กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 19

ตอนที่ ๑๙

แม้จะแสดงท่าทีนิ่งเฉย แต่ข้างใน วริณสิตาก็ว้าวุ่นเสียเหลือเกิน สาวน้อยไม่ได้กลัวหรอกว่าพีรพัฒน์จะหลอกพาเธอไปขาย เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ ก็ในเมื่อเขารวย เขามีฐานะอยู่แล้ว เขาจะไปทำเรื่องผิดกฎหมายทำไม แต่ที่ใจกำลังรู้สึกน่ะคือ...ความสับสน วุ่นวาย และไม่แน่ใจ

ไม่แน่ใจเอาเสียเลย ว่าคนที่เคยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจได้ เป็นคนเช่นไรกันแน่

วริณสิตาได้แต่นั่งเงียบๆไปตลอด มันก็คงสุดจะรู้ว่าเขาจะพาเธอไปไหน แต่ประการหนึ่งที่แว่บขึ้นในใจ สาวน้อยก็คิด ว่าพีรพัฒน์คงพาเธอไปเจอหทัยรักนั่นล่ะ แต่ทว่านั่งเงียบๆไปอยู่พัก ทัศนียภาพสองฟากทางก็ชักเปลี่ยน

เปลี่ยนไปอย่างที่วริณสิตาไม่คิดว่าจะเป็นด้วย!

ก็จากทัศนียภาพถนนย่านใจกลางกรุงอันคับคั่ง กลับกลายเป็นถนนเส้นที่มียวดยานน้อยลง และจากภาพตึกสูงระฟ้าตระหง่านทั้งสองข้าง ก็กลับกลายเป็นหมู่ต้นไม้ริมทาง กระทั่งทั้งสองฟากก็กลายเป็นภาพท้องนาที่ไม่น่าจะมีในเมืองกรุงเลยสักนิด!

คนคิดชักเริ่มตัวชา

นี่...หรือว่า...หรือว่า...เขาจะหลอกพาเธอไปขายจริงๆล่ะเนี่ย!

วริณสิตาตัดสินใจทันที หนนี้เธอจะอ้าปากถามแล้ว แต่นาทีนั้นผู้ปกครองก็หักพวงมาลัย เลี้ยวรถเข้าไปตามทางดินสายแคบที่ทิวทัศน์สองฟากก็ยังเป็นทุ่งนาสีเขียว สุดสายปลายทางนี้ มีบ้านไม้ใต้ถุนยกสูงปลูกโดดเด่นอยู่หลัง เขากำลังพาเธอมุ่งตรงไปที่นั่นซึ่งมันใช้เวลาไม่มากเกินไปกว่าอึดใจหนึ่งเลย

“เอ้า! ถึงแล้ว” ชายหนุ่มบอกทันทีที่จอดรถสนิทตรงลานหน้าบ้าน แต่นั่นดูจะไม่ช่วยให้ใครรู้อะไรมากขึ้นสักนิด สาวน้อยจึงยังมองเขาด้วยสายตาระแวงระไว

“ที่นี่ที่ไหนคะ” วริณสิตาถาม และแน่ล่ะ เห็นอาการแหยงๆอย่างนั้น พีรพัฒน์ก็จงใจคลี่ยิ้มตรงมุมปากส่งให้ ซึ่งเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าหน้าแบบนั้นมันดูเจ้าเล่ห์ดาวร้ายเต็มขั้น

“อือ...ที่นี่ที่ไหนน่ะรึ” เขาแสร้งถาม ก่อนตอบเองสั้นๆ “ก็...รังโจรไง!”

และเท่านั้นล่ะ สาวน้อยก็หน้าซีด

นี่...นี่เขา?!

แต่ท้ายสุดแล้ว คนแกล้งก็หลุดขำ ร้องถามเสียงสูง

“นี่! ทำไม กลัวฉันจะหลอกเอาเธอมาขายจริงๆรึ” ว่าแล้วสีหน้าเจ้าเล่ห์ดาวร้ายของชายหนุ่มก็หายวับ กลายเป็นนัยน์ตาวาวแพรวพราวด้วยประกายอย่างคนสนุกสนาน ยามเอ่ยต่อไปอีกยิ้มๆว่า

“ทำหน้าให้มันมีสีได้แล้ว ที่นี่น่ะ บ้านสวนแม่ฉันเอง”

ว่าจบเขาก็เปิดประตูรถลงไปทันทีขณะที่ใครอีกคนยังได้แต่นั่งงงอยู่ พีรพัฒน์เปิดประตูลงจากรถออกมายืนเต็มความสูงตรงลานหน้าบ้าน ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มไม่จางหายเมื่อนึกๆไปแล้วมันก็แปลกดีเหมือนกัน ที่วันนี้เขาดันเริ่มจะชอบแหย่เด็กในปกครองเล่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ความจริงข้อนั้นถึงกับทำให้ชายหนุ่มต้องเผลอส่ายหน้าและหัวเราะกับตัวเองออกมาอีกครั้ง

พีรพัฒน์ยืนรออยู่ตรงนั้นนานเป็นอึดใจ แต่เด็กในปกครองเขาก็ยังไม่ได้ปิดประตูรถตามลงมา ชายหนุ่มจึงต้องชะโงกหน้ากลับไปมอง แล้วก็ได้เห็นว่าวริณสิตายังหน้าซีดอยู่ สงสัยปรับไม่ทัน ซึ่งเห็นแล้วมันก๊อ...

“จะไม่ลงรึ”

แกล้งถามแหย่อีกจนได้!

“ละ...ลงค่ะ ลง” วริณสิตาละล่ำละลัก ตะกายเปิดประตูรถอีกฟากรีบตามลงมา ใจนั้นยังเต้นตุ๊มต่อมไม่หายหลังจากหล่นปิ้วไปอยู่ตาตุ่มเพราะคำว่ารังโจรเมื่อกี้ สาวน้อยรีบก้าวถี่ๆไปหาพีรพัฒน์ แต่ทว่า...

“อืม!” จู่ๆเขาก็ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาหาเสียจนวริณสิตาต้องผงะไปข้างหลังเกือบคืบ

“ไหนดูสิ” เสียงเขาว่า “หน้ามีสีหรือยัง”

นี่!

แล้วคนถามก็ถึงกับหัวเราะร่า ขณะที่วริณสิตาหน้ามุ่ย ก็เขานี่เป็นผู้ใหญ่อะไร ทำไมถึงได้ชอบแกล้งเด็กนัก! แต่ผู้ปกครองของวริณสิตานั้นจะเป็นผู้ใหญ่แบบไหน สาวน้อยก็ไม่มีเวลาได้ใคร่ครวญเพราะเสียงอ่อนๆที่เอ่ยทักขึ้น

“พี”

ทั้งเจ้าของชื่อและเด็กในปกครองต่างก็หันไปมองต้นเสียง คนเรียกนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้ายังคงเค้าความสวยแม้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าฝ้ายสีเขียวออกซีดแล้ว กับถุงผ้าซิ่นธรรมดาสีน้ำตาลแก่ นางกำลังเดินไวๆออกมาจากทางตัวบ้าน เดาได้ไม่ยากหรอกว่าหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนนี้จะเป็นใคร

ก็แม่ของคุณพีอย่างไร ใช่...ในเมื่อใบหน้าเขา ละม้ายคล้ายกันนัก

พีรพัฒน์คลี่ยิ้มรับ เอ่ยเรียก ‘แม่’ เบาๆ

“มากันแล้วหรือจ๊ะ แล้วทำไมไม่เดินเข้าไปใต้ถุนบ้านล่ะ มายืนกลางแดดแบบนี้ ไม่ร้อนรึ” คนสูงวัยกว่าถามทันทีที่เดินมาถึง ยิ้มกว้างเกลี่ยไปทั่วใบหน้า เฉพาะอย่างยิ่งยามที่มองวริณสิตา

“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” สาวน้อยกระพุ่มมือไหว้ทันที กล่าวคำทักทายอย่างสุภาพ และอากัปกิริยานั้นก็ทำให้ผู้ใหญ่อีกฝ่ายยิ้มเอ็นดูจนตาหยี

“สวัสดีจ้ะ ไหว้พระเถอะนะ หนูคือหนูจิ๊บใช่ไหมล่ะจ๊ะ?”

“คะ?” ช่วยไม่ได้เลยที่วริณสิตาจะเกิดอาการงงเมื่อคนเป็นผู้ใหญ่กว่าดูท่าจะรู้จักเธอแล้ว และทั้งรอยยิ้ม แววตา วาจากอรปกับน้ำเสียงอบอุ่นก็ทำให้อารมณ์ขุ่นๆต่อผู้ปกครองช่างแกล้งหายวับไปด้วย สาวน้อยพยักหน้าหงึกหงัก รีบตอบรับ ‘ค่ะ’ ออกมาด้วยเสียงสุภาพ

“ดีจริง” คุณดวงทิพย์ว่า แต่เมื่อเห็นสาวน้อยตรงหน้าดูจะงงไปใหญ่ก็ได้แต่ยิ้มเพิ่ม เอ่ยด้วยเสียงนาบเนิบปรานีว่า “พีน่ะ เขาเล่าเรื่องหนูให้ป้าฟังเยอะเชียว ไป เข้าบ้านกันดีกว่านะจ๊ะ อย่ามายืนคุยกันตรงนี้เลย แดดร้อนแย่” แล้วคนสูงวัยกว่าก็ก้าวเข้ามา โอบไหล่วริณสิตาและพาเข้าบ้านโดยไม่ลืมจะหันไปยิ้มให้บุตรชายของนางด้วย

ในตอนแรกที่ถูกคนสูงวัยกว่าโอบไหล่แล้วจัดแจงพามานั่งยังแคร่ไม้ไผ่เล็กๆใต้ถุนบ้าน วริณสิตานั้นอดจะรู้สึกเกร็งๆไม่ได้ ก็จะไม่ให้เกร็งได้อย่างไร ในเมื่อเมื่อกี้เธอก็ได้ยินชัดถนัดถนี่ว่าแม่ของคุณพีพูดว่า

‘พีน่ะ เขาเล่าเรื่องหนูให้ป้าฟังเยอะเชียว’

วริณสิตาเผลอกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก คงไม่ต้องเดาเลยว่าเขาจะเล่า ‘เรื่องเธอ’ ในลักษณะไหน

ยายเด็กบ้านนอกตัวดำที่เจอกันนาทีแรกก็อวดเก่งทำกล้า แต่ว่าตอนท้ายกลับถูกจิ๊กโก๋ประจำหมู่บ้านทำร้ายลวนลามจนเขาต้องช่วย แล้วมาถึงวันแรกก็ดันป่วย ถัดมาก็หาญกล้าขัดใจหญิงสาวคนสำคัญ หลังจากนั้นก็ซื้อเสื้อผ้าเจ็ดชุดด้วยสตางค์ของคนอื่น แล้วล่าสุดก็เมื่อคืนวันนั้น...

‘คุณพีทานเอกสารงานบนโต๊ะพวกนี้แทนข้าวได้ไหมล่ะคะ’

นั่นล่ะ! เรื่องของเธอต่อผู้ปกครอง ไม่มีอะไรดีสักอย่าง! หากแม่ของคุณพีได้ฟังแล้วจะแนะนำ ให้เขาเลิกให้การอุปการะ วริณสิตาก็คงไม่แปลกใจสักนิด! คิดสำเหนียกแล้วก็ได้แต่ก้มหน้า หลุบตา ไม่กล้าแม้แต่จะแอบๆชำเลืองมองผู้ปกครองที่เดินมาหย่อนกายลงนั่งบนแคร่ไม้ตัวนั้นด้วย

วริณสิตาได้แต่นึกร่ำๆ แบบนี้เองมั้งที่เขาเรียกกันวัวสันหลังหวะ! แต่ทว่า...

“แล้วเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ได้ข่าวว่าหนูไม่ค่อยสบาย หายไข้แล้วหรือยังล่ะ” คนสูงวัยกว่าเอ่ยถาม กระแสเสียงยังคงเจือความปรานีแจ่มชัด

"เอ่อ...ค่ะ” วริณสิตาตอบเบาๆ “ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วค่ะ”

“อืม ดีแล้วล่ะจ้ะ”

เด็กสาวได้แต่กะพริบตา อดแปลกใจไม่ได้ที่ความวิตกของเธอดูจะไม่ใช่ปัญหาเลยเมื่อแม่คุณพีไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดทอนยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าลง เช่นนั้นวริณสิตาค่อยกล้าขึ้นมาหน่อย สาวน้อยค่อยๆเงยหน้า สบตา และยิ้มตอบให้คนสูงวัยกว่าอย่างสุภาพ แต่นาทีนั้นเสียงแจ่มแจ๋วก็ดังขึ้น

“ป้าทิพย์! ป้าทิพย์จ๋า อยู่หรือเปล่าจ๊ะ ย่าให้ชุบเอาแฟงที่บ้านมาปันให้จ้า!” เสียงนั้นลั่นมาก่อนตัวเสียหลายวา กระทั่งวริณสิตาได้เห็นว่าเจ้าของเสียงคือเด็กสาวตัวเล็กผมสั้นที่กระเดียดกระจาดใส่แฟงลูกสวยไว้ตั้งสองลูก แต่ก็ยังสามารถซอยเท้าถี่ๆวิ่งรี่เข้ามาที่ใต้ถุนบ้านได้กระฉับกระเฉง แต่แล้วเด็กสาวเสียงใสก็ได้เกิดอาการเบรคเอี๊ยดทันใดเมื่อเห็นว่าใต้ถุนบ้านไม่ได้มีแค่ ‘ป้าทิพย์’ ที่ตนเรียกคนเดียวสักหน่อย แต่แน่แหละ...ไม่ทันแล้ว

“เอ้าๆ เสียงละนำมาก่อนตัวตามเคยนะเจ้าลูกชุบ!” คุณดวงทิพย์เอ็ดเสียงเขียว สาวน้อยนามลูกชุบเลยหัวเราะแหย ก่อนเปลี่ยนท่าเป็นแบบเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาแทน กับท่าอั้นๆอย่างนั้น พีรพัฒน์ก็หัวเราะขำ

“ไง มาถึงก็เหมาคำดุเลยนะลูกชุบ” ชายหนุ่มว่า สายตาเอ็นดู สาวน้อยลูกชุบเลยยิ้มยิงฟันขาว

“สวัสดีจ้าน้าพี” เด็กสาวกล่าว “ย่าให้เอาแฟงที่บ้านมาปันให้ป้าทิพย์จ้ะ” ว่าแล้วก็วางกระจาดแฟงลงบนแคร่และไม่วายจะเมียงมองวริณสิตาด้วยนัยน์ตาสีดำกลมโตแจ๋วแหวว ปากบางจิ้มลิ้มยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรส่งให้ ก่อนหันไปทางคุณดวงทิพย์แล้วกระซิบ

“ใครอ่ะ?”
“เอ้อ!” คนถูกถามส่ายหน้า ยิ้มขันปนระอา “มันอยากดู อยากรู้ อยากเห็นตลอดเชียว!”
“แหม! ก็ชุบยังอยู่ในวัยช่างเรียนรู้นี่จ๊ะ”

ประโยคนั้นทำเอาทั้งคุณดวงทิพย์และพีรพัฒน์หัวเราะขำแถมพ่นลมออกจากปากดังพรืด แม้วริณสิตาเองก็เถอะ ได้ยินยังอดยิ้มไม่ได้ แต่เธอคิดว่าที่เขาว่ามาก็น่าจะถูก เพราะจากทรงผมตัดสั้นตรง ยาวกว่าติ่งหูนิดหน่อยก็บอกให้รู้ว่าสาวน้อยลูกชุบคนนี้คงเรียนอยู่ชั้นมอต้น คงเป็นม. ๑ หรือไม่ก็ม. ๒

“หนูจิ๊บจ๊ะ” คุณดวงทิพย์เอ่ย “นี่เจ้าลูกชุบ บ้านของเขาอยู่ข้างๆบ้านป้านี่ล่ะ ส่วนคนนี้...” คนสูงวัยกว่าหันไปหาสาวน้อย “คนนี้น่ะคือพี่จิ๊บ รู้จักไว้สิเจ้าชุบ”

ลูกชุบยิ้มหวาน วริณสิตายิ้มตอบ รู้สึกชอบท่าทางเป็นมิตรจริงใจของลูกชุบมากจริงๆ คุณดวงทิพย์เอื้อมมือดึงกระจาดที่ลูกชุบวางแหมะไว้เข้ามาใกล้ตัวอีกนิด

“แฟงนี่ปันมาให้ป้าใช่ไหม ขอบใจมากนะ” คุณดวงทิพย์ว่า “ชะอมของป้าก็กำลังแตกยอดงามเยอะแยะเชียว อยากกินบ้างไหม จะตัดไปฝากย่าเขาบ้างก็ได้นะ”

ลูกชุบฉีกยิ้มกว้าง

“จริงเหรอจ๊ะ งั้นชุบไปตัดเลยนะ เที่ยงนี้ชุบจะได้ให้ย่าทำไข่ทอดชะอมให้กินเลย”
“เออ ไปตัดเถอะ”
“ขอบคุณจ้า” ลูกชุบกล่าวเร็วปรื๋อ ตั้งท่าจะวิ่งทันที แต่จู่ๆนาทีนั้นวริณสิตาก็โพล่ง

“เดี๋ยวค่ะ!”

ทุกคนชะงักค้าง และต่างหันมาทางเธอ

“เอ่อ...” สาวน้อยกะพริบตา “คือ...คือหนู...หนูขออนุญาตไปกับลูกชุบด้วยได้มั้ยคะ”
“จ๊ะ?”
“ตัดชะอมน่ะค่ะ” วริณสิตาว่า “หนูขอไปกับลูกชุบด้วยได้หรือเปล่าคะ”

คราวนี้กล่าวอย่างฉะฉานมั่นใจ ใช่! เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอชอบ! ตั้งแต่ที่ได้เห็นแฟงสองลูกในกระจาดของลูกชุบแล้ว ใจวริณสิตาก็เต้นถี่ และยิ่งตอนที่แม่คุณพีพูดถึงต้นชะอมที่กำลังแตกยอดงามอีก วริณสิตาก็นึกภาพตามได้เลย เพราะอย่างงั้นทันทีที่ลูกชุบได้รับอนุญาตให้ไปตัดชะอมได้ สัญชาตญาณความรักความชอบข้างในก็ร้อง เธออยากไปด้วย!

“ได้มั้ยคะ” วริณสิตาพูด ไม่รู้เลยว่าประกายในดวงตาของตัวเองนั้นฉายความกระตือรือร้นขนาดไหน แต่ใครอีกสองคนน่ะรู้ คุณดวงทิพย์เลยยิ้มละไม

“โธ่! ได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ไปเลย”


วริณสิตายืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยความอิ่มเอมหัวใจ แปลงปลูกผักที่เป็นแบบยกร่องขึ้นมา มีทั้งหมดนับสิบๆร่อง แต่ละร่องก็มีผักสวนครัวแตกต่างไป ทั้งคะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้งและต้นหอม ทุกต้นทุกแปลงล้วนเขียวขจีงอกงามไร้วัชพืชหรือแมลงรบกวน

นี่แหละ แบบนี้แหละ แบบที่ตัวเธอเคยฝันเอาไว้เลย

“ผักของป้าทิพย์นะงามม้ากมากเสมอแหละ ส่งขายที่ตลาดทีงี้ คนรุมซื้อกันเต็ม” สาวน้อยลูกชุบคุย จับได้ชัดว่าเจ้าตัวก็ออกจะภาคภูมิใจแทนเจ้าของสวนผักนักหนา

“นี่ แล้วงามๆอย่างงี้อ่ะนะ รับรองเลยว่าไม่มีสารพิษสักกะติ๊ดนึงเลย เพราะป้าทิพย์อ่ะทำสวนแบบ...เอ่อ...แฮะๆ” แม่สาวน้อยเกาหัวแกรก “เขาเรียกอะไรนะ เศษๆอินทรี”

“เกษตรอินทรีย์หรือเปล่าจ๊ะ”

“อ่ะ! นั่นแหละๆ ป้าทิพย์อ่ะไม่ใช้พวกยาฆ่าแมลงเลยนะ แต่ใช้พวกน้ำหมักเม็ดสะเดาผสมกะ...อ่า...” แล้วแม่สาวน้อยนักเกษตรตัวจริงก็อึกอักอีกจนได้ ลูกชุบทำปากบุ้ย สะระตะอยู่ในใจว่าไหนๆโม้แล้ว ก็ต้องไปให้มันสุดล่ะ ลูกชุบเลยตัดสินใจพูด

“กะน้ำส้มเปลือกไม้!”
“น้ำส้มควันไม้หรือเปล่า”
“อ้า! นั่นแหละๆ ชุบจะพูดอย่างงั้นนั่นแหละ”

วริณสิตายิ้มขำ ก่อนเริ่มมองสำรวจสวนผักของคุณดวงทิพย์ไปทั่วๆบ้าง ถัดไปจากแปลงผักคะน้า กวางตุ้งและผักบุ้งที่ปลูกเป็นจำนวนมากเพื่อขายแล้ว โดยรอบของพื้นที่ยังมีผักสวนครัวอีกหลายประเภทที่คงจะปลูกไว้กินเอง ทั้งค้างถั่วฝักยาว เถาบวบ แตงกวา พริก โหระพา ข่า ตะไคร้ แล้วก็...นั่นอย่างไร รั้วชะอมที่ทอดตัวเป็นทางยาวไปจนถึงกอกล้วยที่โด่ดเด่นอยู่ตรงหัวคันนา

นี่แหละ ชีวิตแบบเกษตรกรแบบนี้แหละที่วริณสิตาใฝ่ฝันอยากจะทำ อยู่กับธรรมชาติ ปลูกพืชผักและได้รับรางวัลเป็นผลผลิตจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง นั่นก็คือความสุขที่ฝันถึง วริณสิตารู้สึกเหมือนลืมหายใจ มองทุกตารางนิ้วในพื้นที่สีเขียวของคุณดวงทิพย์ด้วยความรู้สึกชื่นชม กระทั่งเสียงเล็กๆเอ่ยสะกิด

“พี่จิ๊บๆ พี่จิ๊บชอบเหรอ?” ลูกชุบถาม
“มากที่สุดเลยล่ะชุบ” วริณสิตาตอบ ลูกชุบยิ้มกว้าง
“นี่ๆ นอกจากสวนผักแล้ว ป้าทิพย์ยังมีสวนกล้วยกะทุ่งนาด้วยนะทางโน้นแน่ะ พี่จิ๊บอยากดูเปล่าล่ะ เดี๋ยวชุบพาเดินไปดู”
“ไปสิไป” วริณสิตาตอบได้โดยไม่ต้องคิด ดังนั้นลูกชุบเลยนำหน้าพาไป

สองสาวน้อยลัดเลาะตามคันนาอย่างกระชับกระเฉงว่องไว แสงแดดแรงๆของยามสายไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะสดใสของทั้งคู่ลดดีกรีลงไปได้เลย ลูกชุบชี้ชวนวริณสิตาดูโน้นดูนี่ แล้วพยายามโชว์ความรู้ที่จำผู้ใหญ่เขามาตามประสาเด็กๆ กระทั่งแม่สาวน้อยชี้หอยโข่งในทุ่งนาแล้วบอกว่าเป็นหอยเชอรี่

“ไม่ใช่หรอกชุบ เนี่ยมันเป็นหอยโข่งนะ ดูสิตรงโคนไม้ตรงนี้น่ะมีไข่ของมันด้วย สีขาวๆเห็นหรือเปล่า ถ้าเป็นหอยเชอรี่ เปลือกจะบางกว่านี้ แล้วไข่มันจะเป็นสีชมพู” วริณสิตาชี้ให้สาวน้อยดู อดนึกทึ่งอยู่ในใจไม่ได้ว่า ทุ่งนาของคุณดวงทิพย์นั้นปลอดจากสารพิษจริงๆ เพราะขนาดหอยที่เดี๋ยวนี้เกือบไม่เห็นแล้วตามท้องนาก็ยังมีที่นี่

“อือ จริงด้วย โห ชุบไม่รู้นะเนี่ย หน้าตาแบบนี้เกือบเก็บเอาไปให้เป็ดกินแล้ว เพราะป้าทิพย์อ่ะบอกว่าหอยเชอรี่มันร้ายนัก จะกินต้นข้าวตายหมด เอ...แต่หอยโข่งนี่ ไม่เป็นไรใช่มั้ยพี่จิ๊บ มันจะกินต้นข้าวตายหมดแบบหอยเชอรี่เปล่าล่ะ” ลูกชุบถาม ดูสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจที่ไม่ได้กำจัดหอยต้องสงสัยไปจากนาคุณดวงทิพย์ วริณสิตาเลยต้องบอกยิ้มๆ

“จ้ะ หอยโข่งมันไม่ร้ายขนาดนั้นหรอก”

ได้คำยืนยันอย่างนั้นลูกชุบเลยกลับมาเริงร่าอีกครั้ง

“หือ พี่จิ๊บนี่เก่งจัง รู้ด้วยว่าหอยโข่งมันเป็นยังไง”
“ก็พี่บอกแล้วไง ว่าพี่ชอบเรื่องแบบนี้”
“งั้นพี่จิ๊บก็ยิ่งแปลกเลยแหละ” ลูกชุบว่า “ย่าบอกว่าเดี๋ยวนี้อ่ะอาชีพทำไร่ทำนา ปลูกผักอย่างป้าทิพย์ไม่มีใครที่ไหนเขาชอบทำแล้ว ดูอย่างพี่น้ำหวานลูกลุงจวบสิ พ่อเขามีที่ตั้งหลายสิบไร่ ยังขายซะเกลี้ยงแล้วไปทำงานในออฟฟิศโรงงานแทน วันๆงี้นั่งอยู่แต่ห้องแอร์ แต่งตัวสวยเช้ง”
“คนเราเขาก็ชอบต่างกันแหละ”
“ใช่ๆ ชุบก็ว่า อย่างคนที่น้าพีเคยพามาเที่ยวบ้านก็อีก ชื่ออะไรทัยๆ รัดๆสักอย่าง”

วริณสิตาชะงักทันที

“หทัยรักรึเปล่า”
“อือๆ นั่นแหละ แฟนเขามั้ง เห็นน้าพีเคยพามาตั้งหลายครั้งแน่ะ แต่งตัวสวยเช้งตลอด แต่ชุบไม่ค่อยชอบเขาหรอกนะ ชุบว่าเขาเหมือน...เหมือนตัวนังอิจฉาในละครทีวีอ่ะ”

“ชุบ! ไปเปรียบเทียบเขาอย่างนั้นได้ไง มันไม่ดีนะ” วริณสิตาว่า ตกใจอยู่หน่อยๆที่สาวน้อยลูกชุบเทียบหทัยรักเป็นนางอิจฉาหลังข่าวภาคค่ำไปแล้ว แต่คนถูกว่าก็ไม่ได้เคืองแม้แต่นิด ลูกชุบแค่ยิ้มแหยๆ
“แหะๆ ขอโทษจ้ะ เพลินปากไปหน่อย แต่ชุบว่าเขาเหมือนจริงๆนะพี่จิ๊บ” ลูกชุบไม่ยอมแพ้เลย แม่สาวน้อยยังพยายามขยายภาพความคิดตัวเองต่อ “เวลาคุยกะป้าทิพย์ทีอ่ะ คะขาๆ แต่ชุบว่าจริงๆแล้วเขาต้องไม่ชอบงานปลูกผักทำนาอย่างที่ป้าทิพย์ทำแน่ๆเลย”

“ทำไมชุบถึงคิดอย่างงั้นล่ะ” วริณสิตาถาม สนใจขึ้นมาบ้าง และสิ่งนั้นจะยิ่งทำให้ลูกชุบรู้สึกว่าตัวเองสลักสำคัญขึ้นมา ลูกชุบเลยว่าต่อ

“อ้าว! จริงๆนะพี่จิ๊บ” แม่สาวน้อยใส่สีหน้าสีตาประกอบ “พี่จิ๊บจะเชื่อปะล่ะว่ามาแต่ละทีอ่ะ เขาไม่เคยเหยียบมานอกชายคาบ้านป้าทิพย์เลย ได้แต่นั่งประจ๋อประแจ๋อยู่ข้างใน แต่อย่างว่าแหละ ก็แต่งตัวสวยผู้ดีอ่ะนะ รองเท้าเงี้ยะ สูงปรี๊ด ขนาดย่าชุบยังบอกเลย ว่าถ้าหลอกเขามาเดินคันนาได้สักทีนะ สงสัยต้องได้เห็นผู้ดีกลิ้งโค่โล่หัวทิ่มคันนาแน่ๆเลย”

ว่าแล้วก็หันมาตั้งท่าจะปล่อยก๊ากให้ฉ่ำปอด ทว่าจู่ๆก็เหมือนจะนึกได้ว่าตัวเองเผลอหลุดวาจาแก่แดดไม่สมเด็กอะไรไปบ้าง สาวน้อยเลยมีอันต้องกลับไปยิ้มแห้งๆอีกครั้ง

“แหะๆ เพลินปากอีกแล้ว ขอโทษจ้า” ลูกชุบว่าเสียงอ่อย คิดอยู่ว่าหนนี้ต้องโดนวริณสิตาดุเต็มๆแน่ แต่ทว่า...
“หึๆ” จู่ๆวริณสิตาก็หัวเราะ ก่อนพยักหน้า บอกเต็มปากเต็มคำเลยว่า “อือ ท่าจะจริง!”
........................................

สวัสดีค่ะ วันนี้อบรมเลิกเร็ว มีเวลานิดหน่อย ลงโลดๆ



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2554, 16:07:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2554, 16:07:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 3674





<< ตอนที่ 18   ตอนที่ 20 >>
ปาริน 29 เม.ย. 2554, 16:18:00 น.
ตอนที่ ๒๙ ไปอ่านได้แอล้วที่เว็บบล็อกด้านล่างนะคะ

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=purine


ปาริน 29 เม.ย. 2554, 16:19:22 น.
อ๊ะ เพิ่งเห็น ตอนที่เเล้วมีคนกดชอบขึ้นเลขสองหลักแล้ว ฮิ้วๆดีจัง


Gingfara 29 เม.ย. 2554, 19:05:01 น.
ว้าว ในที่สุดก็มาอีกแล้ว


ปูสีน้ำเงิน 29 เม.ย. 2554, 19:19:51 น.
มาอัพซะที คอยอ่านอยู่นะเนี่ย


SaiParn 29 เม.ย. 2554, 20:13:22 น.
โอเชจร้า เด๋วไปตามอ่านที่บล็อกนะจ๊ะ


dee_jung 30 เม.ย. 2554, 15:22:11 น.
เดี๋ยวตามไปดูค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account