ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๕

บทที่ ๑๕




อุ่นเรือนไม่ยอมให้ทรงธรรมผละหนีไปได้ง่ายๆ เวลารู้สึกเสียหน้ามากกว่าเสียใจ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ของที่อยากได้นั้นต้องมาหลุดมือไป โดยไม่ใช่เพราะตนเองเป็นฝ่ายทิ้งขว้าง

“แม่คนนั้นเป็นใคร บอกมานะ บอกมา!”

ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่หล่อนยังซักไซร้ ไล่ต้อนหน้าต้อนหลัง ไม่ยอมให้ทรงธรรมลงจากเรือนแพ

“ก็บอกแล้วว่า ถ้าแม่อุ่นอยากได้เหตุที่ว่าพี่มีคนใหม่ พี่ก็ยอม แต่แม่ก็กลับไม่อยากจะให้พูดอย่างนั้น พี่มีใครที่ไหนกันเล่า คนอื่นน่ะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

ทรงธรรมก็พยายามอธิบาย อาศัยเสาต้นหนึ่งช่วยกันมือไม้ที่หมายจะหยิกข่วน

“ที่ไม่พูด เพราะไปได้กะอีนางไพร่นางบ่าวข้างถนนละซีนะ! ได้ยังไง ได้ยังไง กล้าดียังไงถึงทิ้งข้าไปหาคนที่ฐานะต่ำๆ พวกนั้น!”

พอเข้าใจไปดังนั้น อุ่นเรือนก็เต้นเร่าๆ ด้วยความคับแค้นใจหนักขึ้น

“เขาดีกว่าแม่อุ่นทุกอย่าง สูงส่งทั้งจิตใจ นิสัยใจคอ ฐานะทรัพย์สฤงคาร พอใจหรือไม่ แม่อุ่นพอใจหรือยัง เขาดีกว่าแม่อุ่นทุกอย่าง”

ทรงธรรมอยากจะเลิกต่อล้อต่อเถียงให้ได้ เมื่ออุ่นเรือนอยากได้เหตุผลแบบไหน ก็เลยยกแบบนั้นให้ กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ

“ถ้าพอใจแล้ว ก็อย่ามายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกเลย ปล่อยพี่ไปเถอะนะ”

“ไอ้พี่ธรรม์ วันนี้ต้องเป็นข้าที่บอกเลิก เป็นข้าเองที่ไม่สนใจ เป็นฝ่ายถีบหัวส่ง”

“ได้... แม่อุ่นจะไปป่าวประกาศกับใครๆ อย่างไรก็ได้ ขอแค่ให้เราจบกันแค่นี้”

อุ่นเรือนเปลี่ยนเหตุผลไปเรื่อยๆ จนทรงธรรมรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจไปหมดแล้ว

หญิงสาวคงจังหวะไม่ดีเมื่อถลามาทางหนึ่ง เขาจึงมุดหลบไปด้านตรงข้าม แล้วเผ่นขึ้นพ้นจากเรือนแพในที่สุด แม้เสียงตะโกนตามหลังนั้นจะอาฆาตมาดร้ายอย่างไรก็ไม่สนใจอีกแล้ว

“ไอ้ธรรม์ ไอ้ทรงธรรม เลิกกะข้าวันนี้ แล้วจะต้องเสียใจจนวันตาย!”




กว่าที่เจ้าคุณอเนกคุณากรจะสงบสติอารมณ์ลงได้ก็อีกเป็นนาน แต่กระนั้นความคิดอ่านก็ยังไม่ปลอดโปร่ง ด้วยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่น่าจะเป็นไปได้

ตั้งใจจะกลับไปถามแม่แววดูให้รู้แน่ ว่าที่เข้าไปวุ่นวายที่ศาลเทพอารักษ์นั้น ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มีใครบงการหรือไม่ หรือยังมีสติบริบูรณ์ดีอยู่หรือเปล่า

ระหว่างทางเดินกลับ นายวงศ์ก็สวนทางกลับมาพอดี

“เป็นยังไรบ้าง แม่แววน่ะ”

ผู้เป็นนายออกปากถามทั้งที่ยังเดินไม่ถึงตัว

“กระผมขังแม่แววไว้ตามคำสั่งขอรับ ก็เห็นเงียบไป แต่ว่า... กระผมว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ...คือ พอแม่แววกลับไปถึงห้องแล้วก็หมดฤทธิ์ ไม่ได้เอะอะเอ็ดตะโรหรือโวยวายอะไรเลย อาการก็เหมือนอย่างที่เคย คือเซื่องๆ ซึมๆ แล้วก็นอนเงียบ แต่ว่าการที่เคยเป็นอย่างนั้น แล้วอยู่ๆ ก็บุกไปถึงศาลเทพอารักษ์ กระผมเกรงว่า...”

“เกรงว่าอะไร!”

เจ้าคุณอเนกไม่เคยรู้สึกว่าผู้เป็นบ่าวจะอ้อมค้อมมากมายเท่านี้มาก่อน

“เกรงว่าจะถูกของถูกคุณเข้าน่ะสิขอรับ”

“แล้วยังไร แม่แววพูดอะไรอีกบ้างหรือเปล่า”

ดูเหมือนนี่คือสิ่งเดียวที่คนพูดเป็นห่วงนัก

“ไม่นะขอรับ”

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว คอยเฝ้าให้ได้ดีๆ อย่าให้ออกมาเพ่นพ่านได้อีก”

เจ้าคุณระบายลมหายใจอย่างโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยเรื่องความเสื่อมเสียมัวหมองของบรรพบุรุษก็ยังไม่ได้แพร่งพรายออกไป

“จำไว้ ไม่ว่าแม่แววจะพูดอะไร ทำอะไร ต่อแต่นี้ต้องคอยมารายงานทั้งหมด”

“กระผมจะดูแลด้วยตัวเองเลยขอรับ อย่างนั้นกระผมขอตัว ยาที่เจียดไว้หมดแล้ว จะไปเจียดยามาเพิ่มสักหน่อย”

นี่คือเจตนาเดิมที่นายวงศ์รีบย้อนกลับมา เพราะร้านขายยาต้องเดินเลยศาลเทพอารักษ์ไปนั่นเอง แต่เรื่องยานี้เจ้าคุณก็เลือนๆ ไปนานแล้ว จึงต้องถาม

“ยาอะไรอีกเล่า”

“ก็ยาที่ไอ้หนุ่มที่มาติดพันคุณอุ่นเรือนเขียนใบสั่งไว้ยังไรเล่าขอรับ ที่จริงหมอนี่ก็มีความรู้ดีไม่เบา กระผมถึงว่าแม่แววน่าจะถูกของถูกคุณ เพราะตั้งแต่รับยาสูตรของเขา อาการก็ดีวันดีคืน”

ได้ฟังดังนั้น เจ้าคุณเอนกจึงค่อยรำลึกได้ว่า ในช่วงฉุกละหุก ตนเองเป็นคนอนุญาตให้นายวงศ์ไปเจียดยาขนานนั้นมาเอง แล้วก็เหมือนนึกอะไรได้จึงกล่าวต่อไปว่า

“ไหน ข้าขอดูสูตรยานั่นอีกทีซิ”

นายวงศ์รีบล้วงแผ่นกระดาษให้ทันที

“ยังไร แก่จนเลอะเลือน สูตรยาแค่ไม่กี่ตัวนี่ ยังจำไม่ได้อีกรึ!”

ผู้เป็นนายทำเสียงแข็ง แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ดะ... ได้ซีขอรับ”

“ก็ดี อย่างนั้นข้าจะเก็บกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ เผื่อมันจะมีประโยชน์อะไรบ้าง...”

ระหว่างที่คุยกันอยู่นี้ เจ้าคุณอเนกมิได้ชะลอฝีเท้าที่กำลังมุ่งหน้าสู่เรือนไทย การได้พูดจากัน คือผู้เป็นบ่าวต้องหันกลับกมาเดินตาม จนจะเข้าประตูรั้วของเรือนไทยอยู่แล้ว ที่ทั้งนายบ่าวต่างได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังออกมาจากภายใน

“ยังไร ไหนเอ็งว่าแม่แววอาการสงบไปแล้ว”

“เห็นจะไม่ใช่เสียงแม่แววขอรับ คิดว่าเป็นคุณอุ่นเรือนมากกว่า”

“อะไรนะ!”

น่าจะเป็นคำอุทานมากกว่าคำถาม พอจบคำเจ้าคุณอเนกก็เลยต้องตั้งใจฟัง และพอฟังได้ชัดเจน ก็จำได้ว่าเป็นเสียงของบุตรสาวตนเองแน่ๆ จึงรีบสาวเท้ากลับมาที่ตัวเรือนในทันที

“เกิดอะไรขึ้นแม่อุ่น!”

ผู้เป็นบิดารีบถาม ทันทีที่เห็นว่าอุ่นเรือนนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนเรือนคนเดียว

และก็หล่อนยังฟูมฟาย สะอึกสะอื้นไม่ยอมตอบคำถามของบิดา

“บอกพ่อมาประเดี๋ยวนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้น!”

เจ้าคุณอเนกต้องขึ้นเสียง จิตใจเริ่มทุกข์ร้อนขึ้นมาอีกแล้ว

“ฮือ!ๆ... ก็... ก็ไอ้ทรงธรรมนั่นนะซีเจ้าคะ... มัน... มันไปแล้ว”

หญิงสาวเอ่ยออกมาได้แค่นั้น แล้วก็ร่ำไห้ต่อไปอย่างปิ่มว่าจะขาดใจ

“อะไรกัน ไอ้นั่นมันมาตั้งแต่เมื่อไร แล้ว... แล้วมัน... มันทำไม หรือว่า...”

ผู้มากวัยไม่กล้าถามตรงๆ

อุ่นเรือนทุบพื้นเรือนดังปังๆ ขัดใจนักที่บิดาช่างไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย

“เขาจะมาทำอะไร ก็มาบอกศาลากะอุ่นนี่ซีคะ”

ได้ฟังแค่นั้นเจ้าคุณก็ถอนใจเฮือก ที่กลัวว่ามันจะเกิดหน้ามืดตาตัวทำให้บุตรสาวต้องแปดเปื้อน ก็มีอันว่าไม่ใช่

“กะเรื่องแค่นี้ ทำไมต้องเสียอกเสียใจนักเล่า ที่จริงเลิกยุ่งเกี่ยวกันไปเสีย ก็ดีอยู่แล้วนี่นา”

“แต่เขาบอกว่ามีคนอื่นที่ดีกว่า”

อุ่นเรือนผุดลุก คิดอยากจะไปตามทรงธรรมกลับมาพูดจาให้รู้เรื่อง ผู้เป็นบิดาเลยต้องรีบรั้งตัวเอาไว้

“ก็แล้วยังไร พ่อยังไม่เคยเอ่ยปากบอกจะยกแม่อุ่นให้กับเขาสักคำเดียว”

เจ้าคุณเข้าใจไปว่า บุตรสาวร้องไห้เพราะอับอายที่คู่ตุนาหงันของตนมาหลบหนีไปเสีย จึงได้ปลอบใจไปดังนั้น

“เจ้าคุณพ่อ! ที่ดีฉันเสียใจน่ะ ไม่ใช่เพราะอาลัยอาวรณ์มัน แต่โกรธนักที่ถูกทิ้ง เจ้าคุณพ่อก็รู้ว่าอุ่นไม่เคยแพ้ ไม่เคยถูกใครปฏิเสธ อุ่นอยากได้อะไรก็ต้องได้ทุกอย่าง! แต่เล็กจนโตป่านนี้ อยากได้อะไรก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ”

น้ำเสียงของหญิงสาวนั้น อาฆาตชิงชังรุนแรงยิ่งนัก

“ก็เพราะลูกเป็นลูกของบ้านนี้ จะมีใครกล้าขัดคำสั่งได้”

บิดาต้องพยายามคล้อยตาม

“ในเรื่องนี้อุ่นก็จะต้องไม่แพ้ ใครกล้ามาปฏิเสธ ใครกล้ามาขัดใจ มันต้องได้รับบทเรียนที่สาสม มันจะต้องเดือดร้อนไปทั้งชีวิต!”

แววตาที่จ้องเขม็งมาที่บิดานั้น พลอยทำให้คนถูกจ้องรู้สึกหวาดหวั่นไปด้วย ทั้งยังเพราะรู้จักนิสัยของบุตรสาวเป็นอันดี จึงแน่ใจว่าหล่อนจะต้องทำอย่างที่พูดแน่ๆ

“ลูกพ่อพูดถูก...” เจ้าคุณเอ่ยขึ้นเรียบๆ หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“ไอ้ไพร่นั่น กล้าดียังไงถึงมาทำกับลูกของพ่ออย่างนี้ คิดอยากทำอะไรก็ทำได้งั้นหรือ ลูกสาวของพ่อ ไม่ใช่ที่จะให้ใครมาลบหลู่ดูหมิ่นได้เล่นๆ”

คำท้ายนั้นเหี้ยมเกรียม และพร้อมกับคำพูด ในหัวของเจ้าคุณก็คิดแผนการได้บางอย่าง

“ตระกูลเราไม่ใช่ไร้หน้าตายศศักดิ์ จะต้องมาอับอายเพราะเรื่องนี้ไม่ได้!”

“แล้วเจ้าคุณพ่อจะทำ...”

แทนคำตอบ เจ้าคุณอเนกล้วงเอากระดาษใบสั่งยาออกมาพิจารณาอีกครั้ง

“พ่อรู้ว่าควรทำยังไร!... ไม่ว่าใครที่จะทำให้บ้านเราต้องเสื่อมเสีย พ่อจะไม่ยอมให้มันได้อยู่เป็นคน!”




บรรดาภูตผีในบ้านเรือนตึกยังใช้ชีวิตตามปกติ อันเป็นกิจวัตรที่ทำเป็นประจำมาแล้วหลายวัน นั่นคือการเรียนอ่าน เรียนเขียน เรียนคัดลายมือ หรือท่องบทกวี ตามแต่ที่จะตกลงกัน ก่อนจะออกไปสรรหาการละเล่นต่างๆ สนุกกันอยู่ใต้แสงดาวตรงสนามหญ้าท้ายเรือน

คืนนี้ทรงธรรมค่อนข้างปลอดโปร่ง เพราะรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ยกภูเขาออกจากอก ในตอนนี้ พอมาคิดดูอีกทีก็ให้นึกกลัว เดาไม่ออกว่าถ้าตนได้ร่วมหอร่วมห้องกับอุ่นเรือนแล้ว จะต้องตกเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของหล่อนสักขนาดไหน

“พี่ธรรม์ขอรับ วันนี้เราจะทำอะไรกันดี”

เจ้าหลงเข้ามาสะกิด เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมัวแต่ยืนยิ้มกับตัวเอง

“ท่องกลอนกันดีกว่า แต่คืนนี้จะลองให้ขับคำฉันท์ หลงจะสู้ไหวรื้อ”

ทรงธรรมแกล้งทำเสียงปรามาส และได้ผล เจ้าหลงรีบไปจัดแจงให้ผีสาวที่เหลือรีบเข้านั่งประจำที่ แล้วหันมายืดอกต่อรอง

“ถ้าพวกกระพ้มท่องได้ พี่ธรรม์จะให้อะไร”

“ถ้าท่องได้จะให้กำไลคนละวง ดีไหมเล่า”

“ตกลง รับคำ ว่ามาเลยขอรับคุณท่านทรงธรรมาสน์”

คำท้ายผีเด็กชายยังแกล้งล้อเลียน กล่าวหาว่าคนหลอกสอนหลอกให้เรียน ก็ไม่ต่างจากหลวงตาแก่ๆ ที่เคยเคี่ยวเข็นสอนมันเรียนหนังสือ เมื่อครั้งยังมีชีวิต

“อย่างนั้นก็ว่าตามไปพร้อมกัน...

“ยามเอื้อนโองการตรัส สนองอรรถอย่าลามลวน
ยามท้าว ธ เชยชวน บันโดยชอบในเชิงสม
ยามร้อนพึงไกวกวัด รำพายพัดรำเพยลม
ยามสรงถวายฉม สุคนธ์ฟุ้งจรุงขจร
ยามวายก็อยู่งาน บริบาลบดีศร
ยามสถิตไสยากร พึงนวดนั่งระวังยาม...”

“เอ... เดี๋ยวนะพี่ธรรม์ หลงว่ามันแปลกๆ”

ท่องไปๆ เจ้าผีเด็กก็ยกมือห้าม สีหน้านั้นทำเป็นทะเล้นและเจ้าเล่ห์

ทรงธรรมก็รู้ทันเหลี่ยม จึงแกล้งถามยิ้มๆ

“ทำไม แปลกตรงไหน อันนี้กฤษณาสอนน้องเชียวนา”

“เก็บไว้สอนกันเองกะพี่แสงเพ็งไม่ดีกว่ารื้อ”

มันแกล้งกระดกลิ้นระรัวตรงคำท้าย

“อะไรกันเล่าหลง พี่ไปเกี่ยวอะไรด้วย”

แสงเพ็งที่อยู่ๆ ก็พลอยตกเป็นจำเลย จึงต้องรีบออกตัว

“ดูแต่ละวรรค แต่ละตอน มันเกี่ยวกะคนอื่นที่ไหนขะรับพี่แสง”

“หลงเอ๋ยเอ็งยังเด็กนัก ไม่รู้หรอกว่า หญิงใดไม่อยากมีภรรดา หาไม่ได้ในโลกีย์”

ทรงธรรมยังแกล้งต่อความ กับประโยคนี้ แม้เจ้าหลงออกจะงงๆ แต่แสงเพ็งเข้าใจได้จึงเหน็บให้ที่แขนของชายหนุ่ม

“ไม่ต้องอธิบายให้มากความไปหรอกเจ้าค่ะ”

ผีสาวยังเขินอายอยู่มากนัก เวลาที่ถูกล้อเลียนเรื่องที่ตนกับทรงธรรมตกลงกันได้

แล้วคำพูดและกิริยาอาการต่างๆ ของแสงเพ็งก็ทำให้ผีอื่นๆ ซุบซิบหัวเราะกันคิกคัก ยกเว้นแต่คุณแส ที่ไปนั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลัง

ที่จริงทรงธรรมก็สังเกตตั้งแต่แรกแล้วว่า นางได้แต่นั่งนิ่ง เหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับใครอื่นเลยทั้งสิ้น

“แล้ว... นั่น... คุณแสเขาเป็นไรไปเล่า”

ชายหนุ่มช่วยเปลี่ยนเรื่องพูดให้กับทั้งกลุ่ม

“ไม่รู้ซีคะ ตั้งแต่กลับมาจากบ้านเรือนไทย คุณแสก็นิ่งซึม ไม่พูดไม่จากับใคร”

แสงเพ็งรีบตอบ เพราะตัวก็อยากจะให้เรื่องคุยไปพ้นตัวเสียที

พอผีสาวบอกเช่นนั้น ทรงธรรมก็พอจะนึกออก ตอนกลับออกมาจากเรือนไทยของเจ้าคุณอเนก ตรงที่นัดกันไว้นั่น คุณแสไม่ได้อยู่รอ แต่เข้าไปหลบอยู่ในร่มที่หุบพิงอยู่กับต้นไม้ พอเขายกด้ามร่มขึ้น ก็มีน้ำใสๆ หยดลงมา สังหรณ์ใจอยู่แล้วว่า คุณแสอาจจะพบเจอกับเรื่องสะเทือนหัวใจเข้าก็ได้

“เอาละ วันนี้ถูกเจ้าหลงขัดคอเสียแล้ว พอแค่นี้เถอะ”

ทรงธรรมพูดเรื่อยๆ เล่นเอาเจ้าหลงต้องเดือดร้อน

“ได้ยังไรขะรับ แล้วกำไลที่จะให้ นี่พวกหลงไม่ได้ยอมแพ้ เป็นพี่ธรรม์ต่างหาก”

“เออน่า... ไปเล่นกันข้างนอกก่อนเถอะ เรื่องกำไลไม่ต้องห่วง ลูกผู้ชายอย่างทรงธรรมพูดแล้วไม่มีบิดพลิ้ว”

พอได้ยินคำยืนยันดังนี้แล้ว พวกเจ้าหลงและผีสาวตนอื่นๆ ก็เลยรีบพากันออกไป เหลือไว้แต่คุณแสที่ยังนั่งซึม ไม่รับรู้เรื่องราวใดทั้งสิ้น

ทรงธรรมจูงมือแสงเพ็งเข้ามาใกล้ ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้าน ยิ้มให้นิดหนึ่ง แล้วก็เหม่อซึมต่อไป

“คุณแสเจ้าคะ...”

ผีสาวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“ทำไมรึแม่แสง จะช่วยปลอบใจข้าหรือไง”

กระทั่งน้ำเสียงที่ตอบคำยังโศกสลดจนสังเกตได้ไม่ยาก

“อันนั้นต้องแล้วแต่ใจของคุณแสขอรับ แค่อยากจะถามว่า เดิมทีคุณแสอยากจะไปหาท่านเจ้าคุณทำไม”

ทรงธรรมพยายามปรุงคำถามให้ชุ่มเย็น ยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งเห็นว่าวี่แววความระทดท้อนั้นปรากฏอยู่มากขนาดไหน

“ก็... เพราะอยากรู้สาเหตุการตายของตัวเอง...”

คุณแสตอบโดยปราศจากปฏิกิริยาอื่นใด นอกจากริมฝีปากที่แทบไม่ขยับ

“แล้วอย่างไรอีกขอรับ...”

“แล้วก็ ตัวข้าไปเกี่ยวอะไรกับพวกบ้านโน้น”

“แล้วมีอะไรอีกไหม...”

คำถามของชายหนุ่มยังเวียนซ้ำ จนคุณแสต้องเงยขึ้นมาสบสายตา

“ยังมีอะไรอีกหรือ”

เจ้าตัวเองยังไม่แน่ใจ

“ไหนคุณแสเคยบอกว่าอยากรู้... ทำไมในตัวเองถึงมีความเคียดแค้นชิงชังตลอดเวลา ไม่ใช่หรือขอรับ”

ทรงธรรมจึงต้องช่วยเน้นย้ำ ถึงเจตนาสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้คุณแสอยากจะรู้ ถึงต้นเหตุแห่งการเสียชีวิตของตนเอง

ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านเรือนตึก นิ่งไปอีกครู่ ก่อนจะพยักหน้านิดหนึ่งเป็นการรับคำ

“แล้วตอนนี้ คุณแสก็รู้แล้วนี่ขอรับ ว่าที่ตายนั่น ตายยังไง ก็น่าจะคลี่คลายปุ่มปมในหัวใจได้แล้ว แล้วทำไมยังมีท่าทางโศกเศร้าอยู่อย่างนี้เล่าขอรับ”

ที่พูดมาทั้งหมด ก็เพราะทรงธรรมอยากจะให้คุณแสลำดับความคิดให้ดี ว่าที่แท้แล้วอะไรคือสิ่งที่เป็นตะกอนอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตัวเองกันแน่

สีหน้าคุณแสตอนนี้ทั้งเคลือบแคลง ทั้งอัดอั้นตันใจ แววตาโศกรันทดนั้น เบือนหลบเสียจากความอาทรของอีกสองคนที่กำลังไตร่ถาม นางค่อยลุกขึ้นมายืนอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองไกลออกไป ราวกำลังอยากจะเห็นว่าสุดของจักรวาลนั้นอยู่ตรงที่ไหน

“ถึงข้า... จะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว...”

ในที่สุดคุณแสก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“...แต่ว่า ความอาฆาตแค้นในใจของข้า มันยังไม่ได้ลดทอนลงเลยสักนิดเดียว”

ทั้งทรงธรรมและแสงเพ็งเดินตามมาใกล้

“ใช่ไหมเล่าขอรับ... ดังนั้นเรื่องคงไม่อยู่ที่ว่าเรารู้หรือไม่รู้ ว่าทำไมเราถึงตาย แต่... เรื่องสำคัญมันอยู่ตรงนี้...”

เขาตบเบาๆ ที่อกของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวทั้งหมด ปัญหาทั้งหมด ล้วนขึ้นอยู่กับที่ใจคิด

“จะหมายความว่าเป็นเพราะใจข้าเองอย่างนั้นหรือ”

คุณแสพอเข้าใจได้ แต่ว่าจะให้ทำใจนั้นคงแทบไม่มีทาง

“ความทุกข์ ความแค้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะเราไปยึดถือ เอาหัวใจของเราเข้าไปยึดเหนี่ยวเอาไว้ จนในที่สุดความทุกข์ ความแค้นนั้นมันเลยเป็นฝ่ายเกาะกุมอยู่ในหัวใจเรา...”

คนฟังไม่โต้ตอบ มีเพียงหยาดน้ำตาที่เริ่มรินไหล แม้จะพยายามซับให้แห้ง แต่ก็คล้ายกลับน้ำตานั้นเอ่อท้นออกมาจากภายในอย่างไม่มีวันหมดสิ้น

“...คุณแสรอเขาคนนั้น รอจนวันนี้ ถามว่าเขามีค่าให้คุณแสต้องทุ่มเทขนาดนี้หรือไม่ ในใจคุณแสย่อมตอบตัวเองได้ จึงเกิดความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังเขาคนนั้น... คุณแสแค้นเพราะเขาเป็นคนทรยศ แต่เรื่องนี้มันก็นานมาแล้ว นานจนเขาอาจตายไปแล้ว หรือไปผุดไปเกิดแล้วตั้งหลายรอบ แต่คุณแสกลับมาจมอยู่กับความเคียดแค้นที่เขาไม่เคยมารับรู้อะไรด้วยเลย...”

ผีผู้ที่อยู่ในบ้านเรือนตึกมาก่อนใคร พยายามกลั้นน้ำตาไว้เต็มที่ สิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมานั้น ไม่ผิดเลยจนคำเดียว แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะตัดใจจากเรื่องร้ายแรงเช่นนี้

“...มันไม่คุ้มกันหรอกนะขอรับ”

เขาทิ้งคำท้ายไว้แค่นั้น แล้วปล่อยให้คุณแสตรึกตรองต่อไปด้วยตนเอง

คุณแสเลื่อนตัวมาทรุดลงนั่งตรงเก้าอี้ตัวยาวที่ถัดหน้าต่างเข้ามา แสงเพ็งนั่งตามลงด้วย กุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ลูบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

“ที่จริง แม่แสงเคยก็เคยพูด คนเราตายไปแล้วก็แล้วไป จะไปยึดถืออะไรกับอดีต”

คนถูกปลอบเอ่ยขึ้นเบาๆ ราวกับจะใช้คำนั้นปลอบใจตัวเอง

“ใช่ค่ะคุณแส ถ้าปลงเสียได้ เราก็จะได้สัมผัสกับความสุขในช่วงเวลาที่เหลือ”

แสงเพ็งต้องช่วยให้ความมั่นใจ

“แล้วข้าจะทำอย่างที่ว่ามานี่ได้อย่างนั้นหรือ”

“ดีฉันรู้ว่าคนเข้มแข็งอย่างคุณแส ต้องทำได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

ผีสาวบีบมือในมืออีกครั้ง เป็นการให้กำลังใจ ยิ้มให้จนคุณแสยิ้มตอบในที่สุด

“ถ้าแม่แสงมั่นใจอย่างนั้น ข้าก็จะพยายาม... ที่ผ่านมาจริงๆ แล้ว ก็มีแต่เรากันแค่นี้ที่เป็นห่วงเป็นใยให้แก่กัน”

พอคุณแสทำท่าว่าเริ่มเข้าใจและทำใจได้แล้ว สองคนที่เหลือก็โล่งอก ระบายลมหายใจออกมาเพราะรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

“แต่ว่า... เมื่อคุณธรรม์ไปบอกเลิกศาลากับอุ่นเรือนเสียแล้ว แล้วจะทำอย่างไรต่อไปเล่า”

คราวนี้ทรงธรรมถอนหายใจอีกครั้ง ท่าทางเหมือนคนปลงโลกได้แล้วจริงๆ

“กระผมก็คงต้องไปจากเรือนตึกนี้ในเร็ววัน ก่อนที่เขาจะส่งคนมาไล่ตะเพิด”

“แล้วแม่แสงเล่า... คุณธรรม์ได้นึกถึงแม่แสงบ้างหรือไม่...”

คนถูกถามถึงกับนิ่งไป นึกโกรธตัวเองเหมือนกันที่เรื่องใหญ่เช่นนี้กลับละเลย

ขณะกำลังครุ่นคิดหาคำตอบอยู่นั้น เจ้าหลงก็นำพรรคพวกวิ่งร้องตะโกนโหวกเหวกเข้ามา!

“แย่แล้วขอรับ ขอรับแย่แล้ว!”

ผีเด็กชายโวยวายอยู่แค่นั้น ผีตนอื่นๆ จึงต้องเป็นฝ่ายรายงาน

“แย่แล้วเจ้าค่ะคุณแส มีคนมากมายถือคบไฟทำท่าจะบุกเข้ามา”

“เขาจะมาเผาเรือนเราหรือเจ้าคะ แล้วเราจะทำยังไร จะทำอย่างไรกันละที่นี้”

หลายเสียงประสานปะปนกันจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ และกว่าจะรู้เรื่อง พวกคนที่ว่าก็มาถึงโถงมุกหน้าเรือนแล้ว

“พวกท่านเป็นใครถึงได้บุกรุกเข้ามายามวิกาลเช่นนี้”

ทรงธรรมรีบออกมาถาม แต่แทนที่จะได้รับคำตอบกลับต้องเป็นฝ่ายถูกถาม

“ใครคือนายทรงธรรม”

“ก็ข้านี่ไง”

เขาตอบไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ คิดอยู่ว่าถ้าเขาจะพาคนมาขับไล่ทั้งดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ก็พร้อมที่จะไป

แต่แล้วสิ่งที่ได้รับฟังต่อมาก็ผิดคาด

“นายทรงธรรม เจ้าคุณอเนกคุณากรไปฟ้องร้องเจ้ากับตลาการศาลหลวง ว่าสั่งยามีพิษ หลอกให้หลานสาวของเขารับประทานจนถึงแก่ชีวิต เราได้รับคำสั่งให้มาเกาะตัวเจ้าไปเพื่อรับการไต่สวน”

แล้วพวกนายพะทำมะรงทั้งนั้นก็ไม่ฟังอะไรอีก เข้าจับกุมตัวเขาไว้ทันที

“ข้าถูกใส่ร้าย! ข้าถูกใส่ร้าย!”

ทรงธรรมได้แต่ตะโกนอย่างนั้น ขณะพยายามดิ้นรนไม่ยอมให้จับ หนักเข้าก็ถูกทุบถูกถอง จนเจ็บจุกไปหมดทั้งแผลเก่าแผลใหม่ จึงต้องยอมให้ถูกลากตัวไปแต่โดยดี

เรื่องราวเกิดขึ้นเพียงในชั่วไม่ถึงสองสามนาที แสงเพ็งถึงกับทำอะไรไม่ถูก อยากจะถลาตามคนรักไป ก็ถูกบรรดาผีที่เหลือช่วยกันฉุดรั้งเอาไว้

“พี่ธรรม์ พี่ธรรม์เจ้าขา เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ!”

แสงเพ็งก็ครวญตาม จนคนทั้งหมดลับหลังรั้วไปก็ยังไม่หยุดร่ำร้อง

“เขาแค่มาเกาะตัวไป แค่เข้ารับการไต่สวน คงไม่กระไรหรอกแม่แส”

คุณแสต้องปลอบ ผีสาวที่อ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น




แสงแดดแผดกล้าเพราะใกล้เที่ยง ณ ศาลาลูกขุน ตลาการมีผู้เดียวคือขุนพินิจฉัยคดีการ นอกนั้นเป็นจ่าบ้านและพะทำมะรงยืนคุมเชิงอยู่ในที่ ที่สะดุดตา คือมีเจ้าคุณอเนกคุณากร และอุ่นเรือนผู้เป็นธิดา นั่งเป็นสง่าอยู่ด้านข้าง ราวเป็นคณะลูกขุนก็ไม่ปาน ทั้งที่จริงสองคนนั้นเป็นแค่ผู้กล่าวฟ้องร้อง เป็นโจทก์ที่ควรจะต้องมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ จำเลยเช่นตัวเขา

ทรงธรรมเหมือนถูกแกล้ง พอพามาถึงกลางลาน ก็ถูกผลักให้คุกเข่า ตากแดดใกล้เที่ยงรอให้ท่านตลาการและสองพ่อลูกค่อยๆ อ้อยอิ่งยุรยาตร มานั่งประจำที่ ซ้ำยังมีบ่าวเข้ามารินน้ำส่งให้ จิบกันต่อหน้าคนที่กำลังคอแห้งเป็นผมเช่นตัวเขา

“ท่านตลาการ กระผมทำอะไรผิด”

จะทำสำรวมเคารพศาลอยู่ต่อไป ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เริ่มพิธีการ เขาจึงต้องถามออกไป

“บังอาจนัก ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง เอ็งผิดฐานฆ่าคนตายยังไรเล่า ยอมรับผิดมาบัดเดี๋ยวนี้”

ทรงธรรมตกใจหนัก ดูเหมือนว่าข้อหาของตนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่น่าเชื่อ

ชาวบ้านร้านตลาดที่มุงดู ถูกกันไว้ห่างๆ ในกลุ่มนั้นมีหมอเกตุอาคมรวมอยู่ด้วย พอเขาได้ยินข้อกล่าวหา ก็ส่ายหน้าดิก นึกแล้วไม่ผิดว่าเพื่อนรุ่นพี่คนนี้จะต้องมีปัญหา

“กระผม กระผมน่ะหรือฆ่าคนตาย...”

คนถูกกล่าวหา ตะกุกตะกักจนพูดแทบไม่ถูก

“...ท่านตลาการ ถึงแม้กระผมจะเป็นคนไม่มีหลักมีฐาน แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป กระผมจะไปละเมิดได้ยังไร ยิ่งเป็นการฆ่าคน ไม่ใช่หมูหมากาไก่ จะได้ฆ่าแกงกันได้ง่ายๆ”

เขาพยายามแก้ต่างให้ตนเอง ชำเลืองมองทางสองพ่อลูก ที่เห็นนั่งยิ้มเชิดอยู่แล้ว ก็ให้รู้สึกหวาดหวั่นหนักเข้าไปอีก

“เอ็งรู้รึหาไม่!” เสียงท่านตลาการดังเฉียบขาด

“เอ็งฆ่านางแวว หลานสาวของท่านเจ้าคุณอเนกคุณากร ผู้มีคุณแก่บ้านเมือง... เอ็งยอมรับผิดมาเสียดีๆ”

“นางแววเป็นใครกระผมยังไม่เคยรู้จัก จะไปฆ่าแกงได้ยังไร”

ทรงธรรมพยายามให้การไปตามความจริง แต่ตลาการกลับชี้หน้ากล่าวย้ำโทษ

“ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง พยานแน่นหนายังจะกล้าปฏิเสธ!”

แล้วก็หันไปค้อมศีรษะนอบน้อมตอนที่จะพูดจากับเจ้าคุณอเนก

“ท่านเจ้าคุณขอรับ ช่วยกรุณาเล่าเท้าความเรื่องนี้อีกสักครั้งเถิดขอรับ”

คนถูกเชิญกระแอมขึ้นนิดหนึ่ง สายตาไม่แลคนที่ตนโยนข้อหาฉกรรจ์ให้ด้วยซ้ำ

“คืออย่างนี้นะท่านตลาการ ไอ้ผู้ชายคนนี้ มันเป็นพวกนักเลงหลอกลวง เข้าซ่องเข้าบ่อน สำมะเลเทเมามาแต่เดิม แล้ววันหนึ่งมาติดใจหลงรักแม่แววหลานสาวกระผม พอผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย มันก็คิดอาฆาต อาศัยเรือนตึกบ้านกระผมมีข่าวลือแปลกๆ จึงแกล้งทำผีมาหลอก พอแม่แววจับไข้ ก็อ้างว่ารู้วิชาการแพทย์ สั่งยาพิษให้แม่แววกินจนถึงตาย!”

เจ้าคุณเล่าได้เป็นช่องเป็นฉาก เพราะเตรียมการคำพูดมาเป็นอย่างดี

“ไม่จริง! ไม่จริงเลยสักคำเดียว!”

ทรงธรรมตะโกนเถียง ผุดลุกขึ้นหมายจะไปมองหน้าไอ้คนโกหกหน้าด้านๆ นั่นให้ชัดๆ แต่ก็ถูกกดตัวเอาไว้ในทันที

“ท่านตลาการขอรับ เป็นเพราะแม่อุ่น เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นคนบอกให้กระผมเขียนใบสั่งยานั่น แล้วมันก็เป็นแค่ยาอ่อนๆ ปรุงให้คนป่วยได้พักผ่อนมากๆ...”

แล้วทรงธรรมก็จำต้องหันไปทางบุตรสาวของเจ้าคุณอเนกคุณากร

“แม่อุ่น แม่อุ่นบอกท่านตลาการไปทีเถิด ว่าเป็นแม่อุ่นบอกให้พี่เขียนใบสั่งยา”

“จำเลยเขาซัดทอดมาอย่างนี้ แม่อุ่นจะว่ายังไร”

ที่แรกอุ่นเรือนก็ทำเป็นหูทวนลม แต่พอท่านตลาการช่วยย้ำ หล่อนจึงเริ่มเปิดปาก

“ท่านตลาการเจ้าคะ ตอนนั้นดีฉันขอให้ชายคนนี้สั่งยาให้แม่แววก็จริง แต่...”

พูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็ทำท่าสั่นกลัว ยกมือขึ้นกุมหัวใจตน แสดงให้ทุกคนเห็นว่ากำลังปลอบตัวเองอย่าให้ตื่นเต้นจนเกินไปนัก ซ้ำคำต่อมายังปรุงน้ำเสียงให้หวาดหวั่น

“แต่... แต่ดีฉันก็ไม่คิดว่า เขาจะอำมหิตคิดไม่ซื่อ ใจคอโหดเหี้ยมราวกับยักษ์มาร”

หล่อนเค้นน้ำตาออกมาได้สองสามหยด แลดูน่าเชื่อถือยิ่งนัก ว่ายังตระหนกกลัวอยู่ไม่รู้คลาย

“แม่อุ่นๆ ไยแม่อุ่นพูดยังนั้น”

ทรงธรรมแทบหมดแรง นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าพูดจาได้ถึงอย่างนั้น

“ไอ้ทรงธรรม!”

ตลาการตวาดก้อง ชี้หน้าเขาเป็นคำรบที่สอง

“พยานแน่นหนา หรือจะมีข้อแก้ตัวอะไรอีก!”

ทรงธรรมรู้สึกตัวว่าทั้งร่างสั่นสะท้าน ทั้งเพราะคับแค้น ทั้งเพราะน้อยเนื้อต่ำใจที่ช่างเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ ในหัวนั้นพยายามคิดหาหนทางเอาตัวเอาให้ได้

“ท่านตลาการขอรับ กระผมถูกใส่ร้ายป้ายสี ขอได้โปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วน อ้อ!... จริงสิขอรับ ถ้าท่านหาใบสั่งยานั่นเจอ นั่นละขอรับที่จะพิสูจน์ว่ากระผมไม่ได้ฆ่าคนตาย”

ประโยคท้ายๆ เป็นความคิดที่เพิ่งวาบขึ้นในหัว คล้ายแสงสว่างที่ถูกจุดติดขึ้นในที่มืด เพราะนั่นเป็นหลักฐานสำคัญที่จะได้เห็นว่า มีตัวยาพื้นๆ เพียงไม่กี่ขนานที่เขาเขียนให้

และการเรียกหาหลักฐานสำคัญชิ้นนี้ ก็ทำให้ทรงธรรมได้เห็น ว่าอุ่นเรือนหน้าซีดเผือดลงไป ก็ควรเป็นอย่างนั้น เพราะหล่อนก็เห็นเขาเขียนเองกับมือ

“จ่าบ้าน! ไอ้นี่มันหัวหมอ แค่พยานบุคคลไม่ยอมรับ ยังกล้าเรียกหาพยานหลักฐาน ที่ข้าให้มันสารภาพ โทษหนักจะได้เป็นเบา แต่นี่มันไม่สำนึก จ่าบ้านไปเอาหลักฐานนั้นมา!”

เสียงของท่านตลาการยังองอาจ มั่นใจเหลือเกินว่า ทั้งพยานทั้งหลักฐานล้วนเพียบพร้อม ไม่มีเสียหรอกที่เจ้าหนุ่มนี่จะหลุดรอด แล้วตนก็จะได้สินบนก้อนโตจากคนฟ้องร้อง

จ่าบ้านนำหลักฐานสำคัญที่เตรียมพร้อมไว้แล้วออกมาทันที ทรงธรรมพยายามสังเกตปฏิกิริยาของสองพ่อลูก เห็นว่าคนพ่อตีหน้านิ่ง ขณะที่บุตรสาวเริ่มหันรีหันขวาง

“กระดาษแผ่นนี้ใช่หรือไม่”

ตลาการชูกระดาษให้ดูแต่ไกล จนทรงธรรมต้องร้อง

“ท่านตลาการ ขอให้กระผมได้ดูใกล้ๆ เถิดขอรับ”

“เอาไป ให้มันดูเสียให้สิ้นสงสัย!”

จ่าบ้านนำกระดาษใบสั่งยามาให้ตรวจสอบ ทรงธรรมจำลายมือตัวเองได้แน่นอน ตัวยานั้นมีแปดเก้าขนาน เขียนเรียงลงไปด้วยลายมือสวยงาม ไม่ทันจะอ่านจบ เสียงตลาการก็กระชั้นถาม

“ใช่ที่เอ็งเขียนหรือไม่!”

“ชะ... ใช่ขอรับ...” พลันสายตาก็ตวัดไปถึงบรรทัดสุดท้าย

“...แต่!... ไอ้อันสุดท้ายนั่น!”

ไม่ทันจะพูดอะไรอีก จ่าบ้านก็ดึงกระดาษให้พ้นจากสายตา ทรงธรรมตกใจหนัก เพราะตัวยาสุดท้าย แม้ลายมือจะคล้าย แต่เจ้าตัวย่อมรู้ว่าไม่ใช่ลายมือตน ที่สำคัญมันเขียนเครื่องยาอีกตัวว่า...

...ดอกลำโพงแห้ง ๔ บาท...

ก็ดอกลำโพงนั้น ถ้ารับเพียงน้อยนิดก็จะออกฤทธิ์ทำให้เคลิ้มฝัน แต่ถ้าจ่ายน้ำหนักแห้งถึงสี่บาท ย่อมมีอันตรายถึงชีวิต!

“ท่านตลาการ! ใบสั่งยานั่นเป็นของกระผม แต่กระผมไม่ได้ให้จ่ายดอกลำโพง ใบสั่งนั้นถูกแก้ไข”

ระหว่างให้เหตุผลก็นึกขึ้นได้ ว่าสองพ่อลูกคงวางแผนตั้งใจเอากับเขาให้ถึงตาย จึงได้สร้างหลักฐานเท็จเช่นนี้ อีกทั้งลายมือก็ใกล้เคียงแทบแยกไม่ออก นั่นก็คงใช้ที่เขาเคยคัดลายมือตอนแข่งกันกับหลวงธำรงราชอาสน์ อาลักษณ์ในวังหลวงผู้นั้น

ผู้เป็นใหญ่ในศาลยังรักษาอาการได้เคร่งขรึมน่าเกรงขาม แม้จะถูกจำเลยแก้ต่างเช่นนั้น ก็ไม่หวั่นไหน หันไปน้อมศีรษะให้เจ้าคุณอเนกอีกครั้ง เป็นทีว่าให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติม

“ทีแรก กระผมก็ไม่อยากจะเชื่อถือ แต่เพราะมันร่ำเรียนอยู่ที่สำนักเดียวกับลูกสาวของกระผม จึงได้ยอมให้ไปจ่ายยาตามตำรับนั้น กระผมก็พอรู้ตำรายาอยู่บ้าง แต่มันอ้างว่าเป็นสูตรเฉพาะของทางบ้านมัน กระผมก็จนใจจะขัดแย้ง”

เจ้าคุณเอนกตีหน้าซื่อ พอจบคำยังหันไปให้บุตรสาวพูดอะไรเพิ่มเติม

“ดีฉันก็ไม่เคยนึกว่าเขาจะโหดเหี้ยมอำมหิตถึงปานนี้ ปกติก็ทำท่าทางซื่อๆ โง่ๆ นึกไม่ถึงว่าแท้ที่จริงเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ มีนิสัยลึกๆ ร้ายกาจยิ่งกว่ามหาโจร”

แววตาของอุ่นเรือนที่ส่งมายังเขานั้น ทรงธรรมอ่านได้ชัด ว่าหล่อนสาสะหัวใจเพียงไร กับการกำลังได้แก้แค้นที่เขาบอกเลิกศาลา

“แม่อุ่นๆ... ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ ไม่คิดเลย พี่ไม่คิดเลย!”

ทรงธรรมแสนแค้นอัดอก นัยน์ตาร้อนผ่าว กรามขบกันจนปวดร้าวไปทั้งสองแก้ม รู้สึกถึงเส้นเลือดที่เดือดดาลจนเต้นตุบๆ อยู่สองข้างขมับ

“ไอ้นี่มันปากแข็งนัก! มีทั้งพยานบุคคล มีทั้งหลักฐานแน่นหนายังไม่ยอมรับ ในศาลเช่นนี้ยังกล้ากำเริบเสิบสาน ถ้าไม่เจ็บตัวจะไม่รู้สำนึก พะทำมะรง โบยมันสองยกเสียก่อน โทษฐานตั้งตัวเป็นหมอยาโดยไม่ได้รับอนุญาต!”

ทรงธรรมตะลึง ไม่คิดมาก่อนว่าโทษเช่นนี้ก็มีด้วย ส่วนที่โบยสองยกนั้นก็มากถึงหลายสิบที

เขาถูกพะทำมะรงผลักลงไม่ปรานี ให้คว่ำหน้าลงกับพื้นแล้วเริ่มโบยด้วยหวายโดยทันที ทรงธรรมรวดร้าวไปทั้งแผ่นหลัง แต่ละเฟี้ยวแต่ละขวับ ล้วนรู้สึกได้ว่ากระทบเนื้อจนเนื้อแตก ความเจ็บแสบแผ่กระจายไปทั้งตัว เมื่อบวกกับยังไม่หายดีกับที่ถูกพวกนักเลงอันธพาลรุมทำร้าย ถูกโบยไปได้สักยี่สิบกว่าที ก็มีอันถึงกับสลบไป





ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ล้วนอยู่ในสายตาของหมอเกตุอาคม เขาเห็นชัดเจนว่า คนทั้งหมดล้วนสมรู้ร่วมคิด รุมกันทำร้ายเอาผิดกับคนไร้หนทางต่อสู้เพียงคนเดียว ผู้หญิงจิตใจร้ายกาจที่ชื่ออุ่นเรือน ก็มีสีหน้าสะอกสะใจจนเห็นได้ชัด ขณะที่เจ้าคุณอเนกคุณากรก็นั่งวางท่าดูการลงโทษคนไร้ความผิดได้อย่างสบายอารมณ์

ตอนที่ทรงธรรมแน่นิ่งไปนั้น หมอผีหนุ่มก็ตกใจ คิดว่าเขาจะตายเสียแล้ว

“มันสลบไปแล้วขอรับ”

คนโบยตะโกนบอกแก่ท่านตลาการ ซึ่งหมอเกตุยังเห็นว่า ผู้เป็นใหญ่ในศาลยังหันหาเจ้าคุณอเนกเหมือนขอคำปรึกษา พอเจ้าคุณพยักให้ จึงค่อยหันกลับมาประกาศให้ได้ยินทั่วกันว่า

“เอามันไปขัง! ฟื้นขึ้นมาต้องโบยต่อให้ครบ อีกสามวันค่อยกลับมาพิจารณาคดี!”


*****************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 เม.ย. 2555, 15:26:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 เม.ย. 2555, 15:26:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1502





<< บทที่ ๑๔   บทที่ ๑๖ >>
pseudolife 1 เม.ย. 2555, 16:35:34 น.
นี่แหละหนา เผลอไปข้องเกี่ยวกับคนพาล
โหดร้ายกันเสียจริง รออ่านตอนต่อไปจ้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account