จับใจไว้ด้วยรัก
เรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มฉายา เจ้าชู้หลบใน กับหญิงสาวที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งงาน เรื่องราวความรักที่สุดแสนจะปั่นป่วนเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งตามตื้อ ส่วนอีกฝ่ายก็คอยวิ่งหนี เขาจะทำให้เธอหันมามองและเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตได้ไหม ติดตามได้ใน 'จับใจไว้ด้วยรัก'
Tags: หวาน,น่ารัก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 7

ตอนที่ 6

“นี่ นี่ เบญรอวิชญ์ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยววิชญ์ไปจิกตัวพี่วีร์ลงมาก่อน อย่าทำหน้างอสิ” ชายหนุ่มบอกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มของเพื่อนที่โตมาด้วยกันอย่างหมั่นเขี้ยว เบญญาภาหน้ามุ่ยสะบัดหน้าหนี

“หึ! แค่ไปทานข้าวยังต้องถึงกับไปจิกตัว นี่วิชญ์แน่ใจเหรอว่าพี่วีร์อยากเจอเราจริงอย่างที่วิชญ์พูด”

“เอาน่า...เบญไม่อยากเห็นหน้าตาพิลึกๆของพี่วีร์ตอนที่เห็นหน้าเบญเหรอ”

“เอาความจริงไหม...ไม่อยากเท่าไหร่”

“โธ่!...” เขาโอด “อยากเห็นหน่อยเหอะ เพื่อความสนุกของพวกเรานะ” เบญญาภาค้อนใส่เพื่อนหนุ่มหน้าหวาน

“ความสนุกของวิชญ์คนเดียวล่ะไม่ว่า อย่าคิดว่าไม่รู้นะ”

“ว้า...แย่จริง มีคนรู้ทัน เอาเป็นว่ารอแป๊บ...เดี๋ยวมา สิบนาที” กรวิชญ์หันหลังวิ่งจากไป เบญญาภามองตามก่อนจะเดินดูภาพวาดสีน้ำมันที่ประดับไว้ตามผนังของโรงแรมอย่างสนใจเป็นการฆ่าเวลา ร่างบางเดินช้าๆพิจารณาภาพแต่ละภาพอย่างสนใจ จนกระทั่งถึงภาพสุดท้ายตรงมุมตึกที่เธอออกจะสนใจมากหน่อย

เพราะรูปที่ว่าคือ รูปทุ่งดอกทานตะวันสีทอง ตัดกับสีฟ้าใสของท้องฟ้าที่ไร้เมฆมาบดบัง สะท้อนแสดงออกถึงความสดชื่นแจ่มใสร่าเริงของฤดูร้อน ทำให้คนที่มองรู้สึกจิตใจเบิกบานไปกับความงามของภาพนี้ เบญญาภาอดยิ้มออกมาไม่ได้ อารมณ์เบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นเพราะกรวีร์เป็นต้นเหตุก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

หญิงสาวเดินเลี้ยวมุมไปโดยที่สายตายังไม่ละออกจากภาพนั้น ตัดสินใจแล้วว่าจะไปนั่งรอที่โซฟาด้านหน้าล็อบบี้แทน แต่แล้วก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างหมุนติ้วเป็นลูกข่างก่อนจะเซเตรียมลงกระแทกพื้น เบญญาภาหลับตาปี๋เตรียมรับการกระแทกเพราะรู้แน่ว่าเธอตั้งหลักไม่ทัน...

“เอ๊ะ!”

อุทานออกมาเบาๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาข้างหนึ่ง ก่อนจะพบว่าใบหน้าของตนห่างจากพื้นกระเบื้องสีดำมันวาวเพียงไม่กี่นิ้วแอบรู้สึกโล่งใจและนึกขอบคุณคนที่ช่วยเธอไว้

ร่างบางกำลังจะหันไปขอบคุณแค่พอเห็นว่าใครคือคนที่กำลังโอบเธออยู่ก็รีบหันกลับพร้อมคิดอยากจะย้อนเวลาให้หน้าตัวเองกระแทกพื้นไปเสียเมื่อครู่ จะได้ไม่ต้องสบกับดวงตาสีดำคมเข้มมีเสน่ห์ชวนให้ใจสั่นไหวคู่นั้นของเขา คนที่เธอไม่ค่อยอยากเจอ...กรวีร์

ข้างฝ่ายกรวีร์ที่เดินออกมาจากลิฟต์อย่างรีบเร่ง ดวงตาคมก้มมองนาฬิกาหรูบนข้อมือแล้วยิ่งเร่งความเร็วเลี้ยวมุมตึก...ก่อนจะกระแทกเข้ากับร่างบางของใครสักคนที่เห็นชุดแวบๆว่าเป็นชุดพนักงานแผนกแม่บ้านของโรงแรมเขา

มือหนาคว้าเอวอีกฝ่ายไว้ตามสัญชาตญาณ ริมฝีปากหนาเปิดออกเตรียมจะดุเธอคนนั้นในความเลินเล่อ หากว่าคนที่โดนชนเป็นแขกที่มาพักไม่ใช่เขา แล้วหากอีกฝ่ายถืออะไรสำคัญจะเกิดอะไรขึ้น

แต่แล้วร่างสูงก็ต้องชะงักเปลี่ยนจากจะดุมาเป็นยิ้มหวาน เมื่อเห็นใบหน้าแค่เพียงเสี้ยววินาทีของคนในอ้อมกอด ดวงตาชายหนุ่มก็เป็นประกายราวกับได้เจอของถูกใจ (ซึ่งมันก็ใช่) เขาประคองอีกฝ่ายให้ตั้งหลักได้ แล้วรีบทักทาย

“สวัสดีครับ...คนสวย จำผมได้ไหม ผมช่วยคุณไว้เมื่อวาน”

“จำได้ค่ะ บอส”เบญญาภาก้มหน้าก้มตาตอบต่อท้ายประโยคด้วยสรรพนามอย่างที่พนักงานคนอื่นๆใช้เรียกชายหนุ่มตรงหน้า กรวีร์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่ใคร่จะพอใจเท่าไหร่กับสรรพนามตามหลังนั้น เขาปล่อยมือออกจากเอวอีกฝ่ายแล้วยืนพิจารณาร่างบางตรงหน้าที่ทำเป็นจัดเสื้อแสงของตนเองอย่างวุ่นวาย ในใจก็ครุ่นคิด

อันที่จริงก็ต้องยอมรับว่าตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าคนที่กำลังตามหาแทบพลิกแผ่นดินนั้นจะอยู่แค่ปลายจมูกของเขานี่เอง! ซึ่งที่โรงแรมแห่งนี้เป็นที่สุดท้ายที่เขาอยากจะบังเอิญมาเจอกับเจ้าหล่อน หากเป็นสถานะอื่นเขาคงไม่เกรงใจที่จะสานต่ออย่างที่ใจอยาก แต่เธอดันมาในตำแหน่งพนักงานเนี่ยสิ เฮ้อ!...

เขาไม่ใช่พวกสมภารกินไก่วัด เพราะหลายๆสาเหตุ แต่เห็นทีคราวนี้คงต้องผิดจรรยาบรรณของตัวเองสักครั้งซะแล้วสิ ก็แหม...ไก่วัดตัวเนี่ย ดันอวบอึ๋ม เอ๊ย! อั๋น น่ากินกว่าตัวอื่นๆที่นี่น่ะสิ

หลังจากคิดหาคำตอบที่ดูไม่เลวร้ายนักในการทำผิดกฎของตนเองแล้ว กรวีร์ก็เดินหน้าทันที ซึ่งอันดับแรกที่ต้องทำก็คือทำให้เธอเลิกเรียกเขาว่า ‘บอส’ เสียก่อน

“ไม่เอาน่า ไม่ต้องเรียกผมอย่างนั้นหรอก ว่าแต่...คุณทำงานที่นี่จริงๆเหรอ แล้วทำมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมผมไม่เคยเจอคุณเลยล่ะ?”

‘ถามรัวอย่างนี้จะเอาคำตอบไหมย่ะ’

หญิงสาวค่อนขอดในใจ เพราะยังไงซะอีกฝ่ายก็เป็นเจ้านาย(นิสัยเด็ก) ก่อนก็ฝืนยิ้มส่งไปให้แล้วไล่ตอบที่ละคำถาม

“ค่ะ...ดิฉันทำงานที่นี่จริงๆ เพิ่งมาทำงานเมื่อวานนี้เอง ส่วนที่บอสไม่เคยเห็นเพราะคำตอบเดียวกับเมื่อกี้ค่ะ”

“อืม...มิน่าล่ะถึงไม่เคย แต่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ว่าคุณเป็นแม่บ้าน...” กรวีร์กระตุกยิ้มเล็กๆ ส่งไปให้เป็นการโปรยเสน่ห์เช่นทุกครั้งที่จีบสาว หากสาวอื่นมาเห็นคงละลายไปแล้ว แต่!ไม่ใช่กับเบญญาภาที่มีภูมิต้านทานกับรอยยิ้มทุกประเภทของเสือผู้หญิงทั้งหลาย

“...แล้วก็นะผมบอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกผมว่าบอส”เขาย้ำอีกครั้ง

“ทำไมค่ะ”

หญิงสาวไม่ได้สนใจกับประโยคหลังของเขา แต่ที่ทำให้เธอติดใจคงจะเป็นประโยคก่อนหน้า จึงรีบถามกลับไปเพราะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

ระหว่างที่รอคำตอบร่างบางก็รีบสอดส่ายสายตามองหาเพื่อนหนุ่มที่บอกว่าจะไปตามคนตรงหน้าไปด้วย แต่เมื่อไม่เห็นว่ากรวิชญ์อยู่ตรงไหนของล็อบบี้เลย เท่านั้นเองเธอก็ฟันธงได้ว่า อีตาพี่วีร์ เสือหิว(ผู้หญิง)หลบในคนเนี้ยต้องกำลังหนีอยู่เป็นแน่!

กรวีร์ยักไหล่แล้วตอบ “ก็...แค่สงสัยนิดหน่อยว่าคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงหูดับแบบนั้น ทั้งที่เพิ่งจะทำงาน”

“เรื่องของฉัน!” ด้วยอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ทำให้หญิงสาวสวนขวับด้วยคำพูดที่ห้วน แห้งแบบมะนาวไม่มีน้ำ กรวีร์เลิกคิ้วขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังทำหน้างอ เหมือนสัตว์ประหลาดที่จะพ่นไฟอยู่แล้ว นึกในใจว่าคงจะไม่พอใจที่เขาพูดไปเมื่อกี้

ร่างสูงยิ้มประจบ ก่อนจะรีบขอโทษขอโพย “ขอโทษครับ ผมผิดเองที่ล้ำเส้นมากไป”

“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงดิฉันขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ..บอส”เบญญาภาย่อตัวไหว้ ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินจากไปด้วยความโกรธที่ยังคงอัดแน่นเหมือนไฟสุมใจ...

ในเมื่อนัดทานข้าวครั้งนี้เขาอยากจะหนี แล้วมันเรื่องอะไรที่เธอจะต้องมาเสียเวลาพักกลางวันอันมีค่าของเธอ เพื่อผู้ชายเฮงซวยพรรค์นี้ ความรู้สึกที่มีในตอนนี้คือ...เธอไม่อยากจะเห็นหรือแม้กระทั่งได้ยินเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย

ก็ได้...ในเมื่อรังเกียจเธอนัก เธอก็จะจัดให้! จะเกลียดกลับไปจนวันตาย และหากเขาตายก่อนเธอจะเผาพริกเผาเกลือแช่งไม่ให้อีกฝ่ายได้ผุดได้เกิดมาเป็นตัวอันตรายสำหรับผู้หญิงอีกเลย! คอยดูสิ!

กรวีร์อ้าปากค้าง นี่เจ้าหล่อนกำลังจะเดินหนีเขาเป็นครั้งที่สอง ฮะฮะ...ตลกน่า ...มีผู้หญิงกำลังจะเดินหนีหนุ่มหล่อครบสูตรอย่างเขาอีกครั้งเนี่ยนะ เฮอะ! ฝันไปเถอะว่าเขาจะยอม หาตัวก็ยากแล้วอยู่ดีๆจะปล่อยให้ของหายากอย่างนี้หลุดมือ ใครรู้เขาก็เสียชาติเสือหมด

ร่างสูงรีบวิ่งอ้อมไปดักหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจนเธอผงะถอยไปหลายก้าวเพื่อรักษาระยะห่างอันเหมาะสม แถมยังหรี่ตามองเขาอย่างไม่ไว้ใจและทำท่าจะเดินเลี่ยงออกไป เห็นดังนั้นกรวีร์เลยส่งยิ้มขัดตาทัพแล้วรีบบอกจุดประสงค์ของตนเอง

“เดี๋ยวสิครับ อย่าเพิ่งรีบไป ตอนนี้กำลังพักเที่ยงอยู่ คุณไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”

“คงไม่เหมาะมั้งคะ ดิฉันเป็นแค่ลูกจ้างจะให้ไปทานข้าวกับเจ้านายได้ยังไง”ร่างบางเชิดหน้าตอบน้ำเสียงเย็นชา เท้าก็รีบจ้ำหนี แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หมดความพยายาม

“ไม่เอาน่าคุณ ผมไม่ถือเรื่องเล็กๆน้อยๆ แบบนั้น...อีกอย่างนอกจากผมกับน้องแล้วก็ยังมีคนในแผนกเดียวกับคุณอีกคนด้วยนะ...” กรวีร์พยายามหว่านล้อมเต็มที่ รีบบอกให้มั่นใจว่ามีคนไปด้วยไม่ใช่ไปกันสองต่อสอง

“คนในแผนกเดียวกับดิฉัน?”

“อืม...คุณน่าจะรู้จัก เขาชื่อเบญญาภาไง เพิ่งเริ่มทำงานเมื่อวานเหมือนกันกับคุณ”

“...”

เบญญาภามองเข้าไปในตาอีกฝ่ายอย่างพยายามจับผิด ก็เห็นกันอยู่ว่ากำลังจะเบี้ยวนัด แล้วอยู่ดีๆจะมาชวนไปทานข้าวในนัดที่ตัวเองกำลังจะเบี้ยว มันยังไงๆอยู่ แต่ความคิดของเธอก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“ก็...คนที่ไม่ค่อยสวย ไม่สิ คนที่หน้าตาอัปลักษณ์น่ะครับ” เขารีบอธิบายต่อด้วยความหวังดีเพราะนึกว่าที่ร่างบางหยุดยืนนิ่งนั้นคือกำลังนึกถึงหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น ชายหนุ่มใส่ร้ายป้ายสีลงไปอีกนิด แม้จะรู้สึกผิดเล็กๆแต่เพื่อความสะใจของเขา ความรู้สึกผิดเลยถูกลบหายไปอย่างรวดเร็ว

“อัปลักษณ์งั้นเหรอ!?” เบญญาภาตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ ไม่นึกว่าเขาจะปากร้ายขนาดนี้ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ นี่เขาคิดว่าตัวเองหน้าตาดีตายล่ะถึงได้มาว่าคนอื่นเขาอัปลักษณ์!

หญิงสาวมองเขาตาเขียว แต่กรวีร์ก็ไม่ได้สนใจสายตานั้น เพราะเขาพูดต่อขึ้นมาว่า...

“อันที่จริงผมว่ายังน้อยไป ถ้าหาคำนิยามอื่นที่มันแรงกว่านี้ได้ ผมคงยกให้ยายคนนี้แน่นอนครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มหวานไปให้ ก่อนจะรีบฉวยโอกาสคว้ามือนุ่มมากุมไว้แล้วอ้อน ในใจก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่เหมาะกับการเป็นตุ๊กตาให้เขากอดเท่าไหร่ ดูจากสายตานี่น่าจะเป็นลูกแมวป่า ดื้อเล็กๆน่าปราบ...

“นะครับ... ไปทานข้าวเป็นเพื่อนหน่อย ผมอยากเห็นคนสวยๆงามๆระหว่างกินข้าว ไม่อยากเห็นคนน่าเกลียด อัปลักษณ์...มันพาลจะกินไม่ลงน่ะครับ...อย่างน้อยมีคุณไปด้วยก็พอจะช่วยลดความน่ากลัวทางสายตาลงได้”

ชายหนุ่มยังคงหว่านล้อมต่อไป แต่แล้วเขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ “...ว่าแต่ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร”

เบญญาภาจ้องหน้าคนที่ทำเนียนกุมมือเธอนิ่ง พยายามจะระงับอารมณ์โกรธของตนที่กำลังพุ่งขึ้นมารอเวลาจะปะทุ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้จะระเบิด ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับ แล้วเริ่มพูดเสียงแข็ง

“ดิฉันชื่อ เบ...”

“พี่วีร์! หน๊อยแน่ะ คิดจะหนีใช่ไหมเนี่ย แล้ว...”

ระหว่างนั้นเองกรวิชญ์ที่รีบวิ่งพรวดออกมาจากลิฟต์ก็ตะโกนเรียกพร้อมตรงเข้ามาหาพี่ชาย กรวีร์ทำหน้าเมื่อย ยืนฟังน้องชายตัวดีที่โวยวายใส่เขาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทักหญิงสาวอีกคนในที่นั้น

“อ้าว...เจอกันแล้วเหรอเนี่ย น้องเบญ”

กรวีร์ชะงักค้าง หากไม่กลัวว่าจะเสียมาดท่านประธานเขาจะยกนิ้วแคะหูเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อครู่นี้ได้ยินชื่อที่น้องชายเรียกลูกแมวป่าของเขาเพี้ยนไป ชายหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะหันไปหาน้องชาย

“เดี๋ยวนะ...นายวิชญ์เมื่อกี้นายเรียก คุณคนสวยนี่ว่าอะไร”

“อ้าวก็...”

“ไม่ต้องวิชญ์ เราแนะนำเอง” เบญญาภาหันไปค้านเพื่อนเอาไว้ ทำให้คนที่กำลังจะอ้าปากต้องปิดกลับดังฉับ แล้วถอยฉากออกไปยืนดูคนตีกันอย่างสนุกสนาน
ร่างบางหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ยืนขายขนมจีบเธอมานานด้วยรอยยิ้ม...หวาน หากแต่ดวงตามคู่งามกลับเรืองรองทอประกายบางอย่างที่คนเห็นรู้สึกหนาวๆร้อน

ชายหนุ่มพยายามจะส่งยิ้มไปให้แต่มันก็ดูจะฝืดๆชอบกล และถ้าสมองของเขายังไม่เพี้ยนไป จนลำดับเรื่องราวได้ไม่ผิด...ผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็น...

“สวัสดีค่ะ คุณกรวีร์ สิทธิวัติ ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยแล้วกัน ดิฉันชื่อ...เบญญาภา ตุลยกร หรือที่เมื่อครู่คุณเรียกว่า...” รอยยิ้มหวานขึ้นอีก แค่เท่านั้นกรวีร์ก็อยากจะล้มแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีกเลยเมื่อได้ฟังประโยคถัดมา

“....ยายตุ๊กแก ยายอัปลักษณ์ เบญญาภาไงคะ คุณกรวีร์!”

แม่นเป๊ะ! บอกได้ทุกฉายาที่เขาใช้...ซวยแล้วไงไอ้วีร์

กรวิชญ์ผิวปากวิ้วอย่างถูกใจและสะใจกับสีหน้าเหมือนโลกจะถล่มของพี่ชายหลังจากการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการของเพื่อนสาว ที่นอกจากจะเป็นสาวสวยที่กรวีร์ตามหาแล้วยังเป็นคนเดียวกับที่กรวีร์พยายามหลบหนีมาตลอดอีกต่างหาก

...นี่สินะที่เขาว่ายิ่งเกลียด ยิ่งเจอ หุหุ

เบญญาภามองคนที่ยืนอ้าปากพะงาบๆ เป็นปลาขาดอากาศอย่างสะใจ เขามองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ใบหน้าคมซีดแล้วแดงสลับกันไปอย่างน่าขบขัน ดูไม่ออกว่าจะอายหรืออยากจะเป็นลม ก่อนจะหันไปหาเพื่อนที่ยืนหัวเราะแบบไม่มีเสียงอยู่ข้างๆ

“วิชญ์ เบญขอตัวก่อนนะ เห็นทีว่าคงไปด้วยไม่ได้แล้วล่ะ...” บอกพลางปรายตามองคนที่ยังยืนเอ๋อ

“...กลัวว่าคุณกรวีร์จะทานข้าวไม่ลง เพราะต้องมองเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของเบญ”

“เอางั้นเหรอ ตามใจนะ อย่าลืมไปหาข้าวกินด้วยล่ะ”กรวิชญ์บอกกลั้วหัวเราะ แอบนึกสงสารพี่ชายอยู่เหมือนกันแต่ช่วยไม่ได้ อยากมาว่าเพื่อนเขาเองนี่นา

“จ้า”

เบญญาภาเดินตรงไปยังโรงอาหารสำหรับพนักงานที่เธออาศัยทานข้าวเมื่อวาน คิดไว้แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องหาเพื่อนร่วมงานให้ได้ แต่แล้วหญิงสาวก็เบรกพรืดเมื่อคนที่ควรจะยืนเอ๋อไม่หายมาขวางหน้าเธอไว้

กรวีร์ยืนกางแขนขวาง ใบหน้ามุ่งมั่นไม่เหลือเค้าเมื่อครู่นี้เลย ร่างสูงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้านวล ไม่พูดไม่จา เอาแต่มอง มอง และมอง จนกรวิชญ์ที่เดินตามมาต้องเอามือไปโบกผ่านๆ ส่วนเบญญาภาก็ถอยออกมาดูเชิง

“พี่วีร์เป็นไรอ่ะ ละเมอเหรอ”

“เปล่า...แค่เคลิ้มกับความงามของน้องเบญ” ชายหนุ่มตอบเสียงหวาน ไม่ใช่แค่เสียงแต่รอยยิ้มของเขาเองก็หวาน...เลี่ยน!

เบญญาภาตาค้าง รับรู้ได้ว่าขนอ่อนๆที่หลังคอและแขนลุกเกรียว กรวิชญ์เองก็เหวอไป ส่วนคนพูดกลับทำใจกล้าคว้ามือทั้งสองของเอขึ้นมากุม ดวงตาคมจ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอ

“พี่ขอโทษนะครับ...ยกโทษให้กับสายตาเฮงซวยของพี่นะ ตอนนั้นสมองพี่มันค่อนข้างยุ่งเหยิงเลยพูดอะไรแย่ๆออกไป”

“โอ้โห...สีข้างจะถลอกไหมเนี่ยพี่วีร์”กรวิชญ์พึมพำกับตัวเองเบาๆ กับความกระล่อนของพี่ชายร่วมสายเลือด เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วล้วงเอาโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา เลือกไปที่แอพพลิเคชั่นหนึ่ง...

“คุณกรวีร์คะ คำพูดของคุณไม่ได้เรียกว่าแย่หรอกค่ะ เขาเรียกเลวร้ายเลยล่ะ!” หญิงสาวพยายามยื้อมือตัวเองคืนมา แต่แน่นอนว่าเสือหนุ่มมือตุ๊กแกมีหรือจะยอมให้โอกาสดีๆหลุดไป...

...หากเขาสามารถทำให้หญิงสาวยกโทษให้ได้ เรื่องที่จะได้เธอมาเคียงข้าง(บนเตียง) ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะฉะนั้นให้ตายยังไงก็ไม่ยอมปล่อย!

ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าเศร้า เล่าความเท็จต่อไป...

“ครับ นั่นแหละครับ พี่มันเลวร้าย เอาเรื่องเก่าๆมาตัดสินน้องเบญ แต่ว่า!...”ร่างบางสะดุ้งเฮือก เพราะอยู่ดีเขาก็ตะโกนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“...พี่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก แต่พี่ก็พอจะรู้ว่าแค่คำพูดมันคงไม่ทำให้น้องเบญหายโกรธ เพราะฉะนั้นให้พี่เลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษซักมื้อนะครับ”

เบญญาภามองหน้าเขานิ่ง ไม่แสดงอาการอะไรออกมา ทำให้กรวีร์เริ่มใจชื้นตีขลุมเอาว่าอาการนิ่งเงียบนี้คือการตกลง ร่างสูงยิ้มกว้างอย่างพอใจในเสน่ห์ของตนที่ไม่เคยผู้หญิงคนไหนต้านทานได้ และยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบรับ

“ค่ะ”

“โหย!เซ็ง เบญทำไมยอมง่ายจังอ่ะ” กรวิชญ์ที่ยืนรอดูหนังบู๊อยู่ถึงกับร้องออกมาอย่างผิดหวัง กรวีร์หันไปยักคิ้วให้น้องชาย เขาหันไปหาเบญญาภา

“งั้นเราไปกันแค่สองคนแล้วกัน นายวิชญ์มันไม่รักดีก็ปล่อยให้หาข้าวกินเอาเองแล้วกัน ว่าแต่น้องเบญอยากทานอะไร ร้านไหนบอกมาเลยเดี๋ยวพี่วีร์พาไป”

เบญญาภายิ้ม ปลดมือหนาของอีกฝ่ายลงช้าๆ ก่อนจะแก้ความใจผิดของอีกฝ่ายที่ดูท่าจะเข้าใจไปคนละอย่างกับที่เธออยากจะบอก

“ที่ดิฉันตอบ ‘ค่ะ’ ไปเมื่อกี้คือ ดิฉันยกโทษให้ก็ได้ เพราะคุณบอกเองว่าสมองคุณกำลังยุ่งเหยิง ดิฉันก็จะไม่ถือสา แต่ไม่ได้หมายความว่าดิฉันจะไปกับคุณ”

“อ้าว!ทำไมล่ะครับ หรือว่าน้องเบญรังเกียจที่จะไปทานข้าวกับพี่”ชายหนุ่มตีหน้าเศร้า

“ค่ะ...รังเกียจ”หญิงสาวตอบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินจากไปไม่เหลียวหลัง ทำเอากรวีร์กระอักเลือดพรวด ยินอึ้งตะลึงค้างไปไม่ถูกเลยทีเดียว ส่วนกรวิชญ์ก็แทบจะจุดพลุฉลองชัยให้กับความพ่ายแพ้ของพี่ชาย ที่ต้องบอกว่าหมดรูป ดูไม่ได้ ท่านรองฯหน้าหวานก้มลงมองโทรศัพท์ในมืออย่างชอบใจ

ร่างสูงมองตามหญิงสาวไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งโกรธ อาย ท้าทายและดีใจ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเคยปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใยมาก่อน มีเบญญาภาของคุณแม่นี่แหละที่กล้าพูด กล้าทำทุกอย่างที่เป็นการต่อต้านเขา เอาเถอะ! ยกนี้เขาจะปล่อยไปก่อนก็ได้ แต่ยกต่อไปเขาจะไม่มีทางแพ้!


เบญญาภาทิ้งตัวเองลงบนเตียงใหญ่ภายในห้องนอนสีฟ้าอ่อนของตนอย่างหมดแรงทั้งทที่ยังอยู่ในชุดทำงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความสุข วันนี้หลังจากพักกลางวันเธอก็กลับไปทำงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือเธอได้เพื่อนร่วมงานมาสองคนสองวัย ทั้งคู่อัธยาศัยดีมาก แม้จะไม่ค่อยกล้าคุยกับเธออย่างเป็นกันเองเท่าไหร่เพราะได้ยินมาว่าเธอเป็นคนที่คุณป้ามีนา อดีตท่านประธานฝากฝังมา

หญิงสาวหลับตาลงเพื่อผ่อนคลาย ในห้วงคำนึงก็นึกไปถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก่อนลืมตาโพลงเมื่อใบหน้าหล่อเหลา คมเข้มของใครบางคนที่เธอเริ่มจะเกลียดจับใจลอยผ่านขึ้นมา

เบญญาภาอารมณ์เสียขึ้นมาทันควัน รู้สึกอยากจะฆาตกรรมใครบางคนขึ้นมาทันที แม้ว่าไอ้อาการนี้จะหายไปแล้วในช่วงเวลาที่ต้องทำงาน แต่เมื่อกลับมาอยู่คนเดียวมันก็กลับมาใหม่

“บ้าจริงๆ ผู้ชายอะไร ปากร้ายเสียยิ่งกว่าผู้หญิง ขนาดวิชญ์ที่ชอบทะเลาะกับอันย่ายังปากร้ายไม่เท่า” หญิงสาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยิ่งเมื่อหันไปมองนอกหน้าต่างของห้องนอน เห็นห้องห้องหนึ่งที่บ้านข้างๆ ตรงข้ามกับห้องนี้ ซึ่งเธอรู้มานานแล้วว่าเป็นของกรวีร์ก็ยิ่งหงุดหงิด อยากจะปาระเบิดไปใส่ให้หายเจ็บใจ

“เชอะ...ถ้าอย่างเราเรียกว่าอัปลักษณ์ ก็คงหาผู้หญิงหน้าตาดีในโลกยากแล้วย่ะ อีตาพี่วีร์โรคจิต”

“คุณเบญขา คุณผู้หญิงให้มาเรียกไปทานข้าวค่ะ” เสียงสาวใช้ดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตู ทำให้คนที่กำลังด่าคนอื่นอยู่ต้องสะดุ้งพรวดกระโดดก้าวเดียวไปถึงตู้เสื้อผ้า ร่างบางคว้าเอาเสื้อยืดตัวสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นสำหรับใส่อยู่บ้านออกมาถือ แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ปากก็ตะโกนบอกกับสาวใช้ที่หน้าห้อง

“จ้า...ไปบอกคุณแม่นะว่าอีกห้านาที”

ห้านาทีต่อมาหญิงสาวก็เดินแกมวิ่งลงบันไดตรงไปยังห้องอาหารที่สมาชิกในครอบครัวมาอยู่กันพร้อมหน้า รวมไปถึงพี่ชายที่แสนดี(?)ของเธอที่ปกติไม่เคยกลับบ้านก่อนตีหนึ่งแต่วันนี้มานั่งถือส้อมจ้องอาหารตาเป็นมัน เบญญาภาส่งยิ้มทักทายบิดาที่นั่งหัวโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหอมแก้มมารดาที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของบิดา หอมเสียสองฟอดจนคุณปฐมต้องมองค้อน

“หึ...น่าน้อยใจนัก กับแม่นี่หอมแล้วหอมอีก ทีกับพ่อแค่ยิ้มให้ ใช่ซี...พ่อมันตาแก่ไม่มีคนสนใจ”

“โอ๋...หอมแก้มคุณด้วยก็ได้ค่ะ” เบญญาภาเดินกลับไปหาบิดาแล้วก้มลงหอมแก้มทันทีทั้งสองข้างมีแถมให้อีกครั้งกันไม่ให้คุณปฐมน้อยใจ คุณบุษรามองสามีอย่างหมั่นไส้ ส่วนบุญญฤทธิ์ก็แกล้งบิดาทันที

“เอ๊ะ!...เหมือนผมจะฟังผิด เมื่อกี้คุณพ่อบอกว่าคุณพ่อแก่แล้วใช่ไหมครับ”

“เออ...ทำไมวะไอ้บุญ” คุณปฐมถามลูกชายเสียงแข็ง ไอ้ลูกคนนี้มันชอบขวางพ่อเรื่อย คงอิจฉาที่น้องไม่หอมแก้ม

“ก็ไม่ทำไมหรอกครับ...แค่ว่าตอนที่ไปทานข้าวกับลูกค้าด้วยกันวันก่อน คุณพ่อยังบอกกับสาวๆที่โน่นอยู่เลยว่า...”ชายหนุ่มกระแอมไอ ก่อนจะเลียนเสียงบิดาในวัน
นั้น ทำเอาเบญญาภาตาโต ส่วนคุณปฐมนั่งอ้าปากค้าง

“ ‘อย่างเฮียเขาไม่เรียกว่าแก่หรอก เขาเรียกว่าภูมิฐาน หนูๆสนใจคนภูมิฐานอย่างเฮียไหม’ อะไรประมาณนี้น่ะครับ”

“เฮ้ย! พูดบ้าอะไรวะไอ้บุญ หาเรื่องให้พ่อแล้วไง”

“จริงเหรอลูก...พี่บุญ” คุณบุษราถามแทรกการทะเลาะของพ่อลูกเสียงเรียบ ใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่สูงขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ความงามของเธอลดน้อยลงยิ้มหวาน แต่สายตาที่ใช้มองสามีนั้นช่างดูน่ากลัวจนคุณปฐมต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน รีบแก้ต่างให้ตัวเองทันที

“ข้าแต่ภรรยาที่เคารพ...อย่าไปเชื่อเจ้าบุญมันนะคุณบุษ...มันอิจฉาผมที่น้องเบญไม่ยอมหอมแก้มมันเท่านั้นเอง วันนั้นผมเอาแต่นั่งคุยกับลูกค้าอย่างเดียว เชื่อผมเถอะ...คุณบุษ”ชายวัยกลางคนบอกก่อนจะส่งสายตาออดอ้อนไปให้อย่างที่เคยทำมาตั้งแต่หนุ่มๆ คุณบุษราเหลือบมองสามีก่อนจะหลุดหัวเราะกิ๊ก จนคุณปฐมหน้าตาเหรอหรา

“บุษล้อเล่นค่ะ...รู้หรอกว่าคุณน่ะเลิกเจ้าชู้แล้ว”

“แล้วกัน! ทำผมตกใจหมด”คุณปฐมถอนหายใจ ก่อนจะหันขวับไปโวยวายใส่ลูกชายตัวดี

“แกนะแกไอ้บุญ เห็นคนอื่นเขาสงบสุขเป็นไม่ได้ต้องหาเรื่องมาให้อยู่ร่ำไป...เดี๋ยวตัดออกจากกองมรดกเสียนี่”

“ผมก็แค่แหย่เล่นให้คุณพ่อกระชุ่มกระชวยหัวใจก็เท่านั้นเอง อย่าตัดผมออกไปเลย ส่งสารลูกนกลูกกาตาดำๆ”

“ลูกนกลูกกา!? ลูกเสือลูกจระเข้ล่ะสิไม่ว่า”คุณปฐมตอกกลับ แต่ก็ทำอะไรคนหน้าหนาอย่างบุญญฤทธิ์ไม่ได้ เพราชายหนุ่มหัวเราะชอบใจเสียนี่ เบญญาภามองค้อนพี่ชายอย่างหมั่นไส้โดยไม่รู้สาเหตุ ก่อนจะเหน็บ

“เบญว่านะคะ คนที่พูดประโยคเมื่อกี้จริงๆแล้วเป็นพี่บุญมากกว่าค่ะคุณแม่ ไม่ใช่คุณพ่อหรอก”

“อ้าว...ไหงมาโยนระเบิดใส่พี่เสียล่ะยายตัวดี” ชายหนุ่มร้องลั่น เพราะมารดาหันกลับมาหรี่ตามองเขาแทนเสียแล้ว อีกทั้งยังพูดเข้าข้างน้องสาวของเขาเสียอีก

“แม่ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นพี่บุญมากกว่าคุณพ่อ เพราะตอนนี้ทั้งบ้านมีอยู่คนเดียวที่ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัย ลอยไปคล้องคนโน้นทีคนนี้ที”

“โธ่แม่ครับ ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่นะ...จะให้เอาชีวิตทั้งชีวิตไปแขวนไว้กับผู้หญิงเพียงคนเดียวนี่ ผมเกรงว่าจะทำให้สาวๆคนอื่นเขาต้องเศร้าใจ”บุญญฤทธิ์บอกพร้อมยักคิ้วใส่เธออย่างทะเล้น แต่การกระทำของเขาพาลให้เธอนึกถึงกรวีร์แล้วส่งผลให้ความโกรธมันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

“เบญว่าผู้หญิงคนนั้นคงดีใจล่ะไม่ว่า ที่ไม่ต้องมาร่วมหัวจมท้าย แต่งงานกับคนอย่างพวกพี่ ผู้ชายอะไรเห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้ริมทาง นึกอยากจะเด็ดมาเชยชมก็เด็ด...พอพอใจแล้วก็เขวี้ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี น่ารังเกียจที่สุด!”

บุญญฤทธิ์ทำตาโตกับวาจาดุเดือดของน้องสาว ก็รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายเกลียดผู้ชายเจ้าชู้เข้าไส้ แต่ไอ้แบบนี้มันดูท่าจะหนักข้อขึ้นกว่าเดิม

“เดี๋ยวก่อนยายเบญ ตกลงแกไปเรียนต่อมาหรือไปทำงานด้านสิทธิสตรีเนี่ย เรียกร้องแทนชาวบ้านเขาจังเลย”

“ก็แค่พูดไปตามที่คิด แล้วมันจริงไหมล่ะ”

“เออ...ยอมรับก็ได้ แต่แกจะมาโทษพวกผู้ชายอย่างฉันฝ่ายเดียวก็ถูก ผู้หญิงพวกนั้นก็ยินยอมพร้อมใจเองต่างหาก พวกฉันไม่ได้ไปฉุกกระชากลากถูเขามาเสียหน่อย” ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมง่ายๆ แต่ไอ้ที่พูดไปกลับทำให้น้องสาวหงุดหงิดขึ้นไปอีก

“วาจาเห็นแก่ตัวอะไรอย่างนี้เนี่ย!”

“เรื่องของฉันน่า...เอาเป็นว่าฉันจะเพลาๆลงก็ได้ นี่เห็นแก่น้องรักอย่างเราเลยนะยายเบญ โธ่...ไม่รู้ว่าสาวๆของป๋าบุญต้องนอนร้องไห้คิดถึงป๋ามากน้อยแค่ไหน”

“แม่ว่าเลิกไปเลยก็ดีนะพี่บุญผู้หญิงพวกนั้นน่ะ เดี๋ยวมาหาผู้หญิงดีๆให้ ลูกสาวเพื่อนแม่แต่ละคนเนี่ยโปรไฟล์ดีๆทั้งนั้น”คุณบุษราพูดกับลูกชายอย่างมีความหวัง เพราะเธออยากจะให้ลูกชายแต่งงานเสียทีอยากอุ้มหลายย่าเต็มแก่แล้ว แต่ก็ไม่อยากจะบังคับใจลูกชายเท่าไหร่นัก

แต่จากที่ผ่านๆมาแม่ผู้หญิงที่ลูกชายเธอควงนั้นแต่ละคนถ้าไม่หวังจะปอกลอกก็ดูหยิบโหยงทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง บางคนพูดอะไรออกมาแต่ละทีไม่ได้คิดก่อนเลยเหมือนมีสมองเอาไว้คั่นหู ขืนได้แม่พวกนั้นมาร่วมสาแหรกตระกูลมีหวังเธอคงความดันขึ้นช็อกตายก่อนอายุขัยแน่ๆ!

“โอ๊ย!อย่าดีกว่าครับคุณแม่...ผมเกรงใจ” เขาหัวเราะแหะๆ ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาทานข้าวไปอย่างเงียบเพราะกลัวว่าหากพูดอะไรขึ้นมาอีกเขาอาจจะได้ภรรยาด้วยวิธีการอันโปรดปรานของพวกบุพการีทั้งหลายก็เป็นได้

“เบญว่าแม่อย่าไปสนใจพี่บุญเลย...อย่างพวกพี่บุญและเพื่อนๆเนี่ย ไม่ควรจะได้เจอผู้หญิงดีๆหรอกค่ะ...” หญิงสาวทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะต่อ

“...หึ...คนพวกนี้นะคะ ชอบคิดว่าตัวเองนะดีเลิศกว่าคนอื่นเขา ชอบตัดสินคนปัจจุบันด้วยเรื่องเก่าๆแล้วก็พูดดูถูกเขาต่างนานา คิดว่าคนอื่นเขาด้อยกว่าตนเสมอ! ผู้ชายแบบนี้นะคะ เอาเงินมากองตรงหน้าเบญร้อยล้าน...เบญก็ไม่คิดจะแต่งด้วย!”

“นี่นะ...ฉันสงสัยมาตั้งแต่แกเปิดปากว่าฉันแล้วยายเบญ...แกไปโกรธใครมา”บุญญฤทธิ์ที่ทนโดนว่าต่อไปไม่ได้แล้ว วางส้อมลงก่อนจะจ้องหน้าน้องสาวคนสวย

“ไม่ได้โมโหใครมาหรอก เบญก็เป็นอย่างนี้ของเบญอยู่แล้ว พี่บุญก็รู้” หญิงสาวบ่ายเบี่ยง เพราะไม่อยากจะพูดถึงผู้ชายอีกคนที่นิสัยเหมือนพี่ชายของเธออย่างไม่ผิดเพี้ยน บุญญฤทธิ์ไม่ค่อยอยากจะเชื่อและกำลังจะอ้าปากค้านแต่ก็โดนมารดาตัดบทเสียก่อน

“เอาเถอะๆ ทานข้าวกันดีกว่า แม่หิวแล้ว”

เบญญาภายอมรามือและทานข้าวต่อไปอย่างปกติ แต่ในใจก็แอบด่า แอบค้อนชายหนุ่มสาเหตุของอารมณ์หงุดหงิดในวันนี้ หญิงสาวตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะไม่มีวันยอมญาติดีกับเขาเด็ดขาด ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมาพบเจอกันอีกเลย!

--------------------------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่า เห็นมีบ่นๆว่าอยากให้เขาเจอกันแล้ว ตอนนี้เลยจัดไปให้ เจอกันแบบจังๆ เจ็บๆ รู้นะว่ายังไม่สะใจอยากให้พี่วีร์โดนหนักกว่านี้กันหน่อย แต่ใจเย็นกันนะ นายพี่วีร์ของเราต้องโดนอีกแน่ๆ แบ่งๆไว้คราวหน้าบ้างอะไรบ้าง โดนรวดเดียวเดี๋ยวหาเลือดมาเติมให้ไม่ทัน

ขอให้อ่านกันให้สนุกนะคะ เจอกันวันพุธหน้า(ขอเปลี่ยนแปลงเล็กๆ) ส่วนวันจันทร์ก็เรื่องอาทิตย์พรางดาวค่ะ ตอนนี้ขอไรเตอร์ไปอ่านนิยายที่กว้านซื้อมาในงานหนังสือก่อนค่ะ แหะๆ

ติชมได้ค่า บ๊ายบาย



ไอจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2555, 15:27:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2555, 15:27:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1795





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
Auuuu 4 เม.ย. 2555, 15:57:57 น.
แอบสะใจจจจจจจจจ
ด่าใครไม่ด่า ดันด่าเจ้าตัวให้ได้ยินเองซะงั้น เอิ๊กๆๆๆ


anOO 4 เม.ย. 2555, 18:02:11 น.
สมน้ำหน้า พูดจาไม่ดูตาม้าตาเรือ คราวนี้ก็ตื้อกันต่อไปล่ะกัน


Setia 4 เม.ย. 2555, 20:03:52 น.
แจ่มแจ๋วมากจ้า หนูเบญ โฮะๆ สะใจมากจริงๆ
ผู้ชายแบบนี้นี่่น่ารังเกียจจริงๆด้วยแหละ มีอย่างที่ไหน เพิ่งพูดไปว่ารังเกียจยัยตุ๊แกมากจนไม่อยากจะเห็นหน้า พอเห็นสวยเข้าหน่อย พลิกลิ้นแทบไม่ทัน


pseudolife 16 เม.ย. 2555, 17:49:53 น.
อ่านรวดเดียวถึงตอนเด็ดเลยค่า
สะใจแทนน้องเบญจริงๆ อย่ายอมดีกับพี่วีร์ง่ายๆ นะ
นิสัยไม่ดี เลยจริงๆ :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account