พร่างเสน่หา
ทุกอย่างเริ่มต้นในรุ่งสาววันหนึ่งกลางฤดูหนาวที่ซานเรโม เมื่อชายหนุ่มนักธุรกิจมือพนันระดับพระกาฬพบหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาขี้ริ้วรูปร่างอ้วนท้วนล้มลงนอนสลบขวางหน้าม้าตัวโปรดที่เขาควบขี่มากลางลู่ด้วยสภาพเปียกปอนปางตาย เหรียญทองนำโชคที่ติดตัวมาจึงถูกโยนขึ้นกลางอากาศเป็นการเดิมพันตัดสินชะตาชีวิตผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นให้อยู่รอดต่อไป หลังจากวันนั้นอเล็กซิสถึงรู้ว่า ภาพลักษณ์ของหญิงสาวความจำ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๔

--- แวะคุยกันก่อน ---
สวัสดีค่ะ หายไปนานอีกแล้ว
เหอๆ ตอนนี้มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตค่ะ
รู้สึกท้อในหลายๆเรื่องแต่ก็ยังเขียนกับรีไรท์นิยาย
มีอีกเรื่องที่จะเขียนลงนะคะแต่ยังไม่ลงตอนนี้หรอก
ขอบคุณที่มาอ่านและคอมเม้นอีกครั้งนะคะ
พระเอกเราเหมือนลมเพลมพัดอะ
คนเขียนว่า ผู้ชายนิ่งๆอ่านยากแต่ก็รู้ว่าจะทำอะไรสุขุม
แต่ผู้ชายที่อ่านยากจริงๆคือคนที่ไม่รู้เลยว่า
วันดีคือดีจะสุขุมหรือจะบ้าระห่ำ
คิดแบบนั้นกันหรือเปล่านะ ฮาาา
-----------------
บทที่ ๔

กระท่อมไม้ซุงชั้นเดียวหลังใหญ่รายล้อมด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธ์หลังนั้นสร้างถัดจากบ้านพักคนงานที่ปลูกติดกันเป็นแนวยาวอยู่ห่างจากสนามทดสอบฝีเท้าม้าไปไม่มากนั้นเป็นสถานที่ที่เจ้าของฟาร์มเลือกจะใช้ทำงานและอาศัยเป็นหลัก

ภายในกระท่อมกว้างขวางแบ่งมุมการใช้งานด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แทนการกั้นห้องทำให้ทุกส่วนเชื่อมต่อถึงกันและดูโล่งโปร่งสบาย มีร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มรูปงามนั่งนั่งไขว่ห้างพิงพนักอ่านเอกสารการซื้อขายม้าบนเก้าอี้หวายสีน้ำตาลหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีแท็บเล็ตวางเคียงกับโทรศัพท์บ้าน

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้อเล็กซิสเงยหน้าจากเอกสารที่กำลังอ่านไปทางต้นเสียงก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้เข้ามาพบจึงรู้ว่าคนที่มาหาคือญาติหนุ่มลูกครึ่งที่มาอยู่ร่วมชายคาคฤหาสน์ และเมื่อเห็นก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว

โครว์สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินผูกเนกไทขาวพาดสูทสีดำไว้บนลำแขนก้าวเท้าเข้ามาหาพลางทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าถือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเดียวที่มีต่อคำทักทายของทุกคนที่นี่

หลังกลับจากดูแลงานด้านบริหารวิลล่าเขามักจะแวะมาสนทนากับเจ้าของบ้านสักเล็กน้อยเพื่อเป็นการสร้างมิตรภาพ แม้จะทั้งสองจะยังคงห่างเหินกันเหมือนเดิมหากในฐานะญาติและผู้อาศัยการได้พูดคุยกันบ้างคงจะดีกว่าเมินเฉยใส่กันไปเลยเป็นไหนๆ

“ มีอะไร ” เสียงแหบต่ำเป็นเอกลักษณ์เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกาห้วนคล้ายจะไม่สนใจผู้ที่มาเยี่ยมหน้าเข้ามาหาเท่าใดนัก

“ วันนี้นายรับม้าพยศมาฝึกหลายตัวหรือยังไงคนงานในฟาร์มถึงได้เข้าออกสถานพยาบาลเป็นว่าเล่นขนาดนั้น ” ชายหนุ่มลูกครึ่งเป็นฝ่ายถามหลังจากเดินมาเห็นคนงานผละจากคอกม้าไปอยู่กันที่สถานพยาบาลจนแน่นขนัดไปหมด

“ เหรอ ” เจ้าของฟาร์มตอบสั้นยังคงอ่านเอกสารต่อไปเหมือนไม่ใคร่จะใส่ใจอีกตามเคย ก็พอดีกับที่หญิงสาวมัดผมหางม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์หอบแฟ้มเอกสารจะผลักประตูตรงเข้ามาหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่เพื่อเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ได้รับทราบมาให้ฟังเป็นภาษาไทยรัวเร็ว

“ หมอนี่มันใจดำสุดๆ เลยนะคุณใหญ่ ผู้หญิงเจ็บปางตายแถมความจำเสื่อมแทนที่จะให้อยู่รักษาจนหายดีก่อน กลับเสนอให้เธอเล่นหมากรุกชนะเลขาตัวเองให้ได้ก่อนถึงจะยอมให้อยู่ ” รสาหยุดพูดแล้วเท้าสะเอวมองผู้ชายที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดเลยทั้งสิ้นด้วยความหมั้นไส้จึงเอ่ยต่อ “ ดีนะที่เธอเล่นเก่ง ชนะตาเลขาของหมอนี่ไปตั้งไม่รู้กี่หน ขนาดหมอหน้าสวยแสนฉลาดยังแพ้ราบ คนงานในฟาร์มดาหน้ามาท้าเล่นหน้าม้านกันเป็นแถว สงสัยจะอายที่แพ้ผู้หญิง ”

“ นี่อย่าบอกผมนะว่าไปเล่นกับเขามาด้วยน่ะ ”

“ เปล่าค่ะ...สาแค่ไปยืนดูเขาเล่นกันเฉยๆ ”

“ เอ้า เล่นหมากรุกฝรั่งไม่เป็นแล้วไปยืนดูเขารู้เรื่องได้ยังไง ”

“ ก็เขาเล่นกันมันส์มาก ขนาดดูไม่รู้เรื่องฟังแค่เสียงเชียร์ก็สนุก แล้วผู้หญิงคนนั้นนะเธอก็สวย สวยมากเหลือเกินสาก็เลยมองเพลินเป็นธรรมดา ”

“ สวยขนาดนั้นเชียว ”

“ สวยสิ แต่สวยคนละแบบกับเล็กนะ...คนนี้เธอสวยแบบลูกครึ่งนะ นี่คุณใหญ่ลองไปดูหรือไปแข่งหมากรุกกับเธอสิจะได้รู้ว่าทำไมสาถึงเพลินดูเธอเล่นได้ตั้งนานสองนาน ” หญิงสาวผู้รับหน้าที่เลขานุการส่วนตัวมาตั้งแต่เขาเอ่ยปากขอให้มาเป็นเพื่อนชีวิตเอ่ยถึงเพื่อนสนิทและน้องสาวของชายหนุ่มที่อยู่ในเมืองไทย

“ ผมว่าผมไม่ไปดีกว่า ”

“ ทำไมล่ะ หรือว่ากลัวเล่นแพ้อีกคน ”

“ เปล่า...ผมแค่คิดว่าถ้าต้องไปเล่นหมากรุกฝรั่งเพลินกับผู้หญิงคนนี้ สู้ไปเล่นหมากรุกบ้านเรากับสาน่าจะเพลินกว่ากันเยอะเลย จริงไหม ” เขาให้เหตุผลด้วยเสียงนุ่มพลางเหยียดริมฝีปากกว้างอบอุ่นมีความหมาย ทำเอาคนที่พูดเจื้อยแจ้วเมื่อครู่หลบสายตามาลอบยิ้มอย่างมีความสุข แต่ไม่ทันจะได้ตอบอันใดเสียงกระแอมไอจากเจ้าของห้องก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

“ ถ้าจะคุยพลอดรักกัน เชิญข้างนอก ฉันไม่มีสมาธิ ” เขากล่าว แม้จะฟังภาษาไทยไม่ออกเลยสักคำแต่ท่าทางการสนทนาระหว่างกันก็เข้าใจได้ว่าพูดคุยอันใดกันอยู่

เพียงได้ยินคำปรารภรสาก็ลืมสิ้นความอายกอดอกหันควับไปมองเจ้าของฟาร์มเลี้ยงม้าจอมหยิ่งที่คอยแต่พูดไม่เข้าหูอยู่เสมอก็นึกอยากจะเข้าไปซัดเสียทีแต่เพราะทำไม่ได้จึงกำหมัดสวนเป็นภาษาอังกฤษออกไป

“ เราไม่ได้พลอดรักกันสักหน่อย เราแค่คุยกันเรื่องที่คุณทำกับผู้หญิงคนนั้นต่างหาก คุณคงเก่งแต่รังแกคนสิ้นไร้ไม้ตอก ขนาดคนเจ็บหนักยังกล้าส่งคืนสถานทูต นี่ก็คงดูถูกเธออยู่ล่ะสิว่าจะไม่มีน้ำยาเอาชนะใคร อีโธ่เอ๊ย จะบอกอะไรให้นะ ผู้หญิงคนนั้นนะเป็นยอดฝีมือหมากรุก โค่นได้ทั้งเลขาคุณ ขนาดคนงานในฟาร์มยังสู้ไม่ได้ ฉันเชื่อว่าถ้าคุณไปเล่นกับเธอ คุณก็คงแพ้เหมือนกัน ” เจ้าหล่อนแวดใส่เสียงดังอย่างเหลืออดทำเอาคนตัวใหญ่กว่าตะครุบปิดปากแทบไม่ทัน

อเล็กซิสยังคงนั่งนิ่งอยู่กับหน้าเอกสารเหมือนเดิม หากสักครู่เดียวเท่านั้นเขากลับหัวเราะเสียงดังสนั่นห้องเหมือนขบขันอะไรสักอย่างเป็นอันมากทำให้สองหนุ่มสาวที่เข้ามาบุกรุกถึงกระท่อมส่วนตัวของอีกฝ่ายถึงกับมองหน้ากันด้วยความฉงน

“ ออกไปได้แล้ว ฉันจะไปข้างนอก ” เจ้าของกระท่อมเอ่ยปากไล่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเป็นสัญญาณให้โครว์จับจูงมือรสาพาออกจากกระท่อมเดินไปตามทางหินกรวดเพื่อกลับเข้าคฤหาสน์ที่เจ้าของตัวจริงไม่ใคร่จะอาศัยนัก

“ ญาติคุณคนนี้มันบ้า คิดทำอะไรเดาไม่ได้สักอย่าง ดูอย่างเมื่อกี้สิคิดจะเมินก็เมิน แต่อยู่ๆก็หัวเราะ สักพักก็เฉดหัวเราออกมา คุณนี่ก็น่าโมโหเอาแต่ยอมเขาตลอดอยู่ได้ ” หล่อนยังคงบ่นกระปอดกระแปดเพราะเคยเจอคนเข้าใจยากมาก็เยอะ แต่ผู้ชายคนนี้สิบทจะทำอะไรไม่มีใครตามทันสักคน

“ สาก็เป็นอย่างนี้ ไม่ชอบหน้าผู้ชายสักคน ตอนเจอผมครั้งแรกก็ไม่ชอบออกจะเกลียดกันเสียด้วยซ้ำ ” หลังจากเงียบมานานคนเดินเคียงก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ แหม อย่าทำเป็นพูดเลย คุณใหญ่เองตอนแรกก็เกลียดสาจะตายไป เหน็บแต่ละคำเจ็บๆทั้งนั้น ”

“ ก็ตอนนั้นมีแต่เรื่องยุ่งๆเข้ามา ผมเองก็ไม่รู้ว่าสาเป็นคนยังไงแน่ มองผมอย่างกับไส้เดือนกิ้งกือ สาเองก็เกลียดผมเหมือนกันแหละถึงกล้าชักปืนใส่ผม ” เขาว่าพลางนึกถึงช่วงเวลาที่เคยมีในประเทศไทยร่วมกัน

นับจากวันที่ตัดสินใจชวนรสามาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเรียนรู้อะไรด้วยกันมาหลายปีก็ทำให้เขารู้ดีเลยว่า ชีวิตนี้จะขาดผู้หญิงคนนี้ไปไม่ได้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหล่อนเป็นกำลังใจจนเขาอยากได้สิทธิ์เป็นคนดูแลหล่อนตลอดชีวิต แบบนี้หรือเปล่าหนาที่เขาเรียกกันว่า ความรัก

“ เอ๊ะ ก็ตอนนั้นคุณใหญ่เหมือนคนบ้าใครจะไปชอบ ถ้าเป็นตอนนี้สิว่าไปอย่าง ”

“ อ้อ...มาตอนนี้คุณก็เลยชอบผมใช่ไหม ” เขาแกล้งเย้าพลางหัวเราะเบาอย่างอารมณ์ดี

คนฟังแทนที่จะตอบโต้กลับไปเหมือนทุกทีคราวนี้กลับนิ่งก่อนจะเงยหน้าไปมองชายหนุ่มลูกครึ่งรูปงามที่มีรอยแย้มสวยอาบบนใบหน้าทุกครา

“ ตอนนี้คุณเป็นนักธุรกิจที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นผู้ชายอบอุ่นยิ้มสวยด้วยแบบนั้นมีหรือใครจะไม่ชอบคุณ ” หล่อนตอบพลางนึกถึงตอนได้อ่านนิตยสารผู้หญิงที่มีเพิ่งจัดอันดับหนุ่มที่สาวในสหรัฐใฝ่ฝันถึง

ความสุภาพนุ่มนวลกับทุกคนแต่อ่านเกมบริหารเฉียบขาด เขากลายเป็นนักธุรกิจที่สาวหลายคนหมายปอง ทุกคนต่างชื่นชมหลงชอบ เขาอ่อนโยนเสียจนแม้แต่หล่อนเองที่เคยปฏิญาณจะไม่ชอบผู้ชายคนไหนก็เกิดรู้สึกแปลกในหัวใจออกจะบ่อย แต่เขาก็ไม่เคยพูดถามอะไรจริงจังให้ชื่นใจเลยได้แต่มีความสุขไปตามสมควร

ชายหนุ่มหยุดเดินพร้อมยื่นมือทั้งสองข้างไปจับไหล่ของหญิงสาวมัดหางม้าให้หันมาสบสายตา

“ ผมไม่สนคนอื่น ผมสนว่าคุณคิดยังไง อยู่กันมานี้ชอบผมขึ้นมาบ้างไหม ” เขาสอบถามแม้นมีรอยยิ้มหากดวงตากลับฉายแววเอาจริง

“ ไว้คุณใหญ่บอกสาได้ก่อนว่ารู้สึกกับสาแบบไหน แล้วสาจะบอกคุณใหญ่เหมือนกันว่าคิดยังไง ”

รสาถามกลับจริงจังด้วยนัยน์ตาที่ทอประกายตัดพ้อทำให้โครว์ปลดมือที่จับไหล่ทั้งสองข้างแล้วดึงร่างบางมากอดไว้หลวมๆ...ความจริงก็รู้ดีอยู่ว่าคนตรงหน้าสำคัญเพียงใด แต่ไม่พูดออกไปก็เพราะไม่แน่ใจ ทว่าทันทีที่ได้เห็นแววตาคู่นั้นก็รู้แล้วว่าคงจะคิดเหมือนกันอยู่หรอก

“ ไว้ฝึกงานทางนี้เสร็จเมื่อไหร่ผมจะไปคุยกับอา แล้วเราสองคนจะได้กลับเมืองไทยด้วยกัน ”

“ กลับเมืองไทย...กลับไปทำไมคะ ” คนยืนตัวแข็งในอ้อมกอดของคนตัวใหญ่ร้องถาม

“ ผมคิดว่าตอนนี้ผมรู้จักพ่อและเรียนรู้งานของครอมเวลมาพอสมควร ทีนี้คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปเป็นนายศิระและลงหลักปักฐานกับใครสักคนหนึ่งได้แล้ว ”

“ ลงหลักปักฐาน...กับใคร ” หล่อนทวนคำพูดเขาซ้ำเหมือนหุ่นยนต์ไม่มีผิด

“ โธ่เอ๊ย คุณก็รู้ผมมีแค่คุณคนเดียวที่รัก แล้วจะไปลงหลักกับใครเขาล่ะ ”

ถ้อยคำหวานหูลอดจากริมฝีปากบางมีแววหยอกอยู่ในทีทำให้คนถูกกอดอ้าปากค้างเอี้ยวไปมองใบหน้าของคนพูดที่ยังระบายรอยยิ้มอยู่ไม่รู้คลาย

“ คุณใหญ่ ” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง “ พูดจริงเหรอคะ ”

“ ครับผม...ถ้าสาไม่เชื่อผมจะโทรไปบอกแม่เดี๋ยวนี้แหละว่าจะพาสาวไปให้รู้จัก จะโทรไปบอกเล็กบอกใครต่อใครเสียให้หมดเลยด้วยดีไหม ”

ทั้งที่เขาแสดงความจริงใจออกไปเช่นนั้นแต่แทนที่อีกฝ่ายจะพอใจหล่อนกลับดึงมือที่โอบกอดตัวเองออกแล้วหมุนตัวกลับมาแล้วยกมือสองข้างตบแก้มของเขาเบาๆ คล้ายผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กอย่างไรอย่างนั้น

“ คุณใหญ่นี่ เวลาจะสารภาพรักกับสาวทั้งทีกลับพูดโต้งๆ ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย ” หล่อนเงียบเสียงพลางทอดมองคนหล่อเหลานิ่งนานด้วยแววตาเปล่งประกาย “ แต่เพราะแบบนี้แหละถึงน่ารัก ”

รสาพูดเสร็จก็หัวเราะเบาก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปกุมมืออุ่นชื้นของโครว์ไว้แล้วพากันเดินต่อไปยังคฤหาสน์ด้วยสีหน้าแววตาเป็นสุข เป็นเวลาเดียวกันกับที่อเล็กซิสผลักประตูเข้าไปภายในสถานพยาบาลเพื่อจะได้พบกับคนงานในฟาร์มที่กำลังจับกลุ่มสนทนาถึงหญิงสาวสวยที่ประลองหมากรุกชนะรวดทุกเกม

เจ้าของฟาร์มรับฟังทุกคำด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะเดินเข้าไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ ทันทีที่คนงานทั้งหมดหันมาเห็นสายตาอันเย็นเยือกของเจ้านายก็สำนึกได้ว่าละเลยหน้าที่จึงรีบถอยกลับไปดูแลคอกม้าเหมือนเดิม

ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมองคนงานของตนเองเพียงแต่เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องพักฟื้นพร้อมทอดมองผ่านกระจกใสไปยังหญิงสาวที่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเดินหมากไปบนกระดานโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด

“ ห้าต่อศูนย์ ” เสียงต่ำเหมือนจะกลืนอยู่ในลำคอประกาศผลการแข่งขันหลังจากตัวม้าสีดำถูกกินหายไปจนเกลี้ยงเหลือเพียงหมากสีขาวที่ยังยืนอยู่ได้หลายตัว

ฟาบิโอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้พลางพ่นลมหายใจให้กับฝีมือการเล่นเกมกระดานที่ตัวเขาเองเคยถือว่าเชี่ยวชาญไม่แพ้ใครยกเว้นผู้เป็นนายแต่มาบัดนี้เขากลับพ่ายแพ้หมดท่าให้กับหญิงสาวแปลกหน้าที่มักเงยจากกระดานมองมาด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลดูไร้เดียงสาเหลือเกิน

...สตรีงามมีมากมายหากมองมินานก็หน่ายแหนง ทว่าสตรีตรงหน้าสวยเย็นตาเหมือนจันทราทรงกลด ยามได้พิศพิจารณาช่างเพลินตาเป็นอย่างยิ่ง...

“ นายจะแก้ตัวอีกสักตาไหม ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลตัวเล็กที่ทุกคนเรียกกันว่านาร์บาส ซึ่งเป็นเสมียนคอยดูแลงานทั่วไปในฟาร์มเอ่ยปาก

“ พอแล้วล่ะ ฝีมือฉันตอนนี้แก้มือไปยังไงก็ไม่ชนะหรอก ” เลขานุการหนุ่มว่าพลางใช้มือตบหลังคอไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากการใช้สมองกับเกมกระดานหมากรุกมากเกินไป

“ แล้วนายล่ะ โนอาร์จะเล่นแก้มืออีกไหม ” นาร์บาสหันไปถามกับนายแพทย์หนุ่มหน้าหวานที่ยืนกอดอยู่ข้างเตียงคนเจ็บแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า ทำให้คนถามถึงกับถอนหายใจ เพราะ ไม่รู้จะทำหน้าตอนรายงานเรื่องที่แม่คนสวยชนะทุกคนในฟาร์มเรียบวุธให้เจ้านายฟังยังไง

เสียงบานประตูถูกผลักทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ล้อมรอบเตียงคนป่วยในห้องพักฟื้นทั้งสามหันความสนใจไปยังเบื้องหลังตัวเองและเมื่อเห็นว่าใครกำลังตรงเข้ามาหาพวกตนก็กระพริบตาปริบก่อนที่โนอาร์และฟาบิโอที่ยืนขนาบข้างเตียงคนละด้านจะขยับตัวบังร่างของหญิงสาวราวกับเป็นองครักษ์อย่างไรอย่างนั้น

“ ออกไป ” ทันทีที่เดินมาประชิดติดเหล็กกั้นตรงปลายเตียงเสียงแหบต่ำก็ดังขึ้น

นาร์บาสมองใบหน้าอันเรียบเฉยแต่มีรัศมีเหี้ยมเย็นออกมาก็ลุกจากเก้าอี้รีบออกไปตามคำสั่ง ส่วนชายหนุ่มที่ยืนกรานจะให้คนป่วยรักษาตัวอยู่ที่นี่ต่อยังไม่ยอมขยับเขยื้อน

“ เธอเล่นหมากรุกชนะผมแล้วครับ ชนะด้วยความสามารถตัวเองจริงๆ ” คนถูกมอบให้รับหน้าที่ประลองเอ่ยปาก แต่เจ้านายหนุ่มกลับไม่สนใจแม้แต่จะมองหน้าผู้พูดเพราะเอาแต่จ้องมองยังคนป่วยที่เรียงหมากรุกสีขาวในกล่องกลับไปบนกระดาน

“ ออกไป ” เขาย้ำคำเดิมก่อนจะละสายตาไปยังใบหน้าของเลขานุการหนุ่มอย่างแข็งกร้าวราวกับจะประกาศให้ทราบว่า หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้ แต่หลังจากสบสายตากันอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดฟาบิโอก็จำเป็นต้องถอยให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก่อนจะเดินพ้นจากประตูก็ไม่วายส่งสายตาห่วงใยแก่คนบนเตียงไม่สร่างซา

เจ้าของฟาร์มยกมือกอดอกขยับไปยืนแทนที่ลูกน้องพลางทอดมองหญิงสาวบนเตียงอยู่ชั่วครู่ก็เอื้อมมือไปหยิบหมากตัวคิงสีดำที่อยู่ในกล่องขึ้นมาพินิจก่อนจะโขลกมันลงบนกระดาน ส่งผลให้หมากตัวควีนสีขาวในมือเรียวเล็กร่วงไปค้างอยู่ตรงราวเหล็กกั้น

“ เก่งนะ...น่าจะแข่งด้วยกันซักตา ” เสียงแหบนั้นคล้ายจะเยาะหยันมากกว่าชื่นชม

“ ถ้าบอสอยากจะแข่งเห็นจะไม่ได้แล้วล่ะครับ ตอนนี้เธอยังไม่หายดี เธอต้องฝืนใช้มือข้างเดียวเล่นเกมใช้สมองแบบหมากรุกหลายชั่วโมงแล้ว เวลานี้เธอต้องพักผ่อนแล้วครับ ”

โนอาร์ค้านพร้อมกวาดมือกำเอาหมากตัวเบี้ยสีขาวทั้งหมดใส่กลับลงไปในกล่อง ขณะที่ดวงตาสีฟ้าก็จับนิ่งอยู่ตรงนัยน์ตาสีเขียวคล้ายจะประกาศให้ทราบถึงความตั้งใจที่จะปกป้องสวัสดิภาพของคนไข้อย่างเต็มกำลัง แต่แทนที่เจ้านายจะออกคำสั่งหรือแสดงอาการโกรธเกรี้ยวเขากลับได้เห็นริมฝีปากหยักนั้นเหยียดกว้าง

“ ไม่ต้องรีบรักษาสิทธิ์ให้คนไข้ขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรแค่อยากจะคุยกับเขาเท่านั้นเอง ”

“ แต่เธอ... ”

“ คุยกันแค่สองสามนาทีคงไม่ถึงกับแขนอักเสบหรอก แต่ถ้ากลัวนักก็จับเวลาไว้สิ ” เขาบอกเสียงเนิบช้าไม่ยินดียินร้ายต่อความกังวลของใครทั้งสิ้น

นายแพทย์หนุ่มแลดวงหน้าสงบนิ่งของคนตรงหน้า แม้ในใจจะวิตกกังวลอยู่มาก หากก็รู้ดีว่า เจ้านายตนเป็นสุภาพบุรุษที่พูดหรือให้สัญญาคำไหนต้องเป็นคำนั้นและไม่เคยทำร้ายร่างกายผู้หญิง

“ ถ้าอย่างนั้นผมจะให้บอสคุยกับเธอ แต่อย่านานนักนะครับ เพราะเธอต้องทานอาหารเย็นกับยาต่อ ” สุดท้ายผู้ทำการรักษาก็ยอมจำนนฝากคำไว้ก็เดินออกจากห้องไปอีกคน

บรรยากาศภายในห้องพักฟื้นจากที่คึกคักสนุกสนานเริ่มกลับสู่ความเงียบสงบมีเพียงเสียงคลื่นและสายลม อเล็กซิสกอดอกยืนนิ่งอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก็เอื้อมหยิบหมากตัวควีนสีขาวออกมาถือไว้

“ ฉันเป็นคนรักษาสัญญา ในเมื่อเธอทำตามกติกาได้ ฉันก็จะให้เธออยู่ ” เขาเริ่มเปิดประเด็น “ เธออยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้ แต่เธอจะมานั่งๆนอนๆไม่ได้หรอกนะ เธอต้องทำงานด้วย เข้าใจที่พูดใช่ไหม ”

นีนนาราเฝ้ามองกระดานหมากรุกพลางสูดลมหายใจให้กับความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นเงียบเชียบตั้งแต่เขาปรากฏตัวเข้ามาแล้วจึงพยักหน้ารับคำอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง คิดเพียงว่ารับปากแล้วเขาคงออกไป หากแทนที่จะเป็นเช่นนั้นหล่อนกลับมีอันต้องสะดุ้งในทันทีที่ปลายนิ้วแข็งร้อนสัมผัสเชยให้หน้าต้องเงยขึ้น

อเล็กซิสพินิจพิเคราะห์องค์ประกอบบนดวงหน้างามหมดจดไปทีละส่วนอย่างเชื่องช้าก่อนจะให้ความสนใจกับนัยน์ตาอมโศกสีน้ำตาลลึกล้ำราวกับนักประดาน้ำที่ดำดิ่งสู่หุบเหวลึกใต้ท้องสมุทรเพียงเพื่อจะค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนเร้นกระทั่งเห็นประกายความหวาดหวั่นและสัมผัสได้ถึงร่างบางที่สั่นเทาเขาก็คลี่ริมฝีปากกว้าง

“ ฉันชอบเล่นเกม ” เขาเกริ่นแล้วจึงต่อ “ ยิ่งมีคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อกันเกมจะยิ่งสนุก แต่ที่สนุกกว่าคงเป็นตอนที่ได้ตลบหลังคู่ต่อสู้ที่ทระนงตัวว่าจะชนะในเกมนั้น ”

หญิงสาวกระพริบตาปริบให้กับรอยแสยะยิ้มของพญามัจจุราชในคราบเทพบุตร...พยายามอย่างหนักในการซ่อนความกริ่งเกรงไว้ใต้ใบหน้าเฉยนิ่ง ทว่าอำนาจในดวงตาคมกริบของเขากลับทำให้หล่อนยิ่งสั่นสะท้านดังกับเขาเป็นเจ้าชีวิต

“ เธอเองก็คงชอบเล่นเกม ถ้าอยากจะเล่นเกมซ่อนความจริงก็เล่นไปเถอะ แล้วฉันจะคอยดูว่าเธอจะเล่นเกมนี้ได้นานแค่ไหน ” เขาเน้นเสียงหนักในประโยคสุดท้ายพร้อมกับโน้มกายลงมาทีละน้อยทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเอนตัวหนีแม้แผ่นหลังบางจะแนบติดกับเตียงแล้วเขาก็ไม่มีทีท่าจะหยุด

มือเรียวใหญ่ละจากคางเรียวเลื่อนต่ำไปตามลำคอขาวเนียนแผ่วเบาด้วยแววตาและรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์เป็นหนักหนา อารมณ์ที่แปรไปมาหาเข้าใจได้โดยง่ายรวมถึงความร้อนบนผิวเนื้อทำให้ลมหายใจของหญิงสาวติดขัดกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อคอเสื้อกำลังเคลื่อนพ้นจากไหล่

“ หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้ ” หล่อนร้องเสียงหลงเป็นภาษาอังกฤษรีบตะครุบคอเสื้อของตัวเองไว้ กระนั้นในทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาจากในลำคอเขาก็ทำให้หล่อนรู้ตัวเองว่า ทำพลาดอย่างใหญ่หลวง

“ เอ...พูดได้เหมือนกันหรือ ” เขากระเซ้าหยิบเอาปอยผมหยักศกสีน้ำตาลระคนแดงมาถือไว้ “ พูดได้แต่ไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบ แบบนี้มันเสียมารยาทรู้ไหม ”

สุ้มเสียงและถ้อยประโยคที่หยามหยันกันเป็นนิจพาให้ความตื่นกลัวลดหายแทนที่ด้วยความโกรธอันเป็นผลจากความผิดพลาดของตัวเองและการคุมคามของชายหนุ่มตรงหน้า อยากจะตะโกนต่อว่าใส่หน้าหากก็ทำได้เพียงสะกดใจเม้มริมฝีปากไว้แน่น

แม้นว่าหล่อนจะเก็บซ่อนตัวตนกระทั่งความรู้สึกไว้ใต้เงาของผู้หญิงขลาดเขลาตามความประสงค์ของบิดาได้ดีมาโดยตลอด ทว่าเมื่อได้พบกับชายหนุ่มตรงหน้าการรักษาอารมณ์สีหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องอันใดเลยแม้จะถูกกระทบกระเทียบเดียดฉันท์ช่างเป็นเรื่องยากลำบากนัก

...หน้าตาหรือออกจะงามเหมือนเทพบุตร แต่นิสัยร้ายกาจดังกับซาตาน คิดหรือว่าถ้ามีทางไปจะมาจมอยู่ตรงนี้...

“ อยากจะด่าก็ด่าอย่าเก็บไว้ในใจสิ ” ไม่วายที่เขาจะอ่านความคิดมาเย้าหยอก ดวงตาทอประกายคล้ายสนุกเป็นหนักหนาที่ได้เห็นพ่วงแก้มอันเซียวซีดกลายเป็นสีแดงสุก

...ใครจะพูดด้วย ไม่มีทางเสียล่ะ...คนเจ็บรำพึงในใจนึกอยากจะให้เขาไปเสียให้พ้นจึงแกล้งทำหน้าแหยเกรีบยกมือคลึงขมับทำราวกับปวดศีรษะอย่างหนัก ทำให้พยาบาลที่ยกสำรับอาหารและยาเข้ามาตามกำหนดเวลากึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาเพื่อช่วยเหลือคนไข้เป็นการใหญ่

เจ้าของฟาร์มเฝ้ามองคนบนเตียงที่ดูเจ็บหนักเสียเต็มประดาทั้งที่เมื่อครู่เผลอขึงตาใส่ตนก็หัวเราะ

...แม่คุณเอ๊ย เจ้ามารยาใช้ได้...

“ เดี๋ยวดิฉันจะไปตามคุณหมอ ฝากคุณอเล็กซ์ดูเธอไว้ก่อนนะคะ ” พยาบาลฝากฝังแล้วหมุนตัววิ่งออกจากห้องไป ทิ้งให้สองชายหญิงอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง

คนเจ็บยินเสียงหัวเราะที่มิจางหายเสียทีก็นิ่วหน้านึกรู้อยู่เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่จะหลอกหรือปิดบังอะไรได้โดยง่ายเลยเบือนหน้าหนีไปเสียอีกทาง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ยอมลดรายังคงชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนหางตาเหลือบเห็นปลายจมูกเขารำไรก็หลับตาลง

“ ปวดหัวขนาดนั้นก็พักผ่อนเถอะนะ พักเสียให้พอจะได้มีแรงเล่นเกมซ่อนหากันต่อ ” ชายหนุ่มกระซิบแผ่วข้างหูสูดรับกลิ่นหอมจากเรือนผมนุ่มไว้วินาทีนั้นคล้ายมีบางสิ่งดลใจให้นึกเอ็นดูประทับริมฝีปากไว้บนขมับแล้วจึงผละถอยห่างก้าวทางออกจากห้องไป

นีนนาราเปิดเปลือกตาเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่คล้อยหายไปหลังบานประตูพร้อมยกมือสัมผัสขมับที่เขาประทับรอยอุ่นด้วยความรู้สึกสับสนงงงวย

ตอนแรกเขามาอย่างพญาราชสีห์ดุดันน่าเกรงขาม เพียงสักพักก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นจิ้งจอกมากเหลี่ยมเล่ห์ และตบท้ายกลายเป็นกระต่ายน้อยน่ารักอ่อนโยน

...ผู้ชายหลากความรู้สึกเกินคาดเดาคนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าพวกตีหน้าเรียบเป็นกระดานไร้ความรู้สึกเสียอีก...





ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2555, 04:03:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2555, 04:03:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1668





<< บทที่ ๓   บทที่ ๕ >>
อริสา 6 เม.ย. 2555, 05:31:13 น.
สนุกจังค่ะ พระเอกเท่ห์ได้อีก แต่น่ากลัวกว่าพี่ภาคอีกนะเนี่ย ยังไงก็ขอเป้นกำลังใจให้ทั้งนางเอกและไรเตอร์นะคะ เราต่างก็เป็นนางเอกในชีวิตจริงของเรา ดังนั้นไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือความท้อถอยใดๆ เราก็จะผ่านไปได้


violette 7 เม.ย. 2555, 01:58:07 น.
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยย คุณใหญ่กับรสาาาาาาาาาาา น่ารักมากกกกกกกกกกก อ๊ายยยยย กรี๊ดดดดด

ฮ่าๆ ตาพระเอก็ขู่เอาๆจริงจริ๊ง กวนมากกกกกกกกก

ปล. ขอให้อุปสรรคหรือวามทุกข์หายไปไวๆนะคะ ชีวิตคนก็แบบนี้่ละเนอะ
สู้ๆๆๆค่า


anOO 8 เม.ย. 2555, 16:36:12 น.
ตามมาอีกใหม่อีกรอบตั้งแต่ตอนแรก ชอบๆๆๆ
พี่ใหญ่กับยัยสาก็น่ารักขึ้นทุกวัน


lovemuay 8 เม.ย. 2555, 23:01:03 น.
ตาพระเอกน่าหมั่นไส้จริงๆ หลอรักเค้าเมื่อไหร่แล้วจะรู้สึก อิอิ


Zephyr 9 เม.ย. 2555, 10:49:02 น.
อิยะ อเล็กซ์อ่านยากมากมาย ไม่รู้ว่าพ่อคุณคิดไรอยู่นะเนี่ย
ลมเพลมพัดจริงๆ นายโครว์จะกลับไปเป็นนายศิระแล้ว ^^


Edelweiss 9 เม.ย. 2555, 21:02:56 น.
พระเอกฉลาดนี่ชอบบบบ


วนัน 25 เม.ย. 2555, 16:39:47 น.
มารอคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account