ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 3 : ห่วงโซ่ในห้วงคำนึง

ฟ้าโปร่งในคืนเพ็ญ เผยแสงจันทร์นวลงามกระจ่างตาเบียดบังแสงอันน้อยนิดของหมู่ดาวที่เคยพร่างพราว ระยิบระยับในค่ำคืนก่อนๆ เสียสิ้น ใช่ว่าจะมีแต่เพียงภูวิชเท่านั้น ที่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ณิชญาฎาก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังตกอยู่ในอาการเดียวกัน ทั้งที่ปาเข้าไปเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ความเคร่งเครียดจากการทำงาน แล้วยังเรื่องใจหายใจคว่ำที่ลูกชายของเธอถูกรถชนอีกเล่า แม้จะเป็นวันที่แสนหนัก แต่กลับไม่สามารถทำให้หญิงสาวเข้าสู่นิทรารมณ์ได้ดังปกติ เป็นเพราะเหตุที่เธอเพิ่งไปเจอกับบุรุษหนุ่มคนนั้น คนที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องหักเหเปลี่ยนแปลงไป ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

ภาพของคืนวันเกิดเหตุกลับมาฉายเด่นชัดในห้วงคำนึงของหญิงสาวอีกครั้ง ณิชญาฎาจำได้แต่เพียงเลาๆ ว่าเธอถูกแรงคะยั้นคะยอจากบรรดาพี่ๆ ที่ฝึกงานอยู่ด้วยในตอนนั้น น้ำสีสวยในแก้วใบใสถูกส่งมาให้เธออยู่หลายแก้วพอดู เป็นเพราะความชะล่าใจ คิดว่าปริมาณแอลกอฮอล์เพียงน้อยนิดที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มนั้น คงไม่ทำให้เธอถึงขนาดกับครองสติไม่อยู่เป็นแน่ แต่นั่นกลับเป็นแค่เพียงความคิดของเธอเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้น ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเธอไปทั้งชีวิต ชนิดที่เธอไม่สามารถจะเรียกร้องอะไรกลับคืนมาได้เลย

หญิงสาวเฝ้าเพียรทบทวน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้างในคืนที่เธอเมาจนหลับขาดสติไปคืนนั้น ทว่าสิ่งที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวกลับเป็นเพียงภาพฝัน ความฝันที่เธอต้องตื่นขึ้นมารับรู้ในภายหลังว่ามันคือความจริง ซึ่งได้เกิดขึ้นกับตัวเธอแล้วอย่างจริงแท้แน่นอน ภาพแห่งความฝันอันแสนหวาน ความสุขสันต์จากการได้อิงแอบแนบชิดกับชายคนที่เธอมีใจ พลันต้องมาสะดุดกับภาพของความเป็นจริงในช่วงเช้าของวันใหม่นับแต่เมื่อเธอตื่นลืมตาขึ้นมา

‘โอย ปวดจัง ทำไมถึงปวดหัวอย่างนี้’ ร่างแบบบางลืมตาขึ้นพร้อมกับพยายามจะยกศีรษะ แล้วให้ต้องพบกับความหนัก จนต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง ความปวดแผ่ซ่านจนหัวแทบจะระเบิด ทบทวนแล้วจึงเข้าใจได้ในทันทีว่ามันคืออาการที่ตกค้างมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เมื่อคืนวาน

‘เอ๊ะ! แล้วที่นี่... มันที่ไหนกัน...’ ณิชญาฎาพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง อยากเหลียวมองไปรอบห้องให้ชัดๆ

‘โอ๊ย.....’ แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวกับความเจ็บที่เกาะกุมอยู่จนทั่วร่าง โดยเฉพาะอาการเสียดตรงบริเวณท้องน้อย ความตกใจมาพร้อมๆ กับอาการใจหายแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ วิ่งวนจนทั่วไปทั้งอก

ณิชญาฎาสูดลมหายใจลึกบอกตัวเองให้นิ่งไว้ กลอกตามองไปจนทั่วแล้วถึงกับต้องตาค้าง เมื่อสำรวจลงมาถึงข้างตัว ภาพที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้าคือร่างของบุรุษหนุ่มเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน กายสูงนอนเหยียดเกือบจะเต็มความยาวของเตียง เขากำลังหลับสนิทในท่านอนคว่ำหันหน้ามาทางเธอ

หญิงสาวค่อยๆ ก้มลงสำรวจตัวเองอย่างช้าๆ ดวงตากลมโตใสกระจ่างประดุจลูกแก้วพลันเบิกกว้างอย่างคนที่กำลังตกใจสุดขีด วงหน้าขาวกลับยิงซีดเผือดลงไปในวินาทีนั้น ‘ฝัน’ มันคือความฝันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้ ไม่จริงหรอก ไม่จริง เธอพยายามคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา อกใจไหวระรัวเสียสิ้น จากนั้นอาการสั่นสะท้านจึงเริ่มขึ้น ณิชญาฎายกมือขึ้นอุดปากตัวเองไว้แน่น เกรงว่าเสียงสะอื้นจะลอดดังออกมาปลุกนิทราของคนตรงหน้า ให้เธอได้อับอายซ้ำหนักยิ่งขึ้นไปอีก

‘นี่มันอะไรกัน ใครก็ได้ช่วยตอบที มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’

เสียงร้องถามดังก้องขึ้นในใจของหญิงสาว อย่างไม่รอช้า เธอกลั้นใจเลื่อนกายลงจากเตียงกว้าง พยายามให้เบาและรวดเร็วที่สุด ตรงไปก้มเก็บชุดนักศึกษาที่วางเกลื่อนอยู่เต็มพื้นด้วยมืออันสั่นเทา สะอื้นไห้น้ำตาตกแทบเป็นสายเลือด

‘ไม่มีเวลามาพิรี้พิไรอีกแล้ว เธอต้องรีบแต่งตัว แล้วออกไปให้พ้นเสียจากที่นี่’ ณิชญาฎาร้องสั่งตัวเองลั่น เป็นเสียงที่ดังอยู่เพียงในใจดังเคย และไม่กี่นาทีหลังจากนั้น หญิงสาวก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะก้าวเดินออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่เท้าจะขยับ เธอเหลียวไปมองหน้าคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอีกครั้ง อย่างต้องการเก็บทุกรายละเอียดบนดวงหน้าหล่อเหลานั้นไว้ จดจำมั่น ให้มันติดตาจารใจ ชาตินี้ไม่ขอลืมว่าคนหน้าตาท่าทางดีอย่างเขา แท้จริงคือสุนัขจิ้งจอก ที่คอยแต่จะขย้ำทำลายลูกแกะพลัดหลงฝูงอย่างเธอให้ต้องแตกดับย่อยยับลงไปกับมือ

หลังจากนั้นเธอก็หนีหายไปจากทุกๆ คน ไม้เว้นแม้แต่พฤทธิ์ ชายคนที่ติดตามเฝ้ารักเธอมาตั้งแต่ครั้งเข้าเรียนชั้นปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน หญิงสาวเฝ้าเก็บงำความทุกข์ระทมอันใหญ่หลวงนี้ไว้กับอก ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะหันหน้าไปปรึกษาใคร ณิชญาฎาเป็นลูกกำพร้า บิดามารดาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งทรัพย์สินและบ้านหลังนี้ไว้ให้เธอ พออยู่พอกินได้ไม่ลำบาก โดยมี ‘คุณป้าเพทาย’ ผู้ซึ่งเป็นแฝดผู้พี่ของมารดามาคอยช่วยดูแลเป็นครั้งคราว

จะมีก็แต่เพียง ‘ป้าบัว’ เท่านั้น ที่คอยห่วงใยดูแล อยู่เป็นเพื่อน ไม่เคยทิ้งกัน แม้ว่าจะเนิ่นนานหลายปี แต่ความสัมพันธ์ ของสองนายบ่าวกลับมั่นคงขึ้นตามวันเวลาที่ผันผ่าน ณิชญาฎาบอกกับป้าบัวเสมอว่า สำหรับเธอแล้ว ป้าบัวคือญาติสนิทอีกคนหนึ่งของเธอรองลงมาจากคุณป้าเพทาย ทุกข์สุขใดๆ หญิงสาวจึงมักจะถ่ายทอดให้กับป้าบัวได้รับรู้เสมอ รวมทั้งในครั้งนี้

“คุณหนู! ไปไหนมาคะนี่ หายไปทั้งคืน ป้าบัวเป็นห่วงรู้บ้างไหมคะ”

“ป้าบัวขา! ช่วยแพรด้วย.....” น้ำตาที่เจ้าตัวพยายามสกัดกั้นไว้ตลอดทางที่กลับบ้าน พลันทะลักลงมาราวกับทำนบกั้นน้ำแตก สร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสูงวัยผู้เป็นบ่าวจนต้องโผออกไปรับ ร้องถามเสียงตกใจไม่แพ้กัน

“ตายแล้ว คุณหนูของบัว ไปทำอะไรมาคะนี่ ทำถึงร้องไห้ เสียขวัญขนาดนี้”

“แพร.......” ณิชญาฎาพูดไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เอาแต่ร้องไห้ หอบสั่นจนตัวโยน

“มาค่ะ...เข้าบ้านกันก่อน โธ่! นี่มันอะไรกัน ไปค่ะไป ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะนะคะ บัวจะไปเตรียมข้าวต้มร้อนๆ ให้ สบายตัวแล้วเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกัน”

สภาพของณิชญาฎาในเช้าที่กลับมาถึงบ้านวันนั้น แม้เจ้าตัวจะยังไม่ได้บอก แต่ผู้มากประสบการณ์ผ่านโลกมานานอย่างป้าบัว ก็คงจะเดารู้ได้ไม่ยาก ว่าหญิงสาวเพิ่งจะพานพบกับสิ่งใดมา ครั้นเมื่อเธอถ่ายทอดเรื่องราวตามที่ประสบและรับรู้ นางจึงนั่งนิ่งรับฟังแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ปริปากถามซอกแซก ให้ต้องแสลงใจคนเล่า มีแค่เพียงเสียงปลอบโยน กับคำถามเพียงเล็กน้อยที่ถูกถามขึ้นเพราะความเป็นห่วง

“โธ่! คุณหนู เคราะห์กรรมอะไรกันขนาดนี้ ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนูแพรของบัวต้องเข้มแข็ง แล้วนี่คุณหนูคิดจะทำอย่างไรต่อไปคะ”

“แพรยังไม่รู้เลยค่ะป้า แพรไม่อยากเจอใคร แพรกลัว แพรอายนะคะป้า ถ้าเกิดมีใครรู้เรื่องนี้ แพรจะอยู่ได้อย่างไร แพรต้องตายแน่ๆ เลยค่ะป้าบัว”

“ไม่เอาค่ะ ไม่พูดถึงเรื่องตาย คุณหนูของป้าต้องเข้มแข็ง ต้องไม่เป็นอะไร เอาเถอะค่ะ ช่วงนี้คุณหนูอยู่นิ่งๆ ในบ้านไปก่อน ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น อยากได้อะไร บอกป้า เดี๋ยวป้าจะไปซื้อหามาให้เอง โถ! แม่คุณของป้าบัว ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไร” จบคำของนางบัว สองหญิงต่างวัยต่างก็โผเข้าหากอดกันร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ จนไม่อาจแยกออกได้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร

นับจากวันนั้น เวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นมันในความรู้สึกของคนอื่นๆ หาใช่สำหรับณิชญาฎา เพราะมันมันช่างเนิ่นนานราวกับนับเป็นแรมปี หญิงสาวตัดใจยอมไปมหาวิทยาลัยเป็นครั้งคราว และทุกครั้งเธอก็จะเลือกไปในเวลาที่คิดว่าไม่ต้องเจอใคร จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเธอต้องไปติดต่อทำเรื่องขอจบ รวมทั้งยื่นเอกสารเตรียมทำวีซ่าตามคำบอกกล่าวของเจ้าหน้าที่ทางคณะที่ติดต่อให้เธอมาทำเรื่องเตรียมตัวไปเรียนต่อ ตามที่ได้ยืนเรื่องขอทุนเอาไว้

พฤทธิ์มาดักรอพบณิชญาฎาอยู่ที่หน้าคณะเกือบจะทุกวัน แต่กลับไม่เคยพบหญิงสาวเลยเป็นเวลากว่าสองเดือนมาแล้ว การที่เขายอมเสียเวลางานมายืนแกร่วอยู่ที่นี่จนถึงวันนี้ เป็นเพราะเขาเชื่อว่า ตราบเท่าที่หญิงสาวยังคงสภาพของความเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนี้อยู่ เขาต้องมีโอกาสพบได้พบเธอที่นี่อีกสักครั้งเป็นแน่ จะเป็นเพราะความตั้งใจ หรือแรงดลใจอะไรก็แล้วแต่ วันนี้พฤทธิ์เปลี่ยนใจมานั่งรออยู่ตรงบริเวณด้านหลังคณะของเธอแทน และในที่สุดสิ่งที่หวังก็เป็นจริง เมื่อร่างแบบบางคุ้นตาของณิชญาฎาก้าวออกมาจากลิฟต์

“แพรครับ” เสียงทุ้มกังวาน เอ่ยเรียกจากทางด้านข้างตรงมุมบันได ทำเอาณิชญาฎาถึงกับหน้าเสีย ด้วยคิดว่าไม่น่าจะพบใครได้ในเวลาเช่นนี้

“พีท!... มาได้อย่างไรกันนี่ วันนี้ไม่ไปทำงานหรือ” หญิงสาวเรียกชื่อเล่นของพฤทธิ์ โดยไม่มีคำว่า ‘พี่’ นำหน้า ทั้งที่เธออ่อนกว่าเขาถึงสองปี นั่นเป็นเพราะความเข้าใจผิดเมื่อแรก ว่าเขาเป็นนักศึกษารุ่นเดียวกันกับเธอ

“พีทมาดักรอแพร”

พฤทธิ์ไม่ยอมตอบ กลับบอกเธอไปอีกทางถึงความตั้งใจในการมาของเขา ความน้อยใจถูกส่งผ่านออกมาทางน้ำเสียง และสีหน้า จนหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเสหลบตา ส่งเสียงหวานกลบเกลื่อน ในทีว่าอยากรู้

“ดักรอแพร รอทำไม มีเรื่องอะไรกับแพรหรือจ๊ะพีท”

“แพรหายไปไหนมา พีทโทรหาแพรก็ไม่รับ” พฤทธิ์เอ่ยถามตามประเด็นที่อยู่ในใจ ไม่รั้งรอ

“เอ่อ... คือ..... ไม่มีอะไร แพรก็แค่ยุ่งๆ”

“ยุ่งเรื่องที่จะไปเรียนต่อไกลหูไกลคนอย่างนั้นน่ะหรือแพร” เสียงทุ้มสะบัดถาม บ่งชัดถึงความไม่พอใจเต็มเปี่ยม

“พีทรู้” ณิชญาฎาหน้าเจื่อน ยกเอกสารในมือขึ้นมากอดไว้แนบอก อย่างหาที่พึ่ง ใจหายอย่างบอกไม่ถูก

“พีทไม่รู้ จนกระทั่งมาถามหาแพรที่คณะ เขาถึงได้บอกว่า แพรกำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก” พฤทธิ์พูดบอกกับหญิงสาว ที่กำลังรับฟังอย่างอึ้งๆ นึกไปว่าเธอพลาดไม่ได้ขอให้ทางคณะเก็บเรื่องการไปเรียนต่อของเธอไว้เป็นความลับ ซึ่งก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจะทำได้

“ทำไมล่ะแพร ทำไมถึงต้องปิดไว้เป็นความลับ แพรทำอย่างกับว่าแพรกำลังจะหนีใครอย่างไรอย่างนั้น” พฤทธิ์ยังคงรุกเร้าคาดคั้น

“พีท.....” ณิชญาฎาใจเสีย น้ำตาเริ่มคลอหน่วย แต่เจ้าตัวพยายามก้มหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างตัดพ้อ

“บอกพีทได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมแพรถึงต้องหนีหน้าพีท หนีหน้าไปจากทุกคนแบบนี้”

“แพร......” ความที่ถูกซักราวกับจำเลย ณิชญาฎากลับไม่มีคำตอบให้กับเขา เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ครางออกมาเป็นชื่อตัวเองเสียงเครือ

“พูดสิแพร พูด.. นิ่งอึ้งอยู่อย่างนี้ จะให้พีทคิดอย่างไร แพรเกลียดหน้าพีทจนไม่อยากพูด ไม่อยากเจอเลยใช่ไหม” ชายหนุ่มที่ตกอยู่ในอารมณ์น้อยใจ เอ่ยถามออกไปทั้งที่ใจของเขาก็ต้องเจ็บไปกับคำถามนั้นมิใช่น้อย

“ไม่ใช่นะ แพรไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะพีท” ณิชญาฎาส่ายหน้าปฏิเสธเสียงรัว กลัวจริงๆ ว่าเขาจะเข้าใจเธอผิด เพราะอย่างไร พฤทธิ์ก็เป็นคนดี เขาทั้งรักและห่วงใยเธอเสมอมา

“แต่สิ่งที่แพรทำ มันทำให้พีทต้องคิด”

“พีท.....” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแล้วสบตากับเขา พลันสายตากลับพร่ามัว สรรพสิ่งรอบกายมองเห็นเป็นภาพซ้อน ช่วงหนึ่งของสติสัมปชัญญะสุดท้ายซึ่งกำลังจะดับวูบ ณิชญาฎาได้ยินเสียงของพฤทธิ์ที่เฝ้าแต่พร่ำร้อง เรียกชื่อเธออย่างร้อนรน

“แพร...แพรเป็นอะไรน่ะแพร... อย่าล้อเล่นอย่างนี้นะ แพรตื่นสิ... แพร.....”
ร่างแบบบางทรุดลงในอ้อมอกกว้างของหนุ่มร่างสูงเจ้าของรูปลักษณ์อันแสนจะสะดุดตา ที่ถลาเข้าไปรับเธอเอาไว้ในทันที แม้ว่าตัวเขาเองจะกำลังตกอยู่ในอาการตระหนกสุดขีด แต่กลับสามารถครองสติเอาไว้ได้เป็นอย่างดี พฤทธิ์เหลียวมองไปรอบกายอย่างต้องการความช่วยเหลือ ทว่าบริเวณหลังตึกในเวลาบ่ายต้นๆ ของช่วงปิดเทอมเช่นนี้ คงยากที่จะมีใครเดินผ่านไปมาดังเช่นในยามปกติ

เขาตัดสินใจหอบอุ้มร่างอันไร้สติของณิชญาฎากลับไปยังรถซึ่งเขาจอดไว้ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก สถานที่แห่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดก็คือโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งบิดาของเขามีหุ้นอยู่ในนั้น รวมทั้งอาแท้ๆ ของเขาเองก็อยู่ทำหน้าที่เป็นทั้งแพทย์และหนึ่งในผู้บริหารในโรงพยาบาลแห่งนั้นด้วย พฤทธิ์รีบออกรถในทันที จุดหมายคือโรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างค่อนไปทางชานเมือง

อกเขากำลังร้อนรุ่มราวกับมีไฟสุม ด้วยแรงห่วงผสานกับแรงสงสัย สาเหตุที่ทำให้หญิงสาวเป็นลมล้มพับลงไปนั่น มันจะเกี่ยวข้องกับการจงใจหายหน้าหายตาไปของเธอหรือไม่ พฤทธิ์ได้แต่คิดด้วยจิตใจอันสับสนวุ่นวาย
‘หรือว่าแพรกำลังมีเรื่องอะไรที่ไม่อยากบอกให้ ‘คนอื่น’ รู้ โธ่! ไอ้พีทเอ๊ย ป่านนี้แพรยังคิดว่าแกเป็นคนอื่นอยู่อีก แบบนี้มันน่าน้อยใจนัก’

คำถามที่ไม่มีคำตอบยังคนวนเวียนอยู่เต็มหัว พร้อมกับก่นบ่นว่าไปตามเรื่องอย่างคนที่นึกสมเพชในตนเองเหลือที่
----------------------------------------------------
“แฟนแกเขากำลังตั้งท้อง” แพทย์ใหญ่ ผู้มีศักดิ์เป็นอาของพฤทธิ์เอ่ยขึ้น มองสำรวจปฏิกิริยาของหลานชาย หลังเดินออกมาจากห้องตรวจ อันเป็นพื้นที่สงวนไว้ ไม่ให้ใครเข้าจนกว่าจะได้รับคำอนุญาตจากแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ห้องตรวจ ว่าให้เข้าไปได้

“อะไรนะครับ! ไหนอาลองพูดใหม่อีกทีสิครับ แพรเป็นอะไร” คนหนุ่มมีสีหน้าตื่นตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย

“อาบอกว่า แฟนแกกำลังท้อง อายุครรภ์มากกว่าสองเดือนแล้วด้วย อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้เรื่อง” นายแพทย์ผู้สูงวัยกลับเข้านั่งประจำที่ของตนเอง ย้ำทวนสิ่งที่เขารู้มาจากแพทย์เวรให้กับหลานชาย ผู้ซึ่งตกอยู่ในอาการช็อกค้าง พร่ำบ่นอะไรอย่างที่เขาฟังแล้วไม่ได้ศัพท์

“แพรท้อง!... เป็นไปได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น”

“นั่นสิ! เกิดอะไรขึ้น อาคิดไม่ถึงเลยนะ ว่าแกจะเป็นประเภทเสือปืนไว แถมยังไม่รู้จักป้องกันตัวเองแบบนี้ เด็กนั่นยังเป็นนึกศึกษาอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมไม่รอให้เรียนจบ แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน ถึงเวลานั้นจะปล่อยให้ท้อง อาว่าเรื่องมันคงจะง่าย แล้วก็น่ายินดีกว่านี้”

ผู้เป็นอาถอดหัวโขนของความเป็นแพทย์ออก กล่าวตำหนิหลานชาย ด้วยความรู้สึกทั้งสงสาร ทั้งสมน้ำหน้าในความมักง่ายจนเกิดเรื่องงามหน้าขึ้นมาแบบนี้

“แล้วนี่ถ้าพ่อแกรู้เรื่องเข้า จะว่าอย่างไร อาว่าเขาคงยอมรับได้ไม่ง่ายนักหรอก กับการที่จะต้องมีลูกสะใภ้เป็นเด็กใจแตก ท้องก่อนแต่ง แถมยังไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเด็กคนนี้” นายแพทย์ใหญ่วิจารณ์ต่ออย่างรู้ถึงนิสัยของพี่ชายดี ว่าเป็นคนช่างเลือกขนาดไหน ยิ่งเป็นเรื่องลูกสะใภ้ด้วยแล้ว พาให้ยิ่งน่าหนักใจขึ้นเป็นทวีคูณ “เฮ้อ! แล้วนี่อาควรจะทำอย่างไรกับแกดี หือ! เจ้าพีท...”

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณอาคิดนะครับ คุณอายังไม่ต้องบอกอะไรกับคุณพ่อทั้งนั้น พีทขอคุยกับแพรให้รู้เรื่องก่อน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” พฤทธิ์พูดออกไปทั้งที่ในใจกำลังสับสนวุ่นวาย จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ไม่คิดจะปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับณิชญาฎา ทั้งที่ผู้เป็นอากำลังเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นผิดๆ

“เออ... ตัดสินใจอย่างไรก็บอกมาแล้วกัน จะเก็บไว้หรือจะเอาออกก็ตามที แกควรจะจัดการกับเรื่องนี้ให้มันถูกต้อง อย่าหาว่าใจร้ายเลยนะ แต่อามองไม่เห็นทางออกเลยจริงๆ ว่าพ่อแกจะใจอ่อนยอมให้แกแต่งงานกับเด็กนั่นได้อย่างไร ถ้าหากว่าแกสองคนคิดจะเก็บเด็กเอาไว้ ก็ต้องใคร่ครวญทางหนีทีไล่เอาไว้ให้ดีๆ”

แพทย์ใหญ่มีสีหน้าหนักใจ แนะนำออกไปแล้วเขาเองก็ให้เสียใจนัก ด้วยจรรยาบรรณแห่งแพทย์ ควรหรือที่เขาจะออกปากแนะนำให้ชีวิตน้อยๆ ที่มิใช่มีเพียงหนึ่ง แต่เป็นถึงสอง ให้ต้องถูกทำลายลง เขาควรจะต้องรักษาทุกชีวิตอันมีค่าเอาไว้มิใช่หรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองชีวิตที่กำลังก่อเกิดขึ้นมานั้นเป็นทายาทอันเกิดจากหลายชายแท้ๆ ของเขา คิดแล้วก็ให้ละอายใจตัวเอง และอดหนักใจแทนบุรุษหนุ่มผู้เป็นหลานชายไม่ได้เลยจริงๆ

พฤทธิ์เดินเหม่อออกมาจากห้องทำงานของผู้เป็นอาหลังจากที่กล่าวคำขอบคุณ และได้รับการอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมหญิงสาวที่กำลังนอนพักฟื้นรอคืนเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงพักชั่วคราวของผู้ป่วยภายในห้องฉุกเฉินในใจเขาคิดอะไรอยู่น่ะหรือ พฤทธิ์กำลังงง งงกับเหตุการณ์ งงกับความจริงที่เขาเพิ่งจะได้รู้ ความจริงอันแสนเจ็บปวดรวดร้าว ถาโถมเข้ามาสู่ใจเขาในเวลาอันรวดเร็ว

‘ณิชญาฎากำลังท้อง ท้องกับใคร ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมเขาไม่เคยรู้มาก่อน’ ความหวังอันเป็นหนึ่งเดียวที่เขายึดครองไว้เป็นกำลังใจให้สำหรับตนเสมอมาก็คือ ‘หญิงสาวไม่เคยมีใคร’ เธอดำรงตนอยู่ในความดีงามตลอดระยะเวลาสี่ปี ที่เขาได้รู้จักกับเธอมา ส่วนตัวเขาน่ะหรือ! แม้แต่ปลายเล็บของณิชญาฎา เขาเองก็ยังไม่เคยแตะ

แล้วนี่! มันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ เขากลับต้องมารับรู้ว่าเธอตั้งท้อง พฤทธิ์ครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย จนไม่ทันสังเกตว่าสองเท้าได้พาเขาก้าวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องฉุกเฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายตาคมกล้าจากดวงตาเรียวคล้ายเหยี่ยว เพ่งกระแสไปยังประตูใหญ่บานคู่ เขากำลัง รวบรวมความกล้าอย่างที่สุดเพื่อจะเปิดมันออก เขาอยากเข้าไปคุย ถามเธอให้รู้เรื่อง ว่ามันเกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไรพฤทธิ์พยายามชั่งใจ ‘นี่เขาควรจะเริ่มต้นพูดจากับณิชญาฎาอย่างไรดี’

ชายหนุ่มเดินเรื่อยไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำจากพยาบาลประจำห้องฉุกเฉิน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงเตียงซึ่งมีม่านหนาหนักล้อมปิดไว้หมดทุกด้าน เขาแทรกกายผ่านเข้าไปยืนอยู่บริเวณข้างเตียง มองสำรวจร่างที่ปกติบางมากอยู่แล้วในความคิดของเขา ทว่าในเวลานี้กลับยิ่งดูเล็กบางลงไปกว่าเดิมมากมายอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่พบเธอเมื่อช่วงบ่ายของวัน เขามัวแต่จ้องมองหน้าสวย และต่อว่าเธอเสียหนักหนา เพราะความน้อยใจ จนไม่ทันได้สำรวจดูว่า ณิชญาฎาผ่ายผอมลงไปกว่าเดิมจนน่าตกใจเพียงไหน ‘เกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวที่เขาลุ่มรักเป็นหนักหนาคนนี้กันแน่’

“แพร....” เสียงเรียกชื่อคนป่วยแหบเครือลงไปถนัดใจ ด้วยแรงเสียดรานร้าวในอกของคนพูด

“พีทอย่าพูด! อย่าถาม แพรยังไม่พร้อมจะบอกอะไรทั้งนั้น” ณิชญาฎารับรู้ถึงการมาของเพื่อนชายคนสนิท ทั้งที่นอนหันหน้าไปยังอีกฟากหนึ่ง เอ่ยบอกเสียงเบา หางตาเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาหยดรินลงเปื้อนหมอนเป็นดวงกว้าง โดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะปาดจะเช็ดแต่อย่างใด

“ก็ได้ พีทจะไม่ถามอะไรอีก จะรอจนกว่าแพรพร้อม แล้วค่อยมาบอกกับพีทเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ ช่วยตอบหน่อยเถอะ ว่าแพรคิดจะทำอย่างไรต่อไป”

“แพรจะไปเรียนต่อ” ณิชญาฎาเอ่ยพร้อมยันกายลุกขึ้นนั่ง อาการหน้ามืดวิงเวียน ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จางหายไปจนเกือบจะหมดแล้ว

“ทั้งๆ ที่แพรเป็นอย่างนี้น่ะหรือ” พฤทธิ์ย้อนถาม ทั้งหนักใจและไม่เข้าใจไปพร้อมๆ กัน

“ก็แล้วพีทจะให้แพรทำอย่างไร สละทุนนั่น ไม่ไปเรียนต่อ หรือคิดว่าแพรควรจะไปทำแท้ง” หญิงสาวหันกลับมามองหน้า วาจาที่เปล่งออกมาบ่งบอกถึงความไม่พอใจเด่นชัด เป็นเพราะเธอเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“แพร พีทไม่.....” พฤทธิ์รีบออกตัวปฏิเสธ แต่ก็ไม่ทันกับความคิดของหญิงสาว ที่เริ่มจะเผยถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดออกมาจนหมด

“แพรไม่ทำหรอก แพรจะเก็บเขาเอาไว้ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรของผู้ใหญ่เลยนะพีท”

“แต่แพรจะลำบากนะ” ท่าทีของพฤทธิ์อ่อนลงในทันทีที่เห็นท่าทางในการตอบของณิชญาฎา เธอกำลังตกอยู่ในอาการเสียขวัญ

“แพรรู้ แต่แพรยอม พีทได้ยินไหมว่าแพรยอม” ณิชญาฎาร่ำไห้ ยอมรับในชะตากรรมและทางที่ตนเลือก พฤทธิ์ถึงกับอึ้งไปชั่วอึดใจ เธอคงไม่เคยรู้เลยกระมัง ว่าสิ่งที่เขาทนไม่ได้ก็คือการเห็นเธอคนที่เขารักต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ใจแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจพูดมันออกมา

“เราแต่งงานกันเถอะนะแพร”

พูดไปแล้วเขาเองก็ต้องกลั้นใจรอฟังคำตอบ ทั้งที่เขาเองตั้งความหวังเอาไว้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าความรู้สึกรักที่เขามีให้กับณิชญาฎานั้น มันมากเพียงพอที่เขาจะหักกลบเรื่องด่างพร้อยของเธอในครั้งนี้ลงได้อย่างหมดใจหรือไม่

“พีท! พูดอะไรออกมาน่ะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”

ณิชญาฎาให้สติเขา ทั้งที่ตนกำลังตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดเลยว่าพฤทธิ์จะกล้าออกหน้าแบกรับในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อเพื่อเธอถึงเพียงนี้

“รู้สิแพร พีทรู้ตัวดีทุกอย่าง และรับปากด้วยศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มี ว่าจะดูแลแพรกับลูกตลอดไป
พฤทธิ์ยืนยันหนักแน่น ในขณะที่ณิชญาฎากลับถอนหายใจแผ่ว ตัดสินใจพูดตอบปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนหนุ่ม

“อย่าเลยพีท เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับพีทเลย อย่าหาเหาใส่หัวตัวเองจะดีกว่า ขอบคุณมากที่เป็นห่วง แต่แพรตั้งใจ และก็ยินดีที่จะรับผลทุกอย่างด้วยตัวของแพรเอง พีทเข้าใจแพรเถอะนะ อย่าสนใจเรื่องของแพรอีกเลย”

“แพรก็รู้ว่าพีทไม่มีวันทำได้ ในเมื่อพีทรั....” สิ่งที่เขารู้สึกกับเธอมาโดยตลอด กำลังจะถูกบอกออกไป แต่ดูเหมือนว่าณิชญาฎาจะรับรู้อยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวจึงพยายามหลีกเลี่ยงโดยการพูดแทรกขึ้นมาว่า

“เราเป็นเพื่อนกันนะพีท แพรไม่อยากทำให้เพื่อนต้องพลอยลำบากทุกข์ใจไปด้วย แพรเกรงใจ อย่าทำให้แพรต้องลำบากใจไปมากกว่านี้เลยนะพีท แพรขอร้อง”

ปฏิกิริยาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มได้รับอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่เขาพยายามจะบอกรักกับณิชญาฎา หญิงสาวมักจะตัดบททุกอย่างลงโดยการอ้างเรื่องความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างเธอและเขาขึ้นมาดังนี้ พฤทธิ์เองก็ได้แต่อ่อนใจ

“แล้วแพรวางแผนจะทำอะไรต่อไป”

“ก็... อย่างที่บอก แพรจะไปเรียนต่อ แล้วก็คลอดลูกที่โน่น” เธอบอกถึงแผนการในอนาคตที่ตนเฝ้าครุ่นคิดอยู่เป็นนาน นับแต่วินาทีที่ได้รู้ถึงชีวิตน้อยๆ ซึ่งกำลังก่อเกิดขึ้นในกายเธอ

“คิดดีแน่แล้วหรือแพร การแบกรับภาระดูแลลูกอยู่คนเดียวมันไม่สนุกอย่างที่แพรคิดหรอกนะ”

“แพรรู้ แต่ว่าเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก แพรอยากกลับบ้านแล้วล่ะพีท” ณิชญาฎาเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียดื้อๆ จนพฤทธิ์กลับลำตามแทบไม่ทัน

“อ๊ะ... เฮ้อ! ก็ได้ งั้นเดี๋ยวพีทไปส่งแพรที่บ้าน”

“อย่าลำบากเลยพีท แพรกลับเองได้” หญิงสาวออกตัวปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด เป็นความชินที่เธอปฏิบัติมาเนิ่นนาน

นานเท่าไหร่แล้วเธอเองก็จำไม่ได้ คงจะพอกับระยะเวลาที่ต้องสูญเสียครอบครัวแสนรัก แสนอบอุ่นของเธอไปนั่นเลยกระมัง หญิงสาวไม่เคยพาหรืออนุญาตให้ใครหน้าไหนแวะเวียนมาเยี่ยมมาหา จนถึงบ้านของเธอเลยสักครั้ง ไม่ใช่เพราะอาย หรือมีสิ่งใดแอบแฝง แต่เหตุผลคือ เธอไม่อยากให้ใครเข้ามารบกวนสถานที่แห่งความทรงจำของครอบครัว ซึ่งหญิงสาวอยากจะเก็บมันไว้ เพื่อรำลึกถึงคืนวันครั้งที่ครอบครัวของเธอยังอยู่กันพร้อมหน้า ก่อนจะหลุดลอยหายลับไปในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน จากอุบัติเหตุอันเศร้าหมอง ที่เข้ามาพรากความงดงาม สดใส และแสนสุขในอดีต ไปจากณิชญาฎาตลอดกาล

“อย่าดื้อได้ไหมแพร ถ้าแพรไม่เห็นแก่พีท ก็ขอให้เห็นแก่ตัวเองและลูกบ้างเถอะ รอยู่ที่นี่ แป๊บเดียว เดี๋ยวพีทมา” พฤทธิ์เอ่ยตัดบทแล้วรีบเดินออกจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายยังแผนกการเงิน

ณิชญาฎานิ่งคิดถึงอะไรต่อมิอะไรต่อไปตามลำพังบนเตียงพยาบาล มือบางยกขึ้นลูบไล้บริเวณท้องน้อยของตนอย่างเผลอไผล กระแสแห่งความห่วงใยถูกส่งจากประสาทสัมผัสที่ปลายนิ้ว ส่งผ่านไปยังชีวิตน้อยๆ ในอุทร ระลึกถึงคำที่นายแพทย์เวรได้บอกกับเธอหลังจากเสร็จสิ้นการตรวจร่างกาย

‘ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ คุณกำลังตั้งครรภ์”

“อะไรนะคะ”

“คุณกำลังตั้งครรภ์ครับ ที่สำคัญ หมอเข้าใจว่า คุณน่าจะได้ลูกแฝด เพราะระหว่างที่ตรวจ หมอได้ยินเสียงหัวใจมากกว่าหนึ่งดวงพร้อมๆ กัน แต่เพื่อความแน่ใจ หมอแนะนำว่ารอให้อายุครรภ์ของคุณมากกว่านี้แล้วค่อยมาอัลตราซาวด์ดูอีกครั้งน่าจะดีกว่า”

คำตอบของแพทย์ทำเอาณิชญาฎาถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่ได้ฟังคำอธิบายต่อมาเสียด้วยซ้ำ

“ระหว่างนี้คุณต้องรักษาสุขภาพ อย่าคิดมาก อย่านอนดึก แล้วก็หมั่นทานอาหารที่มีประโยชน์ ถ้าเกิดอาการแพ้มากๆ ก็ให้ทานยาที่หมอสั่งจ่ายไว้ให้ หรือจะกลับมาหาหมออีกทีก็ได้ ขอตัวก่อนนะครับ ขอแสดงความยินดีอีกครั้งกับว่าที่คุณแม่คนใหม่’

มาจนถึงตอนนี้ ณิชญาฎาไม่รู้ว่าควรจะยินดี หรือเสียใจกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินกันแน่ กระแสร้อนแผ่ซ่านไปทั่วกาย สมองน้อยๆ ได้แต่ขบคิดวกไปวนมา ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าความผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียว กลับส่งผลให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ถึงเพียงนี้

เมื่อพลาดไปแล้วหนหนึ่ง กลับยังต้องมาพลาดซ้ำ เป็นเพราะว่าเธอมัวแต่เสียใจทุกข์ใยในสิ่งที่ไม่อาจเรียกร้องคืนกลับมา จนละเลยไปว่า เธอควรคิดหาทางป้องกันเรื่องแบบนี้เอาไว้ก่อน แต่กลับลืมมันไปเสียสนิท และนี่ก็คือผลลัพธ์ของความสับเพร่า มัวแต่คร่ำครวญถึงสิ่งที่สูญเสียไปอย่างไร้สติ สุดท้ายจึงต้องมานั่งคิดหาหนทางแก้ไขกันภายหลังแบบนี้ ณิชญาฎาพยายามตั้งคำถามกับตัวเอง เธอควรเก็บเด็กเอาไว้หรือไม่ ใจหนึ่งบอกว่าควร ในขณะที่อีกใจหนึ่งกลับค้าน

ไม่ว่าใครก็ตาม ยามที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะคิดหาทางหนีทีไล่ออกมาได้อย่างถี่ถ้วน ณิชญาฎาเข้าใจดี และพยายามที่จะยอมรับในสถานการณ์ที่ตนกำลังเผชิญเหล่านี้ให้ได้ ส่วนเรื่องที่จะคิดจะทำลาย หรือทิ้งขว้างความรับผิดชอบนั้น ถือเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เธอจะทำได้

ณิชญฎายังจำดีได้ถึงความฝันเมื่อกลางดึกของค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัว ร่างบางเดินลุยฝ่าสายหมอกทึบลงไปทั้งที่ไม่สามารถมองทะลุลงไปได้ถึงพื้น น่าแปลกที่เธอยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป ทั้งที่ในใจหวาดหวั่นอยู่ค่อนข้างมาก ฉับพลันหมอกหนาจึงแปรเปลี่ยน กลับกลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี นุ่มนวลราวพรมกำมะหยี่เนื้อดี รองรับฝีเท้า ซึ่งก้าวย่างแผ่วเบาราวขนนก ให้ความรู้สึกสบายใจปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวเฝ้าแต่ถามกับตัวเองว่ามันคืออะไร เหตุใดจึงดูเสมือนจริงจนแยกไม่ถูกแบบนี้

ไกลออกไปจนสุดขอบพื้นสีเขียวสด ร่างบอบบางขาวจนเรียกว่าสว่างใส กำลังยืนยิ้มส่งมาให้เธออย่างอบอุ่นอ่อนโยนเหลือที่จะกล่าว หญิงสาวคิดว่าตัวเองตาฝาด หรือไม่ก็คงจะคิดไปเอง ว่าร่างนั้นกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาหาเธอ จะว่าช้าก็ไม่ใช่ เร็วก็ไม่เชิง และยิ่งเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกคุ้นตา

‘คุณแม่! คุณแม่จริงๆ ด้วย คุณแม่ขา คุณแม่มาหาแพรแล้ว แพรคิดถึงคุณแม่มากที่สุดในโลกเลย คุณแม่รู้หรือเปล่าคะ’ ณิชญาฎาออกวิ่ง ปากพร่ำร้องเรียกหาแต่มารดา รู้สึกจริงๆ ว่าคำๆ นี้ได้ห่างหายไปจากชีวิตของเธอเป็นเวลานาน เธอจึงเฝ้าแต่เรียกขาน วิ่งไปพลางร้องไปพลางจนกระทั่งมาหยุดยืนมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา ให้สมกับความคิดถึง

‘แพรของแม่ เหนื่อยไหมจ๊ะลูก” หญิงวัยกลางคน รูปร่างบอบบางไม่แตกต่างจากณิชญาฎา เอ่ยถามกับหญิงสาวที่เธอเรียกว่าลูก ใบหน้าแย้มยิ้มดูแล้วให้อิ่มเอิบใจเป็นยิ่งนัก

“คุณแม่ขา แพร... แพรคิดถึงคุณแม่ คุณแม่หายไปไหนมาคะ แพรนอนร้องไห้หาคุณแม่ทุกคืนเลย” ณิชญาฎาโผเข้ากอดคุณไพลินผู้เป็นมารดา พร่ำบอกอย่างสุดรักแสนคิดถึง

ร่างบอบบางผ่องนวลยิ้มเยื้อน ตอบคำบุตรสาวพร้อมกับยกมือนุ่มขึ้นลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู “แม่ไม่ได้หายไปไหนหรอกจ้ะ แม่อยู่รอบๆ ตัวลูก ไม่เคยหนีไปไหนไกลจากลูกเลย”

“หมายความว่า คุณแม่จะกลับมา กลับมาอยู่กับแพรแล้วใช่ไหมคะ แพรดีใจจังเลย” ผู้เป็นบุตรสาวคิดเองเออเอง ด่วนเร่งดีใจไปก่อน จนเมื่อได้รับคำตอบจากมารดา เธอจึงต้องกลับมามีสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง

“ไม่ใช่หรอกลูก แพรลืมไปแล้วหรือ ว่าพ่อกับแม่ได้ตายจากลูกไปนานแล้ว นึกดูให้ดีๆ สิจ๊ะ” มารดายังคงส่งยิ้มอ่อนหวานละมุนละไม เข้าใจได้ถึงสิ่งที่บุตรสาวพยายามคิดหาคำตอบ “อย่าคิด อย่าสงสัยไปเลยลูก ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นผลมาจากกฏแห่งธรรมชาติ กรรมที่ทำให้มนุษย์อย่างเราต้องเวียนว่ายตายเกิด หมุนวนกันไปหลายภพหลายชาติ อย่างไม่รู้วันสิ้นสุด”

สิ่งที่มารดาของเธอพูด นำมาซึ่งสีหน้าแห่งความไม่เข้าใจยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ณิชญาฎางุนงงเป็นที่สุด ก่อนจะร้องถามออกไปอีกครั้ง “คุณแม่พูดอะไรกันคะ ลูกแพรไม่เห็นจะเข้าใจ”

มารดาของเธอยิ้มทว่าไม่ตอบคำ เหลือบตามองต่ำ ณิชญาฎาจึงก้มมองตาม แล้วดวงตากลมโตของเธอก็พลันเบิกกว้างเมื่อสัมผัสแห่งการมองเห็นกำลังเพ่งพิศไปยังร่างเล็กๆ สองร่างที่ต่างก็ยืนมองจ้องตาเป๋งมายังเธอด้วยกันทั้งคู่

“เด็กที่ไหนกันคะคุณแม่ ทำไมถึงได้น่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้” ณิชญาฎาร้องถาม จ้องมองเด็กน้อยทั้งสองไม่วางตา นึกชื่นชมในความน่ารักของทั้งคู่ จนเธออยากก้มลงไปกอดรัด เกือบจะอดใจไว้ไม่อยู่

“หลานๆ ของแม่ไงจ้ะ ยื่นมือมาสิลูก” คุณไพลินตอบง่ายๆ ในแบบที่ณิชญาฎาไม่เข้าใจ เธออ่านสายตาของบุตรสาวได้ออก จึงยืนมือออกไปรอรับ วงหน้างามยังคงยิ้มแย้มสร้างความอุ่นใจดังเดิมไม่เคยเปลี่ยน ณิชญาฎาวางใจยอมทำตามอย่างว่าง่าย มองตามสิ่งที่มารดานำมาใส่ไว้ในมือ มันมีด้วยกันทั้งหมดสองชิ้น ที่หญิงสาวมองแล้วให้ยิ่งสงสัย ไม่ค่อยจะเข้าใจในการกระทำของมารดาแม้แต่น้อย

“อะไรกันคะแม่” ณิชญาฎาเอียงศีรษะถามมารดาอีกครั้ง สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ไม่อาจเข้าใจถึงสิ่งที่มารดากำลังสื่อมาให้เธอได้เลย

“ของขวัญอย่างไรเล่าลูก ของขวัญจากแม่และพ่อ เราอยากให้ลูกเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดี วันหนึ่งข้างหน้า ของทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยนำทาง นำชีวิตให้ลูกของแม่มีแต่ความร่มเย็น และเป็นสุข เหมือนเมื่อครั้งที่เราพ่อแม่และลูกยังคงอยู่ร่วมกัน เป็นครอบครัวที่อบอุ่น” คำตอบของมารดาทำให้ณิชญาฎาก้มมองสิ่งของทั้งที่ตนกำเอาไว้ในมืออีกครั้งอย่างเพ่งพิศ พระองค์หนึ่งที่มีลำแสงสีทองสุกปลั่งสว่างไสวล้อมอยู่รอบองค์ กับแหวนทองวงน้อยที่มีเพชรเม็ดยอดประดับตัวเรือน เป็นเพชรเม็ดใหญ่น้ำงามส่องแสง แวววะวับ สดใสตระการตาอีกหนึ่งวง

“แม่รู้แล้วหรือคะ” ณิชญาฎาเสียงแผ่วหลบสายตา สังหรณ์ใจบางอย่างบอกกับเธอว่า มารดาของเธอได้รับรู้ถึงผลของความผิดพลาดที่เธอก่อโดยไม่ตั้งใจนั่นแล้ว เธอจึงกลัวว่าสิ่งนั้นจะทำให้คนที่เธอรักเท่าชีวิตต้องผิดหวัง จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีเสียงตอบจากมารดา

“คุณพ่อฝากให้แม่มาบอกลูก ว่าสิ่งที่พ่อรักและห่วงที่สุดในชีวิตก็คือลูกแพร ลูกเป็นทั้งห่วงและโซ่ทองที่รัดร้อยความรักความผูกพันทั้งหมดของพ่อและแม่เอาไว้ และในอีกไม่ช้าลูกก็จะรู้ ว่าห่วงโซ่วงใดที่จะรัดร้อยดวงใจของลูกเอาไว้ ดังเช่นที่พ่อกับแม่เป็น” เสียงพร่ำพูดขาดห้วงลงช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกคราหนึ่งว่า

“รอก่อนเถอะนะลูก รอเวลา จนกว่าวันนั้นจะมาถึง อย่าลืมรักษาของทั้งสองสิ่งนี้ไว้ให้ดี แล้ววันหนึ่งลูกจะรู้ ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิตลูก คืออะไร”

ณิชญาฎาเงยหน้าขึ้น หวังจะมองสบตากับมารดาอีกครั้ง แต่กลับต้องพบกับความว่างเปล่า ไม่มีทั้งมารดาและเด็กน้อยยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นอีกแล้ว คงเหลือแต่เพียง ‘ของขวัญ’ สองชิ้นเล็ก ทว่าสูงค่า ที่ยังคงอยู่ในมือ คล้ายกับจะเป็นหลักฐาน เป็นสัญญาณว่าปริศนายังคงรอเธออยู่ ปริศนาที่ทำให้ใครต่อใครต่างหลงเวียนวนอยู่ในห้วงของวันเวลา ปริศนาแห่ง ‘ห่วงโซ่ ที่จะคงอยู่ ในห้วงแห่งความคำนึง’ ซึ่งกำลังรอให้หญิงสาวเฝ้าติดตามค้นหา

ณิชญาฎาตื่นขึ้นมาพร้อมกับปริศนาที่แปลไม่ออก ทว่าหลังจากช่วงเวลานั้นเพียงไม่กี่เดือน หนึ่งในคำตอบของคำว่า “ห่วงโซ่” ได้เผยตัวออกมาให้เธอได้รู้ ทว่ามันจะมีแค่เพียงห่วงๆ เดียวน่ะหรือ ครอบครัวที่พร้อมพักต์บริบูรณ์ต้องประกอบไปด้วยสิ่งใดบ้าง คำตอบนี้ณิชญาฎาย่อมรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงขึ้นอยู่กับว่า ตัวเธอจะยอมรับและสามารถสร้างมันขึ้นมาได้หรือไม่ คงเป็นเรื่องที่ต้องรอให้อนาคตเป็นคนตัดสิน

--------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 เม.ย. 2554, 10:06:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ค. 2554, 10:37:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 2054





<< ตอนที่ 2 : ใช่ หรือไม่ใช่   ตอนที่ 4 : รินรตี >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account