พร่างเสน่หา
ทุกอย่างเริ่มต้นในรุ่งสาววันหนึ่งกลางฤดูหนาวที่ซานเรโม เมื่อชายหนุ่มนักธุรกิจมือพนันระดับพระกาฬพบหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาขี้ริ้วรูปร่างอ้วนท้วนล้มลงนอนสลบขวางหน้าม้าตัวโปรดที่เขาควบขี่มากลางลู่ด้วยสภาพเปียกปอนปางตาย เหรียญทองนำโชคที่ติดตัวมาจึงถูกโยนขึ้นกลางอากาศเป็นการเดิมพันตัดสินชะตาชีวิตผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นให้อยู่รอดต่อไป หลังจากวันนั้นอเล็กซิสถึงรู้ว่า ภาพลักษณ์ของหญิงสาวความจำ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕

---- แวะคุยกันก่อน ----
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน เอิ่ม หลังจากหายไปนาน(อีกแล้ว)
เออ ก็กลับมาลงแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้สติแตกไปพักหนึ่ง
แตกกระเจิง อากาศก็ร้อนมาก
เลยหลบไปจำศีลเงียบๆไม่ทำอะไรเลย เอาแต่อ่านหนังสือ
คาดว่านักอ่านเรื่องนี้คงจำไม่ได้แล้วแหง่เลย
แต่ตอนนี้ยาวจุใจอยู่นะ เขียนไปสิบหน้า - -" บ้าหรือเปล่า
เขียนแล้วแก้เขียนแล้วแก้ TT_TT

อย่างไรก็ตามแต่ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ
และหวังว่าจะติดตามกันต่อไป
อ่า...แล้วก็คำว่า mızmız เมอซุลมัส เป็นภาษาตุรกีแปลว่า
คนเจ้าอารมณ์ คนขี้แยอะไรเถือกนั้น

บทนี้พระเอกเฮี้ยนมาก แต่ชอบแบบนี้แหละน่ารักดี
อยากเห็นอิมเมจตัวละครไปดูในเด็กดีนะคะ
บ่นมากอะไรก็ไม่รู้ไปดีก่า

*************************************
บทที่ ๕

เรือนผมยักศกยาวสลวยประหนึ่งลอนคลื่นยามอาบแสงอาทิตย์อัสดงถูกแปรงอย่างทะนุถนอมจนคลายความยุ่งกระเซิงก่อนที่นางพยาบาลวัยกลางคนทั้งสองจะแบ่งข้างช่วยกันถักเปียเก็บปอยผมลุ่ยหลุดทั้งหมดเสียเรียบร้อยเฉกนักเรียนหญิงในโรงเรียนคอนแวนต์เคร่งศาสนา

“ เอาล่ะเสร็จแล้ว...เป็นยังไงจ๊ะ หนูชอบมันไหม ” พยาบาลผิวขาวชาวรัสเซียเอ่ยถามเป็นภาษาอิตาลีพลางลูบศีรษะไว้อย่างเอ็นดู เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าแถมยิ้มกว้างอวดหันขาวเหมือนเด็กออกมาทำให้นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

“ เดี๋ยวหนูอยู่กับพวกคุณเขาไปก่อนนะ พวกป้าจะไปยกยากับอาหารเช้ามาให้ ” คราวนี้พยาบาลผิวดำชาวออสเตรียเป็นฝ่ายพูดบ้างจากนั้นก็พากันออกไปทิ้งให้คนป่วยอยู่กับผู้มาเยี่ยมตามลำพัง

รสาเกาะเหล็กกั้นเตียงแลรอยช้ำจางบนดวงหน้างามละมุนของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความห่วงใยครู่หนึ่งจากนั้นจึงเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยการถามไถ่อาการบาดเจ็บและชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ

หลังจากทราบข้อมูลของคนเจ็บจากพยาบาลหล่อนก็แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่นี่ไม่เคยขาด การมาหาโดยแรกเริ่มเกิดจากความสงสาร หากนานวันเกิดผูกพันจึงมาหา ทุกครั้งที่พบหน้าหล่อนพยายามใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกระทั่งหาหนังสือนำเที่ยวในประเทศไทยมาให้อ่านเพื่อเป็นการกระตุ้นความทรงจำของคนเจ็บที่เลือนหายให้กลับคืนมา

“ นีนพอจะจำช่วงที่อยู่เมืองไทยได้บ้างหรือยัง ” หล่อนเอ่ยถามพลางลูบหลังมือซีดเย็นบนหน้าตักไปมาเบาๆ แต่คนเจ็บกลับส่ายหน้าเหลือบมองมาอย่างเศร้าสร้อยหยิบสมุดกับดินสอบนเตียงเขียนข้อความขอโทษส่งให้

“ นีนไม่ต้องขอโทษหรอก เราเข้าใจว่าการฟื้นความจำมันต้องใช้เวลา เอาเป็นว่านีนค่อยๆนึกไปอีกสักพักความทรงจำก็คงกลับมาเอง ” หญิงสาวให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้คนเจ็บถอนหายใจ

โครว์ยืนกอดอกมองการสนทนาของคนรักกับคนเจ็บด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่นัยน์ตาคมกลับจับนิ่งยังคนที่ใช้ภาษากายสื่อสารแทนการพูดไม่วางวายคล้ายก่อนที่นางพยาบาลกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมนำอาหารและยามาด้วย

“ นีนอยู่แต่ในสถานพยาบาลเป็นเดือนๆแบบนี้คงจะเบื่อ...ถ้ายังไงวันเสาร์นี้เราออกไปนั่งรถเที่ยวกันดีไหม ” หล่อนนึกครึ้มใจเอ่ยชวนทำเอาชายหนุ่มที่มาด้วยกันต้องจับแขนคนพูดทักท้วงให้หยุดแนวคิดนั่นเสีย

“ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนของเราจะชวนเขาไปไหนมาไหนข้างนอกไม่ได้หรอกนะ ”

“ แค่พาออกไปนั่งรถเล่นแค่นี้ทำไมจะไปไม่ได้ล่ะคะ ”

“ นีนเขาอยู่ในความดูแลของอเล็กซิส การที่คุณจะพาเขาไปไหนมาไหนข้างนอก คุณควรจะบอกกล่าวให้เขาอนุญาตก่อนถึงพาออกไปได้เข้าใจไหม ”

“ แหมคุณใหญ่เจ้าขา คนที่คุณใหญ่จะให้สาไปขออนุญาตพี่แกไปสิงอยู่มิลานจะร่วมสองเดือนอยู่แล้ว ติดต่อก็ไม่ได้ ป่านนี้ม่องไปหรือยังไงก็ไม่รู้ ขืนสารอขออนุญาตชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ต้องไปไหนกันพอดี ”

“ ผมรู้ว่าสาไม่ชอบเขา แต่ผมไม่อยากให้สาพูดแบบนี้เลย ถ้าเกิดมีคนบอกว่าสาตายไปแล้วทั้งที่ยังอยู่ดี สาจะรู้สึกยังไง ” เขาเอ่ยเตือนมองหญิงสาวจอมแขวะด้วยความปรารถนาดีทำให้คนพูดสำนึกผิดปิดปากสนิททันที

“ ขอโทษค่ะ ” หล่อนบอกเสียงอ่อยพร้อมดึงชายแขนเสื้อของเขากระตุกไปมาดังกับจะอ้อนให้เขาหายโกรธ

โครว์ยกมือลูบผมของรสาไปมาก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนทั้งสองจะขอตัวไปทำงาน คนเจ็บมองตามจนกระทั่งบานประตูปิดสนิทลงจึงวางช้อนในมือยุติมื้อเช้าของตัวเองทั้งที่ซุปยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งใช้มือตบเหล็กกั้นเตียงเรียกพยาบาลที่กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันให้ช่วยยกถาดอาหารออกจากตักจากนั้นก็เอนกายพิงหลังกับหมอนหยิบสมุดวาดเขียนกับดินสอไร้เส้นเล่มใหญ่ที่ผู้ทำการรักษาให้ไว้ใช้มาวาดภาพ

...ซาตานในคราบเทพบุตรอยู่มิลาน...

หญิงสาวรำพึงเผลอคิดถึงชายหนุ่มลึกลับเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาและนัยน์ตาสีเขียวอ่อนงดงามดังกวางหนุ่มไร้พิษสง หากพรานคนใดเห็นมันเยื้องกรายแล้วหลงกลติดตามมันจะสลัดร่างจำแลงแปลงเป็นราชสีห์ตะปบกัดกินพรานจนแดดิ้นสิ้นใจ

คนเจ็บติดค้างอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองจึงไม่ทันสังเกตเห็นชายหนุ่มตรงหน้าต่างที่กำลังชะโงกหน้าพินิจผลงานลายเส้นดินสอที่ปรากฏภาพอสูรสามศีรษะมีทั้งกวาง สิงโตและงูครบ

“ วาดอะไรอยู่ ” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหูทำให้คนวาดสะดุ้งเงยหน้าจากกระดาษมองไปทางหน้าต่างเห็นฟาบิโอเท้าแขนบนขอบหน้าต่างจ้องมองภาพอสูรตนนั้นนิ่งนานราวกับจะใช้มันอ่านความคิดที่ผู้สร้างสรรค์มีต่อผลงานชิ้นนี้

“ คุณท่าทางจะชอบสัตว์ประหลาดถึงได้วาดแต่ตัวพวกนี้ ” เขาพูดขึ้นอย่างเนิบช้าชายตายังดวงหน้าหวานพลางยิ้มกว้างอบอุ่น “ สงสัยถ้าผมขอให้คุณวาดรูปผม คุณต้องใส่หัวม้าแทนหน้าผมแน่เลย ”

คนเจ็บเหลือบนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลสบกับคนตรงหน้าหลุดยิ้มออกมาแล้วพลิกกระดาษเปิดภาพร่างของมนุษย์สวมเสื้อเชิ้ตลายตารางกับกางเกงยีนส์ยืนกอดอก ส่วนศีรษะที่เป็นหมีแยกยิ้มอวดเขี้ยวขาวดูใจดีมากกว่าจะน่ากลัว

...คุณไม่เหมือนม้า คุณเหมือนหมีใจดีมากกว่า...เป็นข้อความที่เขียนกำกับไว้

ชายหนุ่มเห็นลายมือภาษาอิตาลีที่บรรจงเขียนก็หัวเราะชอบใจเอื้อมมือลูบผมของอีกฝ่ายไว้อย่างอ่อนโยนก่อนจะวางดอกกุหลาบขาวดอกหนึ่งไว้บนภาพวาด

“ คุณจำเรื่องต้นกุหลาบที่ผมปลูกไว้หน้าเรือนคนงานเป็นปีแล้วมันไม่ออกดอกได้หรือเปล่า วันนี้ผมเห็นมันออกดอกก็เลยเอามาฝาก อยากให้คุณเห็นเป็นคนแรก ”

หล่อนสบสายตาอ่อนละมุนของชายหนุ่มผู้ให้ความรู้สึกอุ่นใจเสมอที่ได้พบหน้า หยิบดอกกุหลาบขาวบนสมุดมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงเอี้ยวตัวสอดมันเก็บไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์อิตาลีที่วางรวมอยู่กับกองหนังสือเก่าบนโต๊ะข้างเตียง

“ ผมมาที่นี่ทีไหร่ถ้าไม่เห็นคุณวาดรูปก็อ่านหนังสือ ไม่เบื่อบ้างเหรอ ” เขาถามอีกแต่คนเจ็บเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงก้มหน้าวาดรูปดังเก่าพร้อมฟังเขาเล่าเรื่องภายในฟาร์มให้ฟัง นานๆครั้งจะพยักหน้าให้รู้ว่ายังตั้งใจฟังอยู่

โนอาร์ผลักประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นเห็นฟาบิโอเกาะขอบหน้าต่างพูดคุยอย่างออกรสกับหญิงสาวที่กำลังวาดภาพบนเตียงก็ชะงักเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วถอนใจเดินตรงเข้าไปหาทั้งคู่

ชายหนุ่มตรงหน้าต่างเห็นเพื่อนร่วมเจ้านายเข้ามาใกล้จึงโบกมือทักทายอย่างอารมณ์ดีแต่พอเห็นอีกฝ่ายวางหนังสือสองสามเล่มไว้บนตักคนเจ็บรอยแย้มถึงกับยุบลง

“ นายเป็นคนหาหนังสือพวกนี้ให้นีนอ่านหรอกเหรอ ” คำถามเต็มไปด้วยความประหลาดใจนั้นทำให้เจ้าของหนังสือหันมาหาพร้อมเลิกคิ้วคล้ายจะถามและรวนกันในที

“ ไม่ได้หาแค่หยิบมาจากในห้องพัก ”

“ แล้วนายอ่านหนังสือพวกนี้ด้วยเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นนายอ่านเลยว่ะ ”

“ พอดีว่าฉันไม่ชอบเอาเวลาทำงานมาทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงาน นายก็เลยไม่เคยเห็นฉันจับหนังสือพวกนี้ ”

แพทย์หนุ่มตอบกลับด้วยถ้อยคำแฝงความหมายใช้ปลายนิ้วเคาะนาฬิกาข้อมือส่งสัญญาณให้คู่สนทนาได้ตระหนักถึงชั่วโมงทำงาน อีกฝ่ายรีบพลิกนาฬิกาข้อมือของตนขึ้นดูเวลาเพียงเห็นตัวเลขบนหน้าปัดก็หลุดอุทานหันไปกล่าวลากับหญิงสาวบนเตียงและเพื่อนร่วมงานได้ก็รีบร้อนวิ่งกลับไปคอกม้าทันที

นายแพทย์ประจำสถานพยาบาลส่ายหน้าคล้ายจะระอากับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ลับสายตาไปแล้วกลับมาให้ความสนใจกับการตรวจอาการเบื้องต้นและนำค่าความดันที่วัดได้มาสรุปผลให้คนไข้ฟัง

“ ความดันกับผลเลือดของคุณออกมาเป็นปกติดี เรื่องกระดูกที่เป็นปัญหา หมอดูผลเอ็กซเรย์ของคุณเมื่อวานแล้ว กระดูกของคุณติดกันดีขึ้นแต่ยังไม่สนิทคงต้องรออีกสักเดือนสองเดือนหมอถึงจะให้คุณถอดเฝือก ระหว่างนี้ก็ทำกายภาพตามที่พยาบาลสอนไปก่อน ถ้าเหนื่อยก็พักไม่ต้องหักโหม ส่วนเรื่องความจำเสื่อมของคุณหมอดูในระบบประสาทกับสมองแล้วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร แต่ยังไงหมอจะให้ผู้เชี่ยวชาญมาดูคุณอีกทีแล้วกัน ”

ชายหนุ่มปิดแฟ้มประวัติเงยหน้ายังคนไข้ที่นั่งฟังทุกคำอย่างตั้งใจ นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายสดใสคล้ายมีพลังเชื้อชวนให้มิอาจทอดถอน

“ หมอเอาหนังสือเกี่ยวกับการเดินเรือในอิตาลีกับฝรั่งเศสมาให้ยืม หนังสือมันค่อนข้างเก่าดูแลมันดีๆหน่อยนะ ” เขาหลุบตาต่ำยังราวกั้นเหล็กหยิบหนังสือบนเตียงเดินอ้อมไปวางรวมกับกองหนังสือเดิมเหลือบเห็นดอกกุหลาบสอดอยู่ก็นึกห่วงผู้เป็นเจ้าของที่ให้ความสนิทสนมกับคนเจ็บมากเกินควร

ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถในการใช้ภาษา มีทักษะการเล่นหมากรุกเป็นเยี่ยม อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านศิลปะในการวาดภาพลายเส้นดินสอที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในหลักทฤษฎีและปฏิบัติได้อย่างละเอียดลออ...เธอค่อยๆเผยศักยภาพที่มีพร้อมกับการผูกมิตรผู้คนรอบข้าง

...ภายใต้รูปลักษณ์ซื่อใสไร้เดียงสามีความมุ่งมาดแข็งกร้าวรุนแรงและมันสำแดงฤทธาทุกคราที่หล่อนจมจ่อมในโลกแห่งอักษรเพียงลำพัง...

เธอทำให้เขาระแวงเกรงตัวเองจะตกเป็นเครื่องมือในการกระทำผิดแต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งเวลายืนอยู่หน้าชั้นหนังสือเขากลับเลือกหนังสือประเภทที่เธอชอบมาให้ตลอด

“ หมอขอตัวก่อนนะ ” เขาเอ่ยเสียงเย็นแล้วหันหลังเตรียมออกจากห้องแต่ถูกคนเจ็บแตะแขนรั้งไว้ให้อยู่ต่อ

โนอาร์เหลียวมาหาพลางคิ้วเลิกสูงในเชิงถาม ทว่าอีกฝ่ายเพียงยิ้มหยิบสมุดวาดภาพมาเขียนข้อความแล้วฉีกกระดาษหน้านั้นส่งให้ เมื่อเขารับมันไว้จึงเห็นภาพเหมือนตัวเองนั่งเท้าคางเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ตรงขอบกระดาษด้านล่างมีข้อความภาษาอังกฤษเขียนไว้เพียงว่า

...ช่วงนี้หมอดูเครียดมาก ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ ฉันเป็นห่วง...

ถ้อยความเรียงร้อยจากใจทำให้ดวงตาของแพทย์หนุ่มกระตุกมีเสียงหัวเราะหลุดตามมา

“ คุณเป็นคนฉลาด แต่คนฉลาดมักไม่ซื่อ” เขาฝากถ้อยคำสุดท้ายพับกระดาษทั้งแผ่นเก็บใส่กระเป๋าเสื้อกราวน์แล้วก้าวเท้าออกจากห้อง

นีนนาราแลแผ่นหลังละม้ายหญิงสาวของเขากระทั่งลับหายจึงค่อยปิดเปลือกตาวางแก้มลงแทบหมอน ยินเสียงทุ้มเย็นของนายแพทย์หนุ่มที่ดังสะท้อนย้อนไปย้อนมาราวกับแผ่นเสียงตกร่อง

หล่อนทราบมาระยะหนึ่งแล้วว่าผู้รักษาเคลือบแคลงตัวเอง แต่แกล้งทำไม่รู้ยอมอิดหนาระอาใจอยู่กับความผิดที่หลอกลวงผู้มีพระคุณหลายประการ หากเรื่องหนึ่งที่หล่อนไม่หลอกใครเป็นอันขาดคือมิตรภาพที่พยายามตอบแทนให้

“ นีนไม่ได้แกล้งซื่อซื้อใจหมอ แต่นีนอยากเป็นเพื่อนกับทุกคนที่นี่จริงๆ ” หญิงสาวรำพึงในใจด้วยความช้ำหมองหยิบยาหลายเม็ดในถ้วยแก้วใส่ปากตามด้วยน้ำทั้งที่ยังอยู่ในความมืดบอด ก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับไปพร้อมกับฤทธิ์ยา
*****************************

รถสปอร์ตรูปทรงดุดันโฉบเฉี่ยวสีแดงเพลิงห้อทะยานดุจฝีเท้ายอดอาชาพุ่งผ่านประตูรั้วอิฐผสมหินแบบโบราณสู่อาณาเขตส่วนบุคคลอันกว้างขวาง ขุมพลังเครื่องยนต์มหาศาลนั้นก่อกระแสลมเร็วพัดกรรโชกรุนแรงจนต้นไม้สองข้างทางไหวเอนปลิดดอกและใบให้โปรยปรายสู่พื้นล่างดูราวกับเทพเจ้าประทานพรแก่ผู้เป็นเจ้าของรถ

เสียงแหลมของล้อรถบดเบียดถนนดังสนั่นหน้าคฤหาสน์หลังงามเหมือนกริ่งสัญญาณเรียกให้นาร์บาสหยุดตรวจงานทำความสะอาดรีบออกมาดูสถานการณ์ด้านนอก โดยเสียงนั้นยังส่งผลให้ฟาบิโอทิ้งงานในฟาร์มเลี้ยงม้าวิ่งกระหือกระหอบมาสมทบตรงลานน้ำพุ

วินาทีที่เครื่องยนต์เฟอร์รารีมฤตยูดับลงแขนของรูปปั้นเทพเจ้าหินอ่อนกลางน้ำพุหักตกน้ำสร้างความตกตะลึงแก่คนที่ยืนรอท่า หากนั้นยังเทียบไม่ได้กับการปรากฏตัวของสารถีเท้านรกผู้นั้น

บุรุษหนุ่มท่าทางผึ่งผายสวมทักซิโด้สีดำ ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นกันแดดสีชาปรายมาทางสองชายหนุ่มที่อ้าปากค้างด้วยรอยเหยียดตรงมุมปากแล้วใช้สองมือขย้ำเรือนผมเรียบแปล้ให้คืนทรงตามธรรมชาติ

“ คุณอเล็กซ์ ” ฟาบิโออุทานมือไม้สั่นกระโจนสวมกอดเจ้านายของตนเองโดยพลันปากก็พร่ำความรู้สึก “ สองอาทิตย์มานี้คุณหายไปไหนมา ทำไมไม่ติดต่อกลับมาบ้าง รู้ไหมครับว่าผมเป็นห่วงคุณมาก ยิ่งตอนที่ได้ยินคุณโครว์เล่าข่าวจากวงในเรื่องที่มีมาเฟียคู่อริยิงถล่มกันตายในโรงแรมคุณที่มิลานแล้วผมกลัวคุณถูกลูกหลงพวกนั้นเข้าจนแทบบ้า โทรถามพนักงานโรงแรมก็ไม่พูดอะไรกันสักอย่าง นี่ผมก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้ถ้าคุณไม่ติดต่อมาอีกผมจะไปหาคุณที่มิลานเอง ”

“ ก็ยังไม่ตายนี่ ”

“ โชคดีแล้วครับที่ไม่เป็นอะไร แล้วตกลงบอสหายไปไหนมาเหรอครับ แล้วทำไมถึงใส่ชุดนี้กลับมา ” นาร์บาสเป็นฝ่ายถามหลังจากสังเกตเห็นเจ้านายสวมชุดเป็นทางการ

“ ไปคุยกับคนรู้จัก ” เจ้านายหนุ่มตอบสั้นอย่างเย็นชาขณะถอดเสื้อตัวนอกและทึ้งหูกระต่ายโยนให้คนถามรับภาระเก็บไปให้พ้นหูพ้นตาก่อนจะเหลียวไปหาสั่งกับคนที่เพิ่งลงจากรถตามมาสมทบไว้ว่า “ อีกยี่สิบนาทีเจอกันที่ห้องทำงาน ”

ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ผู้มีเรือนผมสีสั้นสีทองรับกับดวงตาเรียวยาวสีอำพันวางประดับบนใบหน้าสี่เหลี่ยมรกหนวดเคราเข้มคมสวมเสื้อเชิ้ตเดนิมกับกางเกงยีนส์พยักหน้ารับคำปล่อยเจ้านายให้เดินขึ้นบันไดไปตามลำพังแต่เมื่อเห็นเจ้านายถอยหลังกลับลงมาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“ ฉันมีของมาฝากนายด้วยนะ ฟาบิโอ ” อเล็กซิสร้องเรียกเพียงเห็นหัวหน้าฟาร์มเลี้ยงม้าเดินเข้ามาหาด้วยทีท่าประหลาดใจก็หยิบบางสิ่งจากในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตยัดใส่มือให้

“ เอาปลอกกระสุนจากไหนมาให้ผมครับ ” เขาร้องถามทันทีที่เห็นปลอกกระสุนอยู่ในมือ

“ ถ้านายอยากเห็นเสือวิ่งเป็นหนูติดจั่นมาถึงซานเรโม่ก็เก็บปลอกกระสุนนี้ไว้ให้ดีล่ะ ” เจ้าของปลอกกระสุนพูดเป็นนัยพลางยิ้มเหยียดอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินกลับขึ้นบันไดไป

“ สงสัยคนใหญ่คนโตจะมา...ฉันคิดว่านายบอกนาร์บาสให้เตรียมซื้อน้ำยาล้างคราบเขม่าดินปืนกับคราบเลือดรอไว้ดีกว่า เผื่อต้องใช้ขึ้นมาจะได้ไม่ลำบากไปตระเวนหา ”

ฟาบิโอเหลือบสายตายังคนพูดที่ยืนล้วงกระเป๋าแหงนหน้ามองภาพวาดสีน้ำมันตรงชานพักบันไดอยู่ข้างๆ

“ ถ้าเกิดยิงกันจริงคงต้องปิดคฤหาสน์ซ่อมมากกว่าแค่ทำความสะอาดนะ ” เขาหยุดพูดแล้วถอนหายใจ “ ว่าแต่นายเถอะราฟาเอล เป็นยังไงมายังไงถึงนั่งรถมากับคุณอเล็กซ์ได้ ”

“ บอสมาตรวจสรุปการทำงานกับบัญชีที่ท่าเรือเมื่อเช้า พอดีฉันมีเรื่องงานจะปรึกษาบอสเลยให้ฉันมาคุยที่นี่ ตอนแรกฉันจะขับรถตัวเองมาแต่บอสบอกให้ติดรถมาด้วยกันจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน พอขึ้นไปนั่งเท่านั้นแหละ บอสแกเล่นซิ่งซะเหมือนขับอยู่ในสนามแข่งฟอร์มูล่า ขนาดมีตำรวจขับไล่ยังจะวนรถยั่วให้ตามจับอยู่ได้ กว่าฉันจะมาถึงนี่หัวใจเกือบจะวายตาย นึกว่าตัวเองเพิ่งขับเรือฝ่าพายุลูกใหญ่กลางทะเลมายังไงยังงั้น ” ราฟาเอล โบรินี่ เจ้าของตำแหน่งหัวหน้าควบคุมดูแลกิจการเรือนำเที่ยวทางทะเลเล่าประสบการณ์สุดระทึกให้ฟัง

“ ทีนี้นายคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไม คนงานที่นี่เวลามีธุระถึงไม่ยอมติดรถคุณอเล็กซ์ไป ”

“ เข้าใจ...เข้าใจชัดเลย ”

“ แล้วนี่คุยงานเสร็จแล้วจะกลับไปที่ท่าเรือเลยหรือเปล่า ”

“ คุณอเล็กซ์บอกให้ฉันพักที่นี่สักอาทิตย์ค่อยกลับน่ะ แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งนาน...คืนนี้เราน่าจะแวะไปหาอะไรดื่มกันหน่อย ชวนนาร์บาสกับโนอาร์ไปด้วยจะได้คุยกัน ”

“ คืนนี้เหรอ ” ชายหนุ่มผมสีเข้มกว่าย้อนถาม “ ฉันว่าเราน่าจะซื้ออะไรมาดื่มกันที่นี่ดีกว่านะ ”

คำปฏิเสธนั้นทำให้คนชวนหรี่ตามองคนตรงหน้าก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมยกมือกอดอกอย่างพินิจพิจารณาแล้วหัวเราะ

“ ก็ไม่ได้คิดจะดื่มอย่างเดียวหรอกน่า พูดขนาดนี้แล้วนายเองก็เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายความว่ายังไง ”

“ แต่ว่า... ”

“ เหอะน่า พวกเราก็ไม่ได้จะได้ออกไปดื่มกันข้างนอกทุกวันสักหน่อย ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุดนายจะเมาตื่นไม่ไหวขนาดไหนก็ไม่มีใครเขาว่าหรอกน่า ” เขาคะยั้นคะยอหนักเสียจนฝ่ายคนที่ยังลังเลใจยอมตกลงไปในที่สุด

“ โอเค...งั้นฉันไปคุยงานก่อนนะ ไว้ทุ่มหนึ่งเจอกัน อ้อ อย่าลืมชวนสองคนนั้นด้วยล่ะ ”

ราฟาเอลขอตัวไปจัดการธุระของตัวเองด้วยรอยยิ้มร่าเดินผิวปากขึ้นบันไดเข้าไปในห้องทำงานกว้างขวางงดงามด้วยสถาปัตยกรรมตระการตาเฉกเช่นเคหสถานของขุนนางชั้นสูงผู้เป็นเจ้าของมาแต่ดั้งเดิม

อเล็กซิสคัดแฟ้มเอกสารที่ฟาบิโอแยกประเภทตามกิจการและตามกำหนดวันเวลาเป็นลำดับเลือกหยิบงานที่ตัดสินใจง่ายออกมากองไว้ด้านหนึ่งของโต๊ะรับฟังลูกน้องรายงานถึงความคืบหน้าการสร้างเรือยอร์ชลำใหม่และเรื่องมีทีมงานรายการโทรทัศน์ติดต่อขอเช่าเหมาเรือเป็นเวลาสามเดือนเพื่อใช้ในการถ่ายทำ

“ ทางนั้นจะขอช่วยประชาสัมพันธ์เรือนำเที่ยวของเรา แต่ขอคงค่าเช่าเรือตามที่เคยเสนอให้ครั้งแรก...ผมเห็นว่ายังไม่คุ้มเลยเสนอให้เขาเพิ่มจำนวนเงินอีกนิดหน่อย ทางนั้นเลยขอเวลาตัดสินใจก่อน ”

“ แล้วมีอะไรอีก ”

“ พวกเรื่องงานผมรายงานให้บอสทราบไปหมดแล้ว จะมีก็แต่เรื่องพวกโบลุชชี ”

“ โบลุชชี ” เจ้าของคฤหาสน์ทวนชื่อนั้นซ้ำทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับการวิเคราะห์ตีความเนื้อหาในเอกสารสัญญาทั้งหลายในมือ

“ ก็พวกมาเฟียเกาะซิซิลีที่ถือครองสิทธิ์การเดินเรือขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวของอิตาลีไว้เกือบทั้งหมดยังไงล่ะครับ พวกนี้มีหัวหน้าใหญ่ชื่อเปาโล โบลุชชี คนที่เคยเป็นประธานสหพันธ์การคมนาคมและขนส่งทางน้ำในอิตาลีตั้งสิบสมัยพอลงจากตำแหน่งก็ให้ลูกชายคนโต มาร์โก โบลุชชี สืบทอดแทนยังไงล่ะครับ จำได้ไหม ”

“ อ้อ พวกนั้นเอง ”

“ ช่วงนี้ผมสังเกตเห็นพวกนั้นเคลื่อนไหวอยู่แถวเมืองชายฝั่งทะเลแถบนี้ จำได้ว่าเมื่อเดือนสองเดือนก่อนเห็นคนของพวกมันออกเรือตอนกลางคืนจนเช้ามืดทุกวันไม่รู้ออกมาลาดตระเวนกันทำไม แล้วนี่ผมยังเห็นพวกเดมิสทรีไปป้วนเปี้ยนในทุกเมืองที่อยู่ริมฝั่งทะเลด้านนี้กันเต็มไปหมด ได้ยินว่าพวกมันกำลังตามหาคน ”

อเล็กซิสลงนามมือชื่อบนเอกสารสัญญาหลายฉบับแทบจะในเวลาเดียวกันก่อนจะเก็บมันกลับใส่แฟ้มแล้วกอดอกเงยหน้ายังชายอีกคนในห้อง

“ นายมาบอกฉันทำไม ” เขาย้อนถามด้วยใบหน้าเฉยชาเต็มที

“ ผมเห็นมาร์โก โบลุชชีชอบหาเรื่องบอส เลยนึกว่าอยากรู้ข่าวสารของพวกนี้ซะอีก ”

“ คนจำพวกอาศัยบารมีพ่อขึ้นมาใหญ่ เอาเข้าจริงถ้าไม่เล่นพรรคเล่นพวกก็ทำอะไรไม่ได้แบบนั้นไม่มีค่าให้ฉันสนใจ แล้วฉันก็ไม่ใช่คนที่จะตามจับพวกโบลุชชี เพราะฉะนั้นเรื่องนี้นายเอาไปบอกกับผู้บังคับบัญชานายคนเดียวก็พอแล้ว ”

ราฟาเอลฟังท้ายประโยคนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมสบสายตาอันว่างเปล่าของอเล็กซิสแล้วรำลึกถึงอดีตในวันที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ลงพื้นที่คอยจับตาความเคลื่อนไหวทุกอย่างของพวกโบลุชชี โดยครั้งนั้นเขาตั้งใจปลอมตัวเป็นคนงานในท่าเรือให้ใครสักคนในละแวกนี้

เขาจำครั้งแรกที่พบกันได้ดี เขาเข้าไปสัมภาษณ์งานกับผู้ชายหน้าตายคนนี้ เพียงเห็นหน้าเขาก็เดาแล้วว่าคงได้งานทันที แต่อีกฝ่ายกลับทำเขาอึ้งด้วยการถามถึงอาชีพจริงของเขาเสียนี้ หากนั้นยังทำเขาอึ้งได้ไม่เท่ากับภายหลังจากผ่านการทดสอบทั้งหมดที่มี

‘ ฉันไม่สนใจพวกตำรวจ มาเฟีย นักการเมืองหรือใครก็ตามที่มีอำนาจในอิตาลีหรอก ขอแค่นายทำงานและประพฤติตัวสมเป็นคนงานที่ดีของฉันได้...นายอยากจะทำอะไรกับพวกไหนระหว่างนี้ก็ทำไปตามสบาย ’

ถ้อยคำและท่าทางไม่แยแสต่อผู้มีอิทธิพลในอิตาลีแม้แต่น้อยหากมาจากปากคนอื่นคงจะเป็นเรื่องประหลาดสำหรับประเทศที่มีมาเฟียแทรกซึมกุมอำนาจแทบจะทุกอย่าง แต่เมื่อใดที่มันมาจากชายหนุ่มซึ่งยามเลือดขึ้นหน้าเคยวางแผนตลบหลังมาเฟียจนสิ้นชื่อยกแก๊งค์มาก่อนถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

“ แต่ก็เถอะถ้าพวกนั้นถึงขั้นจ้างอดีตสายลับรัสเซียมาแบบนี้ คงได้มีเรื่องสนุกกันล่ะ ” อเล็กซิสรำพึงพลางหัวเราะหยันเย็นตามประสาหยิบปากกาหมึกซึมขึ้นปิดฝาแต่เมื่อเห็นด้ามปากกาสีน้ำตาลอมแดงมีลายริ้วเหมือนเกลียวคลื่นเข้าก็เหมือนถูกใครเอาไฟฟ้ามากระตุ้นสมองส่วนความทรงจำให้ระลึกถึงใครคนหนึ่ง

...ใบหน้าของสาวน้อยมากความลับคนนั้นลอยเด่นชัดทั้งที่ไม่พบกันนานร่วมเดือนกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดเหลือเกินสำหรับเขา...

แม้ตัวเขาจะไม่ใช่พวกมากตัณหาที่คว้าทุกคนมาเสพสวาท หากก็ผ่านผู้หญิงมาก็มาก คบหารู้จักคนสวยระดับนางงามมาก็เยอะยังจำหน้าได้เลือนๆ แล้วแม่สาวน้อยแปลกหน้าคนนั้นมีอะไรสำคัญ เจอหน้ากันก็แค่สามสี่ครั้งกลับจำหน้าได้ขึ้นใจ

“ คืนนี้ผมจะไปดื่มกับพวกฟาบิโอข้างนอก...บอสจะไปกับพวกผมด้วยไหมครับ ” คำถามของราฟาเอลขัดจังหวะความคิดเจ้าของห้องไปหมดสิ้น

“ ไม่ล่ะ ฉันอยากขี่ม้ามากกว่า แล้วนี่มีอะไรจะคุยอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ไปพักผ่อนเถอะฉันเตรียมห้องไว้ให้แล้ว ”

“ ผมว่าจะขอบอสไปนอนสักงีบเตรียมความฟิตคืนนี้อยู่พอดี...งั้นผมไปก่อนนะครับ ” ลูกน้องหนุ่มกล่าวลาจากไปตามความต้องการของเจ้านายอย่างว่าง่าย

อเล็กซิสปิดฝาปากกาหมึกซึมด้ามสวยเสียบกลับลงไปในกล่องพลาสติกเดินจากโต๊ะทำงานมาหยุดยืนตรงบานหน้าต่างใช้ปลายนิ้วแหวกม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินผินมองไปทางสนามหญ้าคิดถึงม้าตัวโปรดที่ไม่ได้ทดสอบฝีเท้ามานานก่อนจะเบือนหน้าไปทางสถานพยาบาลพลางคิดถึงแม่สาวน้อยร้อยมารยาคนนั้น

...ไปกวนอารมณ์แม่คุณเธอสักหน่อยค่อยไปคอกม้า...ชายหนุ่มพึมพำด้วยรอยยิ้มกว้างชักมือจากม่านปล่อยมันทิ้งชายปิดหน้าต่างรวบเอกสารที่จัดการเรียบร้อยอยู่ในซองสีน้ำตาลใส่ลงกล่องเหล็กจากนั้นจึงเปิดประตูห้องทำงานมุ่งมาดไปสถานพยาบาลตามที่ตั้งใจไว้
*****************************
สถานพยาบาลประจำฟาร์มเลี้ยงม้าในยามปกตินั้นแทบจะไม่มีคนงานแวะเวียนเข้าไปรักษาด้วยสุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้าอย่างดีก็เพียงแวะมาเพื่อทำแผลกันเสียมากจึงไม่แปลกหากบรรยากาศรอบข้างจะเหงาเงียบ ครั้นเมื่อมีหญิงสาวแปลกหน้ามานอนรักษาตัวร่วมสองเดือนก็ดูเหมือนจะมีคนมาคึกคักขึ้น

ทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสพอตกเย็นเมื่อไหร่เป็นต้องเห็นคนงานในฟาร์มเลี้ยงม้าแวะมาเยี่ยม โดยมากจะมาล้อมวงเล่นหมากรุกหรือเกมกระดานอื่นด้วยกัน ส่วนเย็นวันศุกร์และเสาร์อาทิตย์เป็นช่วงวันหยุดคนงานจะไปสังสรรค์ตามประสาผู้ชาย กลับบ้านไปพบครอบครัวบ้างก็มี สามวันนี้จึงเวลาให้คนเจ็บพักผ่อนและทำกายภาพบำบัดเต็มที่

อเล็กซิสกอดอกยืนอยู่หน้าประตูห้องพักฟื้นทอดสายตาผ่านกระจกใสเข้าไปในห้องจ้องฟาบิโอที่ยืนเกาะหน้าต่างพยายามอธิบายอะไรสักอย่างกับหญิงสาวบนเตียงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ คุณอเล็กซ์กลับมาแล้วหรือคะ ” เสียงแหบแห้งของผู้มากวัยทำให้เขาละสายตาจากภาพการสนทนาของลูกน้องก้มมาหาจึงพบพยาบาลผิวดำยืนอยู่

“ ครับ...ว่าแต่โนอาร์ล่ะครับหายไปไหน ”

“ คุณหมอขับรถไปโรงพยาบาลค่ะ เห็นว่าจะไปขอความคิดเห็นเกี่ยวกับอาการความจำเสื่อมกับอาจารย์หมอระบบประสาทและสมองที่รู้จักกันนะคะ ”

“ อย่างนั้นหรือครับ ” ชายหนุ่มว่าหันกลับมามองคนเจ็บที่ปีนจากเตียงลงมายืนบนพื้นอย่างทุลักทุเลแล้วถามอีก “ ช่วงที่ผมไม่อยู่เธออาการดีขึ้นไหมครับ ”

“ เธออาการดีขึ้นมากค่ะ รอยช้ำรอยถลอกอะไรก็หายหมดแล้ว ส่วนแขนที่กระดูกหักตอนนี้กระดูกเริ่มติดกันแล้ว ที่ดูจะแย่หน่อยคงจะเป็นเรื่องความจำกับสภาพจิตใจของเธอนะคะ เพราะตอนนี้เธอยังจำอะไรไม่ได้เลย อีกอย่างเวลาเธอหลับบางครั้งฉันจะได้ยินเสียงเธอละเมอพูดอะไรไม่เป็นภาษา บางครั้งก็เห็นเธอนอนละเมอร้องไห้ ”

“ ขนาดนั้นเชียวหรือครับ ”

“ ก็เฉพาะตอนหลับนะคะ แต่ปกติเธอก็ร่าเริงแจ่มใสยิ้มเก่ง เป็นเด็กดีมากบอกให้ทำอะไรก็ทำตามไม่มีขัด ถ้ามีใครพูดอะไรด้วยเธอจะตั้งใจฟังตาแป้วน่าเอ็นดูเชียวล่ะคะ เสียดายที่เธอยังช็อกไม่หายเลยไม่ยอมพูดเสียทีเวลาเธออยากได้อะไรกว่าจะรู้เรื่องทีก็เหนื่อยกันที คุณหมอก็เลยเอาสมุดกับดินสอไปให้เวลาต้องการอะไรให้เขียนแทน แต่เธอก็ไม่ค่อยใช้เขียนอะไรส่วนใหญ่จะเอามาวาดรูปมากกว่า ”

“ วาดรูป...มือเดียวนะหรือครับ ” เขาร้องถามคิ้วเลิกสูง

“ ค่ะ ช่วงไหนว่างเธอเป็นต้องวาดรูปอยู่เรื่อยแหละคะ ถ้าไม่วาดรูปเธอก็จะอ่านหนังสือเธอ...เธอชอบอ่านหนังสือมากนะคะโดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์กับศิลปะศาสตร์ อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องโบราณเทือกนั้นแหละคะ คุณหมอเห็นเธอชอบก็เลยขนมาให้อ่านเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่คุณหมอนะคะ คุณฟาบิโอเองก็เอามาให้แต่นิตยสารผู้หญิงเธอไม่ค่อยจะสนใจ พักหลังเวลาคุณฟาบิโอมาเยี่ยมก็เลยให้ขนมกับเกมเกี่ยวกับคณิตศาสตร์มาให้นะคะ นอกจากประวัติศาสตร์ก็มีพวกเลขนี่ล่ะคะที่เธอสนใจแบบจริงจัง ”

“ ดูเหมือนว่าช่วงที่ผมไม่อยู่ดูทุกคนจะเอ็นดูคนเจ็บมากเลยนะครับ ”

“ ทุกคนที่นี่ชอบเธอทั้งนั้นแหละคะ ขนาดคุณโครว์กับแฟนยังมาเยี่ยมเธอทุกวันเลยนะค่ะ ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบต่อเรื่องราวทั้งหมดที่พยาบาลเล่าด้วยความเรียบเฉยเงยหน้ามองนาฬิกาอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปบอกพยาบาลให้กลับบ้านและอาสาตัวเองเป็นคนดูแลให้จนกว่าแพทย์ประจำจะกลับมา ฝ่ายพยาบาลเห็นว่าอาการคนเจ็บไม่มีอะไรน่ากังวลจึงปล่อยให้เจ้าของทำหน้าที่บุรุษพยาบาลจำเป็นแทน

บานประตูห้องพักฟื้นถูกผลักเข้ามาตอนที่นีนนาราใช้มือข้างเดียวเกาะขอบผนังเดินห่างจากเตียงตัวเองมายังเตียงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง หล่อนเงยหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงบานพับลั่นเสี้ยววินาทีนั้นดวงตาสีน้ำตาลได้ประสานเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวอ่อนจนเกือบเทาของชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น

“ คุณ ” หล่อนอุทานเสียงดังยกนิ้วชี้หน้าเขามือไม้สั่นแต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไรแค่ไล่ดึงกระจกใสปิดหน้าต่างในห้องทุกบานและปิดพัดลมเพดานเปลี่ยนมาเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนจะเดินมาที่โต๊ะข้างเตียงคนเจ็บซึ่งมีหนังสือเล่มหนาวางอยู่สองกองโดยเล่มบนสุดมีดอกกุหลาบขาวสอดอยู่

มือเรียวใหญ่ดึงดอกกุหลาบวางบนโต๊ะก่อนจะหยิบหนังสือเก่ามาเปิดดูเนื้อหา...สิ่งน่าสนใจในหนังสือเก่าเหล่านั้นไม่ใช่เนื้อหาแต่เป็นศัพท์แสงโบราณของนักประพันธ์และเจ้ากระดาษแผ่นเล็กๆที่เต็มไปด้วยตัวเลขมากมายซึ่งเสียบคั่นอยู่ในบางหน้าของหนังสือในกองนั้นทุกเล่มมากกว่า

“ เธอนี่อันตรายจริงๆนะ ฉันแค่หายไปไม่กี่เดือนก็เอาความซื่อซื้อใจคนทั้งฟาร์มให้เอ็นดูตัวเองถึงขนาดนี้เลยเหรอ ” เสียงแหบต่ำเจือแววหยันของเขาทำลายความเงียบงันในห้อง “ ได้ยินว่าเธอชอบอ่านหนังสือ เก่งนะที่อ่านหนังสือยากๆพวกนี้ได้ แต่ที่เก่งกว่านั้นคงเป็นการที่เจ้าของหนังสือยอมให้เธออ่านหนังสือของเขาได้นี่แหละ ”

หญิงสาวจ้องคนตัวใหญ่กว่าเขม็งแม้จะเห็นเขาหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยรหัสภาษาของตัวเองขึ้นมาดูก็ไม่ขึ้นขยับเขยื้อนด้วยแน่ใจว่า ภาษารหัสที่ตัวเองคิดขึ้นไม่มีวันที่ใครในโลกจะอ่านออก แต่พอเขาคว้าสมุดวาดภาพบนเตียงขึ้นมาเท่านั้นแหละหล่อนถึงกับลืมความเจ็บปรี่เข้าไปแย่งสมบัติของตัวเอง

อเล็กซิสแลดวงหน้าแดงเรื่อด้วยแรงอารมณ์ของคนตัวเล็กไว้อย่างไม่สะทกสะท้านอาศัยความสูงชูสมุดขึ้นเหนือศีรษะจงใจยั่วให้คนตัวเล็กให้โมโหรุนแรงกว่าเก่า

“ เก็บความลับไว้ในสมุดเหรอ ” เขาถามพลางยักคิ้วใส่ ทว่าเจ้าของสมุดไม่ยี่หระต่อคำถามใดเพียงแต่มองเขาตาขวางและปิดปากเงียบสนิท...การเมินเฉยเป็นการยั่วให้คนเป็นต่อกว่าพลิกหน้าสมุดเปิดดูภาพเหมือนของคนในฟาร์มและภาพอสูรกายหน้าตาแปลกประหลาดจนถึงภาพวาดแผนที่เส้นทางเดินเรือในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนพยายามเพ่งภาษาและตัวเลขที่เขียนกำกับอยู่ จังหวะนั้นเองที่คนตัวเล็กหมดความอดทนกระแทกไหล่ใส่อกแข็งตรงหน้าอย่างแรง

ชายหนุ่มอุทานกระแทกสมุดปิดตามปรายตายังหญิงสาวผู้ไม่เจียมสังขารกล้ากระทั่งทำร้ายผู้ให้ที่พักพิง

“ อวดดีให้ได้ตลอดนะแม่คนเก่ง ” เขาบริภาษใส่เสียงเย็นเยือกกางสมุดออกบรรจงฉีกมันทีละน้อยอย่างเชื่องช้า เสียงกระดาษขาดบาดหัวใจเจ้าของให้อดรนทนไม่ไหวถึงขั้นกอดแขนข้างหนึ่งของเขาแน่น

เจ้าของฟาร์มเลี้ยงม้าหยุดมือแทบจะในทันทีที่ท่อนแขนสัมผัสกับร่างอ่อนนุ่ม...ดวงตาคมไร้ความรู้สึกแลดวงหน้าเว้าวอนของคนเจ็บนิ่ง

“ อยากได้คืนหรือเปล่า ” คำถามเบาราวกระซิบจากปากเขาทำให้หล่อนรีบพยักหน้ารับ

“ ฉันไม่ชอบคนไร้มารยาท เมื่อไหร่ที่มีคนถามอะไรเธอต้องตอบ เวลาเธออยากได้ของคืนก็ต้องขอร้องไม่ใช่เอาไหล่มากระแทกหรือพยักหน้าจะเอาให้ได้แบบนี้ ”

“ ฉันขอสมุดคืน ” คนพูดกัดปากเอ่ยอย่างเสียมิได้

“ พูดให้ดีกว่านี้ ถ้าทำไม่ได้ฉันจะยัดสมุดเธอใส่เครื่องทำลายกระดาษ ” เขาตอกกลับอย่างไม่ปราณีปราศรัยทำให้คนจนตรอกถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ ได้โปรดคืนสมุดเล่มนั้นให้ดิฉันเถอะนะคะ ” หล่อนอ้อนเสียงหวานพยายามสุภาพอย่างที่สุดพอเห็นเขาลดมือยื่นสมุดมาให้ก็รีบคว้าแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยมือเพื่อยื้อให้เจ้าของฟังเขาต่อ

“ เธออยากจะอวดดีหรือไม่พูดกับใครมันเรื่องของเธอ แต่กับฉันเธอไม่มีสิทธิ์อวดดีหรือรูดซิปปากเวลาฉันถาม ”

“ ค่ะ...ดิฉันจะพูดจะตอบทุกคำตามความประสงค์ของคุณเลย ” ไม่พูดเปล่ายังแกล้งฉีกยิ้มหวาดหยดให้

“ ดี ” เขาว่าปล่อยมือจากสมุดรวดเร็วเหมือนจับของร้อนรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่กายนุ่มๆผละออกไป

นีนนาราเก็บสมุดและหนังสือบนโต๊ะข้างเตียงใส่ลิ้นชักเพราะไม่อยากให้ใครถือวิสาสะมายุ่มย่ามกับของตัวเองก่อนจะหันไปไล่คนตัวใหญ่ทางอ้อมอ้างเพียงว่าจะพักผ่อนพร้อมยกมือกุมขมับเหมือนปวดศีรษะเต็มที

“ เมื่อกี้ยังเห็นลงมาเดินทั่วห้องตั้งนานสองนานไม่เห็นจะเหนื่อย ทีอย่างนี้จะมาพักผ่อนเนี่ยนะ ”

“ ดิฉันเป็นคนป่วยนะคะ ต้องกินยา ต้องนอนตามเวลา...คุณจะมาห้ามไม่ให้ฉันนอนไม่ได้หรอกค่ะ ”

“ อ้อเป็นคนป่วย แต่ตอนวิ่งข้ามห้องมานี้กับตอนเอาไหล่กระแทกคนอื่นนี้ไม่ค่อยจะเหมือนคนป่วยนะ ” คนตัวใหญ่กระเซ้าทำเอาคนฟังทนไม่ไหวถลึงตาใส่...ผู้ชายนิสัยเสียแสนรู้ขนาดนี้น่าจะเกิดเป็นอย่างอื่นมากกว่าคน

คนเจ็บจ้องชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยใบหน้าบูดบึ้งก่นด่าเขาผ่านนัยน์ตาอมโศกคู่งามเตรียมตั้งรับการตอบโต้แทบไม่กระพริบตา แปลกที่คราวนี้เขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากมากไปกว่ายกมือลูบคางแล้วไล้สายตาแลร่างบางตั้งแต่ศีรษะละเรื่อยมาตามลำคอขาวเนียนมาจับนิ่ง ณ ส่วนอ่อนนุ่มซึ่งสัมผัสทาบทับบนแขนเขาเมื่อครู่

นัยน์ตาสีเขียวอ่อนเกือบเทาเข้มคมทรงเสน่ห์ทอประกายวับวาวราวกับต้องประสงค์ต่อสมบัติล้ำค่าพาให้หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบวาบก้มมองเรือนร่างตามทิศทางสายตาของอีกฝ่ายกระทั่งประจักษ์ได้ว่าจุดน่าภิรมย์ใจของเขาอยู่ที่ใดก็ผวารีบตะครุบคอเสื้อชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวยาวกรอมเท้าที่พยาบาลซื้อมาให้สวมชั่วคราวแน่น

...หล่อนมีชุดนอนตัวนี้เท่านี้ที่เป็นปราการสำคัญปกปิดเรือนกายเปล่าเปลือยของตน...

“ คุณ...อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ไม่งั้นฉันจะ ฉันจะร้องจริงๆนะ ” หล่อนละล่ำละลักพูดปากคอสั่นถอยกรูดจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนัง ทว่าคนตัวใหญ่ยังคงย่างเท้าเข้ามาหาอย่างไม่ลดละ

อเล็กซิสเท้ามือข้างหนึ่งบนผนังเยื้องข้างแก้มนวลไปเพียงเล็กน้อยก้มตัวโน้มหน้าปานเทพบุตรประชิดแทบแนบจมูกโด่งปลายรั้น นีนนาราเลยถึงกับตัวสั่นมือไม้เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ตาทั้งสองข้างหลับแน่นทนเห็นเขาเข้ามาใกล้กว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เสียงหัวเราะขันเสียเต็มประดาทำให้หญิงสาวลืมตา ยิ่งเห็นตัวใหญ่ส่งสายตาหยอกล้อราวกับเห็นตัวตลกยิ่งเดือดดาลอยากจะตะโกนด่าทอเสียงให้ลั่น ครั้นเมื่อเอาใช้สองแขนช้อนร่างขึ้นมาอุ้มแนบอกวางลงบนเตียงให้ก็ตกใจพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“ เอ้า อยากจะนอนไม่ใช่เหรอ ก็พามาส่งให้แล้วเนี่ยทำไมไม่นอนล่ะ ” เจ้าของฟาร์มสัพยอกหน้าระรื่น

“ ขอบพระคุณพระเจ้าข้า ” หล่อนได้สติตอบฉับกลับเป็นภาษาไทยสะบัดหน้าพรืดล้มตัวลงนอนแกล้งหลับทั้งที่ภายในอกนั้นแทบจะระเบิด

“ เด็กลามก แค่ไม่ลวนลามตามที่คิดก็มาโกรธใส่เราอีกแฮะ ” คำกระเซ้าเย้าแหย่ไม่เลิกราเป็นผลให้คนเจ็บเต็มกลั้นลืมตาโพล่งพร้อมยกมือหมายจะฟาดให้รู้สำนึกเสียที พ่อคนพูดปากก็ตาไวมือไวคว้าข้อมือหมับเข้าให้

“ ถ้าฉันรู้ว่าเธอชอบเรื่องพรรค์อย่างว่า ฉันคงพาเธอไปกกในห้องนอนตั้งนานแล้ว ” ครั้งนี้เสียงเขาดุดันถ้อยคำเหยียดหยามของเขานั้นเสียดแทงหัวใจดวงน้อยให้เจ็บปวด...ความคับข้องแค้นใจในโชคชะตาที่อัดแน่นอยู่ภายในมาเนิ่นนานเป็นผลให้น้ำตารื้นรินอาบสองแก้ม

...พระเจ้าค่ะ หนูผิดมากใช่ไหมคะที่สงสัยในความรักของพ่อ หนูผิดมากใช่ไหมคะที่ไม่เชื่อคำที่พ่อพูด ท่านถึงลงโทษให้หนูอยู่กับความอัปยศอดสูตรอมตรมหม่นไหม้อยู่เช่นนี้...

“ ฉันเกลียดคุณ...ฉันเกลียดคนไร้หัวใจอย่างคุณ ฉันเกลียด เกลียดที่สุด ” คนเจ็บตวาดลั่นแล้วเบือนหน้าปล่อยน้ำตาหยาดชุ่มหมอนไหล่บางไหวสะท้านตามแรงสะอื้น

“ ก็เกลียดสิ ” เสียงแหบต่ำหากอุ่นอ่อนกระซิบแผ่วแว่วข้างหูเชื้อชวนให้นัยน์ตาอมโศกทั้งคู่ชม้ายชายหา แลปลายนิ้วปัดเส้นผมรกปรกหน้าแล้วหลับตารับสัมผัสนุ่มนวลจากริมฝีปากที่แนบประทับซับน้ำตายอมจำนนต่อคำครหาโดยดุษฎี

อเล็กซิสทาบหลังมือเคล้าเคลียบรรจงเกลี่ยกลบลบรอยธาราบนพวงแก้มสบประสานดวงตาโศกหวานของหญิงสาวบนเตียงใหม่พลางยิ้มละไมชวนมอง

“ เมอซุลมัส ” เขากล่าวคำแปลกหูที่หล่อนไม่เข้าใจความหมายเพราะพ่อไม่เคยสอน

นีนารามองคนตัวใหญ่ยืนกอดอกอยู่ข้างเตียงความลึกลับซับซ้อนของเขาทำให้จิตใจวุ่นวายสับสน...ผู้ชายคนนี้เป็นได้ทั้งคนอบอุ่นและอันตรายในคราวเดียว

“ วันจันทร์เริ่มทำงานได้แล้วนะ ” จู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น

“ นี่คุณกลัวฉันเป็นภาระค่าใช้จ่ายของคุณมากหรือคะ...คุณก็เห็นว่าฉันแขนเจ็บข้างหนึ่งจะไปทำงานอะไรได้ ”

“ เวลาฉันสั่งงานใครต้องดูไว้แล้วว่าทำได้ งานที่จะให้ทำไม่ได้หนักหนาอะไรมาก อ่า หรือเธอชอบอุดอู้อยู่บนเตียงมีคนพะเน้าพะนอยี่สิบสี่ชั่วโมงมากกว่าล่ะ ”

“ คุณเป็นผู้ชายนิสัยร้ายกาจมาก ” หล่อนตัดพ้อแต่ท่าทีอ่อนลงกว่าเดิม

“ เธอเองก็ร้ายไม่ต่างจากฉันนักหรอกสาวน้อย...ตาใสซื่อของเธอนะล่อคนให้ตกหลุมได้ตั้งกี่คนแล้วก็ไม่รู้ ” เขาย้อนแววตาพราวระยับทีเล่นทีจริง

ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพังโดยไม่พูดจาต่อกันอีกพักใหญ่กว่าที่โนอาร์จะเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับสมุดสเก็ตซ์เล่มใหม่เอี่ยม

“ บอส...บอสกลับมาเมื่อไหร่ครับ ” แพทย์หนุ่มเอ่ยถามพร้อมกระพริบตาปริบ

“ วันนี้ ” ผู้เป็นนายตอบสั้นหันหลังเดินห่างจากเตียงคนของเจ็บมาประจันหน้ากับชายหนุ่มหน้าหวาน

“ อ้อครับ...แล้วนี่ใครเป็นคนปิดหน้าต่างครับ ”

“ ฉันเอง ต่อไปนี้นายไม่ต้องเปิดหน้าต่างปิดไว้แบบนี้แล้วเปิดแอร์เอา ฉันไม่อยากเห็นลูกน้องอู้งานมาเกาะขอบหน้าต่างคุยกับใครแถวนี้ ” เขาสั่งไม่วายแขวะคนข้างหลังอีกคำรบ “ เออ ตอนที่ฉันเข้ามาฉันเห็นคนไข้ของนายเดินปร๋อไปทั่วห้อง แสดงว่าทำงานได้ ยังไงวันจันทร์สักห้าโมงเย็นฉันจะให้นาร์บาสเอางานมาให้ทำ ”

“ ทำงาน...บอสจะให้เธอทำงานแล้วเหรอครับ เธอยังแขนไม่หายดีเลยจะทำงานอะไรได้ ”

อเล็กซิสไม่ตอบเพียงเหยียดริมฝีปากกว้างคล้ายจะยิ้มและแสยะให้นายแพทย์หนุ่มก่อนจะขยับเข้ามากระซิบข้างหู

“ นายน่ะไม่ต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสมองเด็กคนนี้หรอก...ปล่อยให้เธอเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว อีกอย่างใจนายเองก็เอ็นดูเด็กคนนี้ไปแล้ว สืบหาความจริงต่อก็ไม่ได้คำตอบที่พอใจนายหรอก ”

โนอาร์กระพริบตายืนนิ่งไม่ไหวติงเพียงแค่ได้ยินเจ้านายพูดจี้ใจดำพอได้สติคืนมาก็เหลียวไปทางคนที่ผลักประตูหายออกไปข้างนอกพลางถอนหายใจใหญ่

...คงไม่มีใครใจมนุษย์ได้ลึกเท่าผู้ชายที่ชื่อ อเล็กซิส ครอมเวลอีกแล้ว...



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 เม.ย. 2555, 02:43:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 เม.ย. 2555, 02:43:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1713





<< บทที่ ๔   บทที่ ๖ >>
Auuuu 28 เม.ย. 2555, 11:05:49 น.
เป็นพระเอกที่อ่านใจได้ยากมากกกกกกก


วนัน 28 เม.ย. 2555, 15:57:09 น.
มารอคะ


น้ำแอปเปิ้ล 28 เม.ย. 2555, 16:57:13 น.
พลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง...เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ นิยายน่ารักมาก เดี๋ยวต้องไปอ่านตอนก่อนหน้าเสียหน่อย ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ


ling 28 เม.ย. 2555, 20:10:23 น.
สนุกสมการรอคอยค่ะ


lovemuay 28 เม.ย. 2555, 21:04:49 น.
มนที่สุดพระเอกก็กลับมาแล้ว เย้ๆ


violette 28 เม.ย. 2555, 22:55:00 น.
โอยยยยยยยยยยยยย บุคลิกอเล็กซิสมาันแบบบบ ฮึ่ยยยยยย


คิมหันตุ์ 29 เม.ย. 2555, 02:09:55 น.
ลงชื่อให้กำลังใจจ่ะ


Edelweiss 29 เม.ย. 2555, 10:04:10 น.
Alexis เก่งมาก


Pat 29 เม.ย. 2555, 14:59:54 น.
คนที่เอ็นดูนีนมากกว่าใคร น่าจะเป็นนายซะล่ะมั้ง อเล็กซิส


Zephyr 29 เม.ย. 2555, 22:22:39 น.
หู้ย พ่อคนความลับเยอะ จะรู้ทันชาวบ้านมากไปมั้ย เฮอะ
แต่แอบหมั่นไส้นีนเล็กๆ เชียร์อเล็กซ์หน่อยๆ


อริสา 4 พ.ค. 2555, 00:53:46 น.
กริ๊ด สลบ Alexis เท่ห์ได้้อีก แต่ ท่าทางจะขุดหลุมฝังตัวเองมากกว่านะ สงสารนีนนะชีวิคงเจอมาเยอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account