ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๖





ตั้งแต่ที่เห็นทรงธรรมถูกโบยจนสลบไปต่อหน้าจนกระทั่งตอนนี้ หมอเกตุอาคมไม่สบายใจเลย ยิ่งเมื่อตอนเย็น ท่านเศรษฐีที่มีลูกสาวขวัญหายนอนนิทราไม่รู้ตื่น รีบให้คนมาตามไปพบ เพราะอยู่ๆ อาการคล้ายคนนอนหลับนั้น ก็กลับน่าเป็นห่วง ห้วงหายใจช้าลงและตรวจหาชีพจรแทบไม่ได้

กว่าจะทำพิธีปัดเป่า รวมทั้งสวดมนตราคาถามากมาย จนครบที่ท่านเศรษฐีนั้นอยากจะให้ลูกสาวได้ฟัง ก็เลยเวลาเข้าไต้เข้าไฟไปแล้ว แม้จะได้เงินมาอีกไม่น้อยจากการนั้น หมอเกตุก็ยังรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะกับการที่ไม่รู้ว่า พวกผีๆ ที่เรือนตึกจะทราบหรือยังว่า ตอนนี้ชะตากรรมของทรงธรรมเป็นอย่างไร

ระหว่างเดินทางกลับยังตำหนักเทพอาคม หมอเกตุยังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แค่ลมไหวใบไม้พลิก ตองแห้งเคลื่อนกรอบแกรบ กระทั่งเหลือบเงาของตนเอง ยังทำให้เขาตกผวา ต้องระแวดระไวกับแสงเงารอบตัวในค่ำคืนอันมืดมิด

อาการวิตกจริตค่อยคลี่คลายก็เมื่อได้เห็นเรือนที่พัก เขาก้าวเท้าให้เร็วขึ้น แต่จิตสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จึงหยุดตัวเองไว้แค่ตรงซุ้มรั้ว ค่อยชะโงกเข้าไปก็เหมือนเห็นมีเงาใครตะคุ่มอยู่ ก็ถอนหายใจยาว บอกกับตัวเองว่า ลางสังหรณ์ไม่น่าจะมาแม่นยำเอาตอนนี้

หมอผีหนุ่มหลับตาเพื่อตั้งสติและเรียกกำลังใจ ก่อนจะระบายลมหายใจอีกครั้ง ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตอนเองมากขึ้น จึงคิดว่าเป็นไงก็เป็นกัน

ทว่าพอลืมตาก็ต้องตกใจหนัก

ผีเรือนตึกสามสี่นางมายืนขวางอยู่ตรงหน้า!

หมอเกตุหันหนีทันที

แต่แล้วผีตนที่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่ากลับยืนอยู่ตรงนี้อีกสอง!

“ข้าบอกแล้วยังไรเล่า อย่าโผล่มาอย่างนี้ ให้สุ้มให้เสียงกันเสียหน่อยไม่ได้รึ!”

คนถูกผีมาดักรอบ่นพึม ต่อให้คุ้นเคยกันแค่ไหน เขาก็ยังทำใจไม่ค่อยได้สักที

“เราขอโทษ แต่มันจำเป็น”

เสียงของแสงเพ็งเศร้าสร้อย และเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้น ทำให้คุณแสซึ่งยืนอยู่ข้างกันต้องเป็นฝ่ายพูดหลังจากที่ชายหนุ่มเริ่มตั้งคำถาม

“พวกแม่เจ้าประคุณทั้งหลาย ยกขบวนมากันถึงนี่ทำไมขอรับ”

“เราอยากมาขอร้องให้ท่านช่วย... ช่วยพ่อธรรม์”

“ใช่ค่ะ ช่วยพี่ธรรม์ได้ด้วยนะเจ้าคะ”

เหมือนห้วงความคิดของแสงเพ็งจะมีอยู่แต่ทรงธรรม พอได้ยินชื่อถึงได้รีบสนับสนุน

“ข้าน่ะ ไปดูเขาไต่สวนพิจารณามาแล้ว เห็นแล้วว่าเป็นยังไง... มีหรือที่ไม่อยากจะช่วยเขา แต่ก็จนใจ... เพราะว่า...”

“เพราะว่าอะไรคะ”

แสงเพ็งเร่งเร้า รู้สึกว่าคำพูดจาของหมอผีหนุ่มไม่ทันใจเอาเสียเลย

“ก็พี่ธรรม์มีเรื่องกับคนที่มีเงินมีอำนาจ ต่อให้เขาถูกใส่ร้าย เราก็ไม่มีทางจะช่วยเหลือ”

ขนาดคนพูดเองยังสะเทือนใจอยู่นัก เพราะที่ว่ามานั่น มันคือความจริงที่แสนเจ็บปวด

“แล้ว... เราจะทำอะไรได้บ้าง!”

แสงเพ็งยิ่งวิตกหนัก ใจรอนๆ จนต้องอาศัยเกาะแขนคุณแสเอาไว้

“ก็... จริงสิ มีวิธีหนึ่ง นอกจากวิธีนี้แล้วก็ไม่มีอื่น เรา... เราต้องหาผู้ร้ายตัวจริงมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอื่น โทษฐานฆ่าคนตาย มีแต่จะต้องตายตกไปตามกัน”

“แต่ฆาตกรตัวจริงคือพวกบ้านเรือนไทย เอ่อ... เป็นตัวเจ้าคุณเองด้วยซ้ำ!”

คุณแสเองเดิมนั้นหวาดวิตกอยู่ไม่น้อย ยิ่งพอได้ยินหนทางออก ก็ยิ่งแทบอับจน เพราะแสงสว่างปลายอุโมงค์นั้น น้อยนิดริบหรี่ ซ้ำยังไม่รู้ว่าแสงนั้นจะพอเป็นช่องทางให้เอาตัวรอดได้หรือไม่

คำพูดของคุณแสทำให้หมอเกตุมีสีหน้าแปรไป เขาครุ่นคิดพร้อมกับตั้งคำถาม

“คุณแสรู้ได้อย่างไรขอรับ”

“คือ... จะพูดไป ที่จริงเรื่องนี้น่าจะเกิดจากข้าเองด้วยซ้ำ...”

คนพูดหันไปพยักให้แสงเพ็งนิดหนึ่ง ทั้งขอความเห็นใจและขอให้เข้าใจ




บรรยากาศในคุกมืดมัวหม่น ไม่ใช่กรงท่อนไม้ หรือเรือนมุงจากในรอบรั้ว อย่างในสมัยก่อน แต่เป็นเรือนตึกชั้นเดียวก่ออิฐแข็งแรง ทั้งทึมทึบและอับชื้น ส่วนหน้าเป็นห้องรวมมีนักโทษนอนเรียงกันระเกะระกะ เพราะเวลานี้เป็นตอนค่อนดึก

แต่ผู้คุมพาหมอเกตุอาคมเดินลึกเข้าไปอีก เลยจากห้องใหญ่เข้าไปเป็นห้องซอยเล็กๆ มีประตูลูกกรงเหล็กแข็งแรงแน่นหนา ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นห้องขังเดี่ยวของผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์

ทรงธรรมนอนพังพาบคว่ำหน้าอยู่ในห้องหนึ่ง ทั้งที่พื้นนั้นส่งกลิ่นชื้นฉุนรุนแรง แต่เพราะความบาดเจ็บทั่วแผ่นหลัง ทำให้เขาต้องนอนอยู่ในท่าทางอันน่าสังเวช

หมอเกตุยื่นอัฐให้ผู้คนทั้งสองคนละไม่น้อย ก่อนจะย้ำกับพวกเขา

“กระผมขอเวลาไม่นานขอรับคุณท่าน”

ทั้งสินบนในมือ ทั้งคำยกย่อง ทำให้สองผู้คุมพอใจ กระนั้นก็ยังต้องกำชับ

“อย่าเสียงดัง อย่าเสียเวลา”

แล้วก็พากันเดินห่างออกไปเพื่อช่วยดูต้นทาง

สภาพโดยรอบไม่ได้เงียบสงัดเสียทีเดียว เพราะยังมีเสียงครวญครางของผู้ต้องหาที่บาดเจ็บป่วยไข้ เสียงกรนเสียงละเมอของใครต่อใครตามห้องขังอื่นๆ

หมอเกตุสะกิดเรียกให้ทรงธรรมลืมตาตื่น

“พี่ธรรม์ พี่ธรรม์...”

ต้องเรียกอยู่หลายคำก่อนที่เขาจะค่อยรู้สึกตัว

พอทรงธรรมเห็นหน้าว่าคนปลุกเป็นหมอเกตุอาคม ก็ผุดลุก

“ไอ้หมอ มาได้ยังไร”

เสียงนั้นแหบแห้ง แต่ก็ฟังรู้ว่าดีใจนัก

“ขอร้อง ช่วยข้าออกไปทีเถอะ นะไอ้หมอ ช่วยข้าด้วย!”

เวลานี้ความคิดอ่านของทรงธรรมมีอย่างเดียว คือเรื่องที่ร่ำร้องอ้อนวอนอยู่นี่เอง

“แล้วพี่ธรรม์เป็นอย่างไรบ้าง”

“มันก็ปลุกให้ฟื้น โบยจนครบที่สั่งนั่นละ ทั้งๆ ที่ ท่านตลาการก็น่าจะรู้ว่าข้าถูกใส่ร้าย สองคนพ่อลูกนั่นอำมหิตเหลือเกิน”

ความเจ็บปวดของคนพูดยังไม่จางหาย แค่ขยับตัวนิดเดียวก็รู้สึกรวดร้าวไปทั้งตัว จะคิดว่าเป็นเพราะบาปกรรมที่เคยทำไว้ก็เกินจะคิด แม้จะพยายามปลงเสียว่าเป็นคราวเคราะห์หามยามร้าย แต่สถานการณ์ที่ต้องเผชิญอยู่นี้ก็เกินที่จะรับไหว

“ก็ข้าเคยบอกพี่ธรรม์แล้ว มีปัญหากับใครอื่นนั้นไม่เท่าไหร่ แต่นี่กลับกล้ามีปัญหากับพวกเจ้าใหญ่นายโต...”

“ขอร้องละไอ้เกตุ ได้โปรด จะให้ข้าไหว้หรือให้ข้ากราบก็ยอม ช่วยข้าออกไปจากที่นี่ด้วยเถิดนะ”

มีหรือที่สิ่งที่หมอเกตุพูดออกมานั่น ทรงธรรมจะคิดไปไม่ถึง แต่ในเมื่อตกมาอยู่เสียตรงนี้แล้ว ก็ป่วยการจะพูดอะไรได้อีก

“มันยากน่ะสิพี่ธรรม์ เจ้าคุณทั้งมีเงินมีอำนาจ นี่ไม่รู้ว่าติดสินบาทคาดสินบนคนของศาลไปหมดแล้วหรือเปล่า”

“หรือว่าจะต้องมาตายเพราะถูกใส่ร้ายป้ายสีอย่างนี้”

“พี่ธรรม์ ข้ายังไม่รู้จริงๆ ว่าจะช่วยเหลือพี่ยังไร ตอนนี้ก็มีแค่ไอ้นี่...”

หมอเกตุล้วงร่มคันเล็กออกมาจากย่าม ทรงธรรมจำได้ทันทีว่าเป็นร่มคันที่แสงเพ็งใช้อยู่เป็นประจำ

คนต้องติดอยู่ในคุก เดาไม่ออกว่าหนุ่มรุ่นน้องเอาร่มนี้มาให้ทำไม แต่ใจก็ชื้นขึ้นว่า อย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนคุย หรือคนคอยปลอบโยนดูแล

“ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องไปก่อนละนะ จะลองกลับไปหาหนทางดูอีกที พี่ธรรม์อยู่ทางนี้ก็รักษาเนื้อรักษาตัว ทำใจดีๆ เอาไว้ก่อน”

พูดจบหมอเกตุก็เรียกผู้คุมให้กลับมารับ ทั้งหมดพากันออกไป เหลือทิ้งไว้แต่ความเงียบงันอ้างว้าง อย่างที่ทรงธรรมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยในชีวิต

น้ำตาเกือบใจไหลออกมาอีกครั้ง ตอนนึกถึงวาระสุดท้ายของตนเอง ที่ใกล้จะมาถึงเต็มที ซ้ำร้ายยังเป็นวาระสุดท้ายที่จะถูกตีตราบาป บันทึกไว้ชั่วลูกชั่วหลานว่า เขาเป็นผู้ร้ายบ้าตัณหาที่ฆ่าคนตาย

ร่มคันเล็กสั่นน้อยๆ ให้ทรงธรรมรู้สึกได้ เขารีบกางร่มออกทันที ใจหวังว่าจะได้เจอผู้อยากพบมากที่สุดในเวลานี้

แล้วแสงเพ็งก็ปรากฏ เธอขยับเข้าชิด เพื่อพิจารณาอาการบาดเจ็บของคนที่รัก

มือเล็กๆ ที่แตะลงตามบาดแผลนั้น แม้ที่จริงทรงธรรมแทบไม่รู้รสสัมผัส ทว่าหัวใจกลับอบอุ่นอย่างยิ่ง

หน้าตาที่ยังไม่คลายร่องรอยบอบช้ำจากน้ำมือของพวกอันธพาล บัดนี้ยิ่งหมองคล้ำ แสงเพ็งตระกองสองแก้มของชายหนุ่มให้หันมา พอแลสบแววตาที่แสนเศร้าและหม่นหมอง น้ำตาของผีสาวเอ่อท้นขึ้นทันที

“พี่ธรรม์ ทำไมเขาถึงทำกับพี่ถึงขนาดนี้”

แผ่นหลังของทรงธรรมนั้นช้ำยับ ผิวหนังแตกเป็นรอยหวาย เนื้อแดงๆ เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด แมลงบางอย่างกำลังไต่ชอน จนแสงเพ็งต้องช่วยปัดเป่า

“พี่ไม่เป็นไรเท่าไหร่หรอกนะแม่แสง...”

“เขาทำถึงขนาดนี้แล้วยังบอกไม่เป็นไรอีกรึคะ”

แสงเพ็งนึกโกรธไปหมด ทั้งผู้คนต้นเหตุ ทั้งเทวดาฟ้าดิน แม้กระทั่งคนที่นั่งอยู่ต่อหน้า

“แค่นี้ไม่เป็นไร มีแม่แสงมาเยี่ยมเยียนห่วงใย พี่ก็แทบจะหายเจ็บหายปวด”

ทรงธรรมพยายามฝืนกลืนความระคายขมในลำคอ ปั้นยิ้มและหน้าชื่น ตอบถ้อยความเป็นห่วงของผีสาว

“อย่างนั้นฉันจะอยู่กับพี่ธรรม์ จะคอยดูแลพี่ธรรม์เองนะจ๊ะ”

และคำนี้ก็ยิ่งชื่นใจ จนเขาแทบลืมความเจ็บปวด และเชื่อแล้วว่าความสุขในจิตใจสามารถบรรเทาความเจ็บช้ำทางร่างกายได้จริงๆ

แล้วทั้งสองก็ต้องชะงัก เมื่อมีเสียงผู้คุมดังผ่านเข้ามา

“เสียงใครคุยกันตรงไหนวะ มีผู้หญิงด้วย... มีใครแอบเข้ามาหรือเปล่า!”

ก่อนตามมาด้วยเสียงฝีเท้า เดินเร็วๆ ไล่กันเข้ามาจนถึงหน้าห้องขังของทรงธรรม

ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนตั้งแต่ได้ยินเสียงแต่ไกล ซ่อนร่มไว้ใต้ตัว ทำเป็นแน่นิ่งเหมือนคนหมดสติ จนผู้คุมทั้งสามสี่ตรวจตราจนทั่วแล้วพากันเดินกลับไป

ทรงธรรมค่อยๆ เอาร่มคนเล็ก อันมีแสงเพ็งสถิตอยู่ภายใน มากอดไว้กับตัว รู้สึกว่าอย่างน้อย แม้จะต้องจบชีวิตลงภายในเวลาอันใกล้ แต่บั้นปลายได้มีความสงบสุขในหัวใจถึงเช่นนี้ ก็ดีนักแล้ว




ศาลเทพอารักษ์ประจำตระกูลของเจ้าคุณอเนกคุณากร วันนี้ผู้คนคับคั่งคึกคัก ทั้งแขกเหรื่อทั้งญาติมิตรต่างได้รับการเชื้อเชิญ ให้มาร่วมฉลองแสดงความยินดี ในโอกาสที่เจ้าคุณผู้เป็นใหญ่ในสกุล ได้ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม

หลังเสร็จพิธีพุทธพิธีพราหมณ์ ในการสวดมนต์บูชาพระพุทธคุณและการอ่านโองการสรรเสริญปวงเทวา ก็จะเป็นกินเลี้ยงเข้าโต๊ะ อย่างที่ชาวจีนนำธรรมเนียมเข้ามาแพร่งหลายตั้งแต่สองสามรัชกาลก่อน

พวกเจ้าสัวเจ้าภาษีที่เห็นช่องทางจะได้ประจบประแจงเจ้าคุณผู้มีเกียรติยศเป็นที่ประจักษ์ จนถึงกับจะได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ ต่างพาการแสดงทั้งการเชิดสิงโตและมังกร มาร่วมแสดงความยินดีไว้ล่วงหน้า มีการจุดประทัดแสนนัด จนเสียงดังลั่นไปทั้งคุ้งน้ำ ยิ่งได้ยินเสียงประทัด ชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพากันมามุงดู จนศาลเทพอารักษ์ที่กว้างขวาง คับแคบไปถนัดตา

ตัวเจ้าคุณอเนกคุณากรเองนั้น ถึงกับตั้งแทนพิธี เพื่อการรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ และเตรียมพานแว่นฟ้าหนุนนวม สำหรับวางเครื่องราชฯ สำคัญนั้น ให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างสะดุดตา

ทั้งอุ่นเรือนและนายวงศ์ต่างก็พลอยปลาบปลื้มยินดีกันนักหนา เพราะรู้สึกคล้ายกับว่าเมฆหมอกอันอึมครึมได้ผ่านพ้นไปหมดแล้ว ต่อแต่นี้ไปท้องฟ้าอันอำไพ จะเปิดกว้างสำหรับครอบครัวของตนเองอีกครั้ง

เจ้าคุณบิดาของอุ่นเรือน ยืนยิ้มรับการทักทายของผู้ได้รับเชิญอยู่อีกนาน จนนายวงศ์เข้ามาเตือนว่า ได้ฤกษ์เปิดกรวยถวายราชสดุดี

“เนื่องในโอกาสอะไรหรือคะเจ้าคุณพ่อ”

อุ่นเรือนออกจะแปลกใจกับกำหนดการนี้

“ก็เราเป็นข้าราชบริพารที่จงรักภักดี ก็ต้องรู้จักถวายราชสดุดี สรรเสริญคุณธรรมความดีของพระองค์ซิแม่อุ่น”

เจ้าคุณอารมณ์ดีเกินกว่าจะสะกิดใจในคำถามของบุตรสาว

ทั้งนี้ก็เพราะ ทั้งหมดที่ฉลองกันนี่ ยังเป็นเพียงการฉลอง การถูกเสนอชื่อเข้ารับพระราชทานเพียงเท่านั้น

“แต่ว่า... เจ้าคุณพ่อเจ้าคะ...”

อุ่นเรือนไม่ค่อยแน่ใจในรูปการณ์เช่นนี้สักเท่าไร

“เอาน่า ก็ถือว่าซ้อมไว้ก่อน เราแสดงความจงรักภักดี ไม่จำเป็นต้องเลือกเวล่ำเวลา ไว้เครื่องราชฯ สำคัญนั่นได้รับโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อไร พ่อจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่านี้”

พูดจบเจ้าคุณอเนกก็เดินมายังปะรำพิธี ซึ่งยกพื้นสูงขึ้นไป เพื่อให้ผู้คนที่มากมายทั้งหมดนั้น ได้แลเห็นโดยทั่วกัน

เสียงสรรเสริญเยินย่อจากรอบตัว ทำให้เจ้าคุณผู้มากวัยยิ่งภาคภูมิใจ ว่าสามารถกอบกู้และสร้างเสริมชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ให้กลับมาดำรงความสำคัญได้อีกครั้ง

ระหว่างทำการเปิดป้าย “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม” แผ่นใหญ่ที่ตั้งเป็นฉากอยู่บนปะรำ เจ้าคุณยังดีใจจนน้ำตาคลอ มือไม้สั่นไปด้วยความรู้สึกว่า ความสำเร็จเหล่านี้ จะต้องมีแต่ดีเยี่ยมยิ่งๆ ขึ้นไป

อุ่นเรือนตามขึ้นไปยืนเคียงอยู่กับบิดา กระซิบแสดงความยินดีอีกครั้ง

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมของบ้านเราเลยนะคะเจ้าคุณพ่อ เห็นอย่างนี้แล้ว อุ่นชักอยากได้รับพระราชทานบ้างแล้วซี”

“จะยากอะไร สายสนกลในทางสมเด็จบ้านฟากข้างโน้น เราก็มีอยู่ไม่น้อย จะตราดาราฝ่ายหน้าหรือฝ่ายใน ก็ล้วนไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมถึง”

กับบุตรสาว เจ้าคุณอเนกไม่จำเป็นต้องมีเรื่องใดปิดบังอำพราง กับการถูกเสนอชื่อครั้นนี้ก็เช่นกัน มีเพียงสองสามคนเท่านั้น ที่รู้ว่าต้องวิ่งเต้นกันอุตลุดถึงแค่ไหน

“ต่อนี้ไปพ่อคงตายตาหลับ ได้ตราตั้งมาล้างมลทิน ชำระรอยด่างพร้อยที่คนรุ่นก่อนทำเอาไว้ได้หมดแล้ว จากนี้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว”

นี่คือสิ่งเดียวที่เจ้าคุณมุ่งหวังมาทั้งชีวิต พยายามหาสารพัดหนทางมาตลอดตั้งแต่หนุ่มจนเข้าวัยชรา

“นับว่าความพยายามมาตลอดชีวิตของเจ้าคุณพ่อก็ประสบความสำเร็จแล้ว”

“ถูกต้อง และนับจากนี้ เราก็จะไม่ให้ชื่อเสียงที่ได้คืนมานี้ ต้องด่างพร้อยมัวหม่นลงไปอีกเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”

“อุ่นเป็นลูกเจ้าคุณพ่อ มีหรือคะที่จะขัดขืน”

บรรยากาศยังอยู่ในความปรีดาปราโมทย์ จนมีการเล่าลือกันว่า อาจจะมีฉลองอย่างนี้ไปจนถึงวันรับพระราชทานเลยก็เป็นได้ ซึ่งพอเจ้าคุณอเนกได้ยิน ก็ยิ่งยิ้มยินดี เพราะแสดงว่าผู้คนจะต่างโจษจันกันต่อๆ ไป ว่างานพิธีของคนบ้านนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน

เมื่อถึงเวลาเข้าโต๊ะสำหรับมื้อเที่ยง เจ้าคุณอเนกก็ขึ้นปะรำอีกครั้ง คราวนี้เป็นการประกาศขอบคุณและเชิญร่วมรับประทานอาหาร

“เราถือว่าวันนี้เป็นการขอบอกขอบใจ ในน้ำใจไมตรีที่มีให้แก่กัน ขอให้ทุกคนดื่มกินให้อิ่มหนำสำราญ...”

แล้วอยู่ๆ หนึ่งในผู้คนที่เบียดแทรกอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ตะโกนแทรกขึ้นมา

“ยินดีด้วยขอรับ ยินดีด้วยจากใจจริง!”

เสียงนั้นเป็นของหมอเกตุอาคม ที่น้ำเสียงแสดงออกชัดเจน ว่าทั้งเย้ยหยันและประชดประชัน

“ขอบใจ”

เจ้าคุณอเนกต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้

“เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม”

หมอผีหนุ่มทำเป็นอ่านป้ายอักษรที่ใช้เป็นฉากหลัง ด้วยเสียงอันดังในน้ำเสียงแบบเดิม ก่อนที่จะปรับกลับมาทำเป็นครุ่นคิด ขณะที่คนรอบข้างเขาเริ่มขยายวงห่างออกไป

“...กลัวแต่... มันจะไม่ได้เหมาะสมกับเกียรติยศยิ่งน่ะซี...”

“ใช่!..” เจ้าคุณกระแทกเสียง “...หมอเกตุอาคมพูดถูกต้อง เครื่องราชฯ อันมีเกียรติยศยิ่งนี้ ไม่ใช่ใครๆ ก็จะรับเอาไว้ได้ แต่ก็นั่นละ ตัวข้าถึงได้รับการเสนอชื่อยังไรเล่า แล้วที่เอ็งมาพูดอย่างนี้ หรือเพราะคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่องเกียรติยศดีกว่าใคร”

ผู้มากวัยเย้ยใส่กลับมาบ้าง

“ไหนเอ็งลองว่ามาซิ ว่าเกียรติยศอย่างไรบ้าง ที่ต้องมีประดับไว้กับตน”

“ข้าก็ตั้งใจอย่างนั้นละท่านเจ้าคุณ เพียงแต่ว่า... บางเรื่องนั้นไม่เหมาะจะพูดต่อหน้าคนอื่น”

“ตัวข้า เจ้าคุณอเนกคุณากรเป็นคนทำอะไรเปิดเผย ในเมื่อเอ็งต้องการอย่างนั้นได้ได้... ไอ้วงศ์พาแขกเหรื่อญาติมิตรไปที่กระโจมจัดเลี้ยง ข้าจะคุยธุระกะไอ้หมอผีนี่สักประเดี๋ยว”

คำท้าย เจ้าคุณหันไปสั่งกับบ่าวคู่ใจ ก่อนที่จะเดินนำหมอเกตุอาคม ให้ตามเข้ามาในร่มศาลเทพอารักษ์

“เอ้า! มีอะไรก็ว่ามา คนหยั่งข้าไม่มีเวลากับเรื่องไร้สาระอะไรของเอ็งมากนัก”

พอลับหลังผู้คน น้ำเสียงและท่าทางของเจ้าคุณผู้มากวัยก็เปลี่ยนไปทันที แต่หมอเกตุยังตีหน้านิ่ง พูดจาเป็นการเป็นงานด้วยเสียงขรึมๆ

“ข้ารู้ว่าพี่ธรรม์เป็นคนไม่มีหลักมีฐาน ทำอะไรอาจหุนหันพลันแล่น คงทำให้ท่านเจ้าคุณกับคุณอุ่นเรือนไม่พอใจไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าอะไรนัก เหตุไรถึงจะต้องจองล้างกันให้ถึงตาย”

ตลอดคำพูดของชายหนุ่ม อุ่นเรือนเบือนหน้าหนีไปเสียทางหนึ่ง ขณะผู้เป็นบิดาก็ทำเป็นฟังไปอย่างนั้นๆ เหมือนแค่ได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบหู

รอจนหมอเกตุพูดจบ เจ้าคุณผู้มากวัยก็ว่า

“มันจะดีเลวอย่างไรไม่เกี่ยวกับข้า แต่การฆ่าคนตาย ก็ควรต้องตายตกไปตามกัน”

“ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตงั้นหรือขอรับ ดี... ท่านพูดได้ดีมาก”

หมอเกตุตั้งใจมาแล้วว่า อย่างไรวันนี้ก็ต้องพูดจากันกับสองพ่อลูกนี้ให้รู้เรื่อง เพราะคดีฆาตกรรมร้ายแรง ที่ทรงธรรมถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรนั้น ทั้งหมดก็ล้วนขึ้นอยู่กับคนตรงหน้านี้คนเดียว

“ไม่เกี่ยวกับพูดดีหรือไม่ดี มันคือกฏหมายบ้านเมือง ใครทำผิดก็ต้องรับกรรมไปตามผิด”

เจ้าคุณยังพูดต่อไป ด้วยท่าทีไร้ความเกรงกลัวต่อรอยพิรุธใดๆ ทั้งสิ้น จนหมอเกตุต้องหัวเราะออกมาดังๆ ขันนักกับความหน้าตายด้านชา ของตาเฒ่าร้ายกาจผู้นี้

“ฮ่าๆ... ตระกูลคุณากรเป็นสกุลใหญ่ ข้าไม่เคยนึกเลยว่าที่แท้แล้วก็เป็นพวกจอมปลอมทั้งนั้น”

หมอผีหนุ่มดับเครื่องชนแบบตายเป็นตายเลยทีเดียว

คราวนี้เป็นอุ่นเรือนที่อดรนทนไม่ได้ ต้องออกหน้ารับแทนบิดา

“เอ็งพูดอะไร พูดจาสุนัขไม่รับประทานอย่างนี้ ข้าจะฟ้องร้องเจ้าอีกคน”

ทั้งนี้เพราะที่ผ่านมาอุ่นเรือนได้รู้ตัวว่า ทำตัวไม่เหมาะสมไปมาก เวลานี้จึงต้องทำตัวเป็นการไถ่โทษ โดยเฉพาะเรื่องเกียรติยศชื่อเสียง ที่มาถูกลบหลู่กันเช่นนี้ หากหล่อนได้เถียงแทน ผู้เป็นบิดาคงจะนึกชื่นชมขึ้นอีกมาก

“หลบหลู่ดูหมิ่นใครไม่ว่า มาเล่นกะคนบ้านข้า เงาหัวจะกระเด็นหายไม่รู้ตัว”

หญิงสาวยังย้ำ สีหน้าสีตานั้น เหยียดหยามคนมาร้องของความเป็นธรรมอยู่เต็มที่

“แล้วถ้าเป็นพวกขุนน้ำขุนนาง หาความใส่ร้ายประชาชน แม่อุ่นก็รู้นี่ว่าจะถูกปรับตามศักดินาอย่างไร เรื่องเสียอัฐเสียฬสคงไม่เท่าไหร่ รู้ถึงไหนคงอายเขาไปถึงนั่น ที่ว่าผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย...”

หมอเกตุยังพยายามต่อไป เท่าที่ความรู้ยังพอมี

“...ตัวแม่อุ่นเองก็รู้ทั้งรู้ว่าพี่ธรรม์ไม่ได้ฆ่าใครตาย แต่ยังกล้าพูดออกมานะ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่คิดหรือว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกอกตัญญู”

คำท้ายเขามองเลยไปยังบิดาของหล่อน เป็นสัญญาณให้รู้ว่า เรื่องนี้หากปราศจากเส้นสายใหญ่โต ชาวบ้านชาวช่องเขาก็รู้กันทั่วว่าแท้จริงคดีนี้เป็นฝีมือของใคร

“ในเมื่อพี่ธรรม์ไม่ได้ฆ่าใครตาย ไปกล่าวหาเขา ไม่เรียกว่าหาความใส่ร้าย ไม่เรียกว่าพวกมีเกียรติคุณจอมปลอมแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร”

“อ๋อออออ!...” อุ่นเรือนลากเสียงยาว หลังจากนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “...แสดงว่าที่มาวันนี้ จะมาเรียกร้องความเป็นธรรมแทนประชาชน อย่างนั้นซีนะ”

“ข้าไม่ได้มาขอความเป็นธรรมให้ใคร ที่มาวันนี้ แค่อยากจะด่าพวกเจ้าใหญ่นายโตก็แค่นั้น!”

คนพูดกระแทกเสียงใส่หน้าหญิงสาว ที่ยืนเชิดอยู่อย่างหยิ่งผยอง

“เชอะ! ไอ้พวกลวงโลกต้มตุ๋นอย่างเอ็งน่ะรึ จะมีหน้ามาด่าว่าใครๆ ได้... เขาก็รู้กันทั่วว่า เอ็งน่ะมันพวกจอมปลอม ทำท่าทำทางหลอกลวงชาวบ้านไปวันๆ ได้เงินเขาไปแล้ว เคยช่วยอะไรใครเขาได้บ้าง วันดีคืนดีก็อ้างผีอ้างสาง งัดอะไรไม่รู้ออกมาหลอกขาย...”

อุ่นเรือนก็ใส่เป็นชุด ไม่เกรงกลัวเลยกับคนที่เคยมีชนักปักหลังอยู่เช่นนี้

“คนอย่างเอ็งน่ะหรือจะมีน้ำหน้ามากล่าวหาพวกเรา แค่จะเดินเงยหน้าเงยตาตามถนนหนทางยังแทบไม่กล้า”

“ข้าก็เพิ่งเห็นวันนี้ละ ว่าแท้จริงแล้วแม่อุ่นเป็นคนชนิดไหน”

“เอ็งน่ะสิเป็นตัวอะไร!”

“พอ... พอได้แล้ว...” เมื่อเห็นว่าจะทะเลาะกันใหญ่โต เจ้าคุณอเนกก็ต้องห้ามทัพ

“ที่นี่เป็นศาลเทพอารักษ์ ไม่ใช่ตลาดช่องกุด จะได้มาโวยวายใส่กันอย่างนี้ ไหน... ไอ้หนุ่ม เอ็งพูดมาซิ ที่มาถึงนี่ เพื่อจะขอร้องแทนไอ้ทรงธรรมนั่นใช่หรือไม่”

“ข้าไม่ได้มาขอร้อง แต่อยากให้เจ้าคุณคืนความยุติธรรมให้เขา”

“ถ้าเรื่องนี้ เอ็งไม่ต้องมาหาข้า คดีของไอ้ทรงธรรม ข้าเป็นพยานไม่ใช่ตลาการ ถ้าอยากจะแก้ตัวอะไรกัน ก็ไปที่ศาลหลวง ไม่ใช่ที่นี่”

ตอนจบคำ เจ้าคุณยื่นมือออกมาหมายจะเชิญให้หมอเกตุกลับไปเสียที แต่กลับถูกชายหนุ่มผลักมือ

“ไม่ต้องมาเล่นสำนวนยอกย้อนกับเรื่องพรรค์นี้ ใครทำอะไรมันต้องรู้อยู่แก่ใจ เรื่องของพี่ธรรม์มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล แม่แววตายอย่างไรแน่เจ้าคุณนั่นละต้องรู้ดีที่สุด อย่าให้ข้าพูดมากดีกว่า... ข้าจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ อันความชั่วความเลวน่ะ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ ก็มีหนทางเดียว คือไม่ทำชั่วทำเลว หิริโอตัปปะน่ะรู้จักหรือไม่”

ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนเชือดเฉือน และเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของทั้งสองพ่อลูก จนในที่สุดเจ้าคุณอเนกคุณากรก็อดทนอยู่ต่อไปไม่ได้

“ไอ้หนุ่ม! เอ็งมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น กลับไปหลอกลวงต้มตุ๋นชาวบ้านตามทางของเอ็ง เรื่องของเอ็งข้าไม่ยุ่ง เรื่องของข้าเอ็งก็อย่ามาสอด ไปซะไป๊! บอกไว้ตรงนี้เลยนะ แค่ตำหนักศาลเจ้าผุๆ นั่น ข้าจะส่งคนไปเผาทิ้งเสียเมื่อไรก็ได้!”




กระบวนการทรมานเพื่อให้ยอมรับสารภาพเริ่มขึ้นอีกครั้งตอนพลบค่ำ เป็นการผ่านไปอีกวัน โดยที่ทรงธรรมยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง หิวจนไส้แทบขาดเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน จนถูกลากมาถึงห้องใต้ดินอับๆ นี่ ก็แทบไม่มีแรงเดิน

แต่แม้จะถูกโยงไว้กับหลัก ทรงธรรมก็ยังพอจะยิ้มออก เพราะมีแสงเพ็งตามมาคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ

“ดูซิว่าจะปากแข็งไปได้สักกี่น้ำ”

ผู้คุมคนหนึ่งชี้หน้า

“เอ็งไม่ต้องมายิ้ม หรือว่าจะแกล้งทำเป็นบ้าเป็นบอ อย่าเลยวะ ยังไรก็ไม่รอด”

ที่ต้องพูดต่อมาดังนี้ ก็เพราะคนที่กำลังจะถูกทรมานกลับกำลังทำหน้าระรื่นชื่นจิต

ผู้คุมอีกคนถือแส้หางกระเบนมาตั้งท่า หมุนมือหามุมให้เหมาะๆ ตั้งใจจะให้คมเหลี่ยมแข็งของปลายหางนั้น ได้กินเลือดและเนื้อหนังของชายหนุ่มได้เต็มๆ

พอได้จังหวะก็ฟาดลงเต็มแรง โดยไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าแสงเพ็งใช้อิทธิฤทธิ์เป่าลงบนเส้นแส้เสียก่อนแล้ว ทำให้ทุกครั้งที่กระทบตัวของทรงธรรม เขาจึงรู้สึกเหมือนมีละอองสำลีปลิวมากระแทบใส่เพียงแค่นั้น

คนฟาดฟาดจนหอบ คนถูกฟาดก็ยังยิ้มได้ หัวหน้าที่ยืนกำกับการอยู่ด้วย จึงต้องสั่งให้รามือ

“เอ็งระรื่นชื่นอกชื่นใจนักใช่ไหม ชอบความเจ็บปวดละซี ดี! ข้าจะไม่ให้เอ็งได้ทรมาน เอาใบรับสารภาพมาที”

ประโยคท้ายคนหัวหน้าหันไปสั่งกับลูกน้อง

ใบรับสารภาพที่สั่งให้นำมา มีเขียนคำยอมรับไว้เรียบร้อยแล้ว รอก็แต่ลายนิ้วมือหรือลายมือชื่อของจำเลยเพียงเท่านั้น

หัวหน้าผู้คุมสั่งให้ช่วยกันถอดทรงธรรมออกจากหลัก ผลักให้หงายอยู่กับโต๊ะ สองคนยึดแขน ก่อนที่คนหัวหน้าจะนำหมึกมาป้ายที่หัวแม่มือของคนที่ถูกกดอยู่กับโต๊ะ

แล้วคนถือกระดาษก็ยื่นหน้าลงมาใกล้ อ่านคำสารภาพให้ทรงธรรมฟังชัดๆ

“ตัวข้าชื่อทรงธรรม คนเมืองเพชรบุรี มาอยู่พระนครไม่มีหลักฐานที่อยู่แน่นอน แอบรักแม่แววหลานสาวเจ้าคุณอเนกคุณากร ล่อลวงให้สมยอมไม่สำเร็จ จึงคิดฆ่า วางยาให้นางกิน...”

“นี่มัน! นี่มันใส่ร้ายกันชัดๆ”

ทรงธรรมพยายามโวยวาย กำมือไว้แน่น เพราะเดาออกว่า พวกผู้คุมจะบังคับให้ลงลายนิ้วมือยอมรับ

“แต่ก็เขียนสำนวนสารภาพได้ไม่เลวใช่ไหมเล่า”

หัวหน้าผู้คุมไม่สนใจสิ่งที่ทรงธรรมร่ำร้องออกมาเลยสักนิด พูดจบก็ให้ผู้ช่วยอีกคนง้างนิ้วหัวแม่มือของนักโทษ ตั้งใจจะให้เสร็จเรื่องเสร็จราวไปเสียที

แต่แล้วก็มีลมเป่า กระชากพาให้ใบสารภาพนั้นมีอันต้องหลุดจากมือของหัวหน้าผู้คุม เขารีบไขว่คว้า แต่เหมือนมีลมหวนให้กระดาษนั้นปลิวคว้างไร้ทิศทาง ซ้ำยังไม่ยอมตกลงสู่พื้นได้ง่ายๆ คนที่เหลือนอกจากที่ยึดแขนของทรงธรรมเอาไว้ จึงต้องช่วยกันไล่คว้า

กระดาษนั้นเคลื่อนไปมาในอากาศเพราะแสงเพ็งบันดาลให้เป็นไป จนในที่สุด ก็หล่นปุราวมันได้กลายเป็นก้อนเหล็ก ร่วงลงในกระถางไฟ ซึ่งสุมไฟให้ลุกโชนอยู่เป็นปกติ

แล้วกองไฟในกระถางนั่นก็ยิ่งโชนแสง โหมแรงเพลิงร้อนแรงจนไม่อาจเข้าใกล้ ไม่ถึงอึดใจ ใบสารภาพนั้นก็มอดไหม้เป็นเถ้าธุลี

ตัวหัวหน้าผู้คุมนั้นประสาทแข็งดีพอสมควร จึงไม่ได้คิดไปในทางที่ว่าจะมีผีสางที่ไหนจะมาบันดาลความช่วยเหลือ ให้กระดาษที่ร่างถ้อยคำปรักปรำผู้บริสุทธิ์มีอันต้องเป็นไป เขาหันกลับมาตะคอกกับทรงธรรมเอาตรงๆ ว่า

“คิดว่ามันจะจบแค่นี้เรอะวะ ไป! เอาตัวมันไปขังไว้ก่อน! วันรุ่งพรุ่งนี้ ยังไรๆ ชะตามึงก็ต้องถึงฆาต!”




ค่ำคืนแสนเงียบเหงา แสงดาวหลบลับหลังผืนเมฆ เดือนดับเพราะเต็มแรม ในเขตเมืองที่ห่างจากย่านผู้คน ความเงียบจึงยิ่งเงียบสงัด ความวังเวงแผ่เงาอยู่ทั่วทุกมุมมืด ต่อให้อยู่ย่านนี้มาแต่อ้อนแต่ออก หมอเกตุอาคมก็ยังทำใจให้รับกับค่ำคืนเดือนมืดเช่นนี้ไม่ได้สักที

เขาทนความอยุติธรรมที่ทรงธรรมต้องถูกใส่ความร้ายแรงไม่ได้ ถึงกับต้องไปขอความช่วยเหลือจากทุกคนที่รู้จัก แน่นอนว่าคนเหล่านั้นล้วนปฏิเสธเมื่อรู้ว่าคู่กรณีคือพวกเจ้าคุณอเนกคุณากร กว่าจะกลับมาถึงเรือนที่อยู่ก็ค่ำมืด แถมยังเป็นค่ำมืดที่น่าหวาดกลัวเสียอีกด้วย

กำลังจะไขประแจเปิดประตูรั้ว ใบหน้าของคุณแสก็ผุดขึ้นมาจากแผ่นประตู เล่นเอาหมอผีหนุ่มตกใจจนหงายหลัง กว่าจะตั้งท่าตั้งทางใหม่ได้ ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านเรือนตึก คฤหาสน์ “บ้านอเนกคุณากร” ก็โผล่พ้นแผ่นไม้นั่นมาทั้งตัว

“พุทโธ่! คุณแสขอรับ บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าจะมาก็ให้สุ้มให้เสียงกันบ้าง ไม่ใช่มาดักหลอกให้ตกใจเล่นกันอย่างนี้”

เขาบ่นเอากับผีสาวที่มาดักรอ

“ขอโทษด้วยเถิดนะหมอเกตุ แต่ข้าเป็นห่วงน่ะ ทั้งแม่แสงทั้งทรงธรรม ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไรบ้างแล้ว”

สีหน้าซีดๆ ของคุณแสยิ่งโศกสลด น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยจากใจจริง

“กับที่มาถึงนี่ ก็เพราะมีเรื่องอยากจะพูดจาด้วยสักหน่อย”

คุณแสขยับใกล้เข้ามาอีก ทำให้หมอเกตุต้องถอยหนีโดยอัตโนมัติ

“เอ่อ... คือ... ข้าน่ะ...”

คนที่ยังกลัวผีอยู่ไม่วาย ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

“ขอร้องเถิดนะ พ่อเกตุ...”

“ก็... เราเข้าไปคุยกันในตำหนักได้ไหมเล่า ยืนตรงนี้ ข้าเสียวสันหลัง ร้อนๆ หนาวๆ ยังไรก็ไม่รู้”

ที่เอ่ยชวนดังนี้ ก็เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีผีไม่ได้รับเชิญตนไหนโผล่มาอีกบ้าง การได้เข้าไปอยู่ในเรือน ย่อมอุ่นใจกว่าแน่นอน

“แต่...”

คราวนี้คุณแสเป็นฝ่ายขัดแย้ง เพราะรู้ดีว่าในเรือน “ตำหนักเทพอาคม” มีเครื่องรางของขลังไว้สำหรับป้องกันหรือขับไล่ภูตผีมากมายขนาดไหน

“วางใจเถิดน่ะ ประเดี๋ยวข้าขอเข้าไปหับประตูห้องพระ จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ผีบ้านเสียก่อน แล้วคุณแสค่อยตามขึ้นมา”

ว่าแล้วหมอผีหนุ่มก็ผลุบหายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้คุณแสรออยู่จนเขาโผล่มาอีกครั้ง นางจึงจำใจต้องตามขึ้นไปบนเรือน

หมอเกตุพาคุณแสมานั่งตรงศาลาโถง ที่เวลาปกติจะไว้สำหรับให้คนมาหาได้พักรอ ตั้งใจจะจุดเทียนตามไฟไว้สักดวง แต่คุณแสรีบห้าม

“ไม่ต้องจุดไฟได้หรือไม่หมอเกตุ”

“จริงสิ ข้าลืมไปว่าพวกคุณแสกลัวไฟ ว่าแต่ มีเรื่องอะไรกะข้าหรือเล่า”

หมอเกตุนั่งลงบนพื้นชาน กะให้ห่างจากคุณแสพอให้หายใจได้สะดวกปอด

“ก็เรื่องของทรงธรรมนั้นล่ะ”

พอได้ยินคำ คนฟังก็ถึงกับต้องระบายลมหายใจยาวเหยียด

“เฮ้อ!... เรื่องของพี่ธรรม์นี่ข้าอับจนปัญญาหมดแล้ว เจ้าคุณอเนกใส่ความให้เขาเป็นนักโทษฆ่าคน ไอ้เจ้าคุณนั่นมันพูดอะไรใครๆ ก็ต้องเชื่อถืออยู่แล้ว หรือถ้ายังสงสัยมันก็เอาอัฐยังปากเสีย เท่านั้นก็จะเห็นดีเห็นงามไปกันหมด”

“แต่แม่แววไม่ได้ถูกทรงธรรมฆ่านี่นา”

“เรื่องนั้นข้าก็รู้ แต่รู้แล้วจะไปทำอะไรได้เล่า ที่สำคัญคือฝ่ายนั้นมีทั้งพยานทั้งหลักฐานแน่นหนา จะโทษใครได้เล่า ก็ต้องโทษกรรมนั่นละ ที่ให้พี่ธรรม์ต้องไปพัวพันกับไอ้คนใจคออำมหิตผิดมนุษย์พวกนั้น”

หมอเกตุถอนหายใจยาวๆ อีกสองสามครั้ง แน่ใจว่าถ้าคุณแสทำได้ ก็คงจะทำเช่นกัน

“มันจะไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ น่ะหรือ”

ความหม่นหมองที่หมอผีหนุ่มเห็นตรงหน้าก็คือ เงาร่างของคุณแสที่เคยเป็นแสงเรืองๆ บัดนี้กลับซีดจืดเหมือนสีขุ่นๆ ของเปลือกข้าวโพดแห้งๆ

หมอเกตุหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้า

“จะมีก็แต่ให้แม่แววนั่นฟื้นขึ้นมา หรือไม่ให้เจ้าคุณนั่นถอนฟ้องไม่เอาเรื่องเอาราว แต่ว่า... จะให้ไอ้เจ้าคุณมันถอนฟ้อง ดูเหมือนให้คนตายแล้วฟื้นยังจะง่ายเสียกว่า ข้าว่า... ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือรอเก็บศพเขา ก็แค่นั้น”

คำท้ายทำให้คุณแสตกใจหนัก ถึงกับต้องรินน้ำตาออกมาเพราะความสงสารสมเพช

“เป็นเพราะข้า เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้พ่อธรรมต้องมาตกในตาร้าย ต้องตายเป็นผีไม่มีญาติ อาจต้องเร่รอนไปทั่ว เพราะไม่มีใครช่วยบำเพ็ญกุศล”

“ถ้าเป็นแค่อย่างนั้นได้ก็คงไม่เลวนักหรอก อย่างน้อยก็จะได้เป็นสองดวงวิญญาณ เคียงคู่อยู่กับแม่แสง...”

หมอเกตุไม่ได้ตั้งใจจะหมายให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหรอก เพียงแต่ก็ไม่รู้จะหาเรื่องปลอบใจตัวเองเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร

“ถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีกะใจจะมาพูดเล่น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ไปเข้าสิงร่างแม่แวว แล้วไปโวยวายกับเจ้าคุณ จนต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างนี้ ที่ข้าพูดออกไปตอนอยู่ในร่างของหลานสาวเจ้าคุณนั่น เขาคงอยากกำจัดแม่แววอยู่แล้ว เลยได้ทีถือโอกาสกำจัดทรงธรรมเสียด้วยเลย”

คุณแสพูดไปก็เวียนเช็ดน้ำตาไป ด้วยตนก็เห็นว่าหมดหนทางแล้วจริงๆ
“หยุดร้องไห้เถอะขอรับ ได้โปรด... ข้าน่ะมันเป็นพวกเห็นน้ำตาผู้หญิงไม่ได้”

หมอเกตุพยายามปลอบ แต่ก็เป็นการปลอบที่ดูประดักประเดิดเต็มที

“ก็เพราะข้าไม่ดีเองจริงๆ ที่ไปสิงร่างแม่แววนั่น”

“อย่าโทษตัวเองอีกเลย เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว มัวแต่ก่นโทษตัวเองมันก็แค่นั้น ถ้าหากคุณแสไม่สิงร่างแม่แวว แล้วจะไปเข้าสิงใครเล่า... เออ!... จริงสิ พูดถึงเรื่องสิงร่างเข้าร่าง เฮ้ย! คุณแส เราพอจะมีทางแล้วละ”

อยู่ๆ หมอเกตุก็นึกถึงแผนการสำคัญขึ้นมาได้ เขารีบกลับไปคว้าตำรามาผูกหนึ่ง รีบแกะออกจากห่อผ้าอย่างลุกรน ก่อนจะคลี่กลางให้คุณแสได้ดู

“นี่ยังไร ทางรอดของพี่ธรรม์”

“มันคืออะไร ข้า... ยังไม่เข้าใจ ตำราเล่มนี้จะช่วยชีวิตพ่อธรรม์ได้ยังไง”

“ตำรานี่ช่วยพี่ธรรม์ไม่ได้หรอก แต่ในนี้มีคาถาอันหนึ่ง เรียกว่าการแลกชีพคืนชีวิต”

“อะไรนะ... การแลกวิญญาณคืนชีวิต อย่างนั้นหรือ”

“ใช่ พวกที่มีอาคมแก่กล้า สมาธิจิตสูงเยี่ยม จะสามารถเรียกวิญญาณคนที่ตายไปแล้วให้กลับเข้าร่างได้...”

พอได้ยินคำนี้ ความหวังของคุณแสที่ทำท่าจะเรืองรองขึ้น ก็มีอันต้องริบหรี่ลงอีก

“แล้ว... หมอเกตุ...”

“ไอ้ข้าก็ไม่มั่นใจหรอกนะ แถมยังไม่เคยได้ทดลอง แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้พี่ธรรม์ตายไปเปล่าๆ สู้ลองวิธีนี้กันสักตั้งจะเป็นไรไป”




******************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2555, 09:10:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2555, 09:22:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2590





<< บทที่ ๑๕   บทที่ ๑๗ >>
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 11 เม.ย. 2555, 21:38:36 น.
สนใจติดตามมาตลอด แต่ทำไม เงียบกันจังเลย คร๊า


นวลชมพู 13 เม.ย. 2555, 21:51:23 น.
น่านจิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account