ลำนำรักสายน้ำ
‘หลับตาลงครั้งใด เห็นว่ามีแต่ภาพใครบางคน
ที่กี่ครั้งก็ยังวกวน ดูไม่ชัดเจน
ได้ยินแต่เสียงเรียกของเธอ
ที่ฟังแล้วอบอุ่นและคุ้นในใจ
ยิ่งห้ามไม่ให้คิด ยิ่งติดอยู่ข้างใน
ยิ่งห้ามเท่าใจเท่าไร ยิ่งใกล้เธอเข้าไปทุกที
ตามหาหัวใจ ที่ลึมไว้กับใครสักคน‘
ธารนธี ตกหลุมรักหฺญิงสาวนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่ง ในคืนวันเพ็ญเต็มดวงของฤดูใบไม้ผลิ เป็นคืนที่ราชาแห่งขุนเขาและเทพีแห่งบุปผาจะประทานพรให้หนุ่มสาวชาวคีรีธาราสมหวังในความรัก
‘หัวใจอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม สักวันหนึ่งร่างกายจะเดินมารวมกับหัวใจ‘
เช่นเดียวกับสายน้ำและดอกบัวงาม
ฤดูใบไม้ผลิ ฤดู แห่งการเริ่มต้น ดอกไฮยาซินธ์ที่กำลังเบ่งบาน เพื่อต้อนรับแสงแดดที่อบอุ่นหลังจากที่ต้องจมอยู่ได้พื้นดินเป็นเวลานาน
เช่นเดียวกับความรักของธารนธีและกรกมล

ถึง Dream Girl
นกสีฟ้าของผมจะโบยบินอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อคุณได้ยินเสียงขลุ่ย โปรดรับรู้ว่ามันคือคำบอกรักของผม ยามคุณดื่มกาแฟ จะรับรู้รสจุมพิตของผม หากคุณเข้าไปในสวนดอกไม้ กลิ่นของมันคือกลิ่นอายความทรงจำของเราสองคน และที่ศาลากลางน้ำ หิ่งห้อย ที่ส่องแสงระยิบระยับนั่น คือรอยยิ้มที่ผมมอบให้คุณเพียงคนเดียว
จาก อาโป ธารนธี ชลธารพิทักษ์
14 กุมภาพันธ์ ในฤดูหนาว ประเทศ ออสเตรเลีย

‘ความเอยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนใด
เริ่มเพาะเหมาะกลางระหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี‘
"วันนี้ ฝนตก ได้กางร่ม เดินเคียงคู่กับพี่อาโปด้วยละ ตามตำนานเขาเล่าว่าวันไหนที่ฝนตก กามเทพจะแผลงศรรัก ทำหั้ยหนุ่มสาวตกหลุมรักกัน ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา "
"ความจริงพี่อาโปก็อยากให้ฝนตกทุกวันเหมือนกัน เพราะจะได้มีคนมาเดินกางร่มเคียงคู่กันแบบนี้ "
"ทำไมคนเราต้องจูบกัน เขาบอกว่าเพราะทั้งสองตกหลุมเสน่ห์แห่งรักกันและกัน วันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าแล้วถูกผู้ชายคนหนึ่งเบียดทำให้แทบล้มหัวคะมำ ดีแต่ว่าพี่อาโปคว้าเอวไว้ก่อนไม่งั้นได้อับอายขายขี้หน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ไม่ต้องขนาดถึงจูบ แค่ได้สบตากับพี่อาโปเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุนเลยละ"
"น้องกุ้งนางรู้ไหมวันนั้นทำให้พี่ต้องลงผิดสถานี เพราะพี่อาโป เขินอายมากๆ ผู้ชายก็อายเป็นเหมือนกันนะ ทีหลังอย่าทำให้พี่เป็นแบบนั้นอีกนะวันหลังเราไปดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอด้วยกันนะ พี่ไม่คิดว่าน้องกุ้งนางอยากจะเป็นเหมยลี่"
"วันนี้ อยากจะ ฆ่าพี่อาโปบังอาจควงสาวไปเต้นรำ โมโห อีตาบ้ารวีวิชญ์นี่ก็น่าโมโหตามตื้ออยู่ได้ ไม่ชอบๆๆๆๆๆ นี่สงสัยเราจะหึงจัด ดื่มไวน์หมดไปสามแก้ว ถูกหามกลับวังปทุมวันแทบไม่ทัน ก็มันหึงนี่คะ ก็น้องกุ้งนางอยากจะเต้นรำกับพี่อาโป อยากซบอกพี่อาโป"
"พี่ไม่คิดว่าน้องกุ้งนางจะเห็นพี่นี่คะ ก็เลยไม่ได้ไปแสดงตัวเอง แต่แหม พี่อาโปอยากเห็นหน้าผู้หญิงหึงจังเลย ไวน์อย่าดื่มมากมันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าอยากเต้นรำกับพี่อาโปเดี๋ยวจะจัดให้ ถ้าจะซบอกผู้ชายต้องเป็นพี่คนเดียวไม่งั้น ตายแน่ๆ พี่ขี้หึง หวง"
"วันนี้ อยาก จะดึงคอพี่อาโปมาถามว่าเป็นอะไร ทำไมไม่ยอมพูดจา ทักทาย เดินหน้าบึ้งตึง ทำหมางเมินใส่เหมือนว่าเราไม่รู้จักกัน น้องกุ้งนางเจ็บนะที่พี่อาโปทำแบบนี้นะ "
"พี่อาโปก็เจ็บเหมือนกันนะ ก็จะอะไรละก็พี่หึงจนหน้ามึดน่ะสิ เมินเรียกร้องความสนใจรู้บ้างไหม”

Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: บ้านสวนดอกเหมย

บ้านสวนดอกเหมย
ดอกเหมยเอยดอกเหมยดารดาษหล้า
ยิ่งหนาวยิ่งแกร่งกล้าเบ่งบานสลอน
ธารนธีเดินจูงมือ กรกมลให้เดินตามไปตามเนินเขาทุ่งดอกดาวกระจาย ที่กำลังไหวเอนไปตามแรงลม
เวลานี้ใกล้จะตะวันตกดิน แล้ว หมู่นก กากำลังบินกลับรังกัน พระอาทิตย์ดวงโตกำลังลาลับลงไปในเลี่ยมเขา เวลาอีกไม่นาน จันทรา ก็จะขึ้นมาแทนที่ ยามค่ำคืน
“ผมให้ “ ชายหนุ่มยื่นกระดาษ มาตรงให้หญิงสาวที่ทำหน้าเหลอหลา
“อะไรหรือคะ “ หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจ
“เปิดดูสิครับ “ ชายหนุ่มบอก ก่อนจะยิ้มให้นิดๆๆ
“หึ” กรกมลคลี่กระดาษ ออกมา “อาโป” ตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อเห็น ภาพที่ชายหนุ่ม วาดขึ้นมา
“ชอบไหมครับ “ เขาถาม
“สวยมากเลยคะ “ หญิงสาวมอง ภาพวาด ตัวเองที่นั่งอยู่ท่ามกลางดอกดาวกระจาย และมีบราวนี่ นอนหมอบอยู่ข้างๆ เขาวาดขึ้นตอนไหนทำไมไม่รู้ตัว เลยนะ “ขอบคุณนะคะ”
“ดอกไม้สีขาว ครับ ใบไม้สีเขียว สัญญาว่าจะดูแลดอกไม้ สีขาวไปตลอดชีวิต จะถ่ายทอดสีสันสวยงามให้กับดอกไม้สีขาวเอง”
ชายหนุ่มโอบกอดร่างบางจากด้านหลัง ก่อนจะพาดคางลงบนไหล่มน เพื่อมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน ยามเย็นของฤดูใบไม้ผลิ
“คืนนี้เราจะพักกันที่บ้านสวนดอกเหมยหลังนี้ “ ธารนธีหันมาบอกหญิงสาวที่ยืนมองบ้านสวนดอกเหมย บ้านทรงญี่ปุ่น ชั้นเดียว สร้างอยู่กลาง สวนดอกเหมย ที่กำลังออกดอกสีชมพู อมขาว สวยราวกับอยู่ใน สวนสวรรค์เลย
“บ้านใครละนี่ ทำไมมันสวยแบบนี้ละคะ” กรกมลถาม
“บ้านเราสองคนงัยละครับ “ ธารนธีตอบ
“หึ เข้าใจพูดนะคะ เพ่อาโป บ้านฉันคนเดียวยะ ส่วนคุณ ชิ่วๆๆๆไปไกลๆ “
“อ้าว ที่รักจะให้ผมไปนอนที่ไหนละครับ”
“เรื่องของคุณ จะนอนที่ไหนก็เชิญตามสบาย ใช่ไหมบราวนี่” หญิงสาวยิ้มหวาน แกล้งถามบราวนี่กระดิกหางไปมา
“ไม่ได้ นะที่รัก กลางคืน อากาศมันหนาวนะตัวเอง “ เขาแกล้งโอดโอย อย่างน่าสงสาร
“ไม่สน ฉันจะนอน บ้านสวนดอกเหมยคนเดียว ส่วนคุณไปกางเต้นท์ นอนนอกบ้านโน่น ไป” กรกมลบอก ก่อนจะเดินกระแทก เจ้าของบ้าน ให้ไปไกลๆอย่าได้มาอยู่ขวางทางเดิน ก่อนจะดึงสุนัขโกลเด้นรีทีฟเวอร์เข้าไปในบ้าน ไม่สนใจร่างสูงๆๆที่ยืนทำหน้า อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก
“ผู้หญิงใจร้าย “ เขาว่า อย่างไม่จริงจังก่อน จะเดินเข้าไปภายในบ้านตามหลัง เรื่องอะไรเขาจะไปกางเต้นท์นอนที่พื้นละ ฝันไปเถอะ
ว้าว ห้องสวยมากเลย ที่ฝาผนังมีภาพวาด รูปนกกระเรียนคู่แขวนอยู่ ฉากกั้นทำด้วยกระดาษสา ลายดอกเหมย แม้แต่ที่นอนก็ลายดอกไม้สีชมพู เจ้าของบ้านนี่ชอบสีชมพู่หรืองัยนะ กรกมลคิด
แจกันขนาดใหญ่มีดอกไม้อัดแห้งอยู่ จัดแบบอาเคบานะ(Ikebana)ของญี่ปุ่นที่เลียนแบบธรรมชาติ สมเป็นบ้านญี่ปุ่น (มีบ้านเกาหลี กับจีนไหมวะ จะขอไปนอน สักคืน)
กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมีบ่อแบบน้ำแร่ด้วย หญิงสาวคิด ก่อนจะวิ่งเปลี่ยน ชุด เป็นยูกาตะ ลายกลีบดอกไม้สีชมพู ก้าวลงไปในบ่อน้ำแร่ทั้งชุด(ใครจะกล้าเปลือยละ เกิดอีตาธารนธีโผล่เข้ามาก็ซวยกันพอดี ยิ่งบรรยากาศให้ด้วยนะ จะว่าไปแล้วเหมือนเขาพาเธอมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์อย่างงัยก็ไม่รู้ แต่ละสถานที่ มันพาให้หัวใจหวาบหวิว อุ่นซ่าน ) จะคิดไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ว่า ก็แค่กอด จูบ ธรรมดา ไม่ได้เลยเถิด ไปไกล ยกเว้นเธอนั่นละ หื่นจะจับ เขาปล้ำเอง
“ที่รัก ใครให้คุณลงไปแช่น้ำในบ่อน้ำแร่ทั้งชุดแบบนั้นละ”
“กรี๊ดๆๆๆๆๆอาโปคุณเข้ามาได้อย่างงัย ออกไปนะ” กรกมลหลับหูตา หยิบของอะไรได้ใกล้มือขว้างใส่ร่างชายหนุ่มที่เข้ามาไม่ยอมให้สุ่มให้เสียง
“เฮ้ ที่รัก อย่ามาขว้างมาแบบนี้สิ เกิดโดนหน้าผมจะทำอย่างงัยนะ”เขาร้องบอก
“คุณออกไปเลยนะ” กรกมลตวาดเสียงดัง ใส่
“ไม่ออก ผมอยากมองเงือกน้อย” เขาบอกเสียงใส
“กรี๊ดๆๆๆๆไอ้ผู้ชายลามก โรคจิต “ กรกมลกรีดเสียงร้อง อย่างโมโห
“ที่รักถ้าผมเป็นแบบนั้น เฮ้ย….” ธารนธีร้องอุทานลั่น เพราะเหยียบน้ำที่หยดบนพื้น(จากฝีมือกรกมลละ)ลื่น หงายหลังตกลงไปในบ่อน้ำแร่ทันที
ตูม ร่างสูงโปร่งสวมชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มโผล่ขึ้นจากน้ำ มือใหญ่ ลูบเช็ดน้ำออกจากหน้า นัยน์ตาสีดำขลัมองร่างบอบบางที่ถือ ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กปิดปาก กลั้นยิ้มไว้ ตากลมโตมองมาเหมือนจะหัวเราะ แบบสะใจ พระเอกตกน้ำนี่มันตลกดีมะ ฮะฮะฮะ
“ขำอะไร ของคุณ ฮะ ไม่เคยเห็นผู้ชาย ตกน้ำหรืองัยฮะ “ ชายหนุ่มถามเสียงฉุน หมดสภาพเลย พระเอก มาดเนี๊ยบ กลายมาเป็นพระเอกซุ่มซ่าม ตามกรกมลไปได้ ไม่น่าเลย ธารนธีคิด
“เปล่า แค่ ไม่เคยเห็น ผู้ชาย บางคนหมด สภาพแบบนี้ คิก คิก” กรกมล หัวเราะคิกคัก ก่อนจะหย่อนตัวลงไปในน้ำลึกถึงต้นคอ แล้วลุยไปอีกด้าน (เดี่ยว ธารนธี จะกลายเป็น หมาป่า )
ถ้ามองออกไปข้างนอกจะเห็น วิวต้นดอกเหมยสีชมพู อมขาวกำลังแกว่งไกว ไปตามเอนลม เหมือนสวนดอกท้อที่สุสานรักของ ท่านแม่ทัพหนุ่มฟ้าเมืองอินทร์กับเจ้าหญิงมณีหยาดฟ้า เลยละ สวนดอกท้อ ตำนานแห่งรัก
“ที่รักคุณคิดอะไรอยู่ “ ธารนธี ลุยน้ำเข้ามาถาม เมื่อเห็นกรกมล เหม่อมองไปข้างนอก
“ดอกเหมย นะคะ ความรักของเราจะสิ้นสุดลง เมื่อดอกท้อบานแล้วร่วงลงสู่พื้นดินนะ “ หญิงสาวพูดขึ้นเบาๆก่อนจะหันมามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆๆ
“นึกว่าคิดเรื่องอะไร คุณอยากเป็นเจ้าหญิงมณีหยาดฟ้าหรืองัย”เขาแกล้งถาม
“เปล่าหรอกคะ แค่คิดว่า ความรักของเราจะจบลงเมื่อดอกท้อบานแล้วร่วงลง สู่พื้นดิน” หญิงสาวพูดอย่างเศร้าๆๆ
“คิดมากไปได้น่า ที่รัก “ นิ้วเรียว จับผมยาวขึ้นทัดหูให้ อย่างแผ่วเบา
“นี่ พูดแต่ปากได้ไหม มืออย่าได้ถึง” กรกมลหันมาแว๊ดใส่ ก่อนจะตีมือชายหนุ่มอย่างแรงทีหนึ่ง (หมั่นไส้) กลบอาการเขินอาย ธารนธีได้แต่หัวเราะแหะ ๆ นัยน์ตาสีดำคมลึก มองหน้า หญิงสาว ที่เขินอาย แก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากบางยิ้มบางๆให้
“ความรักมันช่างไม่ยุติธรรมกับข้าเอาเสียเลย” เสียงห้าว พูด ทุ้มลึก (พระเอกจะเล่นบทท่านแม่ทัพฟ้าเมืองอินทร์) หวาน กรกมลตกใจสะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆๆเบารดต้นคอแผ่วเบา อีตาธารนธีกำลังจะกลายเป็นหมาป่าอีกแล้วนะ อยู่ไม่ได้แล้ว หญิงสาวคิด ไม่อยากจะกลายจะเป็นลูกแกะให้มาหมาป่าเจ้าเล่ห์กิน
“ข้ารักเจ้าและรู้ดีว่าทำผิดต่อเจ้า ตอนนี้ข้าต้องการหัวใจของเจ้า แต่ว่าเจ้ากลับปิดกั้นหัวใจเอาไว้”
“อาโป คุณพูดอะไรของคุณ เนี่ย “ กรกมลถามเสียงสั่น ว่ายน้ำหนี ทันที เมื่อเห็น ว่าชายหนุ่ม ทำท่าจะคว้า ร่างบอบบางไปกอด
“เจ้าไม่รักข้าแล้วหรือ เจ้าเกลียดข้ามากเลยใช่ไหม” ธารนธีถามสาวสวย ที่ว่ายน้ำไปอยู่ตรงขอบบ่อน้ำแร่ ก่อนจะพยุงร่างบอบบางขึ้นไปนั่งข้างบน ชุดยูกาตะสีหวานใสเปียก ลู่แนบไปกับร่างกายดูเย้ายวน เซ็กซี่(ในสายตาพระเอกนะแต่ นางเอกมันโป๊) กรกมลคว้าผ้าขนหนูมาคลุมร่างกาย ตากลมโตถลึงมอง ชายหนุ่ม อย่างเอาเรื่อง
“ถ้าคุณ อยากจะเล่นบท ฟ้าเมืองอินทร์ ก็ตามใจนะเจ้า แต่ขะเจ้า บ่อยู่เล่นบทเจ้าหญิง มณีหยาดฟ้านะเจ้า เจ้าปี้ฟ้า เมืองอินทร์” กรกมลหันมาบอกชายหนุ่ม ที่มองมายิ้มๆๆ เผลอไม่ได้เลยนะ ออกลายทุกที
“จะไปไหนก่ “ ธารนธีถาม ก่อนค่อยๆๆเดินลุยน้ำมาถามกรกมล ที่นั่งอยู่ริมฝั่ง
“ข้าเจ้า จะไปทำอาหารเจ้า ขอตัวก่อนนะเจ้าปี้ ธารนธี “ หญิงสาวค้อนใส่
“เดี่ยวสิ ครับรอผมด้วยสิ ที่ฮัก “ ชายหนุ่มส่งเสียงเรียก
“ไม่รอ ขะเจ้า รีบ เจ้า ไปก่อนนะเจ้าปี้อาโป “ พูดจบกรกมลก็รีบวิ่งหนีทันที ข้าวของไม่เก็บปล่อยให้เจ้าปี้ ธารนธีเป็นคนเก็บให้ ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา อย่างฉุนจัด (อดได้กอดเลย จะบ้าหรือพระเอกกลางบ่อน้ำพุร้อนนี่นะ )
หรหดแห่งเหมยเปรยเปรียบเทียบสุนทร
คือสัญลักษณ์จีนบวรตระหง่านไกร
ดอกเหมย ต้นบ๊วย
ไก่ตุ๋นยาจีน ขาหมูหมันโถว เป็ดอบใบชา ไก่ผัดใบชา มันไม่อร่อยหรืองัยนะ ธารนธีถึงไม่ยอมทาน เอาแต่นั่งจ้องมองหน้าของเธอ อยู่แบบนี้ นัยน์ตาสีดำคมลึกหวาน ลึกซึ้ง หัวใจของกรกมลเต้นแรง เลือดในกายสูบฉีดพล่าน ใบหน้านวลเริ่มแดงกล่ำ ขอร้องอย่ามามองเธอ แบบนี้ได้ไหมยะ เธอมิไม่ใช่ขนมหวานนะยะ กรกมลคิด
“เกิดเป๋นจาวดอยมันน้อยใจ๋แต้นา เกือบจะเป๋นผีบ้าก่อเพราะว่าอกหัก เพราะโดนสาวน้อยมาหลอกมาจั๊ก ฮื้อเฮาหลงฮักหัวปักหัวปำ” ชายหนุ่มฮู้คำเมือง ใส่กรกมล ที่มองมาอย่างงง อะไรของเขาอีกนะเนี่ย จะเล่นบทอะไรอีกละ หญิงสาวคิด ธารนธีกระตุกยิ้มบางๆๆ ก่อนจะยกชาอู่หลงขึ้นมาจิบ ตาสีดำขลับมองไปยังกรกมลที่ทำหน้าเหลอหลา เขาพูดขนาดนี้ยังไม่รู้อีกหรือ เมื่อไหร่จะจำได้นะ
“ไปหลงสาวน้อยละตี้ในเมืองใหญ่ นะบ่เจียมหัวใจ๋เหลียวผ่อตั๋วเก่าก็เลยโดนจุ๊ ก็เลยต้องเศร้า นั่งแป๋งหน้าง่าวเฝ้าดอยเดียวดาย เยี๊ยหยังก่อบ่ลุก เยี๊ยก๋านก่อบ่ได้ เป๋นดีใค๋ต๋ายแต้นา เหมือน……..”
“ปี้ อาโป พูดอะไร บ่เห็นรู้เรื่อง” หญิงสาวพูด ก่อนจะตักไก่ผัดใบชาทานต่อ ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องเขม็ง (คิดว่าฟังไม่ออกหรือยะ เธอนะนางเอกละคร การกุศล เรื่อง สาวเครือฟ้า เชียวนะยะ ฮึ หนุ่มดอยหลงรัก สาวน้อยเมืองกรุง )
“ก่อจ่างมันเต๊อะ “ เขาบอก ก่อนจะนั่งทานข้าวเงียบๆๆ (คิดว่าเขาไม่รู้ทันหรือ สาวเครือฟ้า ของร้อยตรีพร้อม) ชายหนุ่มคิด เฮ้อ
สำหรับคนอื่น ระยะเวลาแปดปีอาจจะเป็นเพียงช่วงเหตุการณ์หนึ่งของชีวิตที่ผ่านเข้ามาและผ่านเลยไป ไม่นานก็เลือนหาย แต่สำหรับเขาไม่ใช่ เพราะบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น ในค่ำคืนแห่งดวงดารา ในแปดปีนั้นกลับเพียงพอแล้วที่ จะประทับภาพความทรงจำที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งไม่มีวันลืม
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า เธอจดจำช่วงเวลาที่งดงาม ท่ามกลางหิ่งห้อยนับพัน เหล่านั้นไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆๆ ต่อให้ต้องใช้เล่ห์กลสารพัด เขาก็ต้องงัดเอาความทรงจำของเธอคืนมา กรกมล ภัทรโยธิน นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนจากประเทศไทย
ชายหนุ่มยิ้มนิดๆๆ มองหน้าสาวน้อยที่เจอเมื่อแปดปีก่อน ที่ตอนนี้กลับโตเป็นสาวเต็มตัว ความงามที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆๆล่อให้หมู่แมลง ภมร เข้า มา ตอมไต่
เสียงเรียกร้องของหัวใจสั่งให้เขาค่อยๆๆพาตัวเองเข้าสู่ชีวิตของเธออย่างแนบเนียน เริ่มจากเป็นลูกค้าร้าน กาแฟ เรื่อยมาจนถึงเรื่องส่วนตัวโดยเจ้าตัวไม่ทันไหวตัวสักนิด วางกับดักไว้ทุกอย่าง ขอแค่หญิงสาวไม่ตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูมไปซะก่อน รับรองได้ว่าหนีเขาไม่รอดแน่ๆๆ
ดูดอกเหมยบานสะพรั่งไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
มีที่ดินก็มีบ้าน
น้ำแข็ง หิมะ ลม ฝน มันไม่กลัวทั้งนั้น
มันเป็นดอกไม้ประจำชาติเรา( จีน)
หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกิ่งเหมยในฤดูหนาวที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ ชายหนุ่มยืนมองดูเธอกำลังเอื้อมมือไปคว้ากิ่งดอกเหมยที่ยื่นมาทางระเบียงบ้านพัก ผมยาวสวยเกล้าขึ้นมวยแล้วปล่อยชายคลอเคลียแก้มใส ปักด้วยปิ่นไม้ธรรมดา สวมชุดเสื้อแขนยาวผ้าซีฟอง สีขาว กับ กระโปรงยาวสีชมพูลายดอกเหมย น่ารัก น่าทะนุถนอม
“เขาบอกว่าถ้าอากาศหนาวเท่าไรดอกเหมยก็ยิ่งสวยและออกดอกมากขึ้นเท่านั้น” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปดึงกิ่งดอกเหมยให้เข้ามาใกล้ ร่างสูงโปร่งยืนชิดใกล้จนได้กลิ่นหอมหวาน จาก ร่างกายหญิงสาว
“ดอกเหมย เป็นสัญลักษณ์ ของความเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเจอกับหิมะ น้ำแข็ง ลม ฝน ดอกเหมยก็ไม่หวั่นเกรงอันตรายใดๆๆ มีนักกวีมักจะเปรียบเทียบหญิงสาว กับดอกเหมย มากว่าจะเปรียบได้กับดอกโบตั๋น เคยได้ยินบทประพันธ์จากหนังสือเล่มหนึ่ง “นางยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกิ่งเหมยที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ “ หญิงสาวเอื้อมมือแตะกลีบดอกเหมยเบาๆๆใบหน้าสวยใสแหงนหน้ามองดอกเหมยที่กำลังบานอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่อง มือใหญ่แตะลงบนบ่ามนเบาๆๆ
“กุ้งนางชอบ ตรงที่กวีคนนั่นเปรียบผู้หญิงได้กับดอกเหมย เพราะว่า เธอคนนั้น มีความทระนง ความฉลาดและความเด็ดเดี่ยว “ ธารนธีเอื้อมมือไปแตะมือเล็กๆเบาๆขณะที่แตะดอกเหมยสีชมพูอมขาว
“ในความเชื่อของคนจีน โบตั๋นจะเปรียบได้กับหญิงสาวที่มีความงามเป็นเลิศ ดอกโบตั๋น ยัง เป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเมตตากรุณารวมถึงความมั่งคั่งและเกียรติยศศักดิ์ศรี” ชายหนุ่มพูด ขึ้นเบาๆๆ จมูกโด่งแอบสูดดมผมยาวสลวย เขารั้งร่างบางให้มาแนบชิด
“นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่า ถ้าบ้านไหนปลูกโบตั๋นแล้วออกดอกบานสะพรั่งสีสันสวยงาม เจ้าของบ้านจะประสบกับความโชคดี”
“กุ้งนางเคยอ่าน หนังสือ เล่มหนึ่ง เขาเล่าว่า สมัย บูเซียคเทียน
จักรพรรดีนี แห่งแผ่นดินใหญ่จีน มีอำนาจสามารถสั่งให้ดอกไม้ในสวนบาน ในคืนพระจันทร์เต็มดวงได้ ดอกไม้ทุกดอกในสวนเกรงกลัวอำนาจบารมีของพระนาง เลยพากันออกดอกเบ่งบานกัน แม้จะยังไม่ถึงเวลาจะบาน ยกเว้นดอกโบตั๋น ดอกเดียวที่ไม่ยอมออกดอกบานตามคำสั่งของพระนาง เพราะไม่ใช่ฤดูกาลที่จะออกดอกเบ่งบานผิดธรรมชาติ และอีกอย่างดอกโบตั๋นก็ไม่เกรงกลัว อำนาจบารมี ของพระนางด้วย “
“จักรพรรดินีคงกริ้วจัดงั้นสิ” ธารนธีพูด เสียงกลั้วหัวเราะ
“ดอกโบตั๋นนะ รักษาศักดิ์ศรีแห่งมวลดอกไม้ ถึงเวลาจะบานก็จะบานเองนั่นละ ไม่ต้องให้มีใครมาชี้นิ้วสั่ง ถึงแม้ว่าเป็นจักรพรรดินี ก็ไม่สิทธิ์ ออกคำสั่งได้ หยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร”
“ถ้าพูดดอกโบตั๋น ทำให้ผมคิดถึงเพลงเหมยฮวา ที่ร้องว่า
เหมยฮวา เหมยฮวา ม่านเทียน เซี่ย
อิ้ว เหลิ่ง ทา อี้ว ไค ฮวา
เหมยฮวา เจียนเหญิ่น เซี่ยงเจิง หว่อเมิน
เวยเวย ตี ต้า จงฮวา
คั่น น่า เปี้ยนตี้ ไคเลียว เหมยฮวา
โหย่ว ถูตี้ จิ้ว โหย่ว ทา
ปิง เสวี่ย เฟิงอี่ว ทา โตว ปู๋ พ่า
ทา ซื่อ หว่อ ตี กั๋วฮวา”
“เพลงเหมยฮวา ที่แปลว่า ดอกเหมยนะหรือคะ “ กรกมลหันมาถามชายหนุ่ม ที่มองมา นัยน์ตาสีดำคม หวานซึ้ง อ่อนหวาน
“ใช่ครับ “ เขาบอก
“มีคนพูด กันว่าหญิงสาวจะหาดอกไม้ที่สวยที่สุดในฤดูใบไม้ผลิเอามาประดับตกแต่งผมของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองได้เป็นคนสวยที่สุด”
“แต่สำหรับคุณนะ ไม่ต้องหาดอกไม้มาเสียบผมหรอก “ ชายหนุ่ม พูด ยิ้มๆๆ
“ทำไมคะ ฉันเสียบดอกไม้แล้วไม่สวยหรือคะ” หญิงสาวถาม
“ไม่ใช่หรอกครับ “
“แล้วหมายความว่าอย่างงัยคะ” กรกมลหันมาถาม ก่อนจะหยิบดอกเหมยขึ้นมาดม นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองชายหนุ่ม ที่ยืนเอียงคอมองมา “ในเมื่อวันข้างหน้าคุณจะต้องเลือกผู้หญิงที่คุณรักที่สุด และเสียบดอกไม้ที่สวยที่สุดในฤดูใบไม้ผลิให้เธอ เพื่อทำให้คนที่คุณรักที่สุด สวยงามยิ่ง”
“ผมยินดี ที่จะหาดอกไม้ที่สวยที่สุด ในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อเสียบลงบนผมของคุณ “ มือใหญ่หยิบ ดอกเหมยสีชมพูอมขาว จากมือหญิงสาว มา ก่อนจะเสียบลงไปผมของกรกมล
“อาโป”
“งาม ชนิด จันทร์หลบโฉมสุดา เลยนะครับ” ชายหนุ่มแตะคางมนให้เงยหน้าขึ้นมอง
“ฉัน ไม่ใช่เตียวเสี้ยนนะคะ ที่พระจันทร์จะต้องหลบนะ” กรกมลแอบค้อนใส่ หน้านวลแดงระรื่อ
“ถ้าไม่ใช่เตียวเสี้ยน งั้นก็ต้องเป็น”
“ใครหรือคะ “ หญิงสาวถาม ก่อนจะเอียงหน้าหลบ อาย เมื่อ ชายหนุ่ม ดึงร่างบอบบางไปกอดแนบอกกว้าง
“หยางกุ้ยเฟย มวลผกาต้องละอายนาง” ธารนธีพูด จมูกโด่งแอบหอมแก้มนิ่มๆๆ
“ฉันไม่สวยขนาดนั้นหรอกคะ “ กรกมล บอก พยายามจะเอียงหน้าหลบจมูกโด่งๆที่จะหอมแก้ม อีกข้าง “ เกิดเป็นคนสวย มิใช่ว่าจะดีเสมอไปนะคะ อาโป ดู อย่างหยางกุ้ยเฟย สิ คนสวยอาภัพหนัก ต้อง มาตายด้วยผ้าแพรสามดอก ที่ฮ่องเต้ประทานให้ เพื่อใช้ผูกคอตาย “
“เกิดเป็น คนสวยนี่อาภัพจริงๆเลยนะ “
“ใช่ ดูอย่าง ไซซี มัจฉา จมวารี นางงามขนาดว่า ปลายังไม่กล้าโผล่ขึ้นมา จากผิวน้ำ ความงามของนาง ทำให้ต้องไปเป็นเชลยให้ท่านฮ่องแคว้นอื่น จำจาก ชายคนที่รัก ฟ่านหลี่ตั้งสิบปี กว่าท่านอ๋องแคว้นเยว่ จะกอบกู้อิสรภาพขึ้นมาได้ “
“สิบปี แต่อย่างงัย ไซซี ก็ได้กลับมาหาแม่ทัพ ฟ่านหลี่มิใช่หรือ นารีล่มเมือง “
“หึ …ใช่คะ ไซซีได้กลับ แต่หวังเจาจวินไม่ได้กลับ แคว้นฮั่น นางนอนตาย อยู่นอกด่าน บนทุ่งหญ้าสีเขียว ของแคว้นซยงหนู พูดไปความงามของนาง ขนาดปักษา ยัง ตกนภา เลยนะคะ “ กรกมล เอียงศรีษะ พิงไหล่ของชายหนุ่ม ในมือหมุนกิ่งดอกเหมย
“น่าสงสารฮ่องเต้ แห่งฮั่น นะคะที่มิได้ยลโฉมงาม ของสาวงามแห่งฮั่น เพราะ เข้าใจผิดว่า หญิงสาวไม่สวยเลย ต้องเสียนางไปให้กับ ชาวหยงหนู “ หญิงสาวยิ้มหวานให้ ธารนธีที่มองมา “เพราะหลงเข้าใจผิด ตามคำบอกเล่าของคนสนิท เฮ้อ…. หญิงสาวที่ต้องชะตาพลิกผันเมื่อราชสำนักต้องการคัดเลือกสาวงามเข้าวังเพื่อไปเป็นสนม แต่แล้วจากนางกำนัลไปวังหลวงต้องกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสายสัมพันธ์เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดิน “ ความรัก ความเสียสละ และความจงรักภักดี เรื่องจริงจากประวัติศาสตร์ กับตำนาน สองพันปี
“แต่ผม ไม่ได้หลงเชื่อใครนะ ครับ ไม่งั้นจะได้หลานสาวคุณชายแห่งวังปทุมวัน มาครองได้หรือครับ” ชายหนุ่มว่า
“อันนั้น ก็ต้องเรียกว่า โชควาสนาของคุณแล้วละ คะ” กรกมลพูด ก่อนจะค้อนควับใส่ ชายหนุ่ม
สี่สาวงามแห่งแผ่นดินจีน
สตรี สี่ คนที่ได้ว่างดงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีนโบราณ โดยทั้งสี่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองพลิกผันถึงขั้นล่มสลายของอาณาจักรหรือเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์
ไซซี ผู้ได้รับฉายานามว่า มัจฉาจมวารี ซึ่งหมายถึง ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ
เตียวเสี้ยน ผู้ได้รับฉายานามว่า จันทร์หลบโฉมสุดา ซึ่งหมายถึง ความงาม ที่ทำให้แม้แต่ดวงจันทร์ยังต้องหลบเลี่ยงให้
หยางกุ้ยเฟย ผู้ได้รับฉายานามว่า มวลผกาละอายนาง ซึ่งหมายถึง ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องละอาย (มีครั้งหนึ่ง ที่หยางกุ้ยเฟย ไปเก็บดอกไม้ในสวน กำลังเอื้อมมือไปแตะดอกไม้ ฉับพลันนั้น ดอกไม้ก็เหี่ยวแห้งลงทันตา )
หวังเจาจวิน ผู้ได้รับฉายา นามว่า ปักษาตกนภา ซึ่งหมายถึง ความงามที่ทำให้แต่ฝูงนกยังต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า หญิงสาวผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดและความงดงามเป็นเลิศ นารีพิฆาต
“ฉันชอบหวังเจาจวิน หญิงสาวผู้พลิกแผ่นดิน “ กรกมลหันมาบอกชายหนุ่ม
“คุณ ก็ไม่ได้กลับเมืองไทยนะ หลงเซีย “ ชายหนุ่มบอก(กุ้งมังกรเลยแอบหยิกแขนเขาให้)
“ถ้าอยู่กับคนที่เรารัก จะกลัวไปทำไมละคะ อยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะทุกที่คือบ้าน “ หญิงสาวพูด ก่อนจะยิ้ม หวานให้ ซบหน้าลงบนอกกว้างของชายหนุ่ม ธารนธีโอบร่างบอบบางกระชับ จมูกโด่งจรด ลงบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา อย่างรักสุดซึ้ง
บ้าน ใช่แล้ว บ้านรมย์รวินท์ บ้านดอกบัว บ้านของเราสองคน บ้านของเขา กับ หญิงสาวสุดที่รัก ธารนธีคิด
พระจันทร์แทนใจฉัน
“หนี่ เวิ่น หว่อ ไอ้ หนี่ โหย่ว ตัว เซิน หว่อ ไอ้ หนี่ โหย่ว จี่ เฟิน
หว่อ เตอ ฉิง เหย่ เจิน หว่อ เตอ ไอ้ เหย่ เจิน
เยว่เลี่ยง ไต้เปี๋ยว หว่อ เตอ ซิน หว่อ เตอ ฉิง ปู้ อี๋
หว๋อ เตอ ไอ้ ปู๋ เปี้ยน” กรกมลเอียงคอ นั่งมอง ชายหนุ่มนั่งดีดพิณจีน อยู่ที่ระเบียงบ้าน ริมฝีปากบางยิ้มอ่อนๆๆ นิ้วเรียวยาวยกแก้ว บุปผานารีขึ้นมาจิบ (ไหนว่าจะไม่คิดดื่มงัยละนางเอก ทำไมกลับคำพูดละ ก็มันมีเรื่องเครียดนี่หนา ยังไม่ถึงเวลาที่พูด) ตากลมโต แหงนมองพระจันทร์แสนสวย ที่สาดแสงสวยงามละออ
“ชิงชิง เตอ อี๋ เก้อ เหวิ่น อี่จิง ต่า ต้ง หว่อ เตอ ซิน
เซิน เซิน เต๋อ อี๋ ต้วน ฉิง เจี้ยว หว่อ ซือเนี่ยน เต้า หญูจิน
หนี่ ชี่ว เสี่ยง อี เสี่ยง หนี่ชี่ว คั่น อี คั่น “ ธารนธียิ้มที่มุมปากนิดๆเมื่อเห็นกรกมลยก แก้วบุปผานารีขึ้นจิบ คืนนี้ได้เห็นคนเมาแน่ๆ ชายหนุ่มคิด แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร คงปล่อยให้หญิงสาวนั่งดื่มบุปผานารีไปเรื่อยๆๆ เขาก็เลยนั่งบรรเลงพิณต่อ
“เยว่เลี่ยงไต้เปี่ยว หว่อ เตอ ซิน พระจันทร์แทนใจฉัน” กรกมลพูด ก่อนจะ จับแก้วลายดอกเหมย หมุนไปมา บนโต๊ะ ญี่ปุ่นเล็กๆ
“ที่รัก ดูท่าทางของคุณ จะเมาแล้วนะ “ ธารนธีบอก
“เมา ครัย บอกว่า น้องกุ้งนาง ไม่เมา หรอกค้า ปี้ อาโป “ หญิงสาวพูด ก่อนจะ ส่ายหัวไปมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองชายหนุ่ม คิ้วเรียวขมวดมุ่น ค่อยๆวางแก้วลงบนโต๊ะ และก่อนจะย้ายร่างมานั่งแปะข้างธารนธี มือเล็กๆๆแตะลงบนอกกว้าง
“ที่รัก คุณ เป็นอะไร “ เขาถาม สายตาจ้องมองพวงแก้มที่แดงระเรื่อ อย่างถอนสายตาไม่ได้
“ปี้ อาโป” กรกมลเรียกชายหนุ่มเสียงเบาหวิว
“มีอะไร ครับ “ ชายหนุ่มถาม ก่อนจะหยุดเล่นพิณ ก่อนจะหันมาจับมือเล็กๆๆที่เริ่มเกาะแกะบนร่างกายของเขา
“มาดื่ม เหล้า เป็นเปื้อน ขะเจ้า หน่อย สิเจ้า “ เอาละสิกรกมล เริ่มจะเมา แล้วละมั้ง
“ได้เจ้า “ ชายหนุ่ม บอก ก่อนจะ ดึง แก้ว ลายดอกเหมย จากโต๊ะ มาถือไว้ ก่อนจะรินเหล้าจากกา ใส่แก้วสองใบ แล้วส่งให้ กรกมลที่มอง มา “เชิญ เจ้า “
“ดื่มแบบนี้ ขะเจ้า บ่ชอบ ต้องแบบนี้ สิเจ้า “ สาวเครือฟ้าเข้าสิงกรกมลแล้ว หญิงสาวคล้องแขนชายหนุ่มดื่มเหล้ามงคล นัยน์ตาสีดำหรี่มอง กรกมล อย่างงง เธอเป็นอะไรทำไมจู่ๆๆถึงได้ดื่มเหล้าบุปผานารีอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มคิด จะให้เขาห้ามคงยาก นิสัยดื้อแบบนี้ ยิ่งห้ามเหมือนจะยิ่งยุ
“ดื่มเจ้า “ ธารนธีบอก ก่อนจะริน เหล้าใส่ แก้วให้
“เปิ้นถามว่าขะเจ้าฮักเปิ้นลึกซึ้งแค่ไหน ขะเจ้าฮักเปิ้นมากเท่าใด ใจ๋ฮักของขะเจ้าก่แท้ ความฮักของขะเจ้าก็จริง ดวงแขเป็นตั๋วแทนดวงใจ๋ของขะเจ้า ใจ๋ฮักของขะเจ้าไม่ผันแปร ความฮักของขะเจ้า ไม่เปลี่ยนแปลง” กรกมลพูด คำแปลของเพลงพระจันทร์แทนใจฉันเป็นภาษาเหนือ ไปซะงั้น สาวเครือฟ้า ยุคสองพัน ธารนธีเห็นสภาพแล้วอยากจะขำ
“จูบเบาๆๆทีเดียว ก็สะท้านใจ๋ขะเจ้าจนสะเทือนแล้ว โอ้…พระจันทร์เสมือนแม้นตัวแทนใจ๋” เครียด ดื่มให้เมาเลยคืนนี้ กรกมลคิด
“ที่รัก เมาแล้วนะเจ้า “ ร้อยตรีพร้อม บอกเบาๆๆ
“ปี้อาโป เจ้า” สาวเครือฟ้า ยุค สองพัน เรียก ธารนธี ที่นั่งเท้าคางมอง คนสวยเมา
“เจ้า” อยากจะขำ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว จะจำเรื่องราวได้ไหมนะ
“เมื่อไรจะสอน ขะเจ้าสักที “ หญิงสาวถาม ตอนนี้สติสตัง คงไม่ได้อยู่ในตัว ของกรกมล ภัทรโยธิน แล้วละ ถึงได้กล้าพูดแบบนี้นะ
“สอนอะไรเจ้า” ชายหนุ่มถามอย่างงง ๆ ก่อนจะดึงแก้วเหล้าออกจากมือ ให้ดื่มมากไม่ได้ เครียดเรื่องอะไรหรือเปล่านะ ชายหนุ่มคิด หลังจากที่เธอรับโทรศัพท์จากทางไกล ท่าทางของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปทันที ดูเศร้าสร้อย หงอยเหงา ไม่สดใส ร่าเริง
“ก่ การดื่มเหล้าบุปผานารีที่ให้ได้รสชาติที่แท้จริงงัยละเจ้า” เธอบอก อย่างไม่อาย
“เอ่อ ครับ “ เขาพูดเสียงต่ำน้ำเสียงของเขาเหมือนสายลมของฤดูใบไม้ผลิ ฝ่ามือกว้างโอบรอบศีรษะและเส้นผมของเธอ พลางใช้มือแตะหน้ากรกมลเบาๆๆ เมาจริงๆๆหรือเนี่ย ริมฝีปากกระตุกยิ้ม
“อยากเรียนรู้หรือเจ้า” ชายหนุ่มถาม ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดอยู่บนริมฝีปากของหญิงสาว หวิวๆๆเหมือนผีเสื้อกระพือปีกผ่าน กรกมลตื่นเต้นจนตัวสั่นนิดหน่อย มองเห็นใบหน้าคมขยับเข้ามาใกล้ๆ เรื่อยๆๆ ธารนธีหยิบแก้วบุปผานารีจ่อริมฝีปากของหญิงสาว “ ดื่มสิครับ” เขาบอก
“หึ ขะเจ้า บ่ดื่มได้ก่ ปี้อาโป ขะเจ้ามึนหัวไปหมดแล้ว “ กรกมลบอก ก่อน จะส่ายหน้าไปมา นัยน์ตาหวานหลับลง ศีรษะเล็กๆๆซบลงบนซอกไหล่ ปวดหัว
“อ้าว อย่าเพิ่งหลับ ดิ ยังบ่ได้สอน เลย” เขาบอก พลางหัวเราะหึๆๆ
“ขะเจ้า บ่ไหวแล้ว ปี้อาโป เอาไว้วันหลังเต๊อะเจ้า “ หญิงสาวบอก ยกมือ ดันแก้ว บุปผานารีออกไปให้ไกลจากริมฝีปาก
“บ่ได้ ต้องวันนี้ เฮาบ่ยอม” ธารนธีแกล้งขู่( ความจริงไม่ใช่แก้วเหล้าอะไรหรอก แต่เป็นน้ำชาต่างหากที่เขาให้หญิงสาวดื่ม)
“แต่ขะเจ้าบ่ไหว ขะเจ้า อยากนอน” คนอยากให้สอนกลับไม่ยอมเรียน ซะงั้น
“แม่ญิง อย่าเพิ่งหลับ” ร้อยตรีพร้อมเขย่าร่างบอบบางของสาวเครือฟ้าที่ทำท่าจะหลับให้ได้ นัยน์ตากลมโตปรือตามอง
“พี่พร้อมจ๋าเครือฟ้าลาละเน๊าะ
ปากพูดจ้อตาก็จ้องเข้าห้องใน
พอคอเหวอะ เลือดเลอะ มีดตกเปรี้ยง
ก็แว่วเสียง ผัวเรียก สำเหนียกได้
รักก็รัก แค้นก็แค้น แน่นทรวงใน
เหลืออาลัย แล้วก็ซานคลานออกมา
โลหิตไหล กายสั่น อยู่ริกริก
เหงื่อซิกซิก ซบซวน กำสรวลหา
หน้ามืดหวึง พอถึง ทวารา
สาวเครือฟ้า สิ้นชีวาตม์ ขาดใจเอย"
เป็นบทละครร้องเรื่องสาวเครือฟ้า ที่กรกมลเคยเล่นละครเวทีการกุศลสมัยเรียนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนปีสี่ ตอนนั้นคุณหญิงบงกชรัศมิ์ เป็นรองประธานจัดละครเวทีการกุศลเพื่อเด็กด้อยโอกาสในชนบทที่ห่างไกลของสภา สตรีไทย ที่มีคุณหญิงประภัสสรเป็นประธานในพิธี เนื่องจากตอนนั้นไม่สามารถหาตัวสาวเครือฟ้า ที่จะมาแสดงแทน สาวสวยที่ชื่อ แพรวา ได้ ซึ่งติดธุระกระทันหัน แจ็คพ็อต เลยตกมาเป็นของกรกมล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนั่นเองเธอเกือบจะฆ่ากันตาย กับร้อยตรีพร้อม รวีวิชญ์ พัฒนาการสกุล คาเวที ยิ่งเกลียด ยิ่งเจอ
“ที่ฮัก เจ้า เป็นอย่างไรบ้าง” ธารนธีถาม ก่อนจะ ประคองร่างบอบบาง
“โอ้เครือฟ้า ครานี้ สิ้นที่หวัง
ขอลาโลก โศกสั่ง ถึงหูผัว
เมียอาภัพ คับชีวัน ประหวั่นรัว
ขอลาบัว บาทพี่ หนีไป
คอยดู อยู่กับพ่อ รอพี่
เพราะชาตินี้ วาสนา หาถึงไม่
จวบลุพระ อมฤตย์ สุราลัย
เกิดชาติไหน ขออยู่ เป็นคู่กัน
พี่มีดขาโปรดพาเครือฟ้านี้
จากโลกนี้นิราศชู้สู่สวรรค์”
“เจ้าปี้ พร้อม ทำไมต้องทำอย่างนี้ กับขะเจ้าด้วย “ กรกมลถามธารนธี ที่ประคองร่างบอบบางอยู่
“เมาแล้ว เดี๋ยว ผมพาไปนอน “ เขาบอก
“ขะเจ้า บ่อยากนอน “ คนเมาเริ่มเกเร
“บ่ได้ดอก สาวเครือฟ้า”
“ปี้พร้อม ฮักขะเจ้า บ่ “ กรกมลถาม เสียงยานคาง
“ดื่มซะ จะได้เมาหายเมา “ ธารนธีหยิบแก้วบุปผานารีจ่อปากหญิงสาว ทันที กรกมลผงกศีรษะดื่ม
“ปี้อาโป ใจ๋ฮ้าย “ ทำไมเหล้ามันเหมือนน้ำชาจังวะ
“หึ ยังไม่หายเมาอีกหรือนี่ “ เขาถาม ริมฝีปากบางอันร้อนระอุสัมผัสกลีบปากเธออย่างสนิทชิดเชื้อ
“ปี้ อาโป ทำ อะหยังเจ้า” กรกมลถามอย่างงง
“ก็สอน วิธีดื่มบุปผานารี งัยเจ้า” เขาบอก ก่อนจะใช้ริมฝีปากร้อนระอุทาบทับลงบนริมฝีปากที่พูดไม่หยุด
เรี่ยวแรงของกรกมลอันตรธานหายไปหมด ร่างทั้งร่างเบาหวิว เธอรับรู้ได้เบลอๆว่ามือของชายหนุ่มไต่ขึ้นมาโอบเอว จากนั้นก็รั้งเธอเข้าไปในอ้อมกอด ทำให้เธอสัมผัสกับรสจุมพิตของเขาได้ทั่วถึงยิ่งกว่าเก่า
ธารนธีไม่รีบไม่ร้อน แต่กลับอ่อนโยนค่อยเป็นค่อยไปจนน่าหลงใหล เขาแตะริมฝีปากอวบอิ่มที่สั่นน้อยๆๆของหญิงสาว ค่อยๆดูดเม้มความอ่อนนุ่ม
“ปี้อาโป “หญิงสาวพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป เพราะบัดนี้ดวงตาของเธอกำลังพร่าเลือนไปด้วยความสุขที่เขามอบให้
“ที่รัก “ ชายหนุ่มเรียกหญิงสาว ริมฝีปากของเขายังคงแนบชิดอยู่ที่ต้นคอของหญิงสาว กรกมลค่อยฟื้นๆจากคลื่นยักษ์ที่โถมซัดและไหลวนอยู่ในร่าง ร่างบอบบางสั่นสะท้านเพราะความสุขสมอย่างน่าตกใจ เธออิงแอบอยู่กับอกกว้างและได้แต่ส่งเสียงครางเหมือนแมวน้อย
“ปี้ อาโป “ ร่างบางอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม มือเรียวสองข้างเกาะบ่าเขาไว้ ก่อนจะผล็อยหลับลงทันทีเพราะฤทธิ์ เหล้าบุปผานารีที่ ดื่มเข้าไป “ขะเจ้า บ่อยากแต่งงานกับ ผู้ชายที่บ่ได้ฮัก “
“หึ “ ชายหนุ่มหันมามอง หญิงสาวที่นอนสลบหมดแรงอยู่ในอ้อมกอด เธอละเมออะไรออกมานะ ไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก หมายถึงใครกันละ ที่ได้รักนะ “ที่รัก คุณเครียดเรื่องนี้หรือครับถึงได้ดื่ม เหล้าจนเมาหมดสภาพแบบนี้นะ “
“โอ้พระชนนี ชนนีศรีแมนสรวง จะโศกทรวงเสียวรู้สึกระลึกถึง
ไหนทุกข์ถึงบิตุรงค์ บิตุรงค์ทรงรำพึง ไหนโศกซึ้งถึงตูคู่หทัย
ร้อยชู้หรือจะสู้ หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้
พระแม่อยู่เยือกเย็น เยือกเย็นไม่เห็นใคร หรือกลับไปสู่นครก่อนจะดี
ร้อยชู้หรือจะสู้ หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้
พระแม่อยู่เยือกเย็น เยือกเย็นไม่เห็นใคร หรือกลับไปสู่นครก่อนจะดี”
“พี่กุ้งนาง ท่านปู่บอกว่า ว่าที่คู่หมั้นของพี่กุ้งนางเตรียมจะยกขบวนขันหมากมาสู่ขอ พี่แล้วนะคะ ถ้าวันไหนพี่กุ้งนางกลับมาจากประเทศคีรีธารา ก็เตรียมตัวรับหมั้นได้เลยคะ” กชรัศมิ์พูดเสียงใส ราวกับยินดีที่เธอจะขายออกไปจากวังปทุมวันซะงั้น
“นายนั่นจะบ้าหรืองัยนะ สงสัยอยากจะตายละมั้ง อยู่ดีไม่ว่าดี “ กรกมลพูดเสียงสั่นๆกำโทรศัพท์แน่น
“พี่กุ้งนางจะทำอะไรเขาหรือคะ “ น้องสาวตัวแสบถาม เสียงใส
“ทำเหมือนกับ คุณชายกลางแห่งวังน้ำค้างนั่นละ “ พี่สาวตัวแสบบอก ตากลมโต จ้องมองกำไลทับทิมที่วางอยู่ในกล่องแกะสลักด้วยเงินลายดอกพิกุล ของหมั้นแทนใจที่ ผู้ชายคนนั้นมอบให้
“อย่าโหดร้าย กับเขาแบบนั้นสิคะ” กชรัศมิ์พูด พลางหัวเราะคิกคัก เมื่อได้ยินเสียง ฟืดฟัดของพี่สาวที่กำลังจะกลายร่างเป็นกุ้งเต้นภายในสิบนาทีแน่ๆๆ
“บอก ท่านปู่ด้วยว่า พี่ไม่หมั้นกับหลานชายเพื่อนของท่านปู่อะไรนั่นหรอกนะ”
“คงยากนะคะ เพราะว่าทุกคนลงมติกันแล้วว่า ผู้ชายคนนี้นะ พี่กุ้งนางไม่มีทางปฏิเสธได้แน่นอน”
“ไม่หมั้น ไม่แต่ง ได้ยินไหม”
“ได้ยินคะ แต่ว่าฤกษ์ ปลายปี มันช้าไป ทางฝ่ายชายจะลื่นมากลางปีนี้ “
“กรี๊ดๆๆๆ ไม่หมั้น ไม่แต่ง”
“ทำไมคะ หรือว่า พี่กุ้งนางมีคนที่รักแล้วละคะ ถึงไม่ยอมหมั้นกับหลานชายของเพื่อนท่านปู่นะคะ”
“ใช่ ฉันมีคนที่รักแล้ว ฝากไปบอกท่านปู่ด้วยว่า ฉันหาผู้ชายที่เพรียบพร้อมด้วยคุณสมบัติสิบประการได้แล้ว”
“เขาเป็นใครละคะ หนูจะได้ไปบอกท่านปู่ถูก หนุ่มคีรีธาราอะป่าวคะพี่กุ้งนาง”
“ใช่” กรกมลตอบ
“หล่อไหมคะ ทำงานอะไร เป็นลูกหลานของใครกันคะ “ กชรัศมิ์ถาม ราวกับเป็นนายทะเบียน (ฉันทำงานเป็นเลขานุการ ของคุณตันติกรยะ )
“หล่อมากคล้ายลีจุนกิ ทำงานเป็นพนักงานก่อสร้าง พ่อทำนา ส่วนแม่ เป็นแม่บ้าน” กรกมลแกล้งพูด ริมฝีปากยิ้มอย่างสะใจ เมื่อได้ยินเสียงแหกปากร้องของน้องสาวราว กับถูกใครเอาไปฆ่า
“พี่กุ้งนางพูดเล่นใช่ไหมคะนั่นนะ”
“จริงๆๆเขาเป็นหนุ่มคีรีธารา นี่พี่ก็เที่ยวอยู่กับเขา นอนบ้านเดียวกัน “
“ไม่จริง ๆๆๆพี่กุ้งนาง ไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด น้องสาวสุดสวยไม่เชื่อ อย่ามาพูดโกหกให้ยากเลยคะ ไม่เชื่อหรอกคะ”
“ตามใจ นี่พี่คิดว่าจะพาเขากลับไปหาท่านปู่เหมือนกันนะ รับรองได้เลยว่า วังปทุมวันต้องกรีดร้อง ตกใจด้วยความดีใจแน่ๆๆที่พี่สามารถหาชายหนุ่มที่ มีคุณสมบัติที่ตรงข้ามกับหลานชายของเพื่อนท่านปู่ไปฝากได้ หนุ่มคีรีธารานะ”
“ดีใจ หรือ ว่า ตกใจ กันแน่คะ พี่กุ้งนางพูดเล่นหรือเปล่าคะ”
“พูดเล่นที่ไหนละ พูดจริงๆๆทำจริงๆๆ”
“เฮ้อ ท่านปู่ได้ช็อคตายแน่ๆๆ คราวคุณชายกลางก็ทีหนึ่งแล้วนะคะ”
“ช่วยไม่ได้นี่หนา ก็พี่ไม่ได้รักเขานี่หนา แต่หนุ่มคีรีธาราคนนี้ พี่รักจริง หวังแต่ง “
“น่าสงสารหลานชายเพื่อนท่านปู่นะคะ แห้วเลย”
“ช่วยไม่ได้นะเราสองคนคงไม่ได้ทำบุญร่วมขันกันมา เลยต้องแคล้วคลาดจากกัน ถ้าน้องสาวสงสารก็ รับหมั้นแทนพี่สาวสิจ๊ะ” กรกมลแนะนำอย่างอารมณ์ดี
“ยี้ ไม่เอาหรอก คะ อีกอย่างเค้าก็มีผู้ชายที่ชอบแล้วด้วย “
“เจ้านายสุดเนี๊ยบ นั่นหรือเปล่าละ กอหญ้า”
“ไม่บอก ปล่อยให้งง อย่าได้มาถามให้เสียยากเลยคะ ขนาดผู้ชายที่พี่กุ้งนางแอบรักพี่ยังไม่เคยเล่าให้ฟังเลย “ กชรัศมิ์พูดเสียงงอน น้อยใจ
“ไม่ถามก็ได้ บอกท่านปู่ด้วยว่า อีกสามเดือนจะกลับประเทศไทย ส่วนเรื่อง หลานชายเพื่อนท่านปู่ เดี่ยวพี่จัดการเอง”
“จัดการแบบไหนละ คงไม่ไล่ตะเพิดแบบคุณชายกลางหรอกนะคะ”
“ ไม่ต้องห่วง ว่าพี่จะทำแบบนั้นหรอกนะ พี่แค่จะบอกเขาว่า พี่มีคนที่พี่รักแล้ว”
กรกมลพูด พลางยิ้มหวานใส่โทรศัพท์ เมื่อน้องสาววางสายไปนานแล้ว นัยน์ตากลมโตเหม่อมองไปข้างนอก
“คุณชายกลาง เขาอยู่ที่ประเทศคีรีธาราเหมือนกันนะคะ ท่านปู่บอกว่า คุณชายลาพักร้อนไปเที่ยวนะคะ ระวังจะได้เจอกันนะคะ”
ปภังกร ทรรศดา ณ อยุธยา คุณชายกลาง ก็มาประเทศคีรีธาราเหมือนกันหรือนี่
ถ้าในหัวใจของเธอไม่มีผู้ชาย ชื่อธารนธี ชลธารพิทักษ์ ละก็ เธออาจ จะลองเปิดใจคบกับ คุณชายแห่งวังน้ำค้างดูก็ได้ แต่ก็อย่างว่าละ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเธอนี่หนา
“ขอโทษ นะว่าที่คู่หมั้น ฉันคงจะหมั้นกับคุณไม่ได้แล้วละ ถ้าคุณมาเร็วกว่านี้ เราสองคนอาจจะรักกันได้ และ อีกอย่างเราสองคนก็ยังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย หน้าตาของคุณจะเป็นอย่างงัยฉันก็ยังไม่เคยเห็น “ กรกมลพูดกับกำไลทับทิม ที่ออกแบบสวยงาม “ ถ้าฉันกับอาโป ไม่กลับมาเจอกันอีกครั้งเราสองคนอาจจะกลายเป็นคู่หมั้นกันจริงๆๆก็ได้ น่าเสียดายหัวใจของฉันมีเจ้าของแล้ว “ หญิงสาวหยิบกำไลทับทิม วางลงในกล่องไว้ดั่งเดิม เตรียมจะนำเอาไปคืน ถ้ากลับถึงเมืองไทย หลังจากเที่ยวจนสะใจนั่นละ
บ่อน้ำแร่
ชายหนุ่มเอนตัวพิงกับโขดหินในบ่อน้ำแร่ที่กำลังแช่กายเพื่อคลายอารมณ์ ในหัวเริ่มคิดถึงวิธีที่จะง้องอนกรกมลอย่างงัยให้หายโกรธสักที ใบหน้าสงบนิ่งอย่างใช้ความคิด จวบได้ยินเสียงคนเดินมาจากด้านหลัง แต่ชายหนุ่ม ไม่ยอมหันไปมอง มุมปากเรียวไหวยิ้มอย่างมีเลศนัย
“จะไปไหนหรือที่รัก “ ธารนธีเอ่ยถาม หากแต่กรกมลกลับยืนนิ่ง เพราะความที่ยังโกรธไม่หาย ไอ้ผู้ชายลามก เสือผู้หญิง คนผีทะเล หญิงสาวไม่ตอบคำถามของชายหนุ่ม ริมฝีปากบางเม้มตรง หน้าตาบูดบึ้งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ใครสักคน คนนั้นก็คือธารนธีนั่นเอง
“ทำไมไม่ตอบ ละ โกรธอะไร ผมหรือ” เสียงเข้มถาม
“คุณจะเอาอย่างงัยกับฉันกันแน่” กรกมลกระชากเสียงใส่อย่างไม่พอใจ ก่อนจะนั่งลง ตากลมโตถลึงมอง ชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง ธารนธีเป็นแบบนี้เสมอ ชอบบังคับเธอให้ทำตามใจเขาทุกอย่างเพื่อจะกลั่นแกล้ง ผู้ชายอะไรไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจของคนอื่นบ้างเลย เขากำลังทำร้ายเธอ แต่กลับแสร้งให้เธอต้องยิ่งต้องเจ็บปวด จะใจร้ายเกินไปหน่อยละมั้ง
“มีอะไรกับผม หรือ เปล่าถึง ได้เดินมาถึงที่นี่” เขาถาม
“ถ้าไม่มี แล้วฉันจะมาทำไมละ ฉันไม่อยากจะเป็นตากุ้งยิงหรอกนะ ผู้ชาย เปลือย” กรกมลพูดประชด ดวงตากลมโตชำเลืองมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งแช่น้ำแร่อยู่ริมบ่อ แผ่นอกกว้างเปลือย (ไม่กล้ามองมากไปกว่านั้น กลัวจะเจอสิ่งที่ควรจะเห็น เข้าให้ )
“ถูหลังให้ผมหน่อยสิ” ธารนธียื่นผ้าสีขาวสะอาดตาที่ใช้สำหรับถูหลังให้กับหญิงสาว ราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อสายตาของกรกมลที่มองเขาอย่างไม่เข้าใจและ ขุ่นเคืองเต็มกำลัง
“จะบ้าหรือยะ ฉันเป็นผู้หญิงนะยะ แล้วคุณ ก็เป็นผู้ชาย การที่เราอยู่ที่นี่ด้วยกันมันก็มากเกินไปแล้วนะ แล้วนี่ยังจะให้ฉันถูหลังให้คุณอีกงั้นหรือ ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณนะ ธารนธี ชลธารพิทักษ์”
“หรือต้องให้เป็นภรรยาเสียก่อน ถึงคุณจะถูหลังให้ผมได้ ถ้างั้นผมจะได้ทำให้เป็นเสียเดี๋ยวนี้”
“อาโป” เสียงหวานใสแผดใส่หูของชายหนุ่มด้วยความสุดทน ใบหน้านวลแดงเรื่อด้วย ความโกรธและอาย แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากดึงผ้าเช็ดตัวสีขาวที่อยู่ในมือของเขามาถือ
“เร็ว” เสียงเข้มเร่งรัด ในใจแอบยิ้มย่องอยู่ลำพังที่แกล้งกรกมลให้อายได้ สำเร็จ
“ก็ขยับไปสิ นั่งชิดแบบนี้แล้วฉันจะถูหลังให้ได้อย่างงัยละ” เสียงหวานบอกฉุนๆๆ ก่อนจะรวบชายเสื้อแขนยาวสีขาวที่ตัดจากผ้าไหมแก้วของตัวเองขึ้น หย่อนขาลงไปในบ่อน้ำแร่ ทรุดตัวนั่งลงที่ริมบ่อแล้ว ก้มลงถูหลังให้ร่างสูงอย่างทุลักทุเลา
ไออุ่นจากบ่อน้ำแร่ยังคงลอยกรุ่นเหนือผิวน้ำ บรรยากาศเงียบสงบ จนต่างฝ่ายก็ต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน กรกมลจ้องมองแผ่นหลังกว้าง ใจของเธอก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ แก้มนวลค่อยๆเปลี่ยนสีจากแดงระรื่อเป็นแดงจัด หัวใจเต้นระรัว
“ทำไมเงียบไปละ” ธารนธีพิงศีรษะอิงกับตักของกรกมลอย่างไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า ใบหน้าหวานคมเงยขึ้นมองเจ้าของตัก หญิงสาวถึงกับสะดุ้งตกใจ ถึงกับชะงักมือ
ความร้อนจากแผ่นหลังของเขาลวกมือเธอ สายตาสีดำคมหวานมองไล่ตามคอระหงอย่างไม่ตั้งใจ เสื้อสีขาวเปียกน้ำแนบลู่ร่างกายเห็น ผิวกายที่นวลละออ
“มองอะไรมิทราบ” เสียงหวานใสถาม เป็นเชิงบอกให้เขาหยุดเทะโลมเธอด้วยสายตา เรื่องเดิมก็ยังขุ่นเคืองยังไม่หาย (ก็รอยคอของเธองัยละ ยังมีรอย อยู่เลยนะ แถมตรงเนินหน้าอกก็มี ฝีมือของใครละ ถ้าไม่ใช่ฝีมือของผู้ชายคนนี้ เขากล้ามาก ที่ทำแบบนี้กับเธอ)
“ก็มองคุณ งัยละ “ เขาตอบตรงไปตรงมา แอบมองต้นคอขาวที่ยังมีรอยที่ถูกเขาฝากไว้เมื่อคืนเอาไว้ เป็นที่ระลึก
“นี่แนะ “ กรกมลเงื้อมือฟาดใส่ไหล่กว้างอย่างแรง จนเป็นรอยแดง
“ที่รัก คุณกำลังกลัวหรือ” ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามือหญิงสาวกำลังสั่น จึงกล่าวยั่วเย้า
“ฉันเปล่านะ” เธอปฏิเสธ ทั้งที่แก้มแดงระเรื่อ น้ำเสียงก็ยังคงประเหม่า
“แต่ทำไมมือของคุณสั่นแบบนี้ละ” ธารนธีถาม พลันหัวเราะออกมา อย่างหมั่นไส้
“ฉันก็แค่ไม่เคยคุ้นกับการต้องมาถูหลังให้คนอื่นแบบนี้ต่างหาก” กรกมลกัดฟันตอบ อวดฝีปากกล้า (แล้วเมื่อคืนละกลายเป็นอีกคนเลยนะนางเอก) “อุ้ย คุณจะทำอะไร” หญิงสาวถามเสียงดังเมื่อรู้สึกได้ว่า ข้อมือเล็กๆๆถูกจับดึงลงไปจุ่มน้ำ เธอจึงต้องโน้มตัวลงไปหาเขา เนื้อตัวถูกน้ำกระเด็นใส่จนเปียกเป็นวงกว้าง ม่อลอกมะแลกน่าดูชม
ในยามนี้ใบหน้าของทั้งสองใกล้ชิดกันเหลือเกิน กระทั่งเธอได้กลิ่นสบู่อ่อนๆมาจากตัวของเขา
แก้มของกรกมลยิ่งแดงปลั่ง ตากลมโตมองอย่างขุ่นเคือง ต่างฝ่ายต่างใกล้ชิดกันถึงขนาดนี้ สายตาของเธอไม่อาจละไปจากใบหน้าเขาได้เลย
“ทำไม หน้าแดงจังเลยละครับ หรือว่าเห็นร่างเปลือยเปล่าของผมแล้วหวั่นไหว” ธารนธีแกล้งจงใจถาม พลางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหู ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที กรกมลร่างแข็งทื่อตะลึงงัน อยากจะยกมือตบหน้าชายหนุ่มสักทีเหลอเกิน พูดจาได้น่าฟัง บาดหู เหลือเกิน ชวนให้คิดไปถึงไหนได้
“นี่ ฉัน เปียกหมดแล้วนะ “ กรกมลพยายามดันไหล่ของร่างสูงให้ผละออกไปจากตัก แต่กลับก็ไร้ผล ธารนธีดื้อดึงไม่ยอมถอยห่างไปจากตัวเธอเลย “ธารนธี ชลธารพิทักษ์” ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ชายหนุ่มก็ไม่สนใจอีกแล้ว พริ้มตาหลับอย่างหมั่นไส้ ผู้ชายบ้า ผู้ชายกะล่อน ผีบ้า ผีทะเล วันๆๆหาแต่เรื่องทำให้เธอได้แต่โกรธและอับอาย
“ที่รัก “ ธารนธียิ้มแย้มโปรยเสน่ห์ชวนให้คนลุ่มหลง “ อีกอย่าง ผมก็เชื่อว่าคุณก็ต้องการผมเช่นเดียวกัน”
ตูม ระเบิดลูก ที่หนึ่ง ลง กลางบ้าน สวนดอกเหมย
“หากไม่ถูหลังแล้วฉันก็จะกลับ เชิญคุณนอนแช่น้ำแร่คนเดียวไปเถอะ” กรกมลผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่รั้งรอ หากแต่เธอกลับช้าไป
ตูม
“วะว้ายยยยย อาโป “ นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจ้องมองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคือง มือเล็กๆๆฟาดลงบนแผ่นอกกว้างของเขาอย่างไม่เกรงกลัว ที่เขาบังอาจกระชากแขนของเธอจนไม่อาจทรงตัวได้ เลยพลาดท่าหล่นลงมาแช่ในบ่อน้ำแร่กับเขาอย่างนี้
ใบหน้าสวยใส ยังมองร่างสูงที่ยิ้มร่า ด้วยความโกรธ โมโห ไม่เคยมีสักครั้งที่ธารนธีจะสำนึก ที่ทำให้เธอเปียกม่อลอกมอแล่กขนาดนี้ยังยิ้มเฉยอยู่ได้
“ คุณแกล้งฉันใช่ไหม”
“เปล่า สักหน่อย” เขาตอบ เสียงขรึม ริมฝีปากยิ้มน้อยๆๆ เมื่อใบหน้าสวยใสเชิดขึ้นหันไปทางอื่น อย่างโมโหเรื่องที่เขาไม่เคยสนใจใยดีเธอ และเรื่องที่เขาแกล้งเธอเมื่อสักครู่
“ธารนธี คุณ ฮือๆๆ” กรกมลปล่อยโฮ ออกมา อย่างอดกลั้นไม่อยู่ ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าคมยังคงไม่ทุกข์ไม่ร้อนราวกับไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา นัยน์ตากลมโตจึงคลอด้วยหยาดน้ำตา “ไอ้ผู้ชายบ้า คุณทำร้ายจิตใจของฉัน แล้วยังไม่สนใจจะขอโทษฉันสักคำ” ไหล่มนเริ่มสั่นเพราะแรงสะอื้น ทำเอาร่างสูงมองด้วยความตกใจ
“ที่รัก “
“ไม่ต้องมาเรียก ฉันว่าที่รัก ฉันเกลียดคุณ ไอ้ผู้ชายบ้า “ ใบหน้างามเชิดขึ้น ก่อนร่างบอบบางจะผุดลุกขึ้นยืน มือเล็กๆๆปาดน้ำตาที่หลั่งริน ออกอย่างลวกๆๆ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นสุดกำลัง
“กรกมล “ ชายหนุ่มดึงแขนหญิงสาวไว้
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก ไปให้พ้นหน้าฉันเสียที” กรกมลตวาดใส่ อย่างขุ่นเคือง หัวใจเจ็บปวดเจ็บซ้ำกับความเย็นชาที่ได้รับ
“คุณร้องไห้ทำไม ผมทำอะไรให้คุณโกรธหรือ”
“คุณทำแบบนี้กับฉันได้งัย แค่ฉันมาอยู่บ้านเดียวกับคุณสองคนมันก็มากเกินทนแล้วนะ “ กรกมลตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ผมนึกว่าเรื่องอะไร “ เสียงขรึมเอ่ยเรียบๆๆตามด้วยเสียงถอนหายใจ นึกว่าหญิงสาวโกรธเรื่องอะไร เขาลืมไปว่าสุดที่รักของเขาหัวโบราณอยู่มิใช่น้อยเลยละ มือใหญ่ดึงร่างบอบบางที่นั่งอยู่ไม่ไกลมากอดไว้แน่น กดศีรษะสวยให้ซบลงกับบ่ากว้างแล้วซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา “ผมขอโทษ คราวหลังจะไม่ทำอีกแล้ว( อย่าได้เผลออีกก็แล้วกันละ)”
ร่างบอบบางที่อยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงร้องไห้โฮๆๆ น้ำตาของกรกมลไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย ธารนธี นี่เขาทำร้ายหญิงสาวที่รักเสมอ รักสุดซึ้ง รักสุดหัวใจ รักจนไม่สามารถจะเหลือใจจะรักใครได้ ต้องร้องไห้ มากมายถึงเพียงนี้หรือ มือใหญ่ดันไหล่บางออกเพื่อให้นัยน์ตาสีดำคมหวานได้สบกับนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ที่เหมือนดวงดารานับล้านดวงทอประกายในยามค่ำคืน ใบหน้าสวยใสนั้นแดงก่ำเพราะกำลังร้องไห้อย่างหนัก “ผมขอโทษ นะครับ ที่รัก อย่า โกรธผมนะ คนดี”
ชายหนุ่มปัดเส้นผมที่ระใบหน้างดงามขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเกลี่ยน้ำตาให้อย่างเบามือ กรกมลกลั้นสะอื้น ความขุ่นเคืองที่มีทั้งหมดราวกับถูกเป่าด้วยคำว่า ขอโทษ
“ปล่อย ฉัน เดี่ยวนี้ อย่ามากอด” กรกมลผลักร่างหนาออกห่างแล้ว หันหลังให้เขา อย่างยังไม่หายน้อยใจ
“โธ่ ที่รัก อย่าทำแบบนี้สิจ๊ะ” ชายหนุ่มพูดเสียงหวาน อ้อมแขนอุ่นติดตามเข้ามากอด รั้งร่างบอบเอาไว้จากด้านหลัง บรรยากาศเงียบสงบเงียบยิ่งทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของกันและกัน
“ปล่อย ฉัน อย่ามากอด” เสียงหวานใสมีสำเนียงแง่งอน มือเล็กๆๆคว้าข้อมือของเขา ดึงแล้วดึงอีก ให้ชายหนุ่มคลายกอด ธารนธีซบหน้าเข้ากับแก้มนวล กลิ่นกายหอมหวานมีเสน่ห์น่าหลงใหล จนหัวใจของเข้าเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แล้วใบหน้างดงามหันกลับมามองเขา อย่าคิดนะว่าเธอจะยอมยกโทษให้ง่ายๆๆนะธารนธี ชลธารพิทักษ์
ฉันก้อเหมือนกับดวงจันทร์
ที่โคจรรอบโลก
ไม่สามารถผละจากวงโคจรได้
ไม่ว่าฉันจะพยายามสักเพียงใด
ก็ไม่มีทางที่จะตัดเขาออกจากใจได้สักที
นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มสบประสานกับนัยน์ตาสีดำคมหวาน ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดอยู่บนริมฝีปากของกันและกัน ธารนธีปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนิ่นนานราวกับจะซึมซับกลิ่นกายหอมหวาน
แล้วริมฝีปากอุ่นก็ประทับลงบนเรียวปากอิ่มหวานอย่างแผ่วเบา สัมผัสอ่อนโยนจนร่างบอบบางถึงกับสะท้าน หากแต่ไม่ทันที่จะผละออก หญิงสาวก็ถูกช้อนตัวนั่งบนตักกว้าง
กรกมลจ้องมองหน้าคมอย่างเอาเรื่อง มือเล็กๆๆดันบ่ากว้างแข็งแรงให้ปล่อยเธออย่างเต็มกำลัง
“อย่าคิดนะว่า ฉันจะยอมยกโทษให้คุณง่ายๆนะ คุณ ธารนธี ชลธารพิทักษ์” ธารนธีหัวเราะ มืออุ่นกอดรั้งกรกมลเข้าชิดตัว ใบหน้านวลแดงซ่านขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ปล่อย ฉันไม่ใช่นางบำเรอของคุณนะ “ เสียงหวานใสแผดใส่หน้าเขา ยิ่งเธอคิดว่าเขาเคยทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่น แล้วมาทำแบบนี้กับเธอ ใบหน้าสวยใส ก็ยิ่ง ฉายความขุ่นเคืองหนัก
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ละที่รัก ไม่น่ารักเลยนะจ๊ะ คราวหน้าคราวหลังอย่าได้พูดแบบนี้อีกนะครับ ผมไม่ชอบ” ธารนธีพูด เสียงหวาน เลยถูก กรกมลเบ้ปาก ก่อนจะค้อนประหลับประเหลือกใส่
“ไม่ต้องมาทำพูดดี เลยนะ ผู้ชายกะล่อน เจ้าชู้ มักมาก มือไว คนผีทะเล” เสียงหวานใสสวนกลับ ยามนี้กรกมลรู้แล้วว่าผู้ชายไว้ใจไม่ได้เลยสักคน รวมทั้งธารนธี ชลธารพิทักษ์ คนนี้ด้วยละ
ธารนธีเชยคางมนขึ้นก่อนจะทาบริมฝีปากประทับแน่นตราตรึงความหอมหวานที่ได้รับกลับมาขับแรงรักที่เก็บกดมาตลอดให้กลายเป็นแรงปรารถนารุนแรง กรกมลรีบดันเขาให้ผละออกด้วยความตกใจจาก สัมผัสอ่อนนุ่มอย่างแผ่วเบาและทะนุถนอม
แต่ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ยังคงฝังแน่นอย่างไม่ยอมถอดถอน จนในที่สุดร่างบอบบางที่ดิ้นอยู่บนตักก็เริ่มหมดแรงลง ใบหน้างดงามแดงซ่านด้วยความอับอายเหลือประมาณ กรกมลผละห่างออกจากธารนธีได้สำเร็จ จ้องมองตาคมหวานอย่างพัดพ้อ
“คุณทำเหมือน ฉัน ไม่มีค่าเลยนะคะ อาโป ทำเหมือนฉันเป็นของเล่นอย่างงัยอย่างงั้น คุณไม่ให้เกียรติฉันเลย ฉันเกลียดคุณ ไอ้ผู้ชายบ้า” กรกมลพูดเสียงสั่น นึกน้อยใจเมื่อคิดว่าเขาคงไม่เห็นค่าของเธอ นอกเสียว่าจะเห็นเธอเป็นของเล่นยามชั่วคราว
“ที่รัก ทำไมพูดแบบนี้อีกละ “ ชายหนุ่มถามเสียงขรึม มือใหญ่กระชับอ้อมกอดแน่นจนผิวนุ่มสัมผัสแนบชิดกับเรือนกายสูงโปร่งราว กับนายแบบ
“ฉันจะ พูด ใคร จะทำไม ปล่อย ฉัน นะ ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณนะ “ กรกมลพูด พร้อมกับ ยกมือแกะอ้อมแขนแข็งแกร่งให้ปล่อย แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดเธอก็ต้องนิ่ง ใบหน้างดงามซบลงบนอกกว้าง คอยดูนะ พรุ่งนี้ เธอจะหนีชายหนุ่มกลับเมืองไทย แล้วไปแต่งงานกับหลานชายเพื่อนท่านปู่ ให้รู้แล้วรู้รอดเลยละ
ชายหนุ่มฝังริมฝีปากลงยังซอกคอขาวเนียน จูบเบาๆๆ อย่างไม่กล้าแตะต้องกลัวว่าเธอจะบอบช้ำ นัยน์ตาสีดำคมหวานสบกับนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มอีกครั้ง คราวนี้มันแทบจะหยุดลมหายใจของทั้งสองฝ่าย สายตาวูบไหวตามความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจนั้นมันสื่อผ่านออกมาอย่างไม่ปิดปัง ชายหนุ่มจุมพิตหญิงสาวอีกครั้ง ความร้อนทั้งภายนอกและภายในร่าง ยิ่งทำให้หัวใจเต้นถี่รัวจนไม่อาจต้านทาน
ธารนธีเลื่อนกายเข้ามาใกล้ ก่อนจะดึงร่างบอบบางให้กลับมาแนบชิดอีกครั้ง ริมฝีปากอุ่นร้อนลากไล้ลงมายังไหล่มน มือใหญ่ลูบแผ่วเบาตามส่วนโค้งส่วนเว้างดงาม อย่างหลงใหล พร้อมค่อยๆๆดึงเสื้อสีขาวใสออกจากร่างบอบบาง
“อย่า นะ อาโป” เสียงหวานใสร้องห้ามอย่าง คนที่มีสติฉุดรั้ง ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความกลัว แต่หัวใจเต้นระส่ำระส่าย ใบหน้านวลละออ แดงระเรื่อ นัยน์ตาสีดำคมหวานจ้องมองมาเสมือนจะบอกว่า อย่าได้คิดห้ามเขาอีกเลย ริมฝีปากร้อนคลอเคลีย ที่ไหล่มน ไล่ลงมาตามแขนเรียว มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วร่างบอบบาง หญิงสาวพยามยามทุบแผ่นอกกว้างอย่างประท้วงให้เขาหยุด
ธารนธีเงยหน้าขึ้นมองกรกมล เห็นแววตาที่มองมาตัดพ้อต่อว่าเกินกำลังแล้ว ไอ้ผู้ชายบ้า เห็นเงียบๆๆสุภาพบุรุษแสนดีไปทุกกระเบียดนิ้วนั้นๆที่แท้เขาเป็นผู้ชายตัวแสบขนาดแท้เลยละ
ฉลาดแกมโกง เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงยังแพรวพราว ในบางจังหวะเวลาเขาก็ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ธารนธีส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะแนบริมฝีปากบางอย่างปลอบประโลม
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะครับที่รัก ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นของเล่นเลยนะ” น้ำเสียงที่พูดจริงจัง ริมฝีปากของเขาครอบครองหญิงสาวอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งเขาได้อีกแล้ว
มือใหญ่รั้งร่างบอบบางมาชิดกาย ริมฝีปากอุ่นร้อนทิ้งรอยความเป็นเจ้าของไว้ยังบนเรือนร่างบอบบางอย่างหวงแหน หลงใหล ปฏิบัติต่อหญิงสาวราวกับสิ่งของล้ำค่า
เราไม่ได้เจ็บปวดเพราะความรักสิ้นสุดลง ...
แต่เราเจ็บปวดเพราะความรักยังคงดำเนินต่อไป



ณัฏฐกมล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2555, 21:09:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2555, 21:09:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1604





<< ไม่ผิดใช่ไหม...ที่ฉันจะรักเธอ   สายธาราแห่งรัก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account