ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: เหมือนเดิม

ตอนที่ 11

สงสัยเหลือเกินว่าตอนนี้หมดเขตการรับเข้าเป็นเลขาของคุณจิทัศน์แล้วหรือยัง ขอบอกตามตรง;jkฉันเบื่อนั่งทายปริศนารูปภาพกับแจ็กกี้แล้วนะ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปฉันคงไม่มีเงินพอใช้กลายเป็นศิลปินไส้แห้งเต็มตัว เลี้ยงแม่ก็ไม่ได้ และฉันคงต้องรอให้ตัวเองตายก่อนใช่ไหม ถึงจะดังและขายภาพได้ราคาหลายล้าน
โอ ไม่นะ!!!! ฉันคิดผิดจริงๆที่ลาออกจากบริษัทนราธรมา ความจริงฉันคงผิดตั้งแต่แรกแล้วล่ะที่ทำมือถือของคุณนรินทร์พัง อีตานรินทร์บ้า!!!!

“สิดี เรียนวาดรูปถึงไหนแล้วลูก” แม่ถามเสียงใส ใช่สิ งาน master piece ของตัวเองได้รับการตีพิมพ์แล้วนี่

“.....ก็....” ฉันพูดติดขัด ก็จะให้ตอบยังไงได้ล่ะ ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจพูดออกไป “เฮ้อ แม่คะ หนูจะไปสมัครงานที่ สิทรานะคะ” ฉันที่ตอนนี้นั่งกิน Haagendazs รส strawberry cheese cake อยู่ก็ลุกพรวดขึ้น และก่อนที่แม่จะถามอะไรต่อ ฉันก็แต่งตัวสวยพริ้ง โบกมือลาแม่อยู่หน้าบ้านแล้ว

ว่าแต่วันนี้ทำไมที่ BTS คนเยอะจัง หวังว่าฉันคงไม่... อ๊ากกก!!! ยังคิดไม่จบ คนที่นึกอยู่แล้วว่าต้องเจอ ก็เพราะวันนี้มันวันพุธน่ะสิ คุณนรินทร์ผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมโลกเขามักจะนั่ง BTS มาทำงานวันจันทร์ พุธ ศุกร์ แต่เอ๋? ทำไมคุณนรินทร์ดูซูบผอมไปมากแฮะ ให้ตายสิ! เขากำลังเดินมาทางนี้แล้ว ฉันเลยต้องรีบเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชน อืม แล้วฉันจะหนีเขาไปทำไมกัน แต่หน้าตาเขาดูย่ำแย่มากเลยนะนั่น



“มาหาท่านประธานเหรอคะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรคะ” พนักงานสาวของบริษัทสิทรา กรุ๊ปกำลังซักถามฉัน

“เอ่อ..เกี่ยวกับการสมัครตำแหน่งเลขาน่ะค่ะ” ฉันตอบไป แต่หล่อนกลับขมวดคิ้ว

“ตอนนี้เราไม่ได้เปิดรับนี่คะ คุณนัดท่านประธานไว้รึเปล่าคะ”

“เปล่าหรอกค่ะ แต่ท่านเคยทาบทามฉันไว้น่ะค่ะ บอกว่าตำแหน่งนี้ยังว่าง”

หล่อนขมวดคิ้วให้เป็นปมยิ่งกว่าเดิม “คือไม่เชิงว่าว่างหรอกนะคะ แค่เลขาคนปัจจุบันลาไปแต่งงานน่ะค่ะ

อ้าว? ยังไงกันแน่ ฉันทำหน้าเอ๋อสุดๆใส่พนักงาน

“คือตอนนี้ท่านประธานออกไปธุระข้างนอกด้วยน่ะค่ะ ถ้ายังไงคุณจะรอก่อนไหมคะ เดี๋ยวดิฉันจะติดต่อให้”

“ขอบคุณมากเลยค่ะ” ฉันตอบรับอย่างยินดี เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ คุณจิทัศน์หลอกฉันเหรอ

สักครู่หนึ่ง พนักงานสาวคนเดิมที่กำลังโทรศัพท์อยู่ ก็หันมาถามฉันว่าชื่ออะไร

“ทรัพย์สิดีค่ะ” ฉันตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด

“ค่ะท่าน เธอชื่อทรัพย์สิดีค่ะ” เสียงของหล่อนแปลกใจเล็กน้อย “ค่ะท่าน ได้ค่ะ” แล้วหล่อนก็วางสายลง พร้อมกับหันมายิ้มละไมให้ฉัน “ท่านให้เชิญคุณเข้าไปนั่งรอในห้องท่านได้เลยค่ะ อีกสักครู่ท่านจะกลับมา”

นั่นทำให้ฉันได้เข้าไปรอในห้องคุณจิทัศน์เพียงลำพัง ห้องทำงานของคุณจิทัศน์ก็ตกแต่งสวยหรูเหมือนห้องคุณนรินทร์นั่นแหละ แต่ฉันยังคงรู้สึกเหมือนเดิมว่าที่นี่ดูน่าสบายกว่า เพราะอะไรนะ จนแล้วจนรอดฉันก็ยังหาคำตอบ
ไม่ได้อยู่ดีว่าห้องทำงานคุณนรินทร์ขาดอะไรไป ห้องคุณจิทัศน์มีชั้นวางเอกสารทำจากไม้สักอย่างดี โซฟาน่านั่ง โต๊ะทำงานใหญ่โต ก็ไม่แตกต่างอะไรกับห้องคุณนรินทร์สักนิดเดียว แต่แล้วสายตาฉันก็เหลือบไปเห็น บางสิ่งที่อยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานภูมิฐานนั่น ภาพ Wild Poppies ของ Claude Monet นี่นา จริงๆแล้วฉันเคยเห็นภาพนี้วันที่มาสัมภาษณ์แล้วด้วย นี่เป็นภาพโปรดของฉันเลยนะ

ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าห้องคุณนรินทร์ขาดอะไรไป ขาดความเป็นศิลปะน่ะสิ ห้องอีตานั่นไม่มีความเป็นศิลปะสักนิด ทุกอย่างอึมครึมมาก มันต้องมีอะไรมาเบรกสภาพเคร่งเครียดของการทำงานบ้างสิ แล้วฉันจะไปห่วงใยทำไมนะ ฉันไม่ได้เป็นเลขาเขาแล้วนี่ อุ๊ย! นั่นรูปคุณจิทัศน์สมัยเด็กเหรอ สายตาอันแหลมคมของฉันจ้องไปที่กรอบรูปตั้งโต๊ะซึ่งวางอยู่ข้างๆจอคอมพิวเตอร์ ในรูปเป็นภาพคุณจิทัศน์ตัดผมทรงกะลาครอบ กำลังกอดคอเด็กชายอีกคนหนึ่งแล้วยิ้มยิงฟันให้กล้อง อืม ตอนเด็กๆคุณจิทัศน์เอ๋อเหมือนกันนะ ไม่น่าเชื่อว่าโตป่านนี้แล้วจะหล่อซะ เฮ้ย!!!! คนข้างๆคุณจิทัศน์นี่มัน ตาคมๆแบบนี้นี่ คุณนรินทร์ตอนเด็ก โอ้ววววว!!! แสดงว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนซี้ปึ้กกันมาตั้งแต่เด็กเลยหรือ อืม แต่ตอนนี้ต้องมาแข่งกันเอง แย่งแฟนกันเอง เข้าทำนองเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดเลยนะนี่
แล้วอยู่ๆ ใบหน้าคุณนรินทร์วัยฉกรรจ์ก็โผล่เข้ามาในหัวสมอง สภาพที่เหมือนซอมบี้ในตอนเช้า ช่างจับใจฉันมาก หรือว่าคุณนรินทร์จะไม่ได้จ้างเลขาใหม่จริงๆ เขาทำทุกอย่างเองทั้งหมดอย่างนั้นหรือ ถ้ามองย้อนกลับไป ฉันเองต่างหากที่ผิด ผิดตั้งแต่เริ่มต้นเลยด้วย อืม...อืม...คิดหนักแฮะ แต่ว่าแล้วฉันก็นึกอะไรได้ไม่รู้จึงพรวดพราดออกจากห้องทำงานคุณจิทัศน์ไป(อีกแล้ว)

ปึ้ก!!! อุ๊ย!ชนอะไรเข้าอีกล่ะ

“อ้าวคุณทรัพย์สิดี จะออกไปไหนล่ะครับ” สาบานได้เลยว่า ฉันชนเข้ากับแผ่นอกอันแข็งแรงของคุณจิทัศน์เข้าเต็มๆ

“ง่า...คือ...” ฉันยังพูดไม่จบเขาก็แทรกขึ้น

“นั่งก่อนสิครับ ตกลงคุณจะยอมเป็นเลขาของผมแล้วใช่ไหม”

เดี๋ยวนะ ขอฉันประมวลความคิดก่อน

1.เลขาตัวจริงของเขาลาไปแต่งงาน
2.เขาเป็นคู่แข่งกับคุณนรินทร์
3.เขาให้เงินเดือนฉันเยอะ
4.เขาหล่อ

ฉันยืนจ้องหน้าคุณจิทัศน์อยู่เป็นนาน คุณจิทัศน์ที่วันนี้ใส่สูทสีเข้ม เสื้อเชิ้ตแดงอมม่วงรับกับเน็กไทสีน้ำเงิน ยืนสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าฉัน ดวงตากลมโตจ้องฉันกลับเหมือนกำลังรอคำตอบ ฉันยังคงจ้องเขาไม่วางตาเช่นกัน เพื่อค้นหาบางอย่าง    แล้วฉันก็รู้สึกได้ว่า คุณจิทัศน์มีอะไรที่ขาดหายไป อะไรที่ในตัวคุณนรินทร์มี เหมือนกับที่ห้องคุณจิทัศน์มีความเป็นศิลปะมากกว่านั่นแหละ อะไรนะที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกับคุณนรินทร์มากกว่าคุณจิทัศน์ หรือฉันต้องหัดมองอะไรให้ลึกซึ้งกว่านี้อย่างที่แจ็กกี้ว่า...

“ขอโทษนะคะ” ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจพูดออกไป "ดิฉันคงต้องไปก่อนแล้วค่ะ ขอโทษจริงๆค่ะ” ฉันมองคุณจิทัศน์เป็นครั้งสุดท้าย แต่เป็นอีกครั้งที่ฉันเดินหนีเขาออกจากห้องทำงานไป ไม่มีเสียงใดๆ ฉุดรั้งเอาไว้ มารู้ตัวอีกที ฉันก็เดินทางฝ่าการจราจรอันแสงคับคั่งของ กทม. มุ่งหน้าสู่ นราธรกรุ๊ป แล้ว
เมื่อก้าวแรกของฉันแตะพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบของบริษัทนราธร เสียงฮือฮาของพนักงานแถวนั้นก็ดังขึ้น ฉันหันไปทางด้านขวาก็พบยามร่างยักษ์ 2 คนที่เคยแบกฉันเข้าห้องทำงานคุณนรินทร์ กำลังซุบซิบแล้วมองมาที่ฉัน
จะอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันควรทำอะไร

“กลับมาแล้วเหรอคะ ดีจัง บริษัทจะได้สงบสุขเหมือนเดิม” พนักงานต้อนรับคนเดิมทักทายฉันเป็นคนแรก

“อ่า ค่ะ” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยตอบไปแค่นั้น สงบสุขเหมือนเดิมอย่างนั้นเหรอ ฉันเดินมุ่งหน้าสู่ลิฟท์ที่เปิดอ้ารอรับ


ฉันขอไม่บรรยายว่าพนักงานแถวหน้าห้องคุณนรินทร์มีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นฉันกลับมา เอาเป็นว่าฉันแทบจะต้องตะเกียกตะกายออกจากฝูงชนเลยละ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่ฉันเปิดห้องทำงานคุณนรินทร์เข้าไป...

หน้าคมๆ ผมยุ่งๆ เงยขึ้นมาจากกองเอกสาร ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย สีหน้าของเขานิ่งสนิท มีเพียงแววตาเท่านั้นที่

ฉันเห็นได้ถึงความประหลาดใจเต้นรัวอยู่

“คือ...”ฉันพยายามจะพูดอะไรออกมา แต่ก็พูดไม่ออก

เขาสบตาฉันเนิ่นนาน ก่อนจะก้มหน้าซุกกองเอกสารเช่นเดิม

“วันนี้มาสายนะ” เขาพูดเรียบๆ “งานของคุณกองนี้รับไปทำซะ” แล้วเขาก็เอาปากกาเคาะกองเอกสาร ทางด้านซ้ายมือตัวเอง

บางครั้งคำอธิบายก็ไม่ได้จำเป็นกับทุกสิ่ง สำหรับฉันตอนนี้ก็เช่นกัน แค่รู้สึกว่าทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมก็พอแล้ว....


ใกล้เที่ยงคุณนลินมาชวนฉันไปทานข้าวเช่นเคย ดูคุณนลินมีอะไรอยากพูดกับฉันมากมาย แต่เอ๊ะ! ตอนนี้คุณนรินทร์ต้องออกไปหาอะไรทานแล้วนี่นา ทำไมเขายังไม่ออกมาอีกนะ

“รอสักครู่นะคะคุณนลิน” ฉันบอกให้คุณนลินรอแวบเดียวแล้วลุกจะไปเปิดประตูห้องทำงานท่านประธาน ขณะที่ยื่นมือออกไป ประตูบานนั้นก็ชิงเปิดออกเสียก่อน และ....

โป๊ก! “โอ๊ย!!!” ฉันร้องดังลั่น ประตูบ้ากระแทกหน้าฉันเต็มๆ

“อ้าวคุณ อุ๊บ ขอโทษที” คุณนรินทร์ขอโทษไม่เต็มปากเต็มคำ ก็เพราะเขาหัวเราะด้วยน่ะสิ แต่นั่นทำให้ใบหน้าซีดแบบซอมบี้ของเขามีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง

ฉันเอามือกุมหน้าผาก และรู้สึกได้ว่าคุณนลินก็แอบขำฉันเช่นกัน....มันตลกตรงไหนนะ!

“เป็นอะไรรึเปล่า” คุณนรินทร์ถามเสียงอ่อนโยนลง

“เจ็บน่ะสิคะ แล้วนี่คุณไม่ทานอาหารกลางวันเหรอคะ” ฉันถามด้วยความเคืองนิดๆ

“ก็คิดว่าจะไปอยู่ ผมขอตัวนะ” แล้วเขาก็รีบจรลีจากไป แต่ตอนที่เขาจะเดินผ่านฉันไปนั้นมันเป็นเวลาพอดีกับที่ฉัน
ก้มหน้ามองต่ำแล้วได้เห็นอะไรบางอย่าง.....

“คุณคะ!!!!” ฉันร้องเสียงหลง ทำเอาคุณนลินและพนักงานแถวนั้นหันมามองฉันด้วยความตกใจ คุณนรินทร์หมุนตัวมามองฉันงงๆ

“อะไรเหรอ” เขาถาม

เอ แล้วจะให้ฉันบอกเขายังไงดีนะ ฉันหมดทางเลือกเลยจำต้องเดินเข้าไปประชิดตัวเขาแล้วพูดกระซิบใกล้ๆหู

“คือ คุณลืมรูดซิบค่ะ”

คุณนรินทร์มองตรงนั้นด้วยความเลิ่กลั่ก หน้าแดง แล้วรีบรูดซิบขึ้นโดยเร็ว ก่อนจะหันไปมองพนักงานที่จ้องอยู่

“ไปทานข้าวกันได้แล้ว!” เขาตวาดเสียงดัง ทำเอาพนักงานที่เหลือต้องหันหลังกลับเข้าโต๊ะทำงานตัวเอง
แล้วเขาก็มองฉัน ที่กำลังหัวเราะคิกคัก ก็จะมีท่านประธานบริษัทสักกี่คนล่ะที่ลืมรูดซิบกางเกงน่ะ

“หยุดหัวเราะได้แล้ว!” เขาตวาดฉันเงียบๆ แต่นั่นยิ่งทำให้ฉันขำเข้าไปใหญ่

ดูเขาจะลำบากใจพอควร “คุณอย่าบอกใครนะ” เขาขอร้อง ตลกจริง

ฉันมองเขาด้วยความเจ้าเล่ห์ “ค่ะท่าน ไม่บอกใครค่ะ” แล้วก็หัวเราะต่อไป รู้สึกว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วจริงๆ



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2555, 13:32:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 เม.ย. 2555, 13:32:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1889





<< สามเท่า   ทานข้าว >>
ม่านฟ้า 5 เม.ย. 2555, 14:30:25 น.
โห หายไปนานเลยนะคะ


ลายเส้น 5 เม.ย. 2555, 16:31:44 น.
โทษทีค่ะ ไปธุระมา


konhin 6 เม.ย. 2555, 00:30:57 น.
ฮ่าๆๆ ฮาจริงๆเรื่องนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account