ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 2 : ใช่ หรือไม่ใช่

บรรยากาศสบายๆ ภายในคลับหรู กับมุมรับรองพิเศษที่ถูกแยกจัดไว้เป็นสัดเป็นส่วน ลึกเข้าไปด้านในตรงข้ามกับแนวประตู หนุ่มผิวขาวร่างสูงไหล่กว้างบุคลิกโดดเด่น นั่งนิ่งอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด ภูวิชพยายามรวบรวมสมาธิ และสติของตนที่กระเจิดกระเจิงไปไกลนับแต่เมื่อช่วงบ่ายค่อนเย็นที่ผ่านมา

ตาคมจับจ้องอยู่ที่แก้วบางใสภายในบรรจุน้ำสีเหลืองอำพันอยู่แค่เพียงจุดเดียว เขารับรู้ถึงการมาของเพื่อนสนิทจากสัมผัสที่แตะลงบนบ่ากว้าง และการตอบสนองของเขาก็แค่ชำเลืองมองเล็กน้อย มือที่กำลังหมุนวนบริเวณปากแก้วจนเกิดเสียงกังวาน เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยกแก้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากหยักได้รูป

“ไงวะ...ไอ้ภู ทำไมถึงได้รีบออกมาจากโรงพยาบาลคนเดียว บอกให้รอฉันส่งเวรก่อนแล้วค่อยมาพร้อมกันก็ไม่ยอม”

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ไม่ชอบบรรยากาศโรงพยาบาล อยู่นานๆ แล้วมันชวนหดหู่ใจอย่างไรไม่รู้”

“อ้อ! แล้วนี่นึกครึ้มอะไรขึ้นมา ถึงได้มานั่งดวดเหล้าแต่หัววันแบบนี้” นัทธีธรทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด จ้องมองหน้าด้านข้างของเพื่อนรักอย่างสงสัยเสียเต็มประดา

“ก็รอนายนั่นแหละ กว่าจะมาได้ นึกว่าจะต้องรอจนถึงเช้าซะแล้ว” เสียงตอบออกแนวประชดประชันเล็กน้อย มิได้ไขข้อข้องใจให้กับผู้ถามแต่อย่างใด มิหนำซ้ำคนพูดยังทำสีหน้ายียวนกลับมาอีกต่างหาก

“วะ! ไอ้นี่ ฉันไม่ได้นั่งแท่นเป็นเจ้าของบริษัทอย่างนายนี่หว่า จะได้มีอิสรเสรี นึกจะไปไหนเมื่อไหร่ก็ทำได้ตามแต่ใจไม่มีใครด่า นี่ท่าทางจะซัดไปหลายแก้วแล้วสิ อารมณ์ไหนกันวะนี่” นัทธีธรกวาดตาสำรวจอุปกรณ์การดื่มบนโต๊ะ แล้วหันไปตั้งข้ออสังเกตอาการอันแปลกเปลี่ยนของเพื่อนรัก

“จะมีอะไร ฉันก็แค่อยากกินเหล้า... เบื่อรถติดเลยรีบชิ่งมาก่อน” ภูวิชเจรจาชนิดไม่ยอมสบตาเพื่อน ไม่ยอมบอกถึงสาเหตุของอาการอยากร่ำสุราในวันนี้ ทว่าเจ้าตัวกลับลืมนึกไปว่า สิ่งที่ตนกำลังทำมันช่างห่างไกลจากปกติวิสัยของคนที่มีฉายาพระฤๅษีอย่างเขา ชายหนุ่มเคยประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร มีหรือที่คนเป็นเพื่อนสนิทอย่างนัทธีธรจะไม่รู้

“อย่าบอกนะว่าไอ้มนุษย์บ้างานห่วงแม่อย่างแก อยู่ดีๆ เกิดนึกครึ้มอยากจะชวนเพื่อนออกมากินเหล้าไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดก่อนเถอะฉันถึงจะเชื่อ บอกมาดีกว่าว่ามีเรื่องอะไรในใจกันแน่” นัทธีธร กระเซ้าเพื่อนรัก ลุกเปลี่ยนที่ไปนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้าม จ้องมองหน้าภูวิชชัดๆ อย่างต้องการจะจับสังเกต

“รู้ดีจริงนะแก! อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่บังเอิญว่าวันนี้ฉันเกิดไปเจอโจทก์เก่าเข้าให้ ก็เท่านั้น”

“โจทก์เก่า อย่างนายนี่นะมีโจทก์กับเขาด้วย ฉันคงไม่ได้หูฝาดไปหรอกนะ ไหนลองเล่าซิ ว่าคนที่แกกำลังพูดถึงเป็นใครกัน” นัทธีธรทวนคำบอกเล่าของเพื่อน สีหน้าบ่งบอกว่าเขาแทบไม่เชื่อหากว่าไม่ได้ยินกับหู

“จำยายแพรหน้าจืด คนที่เคยทำงานอยู่บริษัทฉัน แล้วจู่ๆ ก็หายไปเมื่อหลายปีก่อนได้รึเปล่า” ภูวิชเอ่ยเท้าความจำให้กับเพื่อน แต่ก็ยังไม่วายเหน็บณิชญาฎาว่า ‘หน้าจืด’

“ยายแพรหน้าจืด เอ.... คุ้นๆ ใช่น้องแพรคนที่เรียนสถาปัตย์ แล้วมาฝึกงานที่บริษัทแก คนที่หน้าตาเก๋ๆ หุ่นเนี๊ยบ เหมือนนางแบบ คนนั้นรึเปล่าวะ” นัทธีธรค่อยๆ นึก และเริ่มพรรณนาลักษณะของณิชญาฎาออกมาอย่างจำได้ถึงความโดดเด่นของหญิงสาว

“ก็เออดิ จะมีสักกี่แพรกันละวะ ที่เคยทำงานในบริษัทฉันน่ะ” ภูวิชนึกฉิวในคำวิจารณ์ของนัทธีธร เอ่ยตอบน้ำเสียงสะบัดบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“หน้าตาระดับนั้นยังเรียกว่าจืดได้อีกเหรอวะ เห็นทีว่า ต่อมรับความงามของนายทำงานผิดปกติไปเสียแล้วล่ะเจ้าภู ฉันจะบอกให้นะว่าอย่างน้องแพรน่ะเป็นนางแบบได้สบายเลยนะเว้ย หน้าตาออกจะเก๋ไก๋ รูปร่างดีไม่มีที่ติปานนั้น มีแต่แกเท่านั้นแหละ เที่ยวได้ค่อนขอดหาว่าเธอไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ เพี้ยนไปรึเปล่าวะเพื่อน?”

นัทธีธรค้านเป็นจริงเป็นจัง แล้วถามต่อว่า “เอ้อ! แต่จะว่าไปเธอก็หายไปนานมากแล้วนะ พูดแล้วชักคิดถึง ว่าแต่แกไปทำอีท่าไหน ถึงได้ไปเจอเธอเข้า” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของคนพูดแลดูจริงจังมากขึ้นเมื่อเริ่มสอบถามรายละเอียด ตาคมยังคงลอบสังเกตอากัปกิริยา ที่ส่อเค้าถึงความกังวลอันเกินปกติของคนเป็นเพื่อน แม้ว่ารอยขันยังคงเกลื่อนอยู่เต็มใบหน้าคุณหมอหนุ่มรูปงามก็ตามที

“อุบัติเหตุที่ฉันโทรให้นายช่วยส่งรถมารับคนเจ็บวันนี้ไง เด็กที่โดนรถชนเป็นลูกของเขา” ภูวิชเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ประสบมาเมื่อช่วงบ่าย อันเป็นเหตุให้เขาได้มาพบกับณิชญาฎาอีกครั้งโดยบังเอิญ

“เฮ้ย! จริงรึ? เป็นไปได้ไง ทำไมโลกมันถึงได้กลมแบบนี้ ฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับคนไข้บนวอร์ดเลยไม่ทันได้ลงมาดู น่าเสียดายจริง พลาดช็อตเด็ดไปได้อย่างไรวะนี่เรา” หมอหนุ่มออกอาการประหลาดใจ ด้วยนึกไม่ถึงในเหตุบังเอิญ คำหลังคล้ายฃบ่นกับตนเองที่พลาดเหตุการณ์สำคัญ

“ไม่ตลกเลยเพื่อน ไม่ใช่แค่ว่าโลกมันกลมอย่างเดียว แถมยังกลมจนฉันเวียนหัว กลับมาคราวนี้ แม่คุณมีลูกแฝดโตจนจะห้าขวบ เล่นเอาฉันอึ้ง ยืนงงอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะหายงง แม่ก็เข้ามาฉอดๆ ใส่ฉันเป็นฉากๆ” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทำให้เรื่องที่พูดออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่เมื่อมารวบรวมวิเคราะห์ดูแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้ มันก็ชวนให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่มิใช่น้อย

“หึ! แกจะไปงงอะไรกันนักหนา ผู้หญิงที่สุดแสนจะเพอร์เฟคอย่างคุณแพร ถ้ายังโสดสิวะ มันถึงจะน่าแปลก เมื่อก่อนเห็นมีแต่หนุ่มๆ คอยตามไล่ตะครุบตัวเธอกันให้จ้าละหวั่น” หมอหนุ่มพูดไปหัวเราะไป จนเกือบจะเรียกได้ว่าไม่ใส่ใจ

“รู้ดีซะจริง อย่าบอกนะว่าตอนนั้นนายเองก็ติดใจยายนั่นเข้าให้เหมือนกัน” อาการหงุดหงิดไม่เลิกของภูวิช มีหรือจะหลุดรอดจากสายตาคนช่างสังเกตอย่างนัทธีธรไปได้

“ก็ถ้าตอนนั้นฉันโสด มันก็ไม่แน่เหมือนกันล่ะวะ น้องแพรเธอยิ่งดูดีเสียขนาดนั้น ถึงตอนนี้ก็เถอะ ถ้ายังโสด บางทีฉันอาจจะสนใจเธอขึ้นมาก็ได้” นัทธีธรจงใจโยนก้อนอารมณ์ยั่วยุ เพื่อจับอาการเพื่อนถึงสิ่งที่เขาพยายามจะคาดเดา

“พูดให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหม ทำเป็นเล่นอยู่ได้” แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อภูวิชเริ่มหลุดจากการควบคุมตนเอง

“เอ้า! คนพูดจริงกลับหาว่าพูดเล่น ไปอารมณ์เสียมาจากไหนวะ หรือว่าตัวแกเองก็แอบชอบเธออยู่เหมือนกัน ถึงได้มาหงุดหงิดใส่ฉันขนาดนี้” หมอหนุ่มใส่คำพูดที่เหมือนกับการโยนเผือกร้อน ใส่มือเพื่อนได้หน้าตาเฉย

“เงียบๆ ไปเลย ไม่ต้องเดาแล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” ภูวิชเริ่มรู้ว่าตนกำลังหลงกลเพื่อน รีบปฏิเสธกลบเกลื่อนพัลวัน

“เฮอะ! ทำมาเป็นเลี่ยง มัวแต่ปากแข็งอยู่นั่นแหละ ถึงได้โดนคนอื่นคาบไปเสียฉิบ เออ! แล้วนี่รู้หรือเปล่าว่าน้องแพรแต่งงานกับใคร” นัทธีธรค่อนเข้าให้ สุดท้ายก็วกกลับเข้ามาถามถึงสิ่งที่ตนยังข้องใจ

“จะไปรู้ได้ไง ฉันก็เพิ่งจะเจอหล่อนเมื่อเย็นนี้เอง เห็นก็แต่นายพีทเพื่อนรักของเขานั่นแหละ ตามติดกันมาตั้งนาน จนป่านนี้ยังไม่เลิก ที่โรงพยาบาลก็มาเกือบจะพร้อมกัน ไม่รู้จะทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงไปถึงไหน” น้ำเสียงเข้มสำแดงความหงุดหงิดขึ้นมาอีกระลอก กับภาพของความสนิทชิดเชื้อที่ชวนให้เก็บมาคิดกริ่งเกรงอยู่ในใจว่า หากมีใครสักคนที่มาซ้ำรอยของเขา ก็มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็น ‘พฤทธิ์’

“เอ... หรือว่านายพีทเป็นคนโชคดีคนนั้น แต่ว่ามันก็แปลกๆ อยู่นะ เพราะเท่าที่เคยสังเกต ตอนนั้นท่าทีของคุณแพรก็ไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นพิเศษกับเจ้าหมอนั่นเลยนี่นา ถ้าเป็นนายละก็ไม่แน่ จำได้หรือเปล่าที่ฉันเคยบอก สายตาเวลาที่เธอมองนายมันฟ้องชัดขนาดไหน แล้วไหนจะเรื่องคืนนั้นอีก” นัทธีธรปรารมภ์คล้ายรำพึงกันตนเองเสียมากกว่า พยายามทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้วเนิ่นนานถึงห้าปี ทว่ากลับเด่นชัดราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง

“ฉันก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน.... รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเด็กแฝดสองคนนั่น ใจมันแกว่งๆ พิกล รู้สึกใจหาย มองหน้าแล้วให้ถูกชะตา อยากอยู่ใกล้ๆ ผูกพันขึ้นมาอย่างไรก็บอกไม่ถูก ยิ่งมารู้ว่าเขาเป็นลูกใคร ฉันยิ่งหวั่นใจพิกล” คนพูดหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เอ่ยขึ้นมาแบบไม่ใคร่จะเต็มเสียง วนแก้วเหล้าเบาๆ ดิ่งลึกลงไปในความนึกคิดของตน

“สรุปว่าแกกำลังสงสัยว่าเด็กสองคนนั่นเป็นลูกของแกว่างั้นเถอะ” นัทธีธรสันนิษฐานเพื่อจะล้อมกรอบหาข้อสรุป

“จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดหรอก แต่ว่าเรื่องมันก็เนิ่นนานมาแล้ว ฉันกำลังพยายามทบทวนเรื่องราว กับความเป็นไปได้ทั้งหลายแหล่อยู่ แต่ก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่” ในความสับสน คงไม่มีอะไรดีกว่าพูดไปตามความรู้สึกที่เป็น เหมือนกับที่ภูวิชกำลังพูด

“แล้วนายวางแผนจะหาความจริงให้กับเรื่องนี้อย่างไรกันล่ะ” สารพันคำถามยิ่งโถมทับนัทธีธร แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกเท่าไหร่ ก็ยังนึกไม่ออกว่าเรื่องจะคลี่คลายอย่างไร

“ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันแน่ใจว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกกับเด็กสองคนนั่น มันไม่ใช่แค่ความเอ็นดูธรรมดาๆ แน่” ภูวิชเอ่ยอย่างมั่นใจ

“อืม นั่นสิ ถ้าหากว่าเรื่องที่นายกำลังสงสัย มันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ก็น่าคิดเหมือนกันนะ ว่าเพราะอะไรน้องแพรถึงได้ทำแบบนั้น ยอมแบกรับความอายไว้คนเดียว หนีหายไปจากทุกคน รวมทั้งตัวต้นเรื่องอย่างนายด้วย” ใบหน้าขาวในกรอบแว่นของหมอหนุ่ม ฉายชัดไปด้วยแววจริงจังในเนื้อหาที่ตนกำลังพูด ทำเอาใบหน้าของอีกฝ่ายชักจะถอดสี และเริ่มคิดตาม

“พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมพวกแกที่โรงพยาบาล แล้วจะลองเลียบเคียงถามกับป้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กสองคนนั่นดู หรือถ้ามีโอกาส ฉันก็จะถามกับแพรตรงๆ ว่าใครคือพ่อของพวกเด็กๆ กันแน่” น้ำเสียงแสดงความมุ่งมั่น บอกถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของภูวิช

“ถ้าหากว่าเด็กสองคนนั่นเกิดเป็นลูกของนายจริงๆ ขึ้นมา คิดเหรอว่าคุณแพรเธอจะยอมบอกความจริงทุกอย่างแต่โดยดี เรื่องมันเกิดมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว เธอยังไม่ยอมเอ่ยปากบอกนายสักแอะ มิหนำซ้ำยังหนีหายไปเสียเฉยๆ ขืนนายเดินดุ่ยๆ เข้าไปถามเธอตรงๆ มีหวังได้โดนตอกหน้าแหก หงายหลังกลับมาชนิดที่หมอไม่รับเย็บแหงๆ” นัทธีธรนึกหวั่นใจ พอจะคาดเดาถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ หากว่าภูวิชเดินเข้าไปถามกับณิชญาฎาจริงๆ ดังว่า

“ก็แล้วถ้าเด็กสองคนนั่นเป็นลูกฉันจริงๆ นายยังจะให้ฉันทำท่านิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรือไงกัน” ความวิตกกังวลกระจายไปทั้งสีหน้าและแววตาของชายหนุ่มผู้พูดอย่างเห็นได้ชัด

“เอาน่า ทำใจเย็นๆ เอาไว้ก่อน ช่วงนี้นายก็พยายามทำความรู้จัก ตีสนิทกับพวกเด็กๆ รอเวลา ค่อยๆ หาความจริงไปเรื่อยๆ ฉันว่าคงไม่นานหรอก ถ้าคุณแพรเธอซุกซ่อนปิดบังอะไรไว้จริง ไม่ช้านายก็คงจะได้เห็นเอง ไม่แน่นะ ปะเหมาะเคราะห์ดีเธออาจจะใจอ่อนยอมแพ้ความดีของนาย บอกความจริงทั้งหมดกับนายเองก็ได้”

นัทธีธรออกจะเห็นใจเพื่อนรักอยู่ไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมว่าภูวิชเป็นคนช่างติช่างเลือกขนาดไหน นอกจากมารดาของตนแล้ว ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่ผ่านเข้ามาแล้วไม่มีข้อตำหนิ ซึ่งในจำนวนนั้นก็รวมณิชญาฏาเอาไว้ด้วย พอหลุดจากความคิดของตนเองเขาจึงเอ่ยกับเพื่อนรักต่อ “ว่าแต่นายเถอะ ถ้าเกิดว่าคุณแพรเธอยอมใจอ่อนขึ้นมาจริงๆ นายจะยอมรับเธอได้หรือ ฉันว่านายกลับไปคิดทบทวนให้ดีๆ ก่อนไม่ดีกว่าหรือ ก่อนที่จะคิดทำอะไรลงไป”

“เฮ้อ! จนป่านนี้ยังคิดอะไรได้ เด็กนั่นก็โตจนจะห้าขวบแล้วนะ ฉันไม่อยากเสียเวลาอีก เท่าที่ผ่านมา ฉันก็พลาดอะไรต่อมิอะไรไปตั้งหลายเรื่องแล้ว” ภูวิชพูดอย่างเสียดายบวกปลง พยายามทำใจยอมรับกับเรื่องราวต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา คิดหาหนทางแก้ไข พยายามหาวิธีที่ทำให้เรื่องง่ายลงอย่างที่สุด

“เอาน่า อย่าเพิ่งคิดมาก ฉันว่าฉันมองคนไม่ผิดหรอก คุณแพรเธอน่าจะพอมีใจให้นายอยู่บ้าง ระหว่างนี้นายทำอย่างที่ฉันบอกไปก่อน เรื่องพิสูจน์น่ะไม่ยาก ตราบใดที่คนป่วยยังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของฉัน” นัทธีธรเอ่ยเป็นนัย ในใจคิดว่าเรื่องนี้ อย่างไรเสีย คนผูกก็ต้องเป็นคนแก้ ไอ้การที่จะยืมมือผู้อื่นไปช่วยแก้นั้น เห็นทีจะยาก

“จริงสิ! ฉันมัวแต่คิดวกไปวนมา ลืมนึกถึงเรื่องพิสูจน์ดีเอ็นเอไปเลย ขอบใจมากนะเพื่อน” ภูวิชตาวาวสีหน้าดีใจปิดไม่มิด เขาตื่นเต้นเสียจนใจแทบจะออกมาเต้นอยู่นอกอก

“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง จนกว่าจะได้ผลการพิสูจน์มา ระหว่างนี้นายก็ทำตามที่ฉันแนะนำไปก่อน เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลา ความจริงทุกอย่างมันก็จะปรากฏชัดออกมาเอง” นัทธีธรอธิบาย อย่างคนที่เข้าใจในหลักการและขั้นตอนเป็นอย่างดี ทำให้ภูวิชรู้สึกคล้อยตาม คลายวิตกลงไปได้มาก

“นั่นสิ เมื่อถึงเวลา ความจริงทุกอย่างมันก็ต้องเปิดเผยตัวเองออกมา ดูอย่างวันนี้สิ ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เจอแพรอีก ยังวนกลับมาเจอกันจนได้ แถมยังระทึกเสียจนฉันใจคอไม่ดีไปเลย”

“อย่างที่บอกล่ะ อย่าคิดมาก นายกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เครียดมาตั้งแต่เย็นแล้วนี่ กลับบ้านไปเถอะ ป่านนี้คุณนายรำพึงนั่งชะเง้อคอยแกไม่เป็นอันนอนแล้วมั้ง” แพทย์หนุ่มเอ่ยปลอบ เตือนให้เพื่อนนึกถึงคนที่รอคอยเขาอยู่ที่บ้าน

“เออ! จริงสิ ลืมไปเลย ไม่ได้โทรบอกแม่ว่าจะกลับดึก ป่านนี้แล้วจะนอนหลับลงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไปดีกว่า ฝากชำระค่าเสียหายด้วยแล้วกัน ไว้วันหลังฉันจะเลี้ยงคืนให้ ไปล่ะเพื่อน” ภูวิชทิ้งคราบของคนที่เพิ่งจะนั่งอมทุกข์ ผละจากไปทิ้งให้เพื่อนรักบ่นขรม

“อ้าว! ซวยเลยไอ้นัท ไม่น่ารีบไล่มันกลับไปเล้ย ให้ตาย”
---------------------------------------------------------
เรือนไม้เก่าสีขาวถูกบูรณะให้คงสภาพดังเช่นที่เคยเป็นเมื่อครั้งแรกสร้างทั้งที่เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายสิบปีเต็มที อันที่จริงเรือนหลังนี้เป็นเพียงแค่เรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่บนที่ดินผืนใหญ่อันเป็นที่ตั้งของเรือนใหญ่ และเรือนเล็กหลังอื่นๆ ที่กระจายตัวอยู่รอบบริเวณ ต่างก็เพียงแค่มันถูกแยกออกมาปลูกไว้ตรงจุดที่ใกล้กับลำคลองกว้างที่พาดผ่านบริเวณปลายสุดของที่ดินซึ่งกินอาณาบริเวณกว้างถึงสิบห้าไร่แห่งนี้ (อ่านทีแรกคิดว่าแม่เล่นอยู่ แต่อ่านไปแม่ทำงานอื่นนี่นา)

เสียงดนตรีไทยจากเครื่องเสียงบรรเลงเพลงหวานดังแว่วมาแต่ไกล บอกให้รู้ว่าเจ้าของเรือนยังไม่เข้านอน ทั้งที่เลยเวลาหัวค่ำค่อนไปทางดึกแล้วก็ตาม ไม้กระดานผืนใหญ่ที่ปูตรงชานเรือนลั่นเอี๊ยดอ๊าด เมื่อเจ้าของฝีเท้าหนักเดินขึ้นเรือนมุ่งหน้ามาตรงที่หญิงชรากำลังนั่งพับกระทงใบตองแล้วนำไปวางซ้อนเรียงกันไว้เป็นตั้งๆ ก่อนจะหยิบใบใหม่ที่ตัดและเช็ดจนสะอาดไว้แล้วมาพับจนเสร็จสิ้นกระบวนการ จากนั้นจึงนำมาวางเรียงเข้าพวกไว้ด้วยกัน

“ยังไม่นอนอีกหรือครับแม่” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้นจากทางเบื้องหลังบอกให้รู้ว่าบุตรชายผู้เป็นยอดดวงใจเพิ่งจะกลับมาถึง

“อ้าว! มาแล้วหรือ ตาภู ทำไมวันนี้กลับเสียดึกเชียวลูก เมื่อหัวค่ำคุณใหญ่เธอมาถามหาลูกถึงที่นี่ แม่บอกเธอไปว่าลูกยังไม่กลับจากทำงาน” คุณรำพึง ผู้เป็นทั้งมารดาและนางในดวงใจของภูวิชเหลียวหน้ามามองบุตรชาย ที่เดินมาทรุดกายลงนั่งข้างๆ ฉวยใบตองมาช่วยพับอย่างชำนิชำนาญ เธอมองตามมือเขาแล้วยิ้ม นึกโล่งใจที่เห็นเขากลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย คงเป็นปกตินิสัยตามสัญชาติญาณของคนเป็นแม่ที่ย่อมจะไม่อาจหลับตาลงหากว่าบุตรชายผู้เป็นที่รักยังคงกลับไม่ถึงบ้าน นางเอ่ยทักถามบุตรชายไปตามปกติ ปิดท้ายโดยบอกถึงการมาของ ‘คุณใหญ่’ พี่ชายต่างมารดาที่เขาเคารพรักเป็นที่สองรองจากนาง

คุณใหญ่หรือ ภูมินทร์ เทพบริบาล คือบุตรชายคนโตของคุณวิทยา ที่เกิดกับหม่อมราชวงศ์หญิงภัสรี ซึ่งท่านทั้งสองได้ล่วงลับไปเป็นเวลานานหลายปีล่วงมาแล้ว ภูมินทร์คือผู้รับช่วงสืบทอดมรดก และทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นของบ้านเทพบริบาล รวมทั้งหน้าที่และสิทธิ์ขาดในการดูแลทุกชีวิตที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของตระกูล มิให้ต้องตกระกำลำบาก แตกฉานซ่านเซ็น ระหกระเหินไปอยู่ที่อื่น นับตั้งแต่วันที่คุณท่านบนเรือนใหญ่ทั้งสองได้สิ้นบุญลงไป

เว้นไว้ก็แต่เพียงเรือนขาวริมน้ำ ที่ผู้เป็นบิดาได้ทำพินัยกรรมแจ้งความจำนงเอาไว้ว่าต้องการยกให้กับนางรำพึง ภรรยาคนที่สองของท่าน และภูวิช ผู้เป็นบุตรชาย พร้อมกับเงินสดจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่จัดว่าไม่น้อยเลย สำหรับการที่เธอจะใช้เลี้ยงดูตนเองและลูกน้อยตลอดจนเป็นทุนการศึกษา ที่สามารถจะส่งเสียให้บุตรชายได้เล่าเรียนต่อจนถึงขั้นสูงสุดโดยไม่ต้องลำบากลำบนดิ้นรนใดๆ

“คุณใหญ่มาถามหาภูหรือครับแม่ มีเรื่องอะไรสำคัญรึเปล่า? แล้วทำไมไม่โทรหา ภูแวะไปดื่มอะไรกับเจ้านัทมันมานิดหน่อยเลยกลับช้า แม่รอบอกภูเรื่องคุณใหญ่เหรอครับถึงได้ยังไม่ยอมเข้านอน” กระทงใบตองที่เขาพับเสร็จด้วยความรวดเร็วถูกวางลงกองรวมกับใบอื่นๆ ซึ่งพับเสร็จเรียบร้อยแล้วอยู่ในสภาพเดียวกัน เขาหันไปพูดถามกับมารดา มือหนาเอื้อมหยิบใบตองมาพับต่อไปเรื่อยๆ อย่างคล่องแคล่ว

“เปล่าหรอกลูก แม่กำลังเตรียมกระทงเอาไว้ทำห่อหมกใบยอ ของโปรดของคุณพ่อ พรุ่งนี้เช้าแม่จะใส่บาตรแล้วกรวดน้ำอุทิศไปให้ท่านกับคุณหญิงน่ะลูก” คุณรำพึงยิ้มน้อยๆ ตอบคำบุตรชาย เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องถาม เพราะว่าตามปกติแล้ว เธอไม่เคยจะต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งพับกระทงอยู่จนดึกจนดื่นอย่างนี้หากว่าไม่ได้มีกิจกรรมอะไรพิเศษ ซึ่งโดยมากก็จะเป็นบ่าวไพร่ในเรือนที่มาช่วยกันทำงานจิปาถะเหล่านี้

“อ้อ.... แต่ว่าทำไมกระทงมันถึงได้เยอะแยะมากมายแบบนี้ละครับ อย่างกับว่าแม่จะทำไปเลี้ยงพระทั้งวัดอย่างไรอย่างนั้นเลย” ภูวิชเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย วาจาพาตลก ทว่ามือยังไม่ยอมหยุดพับ

“ดูพูดเข้าสิลูกคนนี้ แม่ทำเผื่อคุณใหญ่เธอด้วยต่างหากล่ะ เห็นบ่นๆ ว่าอยากทานอยู่ด้วยเหมือนกัน แม่เลยตั้งใจว่าจะทำเผื่อเธอไปด้วยเลยทีเดียว”

“เฮ้อ! อะไรๆ ก็คุณใหญ่ อิจฉาคุณใหญ่จริงๆ เล้ย... ทีภูบ่นอยากกินอะไร ไม่เห็นแม่ยอมทำให้เหมือนเวลาที่คุณใหญ่บ่นเลย” ภูวิชแสร้งค่อนขอดมารดา ทำตาเล็กตาน้อย เสียจนเธออดไม่ได้สุดแสนจะหมั่นไส้คนปากดี สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงค้อนขวับเข้าให้ ค่าที่มือของเธอยังมีงานติดพันไม่เช่นนั้นจะฟาดปากช่างกระแนะกระแหนนั่นเข้าให้

“ดูสิ เดี๋ยวนี้ริอ่านมาใส่ความแม่ ” พูดแล้วคุณรำพึงก็ให้นึกขันบุตรชาย นับวันจะช่างเจรจา ปากคอเราะร้ายเหลือประมาณ จนทำให้นึกไปว่า สาวโชคร้ายคนไหนหนอ จะมาทานทนพ่อลูกชายตัวดีของเธอคนนี้ได้

“โอ๋... ล้อเล่นนะครับแม่ แม่ของภูน่ะน่ารักน่าบูชาเป็นที่สุดอยู่แล้ว ไม่เชื่อลองไปถามคุณใหญ่ดูก็ได้” ภูวิชออดอ้อน วางมือจากกระทงที่เพิ่งจะพับเสร็จเอนกายลงนอนหนุนตักมารดาหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข

“ดูเถอะ ยังไม่วายมาล้อเลียนแม่ แน่ละสิยะ แม่น่ะน่ารัก น่าบูชา เสียจนเราไม่ยอมแต่งงานแต่งการกับใครเขาให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที อย่านึกว่าแม่รู้ไม่ทันเรานะตาภู ดูสิ! แล้วนี่ยังจะมาทำเป็นเด็ก อ้อนนอนหนุนตักแม่ไม่เลิก โตจนใกล้จะแก่แล้วนะเราน่ะ” คุณรำพึงส่ายหน้ากับพฤติกรรมราวกับเด็กน้อยของบุตรชาย แต่สายตาที่ทอดมองร่างคนตัวโตที่กำลังนอนเหยียดยาวพาดศีรษะไว้กับตักนางนั้น แสดงออกว่าสุดรักสุดเอ็นดูในตัวเขาเหลือประมาณ มากกว่าสิ่งใดในโลก

“โธ่แม่ก็! ผู้หญิงสมัยนี้น่ะหาดีได้ที่ไหนกันละครับ ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมแบบแม่ของภูด้วยแล้ว หายากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก” ภูวิชใช่ว่าจะยกยอมารดา ทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมามิได้ต่างไปจากสิ่งที่ใจเขาคิดเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เชื่อลองไปถามคุณใหญ่ดู” สองเสียงประสานขึ้นพร้อมๆ กัน ต่างกันแค่เพียงเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นเพราะความเคยชิน ทว่าอีกเสียงแสดงออกถึงความรู้เท่าทัน ผู้เป็นมารดาจึงกล่าวต่อไปว่า

“เอะอะอะไรก็เอาคุณใหญ่มาอ้าง ไม่รู้จักโตสักทีนะเรา แม่ว่าเพราะเราเรื่องมาก เลือกมากจนเกินไปเสียละมากกว่า” และแล้วมารดาก็ดักคอเขาได้อย่างรู้ทาง

“เฮ้อ! เบื่อคนรู้ทันจริงๆ เลย ภูก็แค่พยายามจะทำตามคำโบราณก็เท่านั้นล่ะครับแม่ แหม! ไม่งั้นจะมีคำกลอนเขาว่าไว้หรือครับ ‘แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า” ภูวิชยกท่อนหนึ่งของบทกลอนจากเรื่องอิเหนา ขึ้นมาให้เหตุผลกับมารดา ทั้งที่รู้ว่ามันต่างจากกรณีของเขาโดยสิ้นเชิง

“นั่นมันกลอนที่เขาเอาไว้ค่อนว่าผู้หญิงต่างหากเล่าตาภู ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราที่ตรงไหน เหลวไหลจริงเชียวลูกคนนี้” คุณรำพึงย้อนความบุตรชายเสียงขรม ส่ายหน้าระอากับความกะล่อนของเขา

“เกี่ยวสิครับแม่ ภูว่าเกี่ยวก็ต้องเกี่ยว กะอีแค่กลับกัน ถ้าไม่เจอผู้หญิงที่ภูอยากจะแต่งงานด้วยจริงๆ ก็สู้อยู่เป็นโสดไปอย่างนี้จะดีกว่า อยู่กับแม่สบายใจดีออก นะแม่นะ ให้ภูอยู่กับแม่แบบนี้ไปนานๆ เดี๋ยวไม่มีคนมานอนหนุนตักแบบนี้ แล้วแม่จะเหงานะเอ้อ!” คนพูดยังคงนอนหลับตาพริ้มหนุนตักนิ่มแสนอุ่นของมารดา พูดไปยิ้มไปไม่สนใจแววตาขุ่นค้อนที่ส่งมาให้เขาอย่างหมั่นไส้

“น้อยไปละสิเรา ลับหลังแม่คงแอบไปหนุนตักสาวๆ เพลิน ทีอย่างนี้ละมาทำอ้อนแม่ เฮ้อ! แม่ละเหนื่อยจะเถียงกับเราจริงๆ แล้วนี่ออกไปเที่ยวกับตานัทมา รายนั้นเป็นอย่างไรบ้างเล่าลูก” คุณรำพึงเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงชายหนุ่มอีกคน หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มเพื่อนรักของบุตรชาย

“เจ้านั่นมันก็ต้องสบายดีอยู่แล้วละครับแม่ ไม่เจ็บไม่ไข้อะไร แต่ว่างานยุ่งเพราะต้องเตรียมตัวไปนั่งแท่นเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว คงจะวุ่นวายอยู่พอดู เปลี่ยนจากทำงานบนเตียงคนป่วยมานั่งทำงานบนโต๊ะ ท่าทางมันก็ดูสนุกสนานดีนะครับ” ภูวิชเล่ายิ้มๆ ภูมิใจในตัวเพื่อนรักมิใช่น้อย

“นั่นก็อีกคน มัวแต่ทำงาน จนอายุปูนนี้เข้าไปแล้ว ยังไม่ยอมหาสะใภ้เข้าบ้าน มีหลานให้พ่อแม่ชื่นใจกับใครเขาบ้าง เอาอย่างพ่อพี กับพ่อตลิตเขาบ้างสิลูก จนเขาหมั้นเขาแต่ง มีลูกมีเต้ากันไปถึงไหนๆ แล้ว เรากลับยังหาแฟนกับใครเขาไม่ได้เลย ใช้ไม่ได้จริงๆ เจ้าลูกพวกนี้ มัวแต่จับคู่กันเองอยู่นั่นแหละ เอ! หรือว่าเรากับตานัทจะเป็นพวกผิดเพศ” คุณรำพึงบ่นยืดยาว จนกระทั่งสุดท้ายแสร้งทำตาโตคล้ายกับเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“แม่! คิดเข้าไปได้อย่างไรกันละครับ บ่นไปบ่นมาไหงมาลงที่ภูกับเจ้านัทมันได้ละครับ” ภูวิชร้องเสียงหลงลุกพรวดจากตักมารดา ทำให้เธอตกใจเพราะความที่ตั้งตัวแทบไม่ทัน

“ก็หรือว่าไม่จริง สารภาพกับแม่มาซะดีๆ เลยนะตาภู” คุณรำพึงแสร้งพูดย้ำ คาดคั้นบุตรชายไปตามเรื่อง ทั้งที่จริงแล้วเจ้าความคิดอุตริแบบนี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวของนางเลย

“โธ่! จะเป็นไปได้อย่างไรกันละครับแม่ อย่างผมกับเจ้านัทเนี่ยนะ ออกจะแมนซะขนาดนี้” ภูวิชปฏิเสธลั่น ชูแขนยกกล้ามโชว์มารดาเป็นพัลวัน

“อ้าว! ก็แล้วแม่จะไปรู้หรือ เห็นพอถามว่าเมื่อไหร่จะพาแฟนมาให้แม่ยลโฉมทีไร เป็นต้องเฉไฉเปลี่ยนเรื่องมันไปซะทุกที แถมเรากับตานัท ก็ยังเอาแต่เกาะกันแน่นอยู่อย่างนี้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะกล้าเข้ามาใกล้กันล่ะลูก” ผู้เป็นมารดายังคงไม่ยอมแพ้ ยกเหตุผลร้อยแปดมาโน้มน้าวบุตรชายผู้หวงแหนความโสดเท่าชีวิต

“ไม่เอาแล้วครับ คุยเรื่องนี้ภูไปนอนดีกว่า” ภูวิชดีดตัวขึ้นผลุงเดียว ร่างสูงก็พุ่งปราดไปถึงประตูเข้าเรือนใน ก่อนจะหยุดแล้วหันมาพูดกับมารดาอีกครั้ง อย่างคนที่มีอะไรติดอยู่ในใจ

“ไม่แน่นะครับแม่ วันหนึ่งภูอาจจะเดินจูงเด็กเข้ามา แล้วแนะนำว่าเป็นหลานย่าก็เป็นได้ใครจะรู้” ภูวิชเปรยขึ้นหลังจากหยุดยืนมองมารดาที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพับกระทงต่อ มิได้หยุดมือ ทว่ายังมีเวลาตวัดสายตาส่งค้อนวงใหญ่ให้กับลูกชาย ตบท้ายด้วยคำปรามาส ที่คนฟังฟังแล้วได้แต่อมยิ้ม

“จ้า... ให้มันจริงเถอะ อย่างเราน่ะเหรอจะมีลูกโต ขนาดจูงได้ หาแม่ของลูกให้ได้ก่อนเถอะย่ะ พ่อตัวดี รีบๆ ไปนอนเลยไป เห็นหน้าเราแล้วยิ่งหมั่นไส้ ขัดใจจริงๆ เลย”

“หึ... อย่านอนดึกนะครับแม่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าตื่นมาตาโหลไม่สวย แล้วหลวงตาท่านจะว่าเอา”

“ตาภู! วอนหานรกเสียแล้วละมั้งนี่ ปากเสียจริงๆ ลูกชั้น พระ-เจ้าก็ไม่เว้น”

คุณรำพึงตกใจตาเหลือกกับคำของลูกชาย ทันได้เห็นภูวิชหมุนกายรีบหนีเข้าเรือนไปเกือบทันทีที่พูดจบ ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงหัวเราะชอบใจ ที่สามารถแกล้งแหย่มารดาของตนได้อย่างเป็นที่สนุกสนานสำราญใจ ยิ่งได้ฟังคำบ่นไล่หลังอีกเป็นกระบุงโกยของเธอแล้ว ยิ่งพาให้ขัน ส่งเสียงหัวเราะหนักขึ้นกว่าเดิม
--------------------------------------------------
คนที่ขอตัวเข้ามาอาบน้ำและเข้านอน กลับไม่ยอมทำตามที่พูด เขาเพียงแต่อาบน้ำ ทว่าหาได้เข้านอนดังที่ปากว่าไม่ เวลานี้ภูวิชอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงสองมือประสานไว้ที่ท้ายทอยรองรับศีรษะทุยสวย แผ่นหลังกว้างอิงแนบอยู่กับหมอนที่ถูกจับวางไว้รองรับตัวเขาในแนวตั้ง สายตาทอดมองไปยังผนังสีครีมอ่อนเกือบขาว ซึ่งประดับไว้ด้วยกรอบรูปบานใหญ่เรียบหรูดูมีศิลปะ

รูปหมู่ที่เขาได้ถ่ายร่วมกับเหล่าพนักงานของบริษัท เนื่องในโอกาสฉลองความสำเร็จของทีมงานที่สามารถปิดโครงการใหญ่ และทำกำไรทะลุเกินกว่าเป้าที่ได้ตั้งเอาไว้ ภายในรูปล้วนมีแต่คนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในครั้งนั้น นั่นหมายรวมไปถึง ‘ณิชญาฎา’ ที่อยู่ในสถานะของรุ่นน้อง และเด็กฝึกงาน และได้มีโอกาสร่วมทำงานกับทีมที่รับผิดชอบโครงการใหญ่ยักษ์โครงการนั้น พี่ๆ ในทีมจึงคะยั้นคะยอให้เธอร่วมถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

ณิชญาฎาในวันนั้นเป็นหญิงสาวรูปร่างโปร่งบาง แต่งกายในชุดนักศึกษา หน้าตาน่ารัก สดใสตามวัย แต่ยิ่งมองไปนานๆ กลับยิ่งดูงามจับตาอย่างน่าพิศวง ภูวิชให้ฉงนปนสนใจยิ่ง หรือจะเป็นดั่งคำที่เคยได้ยินใครสักคนพูดเอาไว้ หญิงสาวคนนี้คงจะมีลักษณะที่เรียกว่า ‘งามพิศ’ กระมัง น่าแปลกใจนัก ทำไมตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว เขาจึงไม่เคยมีโอกาสมองหน้าหญิงสาวแบบตรงๆ ให้ชัดแม้แต่เพียงครั้งเดียว ยกเว้นในคืนนั้น


ห้าปีก่อน.......

“พี่ภูจะหนีไปไหน..... อย่าเพิ่งไปสิ.... อยู่เป็นเพื่อนชนแก้วกับน้องๆ ก่อน...” เสียงอ้อแอ้ดังขึ้นจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งล้อมวงอยู่ในวงสุรา ร้องเรียกบุรุษหนุ่มผู้เป็นทั้งเจ้านายและรุ่นพี่

“ไม่เอา! พี่เมาแล้ว ขอตัวไปนอนดีกว่า เราก็เพลาๆ เสียบ้างนะ ดื่มเยอะๆ ระวังตับจะพังเอา” ภูวิชเซนิดๆ หันไปตอบลูกน้องเสียงอ้อแอ้น้อยกว่าคนทักถามอยู่นิดหน่อย รู้ตัวอยู่หรอกว่าตัวเองก็เมาได้ที่อยู่เหมือนกัน ‘เพราะรู้’ จึงได้คิดจะปลีกตัวขึ้นไปนอน แทนที่จะขับรถกลับบ้านดังเช่นที่เคย

“คร้าบ... เจ้านาย...ลูกพี่...กระโผม...จาปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดนะคร้าบ..... ฝันดีคร้าบ” หนุ่มคนเดิมรับคำติดตลกด้วยเสียงอ้อแอ้แบบเดิม เรียกรอยยิ้มขันๆ บนในหน้าของเจ้านายหนุ่มขึ้นมาอย่างนึกขำตาม เขาส่ายหน้าไม่ถือสาในความห่ามของลูกน้องที่กำลังเมาแอ๋

“เออ! แล้วก็ไม่ต้องขับรถกลับบ้านล่ะ นอนมันซะที่นี่เลยก็ได้ พรุ่งนี้วันหยุด ตามสบายสนุกกันให้เต็มที่ นะน้องๆ พี่ขอตัวไปนอนพักก่อนล่ะ” หนุ่มเจ้าของสถานที่ยืนโงนเงนพูดจนจบ แล้วเดินเซๆ ออกนอกประตูขึ้นลิฟต์ตรงไปยังชั้นบนสุดของตึกซึ่งแยกออกจากส่วนที่เป็นสำนักงาน

บนชั้นที่อยู่สูงสุดนี้ภูวิชดำริให้กั้นเป็นห้อง แล้วตกแต่งอย่างง่ายๆ เพื่อใช้เป็นห้องพักชั่วคราว สำหรับพนักงานรวมทั้งตัวเขา ในยามที่ต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่น หรือแม้แต่ทำงานจนเช้าในบางคราว ก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ
แสงไฟสลัวภายในห้อง กับกระแสไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่สัมผัสถูกตัวเขา ภูวิชยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก นึกขอบคุณใครบางคนที่ขึ้นมาเปิดแอร์รอไว้ให้ก่อนหน้าที่เขาจะขึ้นมา ด้วยสภาพของตัวตึกที่เป็นคอนกรีตจึงมักจะกักเก็บความร้อน กอปรกับชั้นนี้เป็นชั้นบนสุดของตัวตึก ย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกแดดเผาอย่างเต็มที่ นับเป็นเรื่องดีที่มีคนหวังดีขึ้นมาเตรียมห้องไว้ให้เขาล่วงหน้าเช่นนี้ หาไม่แล้วคงต้องใช้เวลาเป็นครู่เลยทีเดียวกว่าเครื่องทำความเย็นจะทำให้บรรยากาศภายในห้องคลายความร้อนอบอ้าวลงไปได้

ภูวิชทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง ทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ หรือแม้แต่ล้างหน้าล้างตา ขจัดความมึนเมาออกจากหัว ดังที่ตั้งใจเอาไว้แต่เมื่อแรก นึกแปลกใจอยู่บ้างที่ห้องซึ่งปกติทุกครั้งหลังการใช้งานจะมีแม่บ้านคอยทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู รวมทั้งเก็บที่หลับปัดที่นอน เตรียมพร้อมไว้เพื่อรอการใช้งานในครั้งต่อไป ทว่าคืนนี้กลับมีกองผ้าห่มนวมสุมอยู่กลางเตียงสภาพเหมือนเพิ่งถูกใช้งานเสียมากกว่า ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีใครขึ้นมาใช้ เพราะห้องนี้ถูกแยกไว้ต่างหากเพื่อเป็นห้องพักสำหรับเขาคนเดียวเท่านั้น

อุณหภูมิที่ลดต่ำลงกว่าปกติอันเนื่องมาจากการเร่งเครื่องทำความเย็นเพื่อลดระดับความร้อนภายในห้องทำให้ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังอยู่ในอาการมึนเมารู้สึกหนาว จนต้องดึงผ้าห่มมาโปะไว้กับตัวเอง ในทันทีที่ผ้านวมหนาพ้นจากสภาพที่ดูคล้ายกับกองสุม ร่างอรชรของหญิงสาวคนหนึ่งจึงปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ทำเอาภูวิชเกือบจะหายเมา อึ้งไปชั่วขณะก่อนเอื้อมมือไปเขย่าพร้อมกับปลุกหญิงสาวที่นอนหลับไม่รู้เรื่องด้วยเสียง ที่แหบแห้งด้วยฤทธิ์สุรา

“สาวที่ไหนมานอนรอท่าอยู่ตรงนี้วะนี่? น้องๆ ตื่นได้แล้ว”

“..........”

ไม่มีเสียงตอบจากร่างแบบบางที่ อยู่ในอาการเมาหลับด้วยฤทธิ์ของเครื่องดื่มสีสวยทว่าเจือไว้ด้วยแอลกอฮอล์ที่เธอดื่มเข้าไปพอประมาณ ประมาทว่าตนดื่มเพียงไม่กี่แก้ว คงจะไม่ถึงขนาดที่ว่าเมาจนกลับบ้านไม่ไหว ทว่าผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม หญิงสาวเมาโดยง่าย มิหนำซ้ำยังหลับคาโต๊ะ เล่นเอาพี่ๆ ทั้งหลายพากันงง นึกไม่ถึงว่าณิชญาฎาจะคออ่อนถึงเพียงนี้

สิ่งแรกที่นึกได้คือ ช่วยกันพาเธอขึ้นมานอนพักในห้องชั้นบนก่อน รอไว้ให้สร่างเมา คงจะตื่นขึ้นมากลับบ้านได้เอง หรือถ้าเธอจะนอนต่อจนถึงเช้าก็ย่อมทำได้ เพราะอย่างไรเสียก็คงไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเธออยู่แล้ว ตราบเท่าที่อยู่ในสถานที่ของพวกเขาแห่งนี้ แต่เรื่องก็ยังไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อพบว่าห้องพักในฟากส่วนที่เป็นของพนักงาน กลับติดล็อค แม่บ้านที่ถือกุญแจก็ไม่ได้อยู่ในที่นั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ดึกดื่นขนาดนี้เจ้าตัวย่อมต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้วอย่างแน่นอน

คาดว่าแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาด เมื่อทำเสร็จแล้วคงจะเผลอกดปิดล็อคห้อง เวลานี้จึงเหลืออีกหนึ่งทางเลือกคือห้องที่อยู่อีกฟากซึ่งเป็นของภูวิชเท่านั้น เหล่าพี่ๆ ผู้หวังดีจึงลองเสี่ยงไปเปิดดู และพบว่ามันไม่ได้ล็อค ตามความเห็นและจากประสบการณ์ของพวกเขาแล้วคืนนี้ภูวิชไม่น่าจะอยู่ค้างที่ทำงานเนื่องจากเป็นคืนวันศุกร์ ต่อให้ดึกแค่ไหน เขาก็น่าจะขับรถกลับไปนอนบ้าน เหมือนกับทุกคราวที่ผ่านๆ มา

พวกเขาจึงตกลงใจพาหญิงสาวเข้าไปนอนพักอยู่ในห้องนั้น จัดการเปิดแอร์ และห่มผ้าให้หญิงสาวที่อยู่ในอาการเมาไม่ได้สติ ก่อนจะพากันกลับออกไปร่วมวงเหล้าดังก่อนหน้า แล้วลืมเสียสนิทว่าพวกตนได้นำหญิงสาวขึ้นไปทิ้งไว้บนห้องนั้น แม้กระทั่งเมื่อตอนที่ชายหนุ่มผู้เป็นนายเอ่ยขอตัวขึ้นไปนอน ก็ไม่ได้แม้แต่จะฉุกใจคิด และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงได้มีหญิงสาวหน้าแฉล้มมานอนอยู่บนเตียงของชายหนุ่มในเวลานี้ แต่ตัวเจ้าของห้องนี่สิ หาได้ฉุกใจสงสัยในเรื่องใดแม้แต่น้อย

“วะ! ขี้เซาซะด้วย ใครหว่า ไหนหันมาให้ดูหน้าดูตาหน่อยซิ” มือเรียวทว่ายังคงความหนาแบบชาย เอื้อมรั้งไหล่บอบบางของแม่สาวขี้เซาให้หันกลับมาเพื่อที่เขาจะได้ยลโฉม ทันทีที่เห็นวงหน้าอันคุ้นเคยด้วยเห็นเธออยู่ในที่ทำงานของเขาอยู่เป็นนิจ ในช่วงระยะเกือบสามเดือนที่ผ่านมา ภูวิชถึงกับทำตาโตอย่างคาดไม่ถึงว่าสาวตรงหน้า จะกลายเป็นแม่หนูน้อยที่เขานึกเอ็นดูในความน่ารักเรียบร้อย และขยันขันแข็งเอาการเอางานของเธอ

“น้องแพร?” ภูวิชอุทานเรียกชื่อเล่นของหญิงสาว แทบไม่เชื่อสายตาว่าสิ่งที่เขาเคยได้ยินจากเพื่อนรักจะเป็นจริงขึ้นมาได้

‘ฉันว่ายายหนูแพรนี่จะต้องหลงรักนายชนิดหัวปักหัวปำแหงๆ นายเชื่อฉันไหม’

‘จะบ้าเหรอวะนัท น้องเขายังเด็กอยู่ นายอย่ามาทำให้ไขว้เขวหน่อยเลย ยิ่งสเปกฉันอยู่ด้วย เกิดเผลอไปจีบเขาขึ้นมา มีหวังไม่พ้นเป็นสมภาร'

‘ถ้าไม่เชื่อ แกก็คอยดูไป เผลอๆ ก่อนจะฝึกงานเสร็จ เด็กนั่นอาจจะทำเซอร์ไพรส์จนนายช็อคไปเลยก็ได้’

‘ไม่มีทาง น้องเขาเรียบร้อยจะตาย เพ้อเจ้อจริงๆ นายนี่’

เป็นช่วงหนึ่งของบทสนทนาระหว่างเขากับนัทธีธร ที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารค่ำของวันหนึ่งที่เขาพาลูกน้องทั้งที่ประจำ และฝึกงาน ไปเลี้ยงขอบคุณในความทุ่มเทอยู่ช่วยกันทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำเป็นเวลาแรมเดือน จนกระทั่งโครงการสำเร็จลุล่วงส่งมอบงานได้อย่างเป็นที่พึงพอใจของลูกค้า หญิงสาวหน้าเก๋ แก้มปลั่งสดใสด้วยวัยสาว นั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะเยื้องห่างออกไปพอให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างกำลังยิ้มแย้มเจรจาอะไรบางอย่างกับพี่ๆ และผองเพื่อนอย่างสนุกสนานและเป็นกันเอง โดยที่ไม่รู้เลยว่า ตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาและเป็นหัวข้อสนทนาของชายหนุ่มทั้งสอง

นัทธีธรออกความเห็น ไปตามสิ่งที่เขาตั้งป้อมสังเกตมาระยะหนึ่งแล้ว จากอากัปกิริยาของหญิงสาวที่เขาลงความเห็นว่าสวยเก๋ เหมาะกับอาชีพนางแบบมากกว่าจะมาเป็นสถาปนิกที่ต้องลุยงานอยู่กลางแดดกลางฝนอันเป็นเหตุให้รู้สึกเสียดายความสวยสดที่เจ้าตัวสะสมไว้จนเต็มสารพางค์ ภูวิชค้านความเห็นของเพื่อน ทั้งที่ตนก็อดคิดไม่ได้ ด้วยหลายต่อหลายครั้งที่หันไปสบกับสายตาของหญิงสาวที่กำลังลอบมองเขาอย่างเผลอๆ จนเจ้าตัวตกใจแสร้งมองเมินไปทางอื่นซึ่งก็ไม่ค่อยจะแนบเนียนสักเท่าไร

เอ! หรือว่าเซอร์ไพรส์ที่เจ้านัทพูดถึงคือสิ่งที่เขากำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้า เหตุการณ์ที่เพื่อนรักของเขาสันนิษฐานเอาไว้ มันจะเป็นจริง? แล้วถ้าจริง การที่เธอมานอนอยู่ตรงนี้ ก็ย่อมจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ฤๅว่าหญิงสาวจะแอบขึ้นมานอนรอเขาอยู่บนนี่ แต่ว่าเจ้าตัวดันเผลอหลับไป ภูวิชเผยรอยยิ้มน่าเกลียด เป็นยิ้มหยันปนดูถูกมากกว่าจะชื่นชม ที่แท้ณิชญาฎาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากหญิงสาวคนอื่นๆ เลย มิหนำซ้ำยังหนักไปเสียกว่า ที่อุตส่าห์มานอนรอทอดกายให้เขาเชยชมถึงที่นี่ แล้วเขาจะโง่เป็นคนดีปล่อยเธอไปเพื่ออะไร สู้สนองตอบต่อสิ่งที่เธอเสนอให้กับเขาไปเสียไม่ดีกว่าหรือ

จบสิ้นความคิดคำนึง มือเรียวหนาเริ่มลงมือปฏิบัติการปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างอรชรที่ยังคงนอนหลับไม่รู้สติ กระทำการสารพัดอย่างไปตามใจ ตามอารมณ์แล้วแต่ความกำหนัดที่ก่อเกิดจะนำพา เรือนร่างบอบบางสั่นสะท้านด้วยไอเย็นกระทบผิวผ่องนวลละมุน แสงสีส้มอ่อนส่องสะท้อนโนมเนื้อของเรือนร่างแห่งวัยสาวตระการตาตรึงใจ ภูวิชไม่อาจสกัดกั้นคลื่นแห่งความร้อนที่ดันตัวเองสูงขึ้นมาจนกายหนาของเขาเริ่มสั่น

เรียวปากบางราวสตรีเพศจดลงที่เนินอกนวลเนียนอย่างหลงใหลหลังจากที่เผลอตัวปล่อยใจมองกวาดไปทั่วร่างอย่างเต็มตา ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มไม่รู้สึกรู้สาตามความคิดของเขากำลังมีปฏิกิริยาตอบรับรอยจูบของเขาด้วยอาการสะเทิ้นน้อยๆ ด้วยลมหายใจหอบอ่อนๆ ประสานรับกับสัมผัสอุ่นที่เขามอบให้ นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกของเธอเป็นแน่ เพราะกิริยาตอบสนองที่เขารับรู้ได้ นั้นมันช่างไวเสียเหลือเกินในความคิดของเขา ดูแต่มือบางคู่นั้นสิ เวลานี้มันไม่ได้วางนิ่งราบกับเตียงดังเช่นที่เป็นอยู่เมื่อแรกอีกต่อไปแล้ว ทว่ามันกำลังโอบรัดรอบคอของเขาไว้เสียจนแน่น ราวกับเกรงว่าเขาจะละห่างจากกายเธอก็ไม่ปาน

ณิชญาฎากำลังฝัน ช่างเป็นความฝันอันแสนหวาน อ่อนละมุนเสียเหลือเกิน บุรุษหนุ่มที่เธอแอบพึงใจกำลังนำพาสัมผัสสุดแสนจะลึกล้ำมาแนะนำให้เธอรู้จัก เธอจึงตอบรับมันไว้อย่างเต็มใจ ด้วยเข้าใจว่ามันคือความฝัน ดังนั้นไม่ว่าเธอจะคิดหรือทำสิ่งใดก็ย่อมจะทำได้ทั้งสิ้น เพราะมันไม่อาจส่งผลกระทบมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ตราบเท่าที่มันจะคงอยู่แต่ในความฝัน ยามที่เธอกำลังอยู่ในห้วงแห่งนิทรารมณ์

ภูวิชยิ้มหยันให้กับการตอบสนองของร่างผ่องผิวนวลลออตาอีกครั้ง จากนั้นก็หันมาสนใจกับการหาความสำราญจากเรือนกายหอมกรุ่นจรุงใจของหญิงสาวชนิดที่เดินหน้าแล้วไม่มีวันถอย สัมผัสแรกช่างตรึงใจ เย้ายวนให้ลุ่มหลงอยู่ในวังวนเสน่หามิรู้เลือน เขาย่อมรู้ซึ้งอยู่แก่ใจจากสิ่งที่สัมผัสได้ ‘เขาคือชายคนแรกของเธอ’ ทั้งที่แปลกใจและตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เขาจะหยุดตอนนี้ได้ล่ะหรือ ในเมื่อมันก็ล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ สู้เดินหน้าต่อไปจนจบ เรื่องราวหลังจากนี้เขาจะเก็บมันเอาไว้ซักถามกับเธอในยามที่เธอตื่นคืนสติมาเต็มที่ ว่าเหตุใดจึงยินยอมเอาความสาวอันทรงคุณค่า มาแลกกับความพึงพอใจเพียงชั่วครู่ชั่วยามจากเขาเยี่ยงนี้

กายนุ่มโอนอ่อนไปตามสัมผัสหวามไหว ฉับพลันกลับเป็นดั่งกำลังถูกกระชากให้จมดิ่งลึกลงสู่ห้วงเหวแห่งอนธการ ณิชญาฎาคิดว่าเธอกำลังกรีดร้อง ความรู้สึกเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับโดนมีดคมกรีดลงตรงกลางตัว เจ็บหรือ? ก็ในเมื่อมันเป็นแค่เพียงความฝัน แล้วใยเธอจึงรู้สึกได้ถึงความเจ็บที่ร้าวลึกจนทั่วทุกอณูถึงเพียงนี้ ทว่าไม่ทันที่เธอจะได้นึกตรึกตรองต่อว่านั่นคือความจริงหรือความฝัน ความเจ็บที่ดำรงอยู่เพียงครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นแสนหวาน นุ่มนวลราวกับผีเสื้อปีกบาง โบยบินไปสู่ห้วงแห่งความหฤหรรษ์ ปลอดโปร่งโล่งใจเหลือประมาณ อย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ร่างหนาทิ้งกายลงนอนราบทว่ามือยังคงเกาะกอดเอวบางไว้มั่นอย่างรู้ค่า ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความรู้สึกของการครอบครองเป็นเจ้าของมันจะเอิบอาบซาบซ่านทรวงได้ถึงเพียงนี้ ก็แล้วใครเล่าจะไม่ภาคภูมิใจ เมื่อรู้ว่าตนเป็นคนแรกที่ก้าวล่วงเข้าสู่ดินแดนอันแสนบริสุทธิ์ผุดผ่องของหญิงสาวเจ้าของเรือนร่างงามตระการ ดังเช่นที่ภูวิชกำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ โชคดีเหลือเกินที่ตอนนี้เขาไม่ได้เมามายจนเกินเหตุ จึงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการเป็นบุรุษแรกแห่งเธอ สัมผัสสุดกระด้างจึงแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลทะนุถนอมได้อย่างทันท่วงที

‘พรุ่งนี้เถอะเขาจะต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่อง ว่าเหตุใดจึงนำสิ่งสูงค่าของวัยสาวมาวางไว้แทบเท้าให้เขาทำลายอย่างง่ายดาย เธอหลงรักเขามากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?’

ภูวิชพริ้มหลับตาลงอย่างสุขใจ หมายมั่นว่าจะได้เจรจาความกับหญิงสาวเจ้าของร่างอรชรในอ้อมกอด โดยไม่รู้เลยว่า ร่างงามตระการตาที่เขากำลังก่ายเกยอยู่นี้ จะอันตรธานหายไปเมื่อยามอรุณรุ่ง และไม่ยอมเยี่ยมหน้ากลับมาให้เขาได้ยลอีกเลย ตราบเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี กระทั่งกงล้อแห่งชีวิตได้หมุนวนให้เขาและเธอกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทบทวนเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ ภูวิชได้แต่ถอนใจ หรือว่าเรื่องราวในวันนั้น มันจะย้อนกลับเข้ามาหาตัวเขาให้แล้วในวันนี้

---------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2554, 23:41:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2554, 23:41:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2319





<< ตอนที่ 1 : ประสบเหตุ   ตอนที่ 3 : ห่วงโซ่ในห้วงคำนึง >>
เบญจามินทร์ 26 เม.ย. 2554, 20:00:31 น.
ตามมาเพราะรู้สึกคุ้นๆ ชื่อ มาตามในนี้นะคะ ^^


นิลวนา 26 เม.ย. 2554, 22:30:08 น.
หวัดดีค่ะน้องเดล ขอบคุณที่ตามมาต้อนรับที่นี่นะคะ ^^


ida 28 เม.ย. 2554, 03:47:29 น.
ชอบนะค่ะ ติดตามตอนต่อไปค่ะ


นิลวนา 30 เม.ย. 2554, 10:07:26 น.
ขอบคุณที่ติดตามนะคะคุณ ida ตอนนี้ลงตอนที่ 3 แล้ว ตอนที่ 4 ต้องรอหลังจากกลับมาจากวัดแล้วล่ะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account