คำพูดตำหนิที่ออกมาเป็นชุดราวกับไม่หายใจ ทำวิมวิพาสีหน้าสลดรู้สึกขอบตาร้อนขึ้นเลยเหมือนกัน

“คุณป้ากันย์...วิม...วิมขอโทษค่ะ” เสียงนั้นสั่นเครือ ก้มหน้าตัวลีบเล็ก “คือมือถือวิมหายน่ะค่ะ วิมจำเบอร์ใครไม่ได้เลยจริง ๆ ก็เลยไม่ได้โทรมาบอก วิมคิดว่าวิมจะไปแค่แป๊ปเดียวจริง ๆ นะคะ แต่พอดีว่าเพื่อนวิมบอกว่าจะมาส่งก็เลยกลับมืดไปหน่อย” แม้ประโยคที่บอกไปในตอนแรก ว่าไปติวหนังสือเตรียมตัวสอบนั้นจะเป็นเรื่องโกหก แต่ประโยคที่พึ่งพูดจบไปเป็นความจริงทุกประการ ก็เพราะว่าฟีน่าพาเธอไปฝากทำงานกับเจ้าของร้านอาหารกึ่งผับหรูแห่งหนึ่งนั้นแหละ ก็เลยทำให้ไปลืมวางโทรศัพท์มือถือเครื่องที่พึ่งจะซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงหายไปจนได้ แล้วแน่นอนว่าสมองอันน้อยนิดของเธอไม่มีที่ว่างมากพอจะจดจำเบอร์ใคร โดยเฉพาะเบอร์ของคนในบ้านหลังนี้ที่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่กี่วัน

“มิน่าถึงโทรไม่ติด วันหน้าวันหลังถ้าหนูจะไปต่อที่ไหนก็ต้องกลับมาบ้านมาบอกคนที่บ้านไว้ก่อนนะ หรือไม่ก็โทรมาอย่าทำให้พวกเราเป็นห่วงอย่างนี้อีกรู้ไหม” คราวนี้เป็นฝ่ายของคุณดรัณภพบ้างที่เอ่ยปากบอก ท่านไม่ได้ดุเสียงดัง หากเตือนและสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นปกติ

“ค่ะ คราวหน้าวิมจะไม่ทำอย่างนี้อีก”

“ที่ป้ากับลุงพูด ไม่ใช่ดุด่าหนูนะ หนูเข้าใจใช่ไหมว่าที่พวกเราทำไปทั้งหมดเพราะว่ารักและก็เอ็นดูหนูอย่างลูกสาวคนหนึ่ง หนูคงไม่โกรธป้ากับลุงหรอกนะ” กันยกาดึงร่างบางเข้ามากอด ทาบฝ่ามือเรียวลงกลางแผ่นหลังพลางลูบเบา ๆ คนที่ยืนสั่นเทาเป็นเชิงปลอบประโลม

“วิมทราบค่ะ วิมต้องขอบคุณทุกคนด้วยซ้ำที่รักและเป็นห่วงวิมขนาดนี้” เธอกอดคุณป้ากันย์ที่แสนดีเสมือนมารดาของเธอเอง ซุกคางมนลงกับไหล่เล็กที่แสนอบอุ่น ก่อนจะช้อนสายตาพล่าน้ำมองชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนมองเธออยู่จากด้านหลังของกันยกา ในสายตาคมกริบที่เรียบเฉยของชายหนุ่มทั้งสองคน แค่เธอสบตาปราดเดียวก็อ่านออกว่า ประกายตาของชวินดูเป็นมิตรและเห็นใจที่เธอถูกดุ หากตรงข้ามกับคฑาคินแม้ว่าประกายนัยน์ตานั้นจะดูเยียบเย็นแต่แฝงเต็มไปด้วยร้อยยิ้มเหยียดสะใจลึก ๆ

เมื่อสมาชิกใหม่คนสำคัญของบ้านกลับมาแล้ว ทุกคนก็จึงพากันไปนั่งพูดคุยอยู่ตรงมุมห้องนั่งเล่น เพื่อแนะนำให้วิมวิพารู้จักกับชายหนุ่มอีกคนที่นาน ๆ จะเข้ามาให้เห็นหน้าที นั่นก็คือชวิน และถึงแม้คฑาคินไม่อยากจะอยู่ร่วมกลุ่มสนทนาครั้งนี้สักเท่าไหร่ ก็มิอาจจะปฏิเสธได้ด้วยจะถูกบิดามารดาของเขากล่าวหาว่าเสียมารยาท คฑาคินจึงต้องอยู่อย่างจำใจยอม เขานั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้สไตล์หรูตัวใหญ่ ด้วยสีหน้าบอกว่าเบื่อหน่ายเอาเสียมาก ขณะที่ชวินกลับยิ้มหัวเราะสนุกสนานที่ได้พูดคุยรู้จักวิมวิพาน้องสาวร่วมโลก

สายตาคมซึ่งมีแววขี้เล่นระคนเจ้าชู้ของชวินที่มองวิมวิพาฉายชัดเจน ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนอ่านออกโดยง่าย ยิ่งอิงอรมารดาของเขาแล้วด้วย หล่อนอ่านทะลุปรุโปร่งถึงขั้วความรู้สึกในใจของบุตรชายว่ากำลังนึกคิดอะไรอยู่ ชวินให้ความสนใจกับหญิงสาวสวยคนตรงหน้านี้เป็นอย่างมาก ดังเช่นที่เขาเคยให้ความสนใจผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนมาแล้ว

“น้องวิมครับ ช่วงที่รถน้องวิมซ่อมอยู่ให้พี่เป็นคนไปรับไปส่งน้องวิมที่มหา’ลัยก็ได้นะครับ”

“ออ อย่าดีกว่าค่ะพี่ชวิน วิมเกรงใจ” ยิ้มรับหน้าเจื่อน แล้วตวัดหางตามองชายหนุ่มอีกคนที่ขยับตัวนั่งเหยียดตรงพร้อมกอดอกแน่น คฑาคินมองเธอเหมือนกับว่าไม่เชื่อในคำว่า ‘เกรงใจ’ ของเธออย่างนั้นแหละ

“ไม่ต้องหรอกชวิน ยังไงคินก็ต้องไปทำงานทุกวันอยู่แล้ว วันไหนหนูวิมมีเรียนอาฝากคินให้ไปส่งหนูวิมก็ได้ ชวินขับรถไปมาเสียเวลาแย่เลย” กันยการีบชิงตอบแทนให้บุตรชายเสร็จสรรพ โดยไม่แม้จะมองหน้าเหวอ ๆ ของบุตรชายสักนิด

“คุณแม่ครับ พี่ชวินเขาเต็มใจมากกว่าผม คุณแม่ก็ให้พี่เขามารับแล้วกันครับ ผมไม่ค่อยถนัด อึดอัดที่ต้องมีคนนั่งไปเป็นเพื่อนด้วย” คฑาคินขึงตาโหดจ้องแม่สาว ซึ่งตอนนี้เธอก็เบิกตาแทบถลนจ้องกลับอย่างไม่ยอมความเช่นกัน

“ไม่ดีกว่า แม่ว่าคินนั้นแหละไปรับไปส่งน้องจะสะดวกกว่า เกรงใจพี่เค้าบ้างซิ คอนโดก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ติดกับบ้านเราซะทีไหน” กันยกายังคงยืนกราน หล่อนรู้เหตุและผลเป็นอย่างดีว่าทำไมถึงอยากจะให้บุตรชายใกล้ชิดวิมวิพาขนาดนี้ หากแต่เด็กหนุ่มสาวอาจยังไม่เข้าใจ “แล้วก็พรุ่งนี้ตอนเย็นพาน้องแวะไปดูมือถือเครื่องใหม่ด้วย...”

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า พรุ่งนี้วิมจะให้เพื่อนมาส่งก็ได้ค่ะ ยังไงจะแวะไปหาซื้อมือถือเครื่องใหม่ด้วยเลย” ของฟรีก็อยากจะได้หรอกนะ เพราะสถานภาพทางการเงินของเธอยามนี้ไม่คล่องนัก ไหนจะค่าซ่อมรถ ไหนจะทำรายงานนั่นนี่จิปาถะ แล้วมือถือเจ้ากรรมก็ยังจะอันตรธานหายไปอีก เวลานี้ถ้าจะซื้อใหม่สักเครื่องก็คงไม่มีปัญญาจะซื้อเครื่องมากความสามารถยอดนิยมที่อยากจะได้หรอก อย่างมากก็คงเครื่องถูก ๆ ใช้แก้ขัดไปก่อน

“แต่คุณอาครับ ผมเต็มใจอยากจะบริการน้องวิมจริง ๆ นะครับ คุณอาไม่ต้องกังวลเรื่องผมจะลำบากหรอกครับ ผมจะยินดีมากซะด้วยซ้ำถ้าคุณอาทั้งสองอนุญาตให้ผมมาเป็นพลขับรับส่งน้องวิม” ชวินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พลางสะกิดแขนอิงอรผู้เป็นมารดาที่นั่งใกล้ ๆ ให้ช่วยเสริม และดูเหมือนแม่ลูกคู่นี้จะเข้าขากันได้ดี เพียงแค่สบตาแวบเดียวก็เข้าใจเกม

“อืม...นั่นซิ คินก็บอกอยู่แล้วว่าอึดอัดไม่ชอบให้ใครนั่งรถไปด้วยไม่ใช่เหรอ” อิงอรเลิกคิ้วเรียวสูง หันมองน้องสามีและน้องสะใภ้ “อีกอย่างลูกชายพี่จะได้มากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนพี่ทุกวันด้วย ไม่เสียเวลาเปล่าหรอก”

“มาไม้นี้คิดจะจีบหนูวิมอีกละซิ น้าได้ข่าวว่าแฟนคนล่าสุดยังไม่ได้เลิกกันไม่ใช่เหรอ จริงไหมชวิน ! ” ประมุขบ้านกล่าวออกมาตรง ๆ ทำให้แก้มใสของวิมวิพาแดงปลั่งร้อนผ่าวในบัดดล หญิงสาวเงยหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมองชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าจะจีบเธอ หวังว่าเขาจะปฏิเสธอะไรขึ้นมาบ้าง หากเห็นเพียงรอยยิ้มกว้างขวางอวดไรฟันขาวสวยเต็มใบหน้าเกลี้ยงเกลาเท่านั้น

***--***--***--***--***--***--***

ร่างสูงโปร่งของคฑาคินลุกขึ้นยืนพรวดจากเก้าอี้ไม้สีขาวริมสระน้ำ ทางด้านฝั่งหน้าบ้านหลังสวยของตัวเอง เขาเดินเข้าไปหาคนที่ดูสูงกว่าเล็กน้อยซึ่งกำลังยืนยืดตัวตรงตระหง่านใกล้ขอบสระ พลางทอดสายตามองไปยังตึกใหญ่

“จะเอาจริงเหรอพี่ชวิน เพี้ยนไปแล้วรึไง” ญาติผู้น้องถามดังเกือบจะเรียกว่าตะคอกก็ว่าได้ ตกใจกับคำพูดของชวินที่บอกว่าจะลองจีบวิมวิพา เพราะดูยังไงเธอก็งามราวกับผู้หญิงแท้ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งอากัปกิริยาก็ไม่ได้จะมีแสนเล่ห์เหมือนคฑาคินบอกไว้สักนิด

“อ้าว ! ไม่ดีหรอกเหรอ จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าน้องวิมของจริงหรือของปลอม” คนเจ้าชู้หันมายิ้มตาพราว

“แต่คุณพ่อ คุณแม่เขาหวงลูกสาวคนใหม่มากนะ พี่จะมาจีบเล่น ๆ ไม่ได้หรอก อีกอย่างพี่ลองคิดดูซิว่า ถ้าพี่ไม่มีลูกมีหลานสืบสกุลคุณป้าอรจะเสียใจขนาดไหน คุณลุงบนสวรรค์คงจะร้องไห้น้ำตาท่วม ที่พี่ไปคว้าเอากะเทยอย่างเด็กนั่นมาเป็นลูกสะใภ้ให้ท่าน” คฑาคินทำท่าทางจริงจังซึ่งไม่ต่างจากน้ำเสียงที่พูดเลย

“สิ่งที่เราได้เห็น หรือได้ยินมามันอาจไม่ได้ถูกต้องเท่ากับการที่เราได้สัมผัสเองหรอกโว้ย”

“แสดงว่าไม่กลัวแล้วว่างั้นเถอะ พี่ไม่กลัวเสียเชิงชายใช่ไหม”

“ไม่รู้ซิ เหมือนจะไม่กลัว” ชวินดวงตาเป็นประกายวับ เขารู้สึกถูกชะตากับวิมวิพาอย่างบอกไม่ถูก
แม้เคยคิดกลัวเมื่อนึกว่าเธอเป็นสาวผ่านคมมีดหมอก็จริงอยู่ หากแต่พอพบเจอและพูดคุยกับเธออย่างใกล้ชิดมากขึ้นมันกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นเร่า อย่างอยากจะลองค้นหาอะไรบางอย่างในตัวแม่สาวคนนี้ “คุณอาทั้งสองเคยเจอน้องวิมมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอ พวกท่านยังไม่บอกสักคำว่าเป็นเด็กผู้ชายนี่หว่า”

“จะไปรู้กับเธอได้ยังไง คุณพ่อกับคุณแม่เจอตั้งแต่แบเบาะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กนั้นมีพี่น้องกี่คน บางทีคนที่เคยเจอกับเด็กคนนี้อาจจะเป็นคนละคนกันก็ได้” คฑาคินพูดเสียงหวาดหวั่น

“ถ้านายกลัวมากก็อยู่ไกล ๆ น้องวิมไว้ดีแล้ว”

“ไม่ต้องบอก ผมก็ไม่เข้าใกล้แม่นั่นอยู่แล้วแหละ ถึงจะบังเอิญเป็นผู้หญิงจริง ๆ ขึ้นมาก็เถอะ แสดงบทนางร้ายจอมมารยาเสียแต่แรกแบบนั้นผมไม่อยากจะยุ่งด้วยหรอก ไม่ชอบ ! ”

“นายพูดเองนะ...” คำถามของญาติผู้พี่มีนัย หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก

ทางด้านวิมวิพาที่ออกมายืนตรงระเบียงด้านหลังห้องนอนของเธอ ซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็นตึกเล็กของคฑาคินแม้ในเวลาค่ำมืดอย่างนี้ชัดเจนดีอยู่ เนื่องจากแสงไฟสีส้มนวลตาจากหลอดไฟดีไซน์แปลกตรงสองข้างประตูบ้าน บ้านหลังที่เธออยากจะเข้าไปดูข้างในสักครั้งว่าจะสวยถูกใจแค่ไหน หากทว่าก็ได้แค่คิดเพราะคฑาคินหวงบ้านของเขาเอามากเหลือเกิน คงไม่ชอบให้ใครไปยุ่มย่ามมาก ถึงได้ออกปากไม่อยากให้เธอเข้าไปเดินเฉียดใกล้แถวบริเวณนั้น

“หนุ่ม ๆ กำลังนินทาฉันอยู่หรือเปล่าคะ” หญิงสาวพึมพำลำพัง เห็นปากของชายหนุ่มทั้งสองที่ขยับ
ขมุบขมิบดูออกรสออกชาติ หากแต่ก็ไม่ได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูดกันหรอก เพราะระยะห่างจากตึกใหญ่นี้กับตึกเล็กหลังโน้นห่างไกลกันอยู่พอควร แค่คาดคะเนจากสายตาเปล่าก็รู้แล้วว่าความยาวสระน้ำจากขอบด้านนี้ไปถึงด้านหน้าบ้านคฑาคิน มันไม่ได้ใกล้กันแค่สิบเมตร

วิมวิพาถอนสายตา พร้อมกับทอดถอนใจอย่างคนคิดหนัก วันนี้เธอมีเรื่องรบกวนสมองมากกว่าหนึ่งเรื่อง เรื่องแรกก็คือเรื่องงานที่ผับซึ่งเธอจะสามารถเริ่มทำได้ในคืนพรุ่งนี้เลยแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะบอกให้คุณลุง คุณป้าเจ้าของบ้านว่าอย่างไรดี เรื่องถัดมาก็เป็นเรื่องของเพื่อนสาวขีโรชาที่วันนี้ได้ยินมาจากฟีน่าเล่าให้ฟังว่า

‘เมื่อวานตอนสามทุ่ม ฉันเจอเข็มนั่งรถไปกับผู้ชาย... รู้ไหมว่าใคร...’

‘ใครเหรอ ? ’ วิมวิพาหันขวับมาให้ความสนใจดวงตาวับวายพร้อมร้อยยิ้มใคร่รู้

‘แน่ใจนะว่าอยากจะรู้...บอกไว้ก่อนนะ แกต้องทำใจไว้เลย ถ้าอยากจะให้ฉันเล่าต่อ...’

‘อ้าว...พี่ฟีน่าถ้าพี่ไม่แน่ใจอยากจะเล่า จะมาเกริ่นนำให้อยากจะรู้ทำไหมเนี้ย’

‘แกก็บอกมาก่อนซิว่าใจแข็งพอจะรู้เรื่องนี้’ ฟีน่าคล้ายจะกวนโมโห ทว่าสายตาและน้ำเสียงของหล่อนออกจะซีเรียสจริง

วิมวิพาพยักหน้าด้วยอยากรู้ แม้จะกังวลกับสิ่งที่จะได้ยินอยู่บ้างก็เถอะ แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อฟีน่าดันมาพูดมีลับลมคมในเช่นนี้แล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของเธอทำงานมากขึ้นนะซิ

‘บอกมาเร็ว ๆ เถอะน่า พี่ฟ่าน่าอย่ามัวแต่เล่นตัวซิ’

‘คนอย่างฉันเนี้ยนะนังวิมที่ว่าเล่นตัว ฉันเนี้ยปล่อยเนื้อปล่อยตัวทุกคืนแหละย่ะ” ฟีน่าพูดขบขัน ทำวิมวิพาที่ตั้งใจฟังหัวเราะร่วน หากเสียงหัวเราะนั้นกลับหยุดชะงักกึกกลืนหายลงในลำคอเมื่อฟีน่าพูดต่อ ‘ฉันเห็นนังเข็มไปกับอาจารย์พี่ปั้นของแก’

คนได้ยินเต็มสองหูขยายตาโต ส่ายหน้าพร้อมเอ่ยรัวเร็ว ‘ใครนะ พี่ปั้นอย่างนั้นเหรอไม่จริงหรอก

‘เชื่อหรือไม่ก็เรื่องของแก ฉันแก่กว่าแกไม่กี่เดือนตายังดีอยู่ขอบอก’ ฟีน่ากางสองนิ้ว ชี้มาใกล้ตาของตัวเอง ‘แล้วไอ้ที่เล่าให้ฟังไม่ใช่จะให้เอาไปทะเลาะกับนังเข็มเพราะผู้ชายคนเดียวหรอกนะ แต่บอกไว้ให้รู้ก็เท่านั้น เผื่อว่าสองคนนั่นอาจจะมีอะไรที่คนอย่างแกไม่รู้มาก่อนก็ได้’

‘แต่เข็มไม่รู้จักพี่ปั้นแน่นอน ขนาดทุกวันนี้เข็มยังไม่ค่อยจะมองหน้า หรือพูดกับพี่ปั้นสักคำ’

‘ก็นั้นมันตอนอยู่ต่อหน้าเพื่อน ๆ แล้วลับหลังแกรู้เหรอ บางทีเขาสองคนอาจสนิทกันมากก็ได้’ ฟีน่าไม่ได้เล่าต่อหรอกว่า ที่เธอเห็นไม่ใช่แค่ขีโรชานั่งรถไปกับโปษัณเท่านั้น ทว่าสองคนนั่นเหมือนกำลังมีเรื่องทะเลาะกันอยู่ ซึ่งหากคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยจะไปนั่งทะเลาะกันในรถทำไม

หญิงสาวสะบัดหน้าแรง ๆ ไล่ความคิดปวดสมองนั้นออก เธอไม่คิดว่าจะถามขีโรชาในเรื่องที่ได้ยินจากฟีน่ามาหรอก เพราะยังคงไม่เชื่อว่าคนที่ฟีน่าเจอเป็นหนุ่มสาวทั้งสองที่เธอรู้จัก บางทีฟีน่าอาจตาฝาดก็เป็นได้ เธอยังไม่พร้อมจะรับเรื่องนี้เข้ามาเป็นปัญหา เพราะว่าปัญหาใหญ่ที่สมควรจะแก้ก่อนเรื่องอื่นก็คือเรื่องเงิน และเรื่องคฑาคิน

เมื่อตอนสักครู่ก่อนจะขึ้นห้องมา มีโอกาสนั่งคุยกับสมาชิกในบ้าน สังเกตเห็นเป็นอย่างดีว่าคุณป้ากันยกาออกจะหวงเธอเอามาก เธอไม่ได้คิดแบบเข้าข้างตัวเอง หากสิ่งที่เห็นและได้ยินนั้นมันบอกชัดเจนดี กันยกากำลังกีดกันผู้ชายทุกคนไม่ให้เข้าใกล้เธอ แม้แต่ชวินที่เป็นหลานในไส้ แต่กันยกากลับอยากจะให้บุตรชายของเขาเข้ามาเทคแคร์ดูแลในตัวของเธอเพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้มันทำให้เธอต้องรีบเร่งดำเนินแผนให้คฑาคินเกลียดเธอให้มากที่สุดจงได้ มากพอที่ชายหนุ่มจะไม่ตกปากรับคำกับผู้ใหญ่ในเรื่องหมั้นหมายกับเธอ

***--***--***--***--***--***--***

ในเช้าวันถัดมาชวินขับรถมารับวิมวิพาถึงบ้านมาตจักรกรานด้วยตนเองอย่างที่เขาได้พูดไว้ ซึ่งก็ทำให้คุณอิงอรผู้เป็นมารดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นหน้าบุตรชายรับอากาศสดชื่นแจ่มใสยามเช้าเช่นนี้ หล่อนมีความคิดแล่นปราดเข้ามาสู่สมองทันที รู้ว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะดึงชวินให้กลับมาอยู่บ้านหลังใหญ่หลังนี้ด้วยกันอีกครั้ง ในขณะที่คุณดรัณภพและภรรยาได้แต่มองรถคันของชวินที่มีวิมวิพานั่งไปด้วยอย่างหนักใจ

“คุณภพบอกตามตรงนะ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยไม่อยากจะให้ชวินมายุ่งกับหนูวิมเลยจริง ๆ” กันยกาพูด
ขณะเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมสามี ซึ่งมีคุณอิงอรเดินตามเข้ามาห่าง ๆ และคิดว่าน่าจะไม่ได้ยิน

“ชวินเป็นหลานเรานะ ถ้าหากว่าชวินทำให้หนูวิมเธอรักเธอชอบขึ้นมาได้ พวกเราก็สามารถจะดูแลหนูวิมได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” สามีเอ่ยขึ้นบ้าง

“แต่ว่า...ชวินเจ้าชู้นะคะ ฉันไม่อยากให้หนูวิมต้องเสียใจ” กันยกานิ่วหน้าครุ่นคิด “อีกอย่างเรื่องนี้คุณก็รู้นี่คะว่าไม่มีใครสมควรไปมากกว่าคินอีกแล้ว คินสมควรที่สุดที่จะดูแลหนูวิมไปตลอดชีวิต”

“แต่ดูว่าจะยากสักหน่อยนะน้องกันย์ ลูกชายเธอดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้ายายหนูวิมนั่นสักเท่าไหร่เลย” อิงอรที่เร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ หล่อนได้ยินและแทรกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงลิบทันที “ไม่ว่าจะเป็นชวินหรือคิน ยังไงสองคนนั่นก็เป็นคนในตระกูลเรา ถ้าจะมีใครดูแลชีวิตของเด็กคนนั้นได้ให้สุขสบาย ก็ถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณเพื่อล้างบาปกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้เหมือนกันนั้นแหละ จริงไหม”

“แต่เรื่องนั้นไม่ได้เกี่ยวกับชวินเลยนะคะ” กันยกาหันขวับมองคนพูดอย่างตกใจไม่น้อย และไม่นึกว่าอิงอรมีความคิดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน แต่สำหรับกันยกาเอง หล่อนอยากจะให้บุตรชายรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง

“แล้วจะเป็นไรไปละ ถ้าหากลูกชายฉันเขาอยากจะรับเลี้ยงเด็กคนนั้นเสียเอง บางทีอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ คิดดูซิถ้าหากคินกับเด็กวิมอะไรนั่นรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่ออดีต แน่ใจหรือว่าเขาสองคนจะรักกันได้...”

“พี่อร ! ” ดรัณภพและกันยกาอุทานดัง หน้าเผือดสีลงทันควัน

“ผมขอร้องนะครับ ว่าเรื่องอดีตให้มันจบไป พี่อรอย่าได้ทำให้เด็กพวกนั้นรับรู้เลยนะครับ”

“แล้วทำไมพวกเธอสองคน ถึงยังอยากจะรับผิดชอบอยู่ล่ะ ถ้าอยากให้มันจบไปจริง ๆ ก็ไม่จำเป็น
ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กวิมนั่นอีกก็ได้นี่หนา” อิงอรเชิดหน้าถาม กระตุกยิ้มอย่างมีเชิงที่มุมปาก “ไม่ต้องห่วง
หรอกน่าฉันไม่พูด... แต่เรื่องของเด็กจะรักกันผู้ใหญ่อย่างเราก็ไม่สมควรจะก้าวก่ายมากไม่ใช่เหรอ ให้เด็กวิมได้ลองเลือกเองก่อนไม่ดีกว่ารึ ว่าระหว่างชวินกับคฑาคินลูกชายของพวกเธอ ยายเด็กนั่นจะเลือกใคร”



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2555, 19:03:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 เม.ย. 2555, 19:05:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1635





<< ตอนที่ 2 ตอกย้ำความเข้าใจผิด   ตอนที่ 26 เล่ห์สลับขั้ว >>
Canopus 7 เม.ย. 2555, 22:57:32 น.
ปมในอดีตคืออะไรนะ


กันเหงา 8 เม.ย. 2555, 19:14:40 น.
ปมอะไรรอเฉลย แต่ว่าคงอีกนานนะคะ ติดตามเป็นกำลังด้วยนะจ๊ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account