เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด
ตอน: ตอนที่ ๖ เสียงจากม่านมืด
ตอนที่ ๖
พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปมาก ในที่สุดคนรถของบ้านภูริตจึงได้พารถเข้ามาจอดภายในอาณาบริเวณของบ้านเรือนไทยหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบ้านมีศักดิ์เป็นย่าของเขา
ทุกครั้งที่มาน่าน ชายหนุ่มก็มักจะมาขอพักกับคุณย่าที่เรือนหลังนี้ทุกครั้งไป
กะว่า ก่อนจะเข้าอำเภอปัว คืนนี้เขาจะขอพักที่บ้านคุณย่าสักคืนหนึ่งเสียก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางเข้าอำเภอปัวเพื่อจะสืบเสาะหาความจริงบางอย่างต่อไป
ความจริงที่ว่ามันคอยจะกวักมือเรียกและเรียกร้องให้เขากลับไป ณ ที่แห่งนั้นอยู่ทุกวินาทีของลมหายใจ
เป็นไปได้อย่างไร...พร้อมๆ กับความรู้สึกที่อยากจะทะยานไปที่นั่น ทว่าอีกหัวใจหนึ่งยังคงคอยตั้งคำถามควบคู่กันไปตลอดเวลา
เหตุใดจึงต้องคิดอยากจะไปที่นั่น
ที่แห่งนั้นมันมีอะไร แล้วทำไม จะต้องเป็นเขาที่ต้องไปค้นหามัน
‘เจ้าจะต้องไปเจ้าน้อย...’
หากยังมีเสียงหนึ่งคอยย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาและทุกครั้งที่ได้ยินมัน เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้ แถมความรู้สึกที่ลอยเข้ามากับเสียงเหล่านั้น กลับสร้างความเจ็บปวดให้เขาเหลือจะคณนา
เจ็บ...เจ็บปวดเหลือแสน
บางสิ่งบางอย่างบอกเขาเช่นนั้น
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ พร้อมกับไฟหน้าบ้านที่เปิดขึ้น ก่อนเจ้าของบ้านจะเดินออกมาชะเง้อมองผู้มาเยือนในยามเย็นเช่นนี้อย่างแปลกใจ
ต่อเมื่อเห็นผู้ซึ่งลงมายืนข้างรถอย่างเต็มตัวและเดินเข้ามานั่นแหละ หญิงชราจึงได้คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
“ภูริต...นั่นหลานจริงๆ รึนั่น”
“สวัสดีครับคุณย่า” ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้หญิงชราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
บ้านเกิดของผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ที่น่าน นั่นก็เท่ากับว่าเชื้อสายที่แท้จริงของเขานั้นมากกว่าครึ่งก็คือคนที่นี่ เขาจึงไม่รู้สึกคลางแคลงในหัวใจเลย เมื่อภายในใจอยากจะทะยานกลับมาที่แห่งนี้และการเข้าเรียนในสาขา
ประวัติศาสตร์ ก็ทำให้เขาสนใจในประวัติของล้านนาเป็นพิเศษกว่าที่อื่นๆ
โดยเฉพาะ...ศิลปะน่านนคร
นอกจากจะมีเชื้อสายของชาวล้านนาตะวันออกแล้ว บางทีอดีตชาติของเขาก็อาจจะคงเคยเกิดในดินแดนแห่งนี้ก็เป็นได้
“จะมาทำไมไม่โทรมาบอกย่าก่อนฮึ ย่าจะได้จัดห้องให้” หญิงชราทำเสียงขึ้นจมูกอย่างนึกหมั่นไส้ ที่เจ้าหลานชอบมาแบบไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้อยู่ร่ำไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมขอมาพักแค่คืนเดียวเท่านั้นจะนอนที่ไหนก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะเข้าปัวน่ะครับ มาทำงาน”
“เมืองปัวอีกแล้วรึ...อ้าวนั่นพาเพื่อนมาด้วย มาๆ เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ”
หลังเห็นว่าสิชลตามลงมาจากรถและยกมือขึ้นพนมไหว้หญิงชรา ย่าบัวคำจึงเอ่ยเชื้อเชิญให้คนทั้งหมดเข้าไปคุยกันในบ้าน
จากนั้นทั้งหมดจึงเข้ามาคุยกันต่อในบ้าน หลังจากแนะนำให้กับผู้เป็นย่าได้รู้จักกับเพื่อนของเขาแล้ว ชายหนุ่มจึงคุยถึงเรื่องที่ตนต้องเดินทางมาที่นี่อีกครั้ง
“พอดีอาจารย์ท่านให้ทำงานวิจัยน่ะครับ ผมก็เลยคิดว่าประวัติวรนครน่าสนใจมากที่สุด”
“จะดีหรือภูริต...เวลามันนานมาแล้วนะ อีกอย่างเวลานี้เมืองปัวเปิ้นก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรให้เราศึกษาแล้ว เวลามันผ่านมาหลายร้อยปีแล้วนะหลาน”
ผู้เป็นย่าถามอย่างเป็นห่วง กลัวว่าการมาครั้งนี้ของผู้เป็นหลานจะกลายเป็นว่าไม่ได้ความอะไร ไม่ต่างกับการมาคราวก่อนกับคณาจารย์ของกรมศิลป์ฯ ที่กลับไปแต่เพียงข้อมูลเดิมๆ ซึ่งเคยมีอยู่แล้ว
“แต่ผมกลับคิดว่า ด้วยระยะที่ผ่านมานาน จะทำให้เรายิ่งรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่ามากแค่ไหน ถ้าหากว่าเราได้ข้อมูลที่แตกต่างจากที่ผ่านมา มันก็ถือว่าดีไม่ใช่หรือครับ”
สำหรับชายหนุ่มเขากลับคิดเป็นอีกอย่าง เขาคิดว่าสิ่งที่คอยชักจูงให้เขามาที่นี่แหละจะเป็นตัวเชื่อมโยงและคอยบอกบางสิ่งบางอย่างกับเขา
ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้อย่างเด่นชัดก็คือ คำตอบทั้งหมดจะต้องอยู่ที่นั่น
วรนคร...กับ...วัดเชียงหมิ่น
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจย่าไม่รบกวนละตามสบายนะ สิชลด้วยนะตามสบายนะถือซะว่าเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของตัวเอง ย่าขอตัวเข้านอนก่อนก็แล้วกัน คนแก่แล้วมักจะนอนแต่หัวค่ำแบบนี้แหละหลานเอ้ย” เอ่ยบอก พร้อมกับหันไปส่งยิ้มอย่างเมตตาให้กับชายหนุ่มอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนของหลานชาย ก่อนคนอายุมากกว่าจะหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินจากไปในที่สุด
มาถึงบ้านหลังนี้สิชลยังไม่ลดความตื้นเต้นกับความเป็นไทยล้านนาไม่หาย บ้านหลังนี้นอกจากจะบ่งบอกเอกลักษณ์เหล่านั้นแล้ว บรรยากาศโดยรอบไม่ว่าจะเป็นมวลอากาศเย็นซึ่งมาเยือนนับตั้งแต่ที่พระอาทิตย์ลาลับไปกับกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดก็ทำให้เขารู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งไม่แพ้กัน
“บ้านคุณย่าบัวคำ น่าอยู่จังว่ะภู ร่มรื่น เย็นสบายทำให้ฉันหายเหนื่อยเลยแหละ” รอยยิ้มกับความกระตือรือร้นบวกกับความตื่นเต้น ทำให้ภูริตอดจะขำกับท่าทีเหล่านั้นไม่ได้
มันก็คงจะไม่ต่างจากเขาซึ่งมาที่นี่เป็นคราวแรกนั่นล่ะ
รู้สึกคุ้น...ทั้งๆ ที่มาครั้งแรก
แถมยังรู้สึกเหมือนว่าอาณาบริเวณโดยรอบยังเป็นเหมือนพื้นที่ ซึ่งเขาเคยเดินเล่นมาก่อนเช่นเดียวกัน
พ่อของเขาเคยเล่าว่า ท่านทวดภูคำ บิดาของย่าบัวคำซึ่งเสียไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มาเกิดเป็นเขา ตามความเชื่อที่ยังเชื่อกันอยู่และบ้านหลังนี้ก็เคยเป็นที่อยู่อาศัยของท่านทวดภูคำ แม้จะไม่เชื่อในเรื่องอดีตชาติกับเรื่องเหลือเชื่อเหล่านั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยคิดจะลบหลู่ หรือแม้กระทั่งการไปทำลายความเชื่อของบรรพบุรุษ
ในเมื่อคุณพ่อและทุกๆ คนเชื่อเช่นนั้น เขาก็ไม่คิดขัด ถ้าจะคิดก็คิดไป...
“เป็นเรือนไทยโบราณด้วย อย่างกับคุ้มกับวังเก่าเลยแหละนาย ถามจริง นายมีเชื้อเจ้าป่ะน่ะ”
“เปล่า ไม่มีหรอก คุณย่าเคยเล่าว่า พ่อของท่านหมายถึงท่านทวดน่ะ ท่านเคยเป็นข้าหลวงในสมเด็จเจ้าหลวงเมืองน่านในสมัยนั้นก็เท่านั้น”
เขาเอ่ยถึงประวัติ ซึ่งผู้เป็นย่าเคยเล่าถึงเชื้อชาติเก่าก่อนของตนเองให้ฟังในตอนเด็กๆ ครั้งแรกที่เคยมาที่แห่งนี้
“โอ้โห...เป็นข้าหลวงเลยหรือ ถึงว่าครอบครัวนายแต่ละคนถึงได้เป็นใหญ่เป็นโตกันทั้งนั้น คุณพ่อของนายก็เป็นถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ฉันล่ะอิจฉายังไม่หาย”
“นายก็ว่าเกินไป คุณลุงสมยศ ลุงของนายก็เป็นนายทหารเพื่อนของพ่อฉันไม่ใช่หรือ มันก็พอๆ กันน่ะแหละ อย่าอิจฉาไปเลยเพื่อน” เขาหัวเราะกับท่าทีของเพื่อนหนุ่ม
“เออๆ ไม่อิจฉาก็ไม่อิจฉา”
สิชลบอกปัดไปในที่สุด ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น แล้วเดินไปตามตู้โชว์ซึ่งมีภาพวาดตั้งประดับเอาไว้ แต่ละภาพเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก ฝีมือของคนวาดจากการที่สังเกตดูแล้ว ละเอียดและประณีตเอามากๆ นับว่าเป็นฝีมือระดับชั้นครูเลยล่ะ
เขาไปหยุดอยู่ตรงภาพวาดของดอกกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นภาพที่สวยงามที่สุดในห้องแห่งนั้นเลยก็ว่าได้
“ภาพกล้วยไม้อะไรวะ สวยอย่างกับของจริงเลย”
“เอื้องแซะน่ะ” ภูริตเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กับเพื่อนหนุ่ม เงยหน้ามองภาพนั้นด้วยความชื่นชมไม่แพ้กัน
“เอื้องแซะ ไม่เคยได้ยินว่ะ เป็นยังไงล่ะ”
“ก็อย่างที่เห็นน่ะแหละ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงยียวน จนเจ้าเพื่อนหันกลับมามองด้วยดวงตาเขียวปัดทันที
“กวนแระมึง...ฉันหมายถึงมันมีลักษณะที่พิเศษยังไงต่างหาก”
ภูริตยิ้มแหะ ก่อนจะปรับสีหน้าไม่ให้หัวเราะและทำลายน้ำใจของเพื่อนมากจนเกินไป เขาลืมไปว่าสิชลไม่ใช่คนภาคเหนือ เอื้องแซะ ซึ่งเป็นพรรณไม้หายาก เขาจะรู้จักได้อย่างไร นอกจากคนที่ชอบเลี้ยงกล้วยไม้อย่างแท้จริงนั่นแหละถึงจะรู้จัก
“เออๆ ไม่กวนก็ได้”
“แล้วมันเป็นยังไงวะ ถึงได้เรียกว่าเอื้องแซะ”
“นายอยากจะรู้จริงๆ หรือ” หลิ่วตามองเพื่อนหนุ่มด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ฉันถาม ทำไมนายจะต้องย้อนตลอดด้วยฮึ ไอ้ภู บอกมาซะดีๆ นะเว้ย”
“ก็ได้...เอื้องแซะน่ะ เป็นกล้วยไม้พันธุ์หนึ่งที่หายากที่สุด เกิดขึ้นในป่าดิบชื้นและสิ่งที่ทำให้มันเป็นของหายากนั้น ก็เพราะจุดที่มันเกิดน่ะ มันเล่นไปอยู่ที่สูง ตรงภูผาที่มีความชื้นพอเพียง ใครเห็นแล้วก็ต้องถอดใจเพราะพ่อคุณอยู่สูงเหลือเกิน จะเอาแต่ละที ต้องเป็นคนที่รักและอยากได้ที่สุดนั่นแหละ เพราะมันอาจจะเสี่ยงต่อการตกมาตายได้...
“คุณสมบัติพิเศษของกล้วยไม้ชนิดนี้ก็คือกลิ่นของมันที่หอมมากๆ หอมกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นๆ เสียอีก คนเฒ่าคนแก่ท่านว่า ไม้ชนิดนี้เป็นของสูงเป็นดอกเอื้องของเทวดายากนักที่มนุษย์จะเห็นได้ ฉันเคยค้นประวัติบางส่วนของกล้วยไม้ชนิดนี้นะ เขาบอกว่าแต่ก่อนนั้นเอื้องแซะเป็นกล้วยไม้ต้องห้ามเพราะเชื่อมีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ ถึงขนาดในราชสำนักเชียงใหม่สั่งห้ามการนำมาปลูกเลี้ยงในที่ของตน ในช่วงหลังๆ เพราะกลิ่นหอมของมันจึงทำให้ความเชื่อเหล่านี้ลดลง เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่เคยใช้เอื้องแซะนี้แทนเครื่องบรรณาการถวายกรุงรัตนโกสินทร์เพื่อบ่งบอกถึงความจงรักภักดี”
“แค่ที่มาก็น่าอัศจรรย์แล้ว แล้วภาพนี้ล่ะมาได้ยังไง ใครเป็นคนวาด”
“ท่านทวดภูคำน่ะ นายรู้ไหมภาพนี้น่ะมีอายุเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะเว้ย”
“ท่านทวดภูคำ ชื่อคล้ายๆ นายเลยว่ะ ภูริต”
“อืม...คุณย่าบอกว่าท่านทวดภูคำกลับชาติมาเกิดมาเป็นฉันน่ะ”
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง” อีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินชมภาพอื่นๆ ต่อไปโดยไม่ถามอะไรให้มากความอีก
ฝ่ายภูริตเดินแยกเข้าห้องครัวไปอย่างคุ้นเคย เขาพูดคุยสั่งงานคนขับรถซึ่งแยกไปพักยังห้องพักที่อยู่ข้างหลังบ้านคำสองคำ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับแก้วน้ำ
“ทานน้ำก่อนเพื่อน ห้องน้ำอยู่ด้านหลังนะ ส่วนห้องนอนอยู่ทางซ้ายมือ นายอยากจะพักก็เข้าไปพักก่อน”
“อ้าวแล้วนายล่ะภูริต”
“ฉันจะขอไปอ่านหนังสือที่ซุ้มศาลาด้านนอก นายอาบน้ำถ้ายังไม่นอนก็ออกไปคุยกันได้”
เขาว่าพร้อมกับค้นหนังสือเล่มหนึ่งและเดินออกไปในทันที ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเกาหัวกับอาการที่รวดเร็วของเจ้าเพื่อนหนุ่ม
“จะอ่านอะไรนักหนาวะ พรุ่งนี้ก็จะไปที่นั่นแล้ว ไอ้ภูเอ้ย”
////
ภูริตเดินออกมายังด้านนอกของตัวบ้านไม้เรือนไทย ศาลาไม้ซึ่งทำเป็นซุ้มปกคลุมด้วยดอกพวงชมพู ที่บัดนี้กำลังหลับใหลไปกับรัตติกาลที่มาเยือนไม่กี่สิบนาทีที่ผ่านไป กลิ่นหอมของไม้ดอกหลากหลายชนิดยังคงลอยเวียนวนโดยรอบ
เจ้าหนุ่มเดินเข้าไปหยุดในศาลา มือหนาเอื้อมไปกดสวิทซ์ไฟอย่างคุ้นชิน ก่อนจะขยับไปนั่งเก้าอี้ไม้ ซึ่งมีโต๊ะรากไม้ถูกจัดทำขึ้นอย่างลงตัววางอยู่ตรงกลาง ชายหนุ่มวางหนังสือเล่มนั้นลง ก่อนจะกวาดสายตามองไปโดยรอบของอาณาบริเวณเหล่านั้น ความเงียบ แม้จะมีเสียงของสรรพสัตว์กรีดปีกบรรเลงบทเพลงอย่างไพเราะหากมันไม่ได้ทำให้สมาธิของเขาห่างหายไปไหนเลย
บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ บวกกับอากาศหนาวซึ่งลอยเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมของมวลไม้ดอกหอม ทำให้เขารู้สึกสดชื่นมากยิ่งขึ้น อาการเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ดูเหมือนจะหายไปพร้อมๆ กับความรู้สึกปีติยินดีที่ได้เดินทางมาถึงยังที่แห่งนี้
เหตุใดถึงยินดี...คำถามก่อเกิดขึ้นอีกครั้ง
หากแต่ก็สุดรู้เช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ มองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งที่เขาสนใจ ในนั้นมันมีความรู้เกี่ยวกับประวัติของเมืองน่านและวรนคร หัวเมืองเล็กๆ ของล้านนาทางตะวันออก ที่มีประวัติการณ์อันยาวนานไม่แพ้กับเชียงใหม่เลยสักนิด
เป็นเมืองเล็กภายใต้หุบเขาที่โอบล้อมรอบ มีประชาชนซึ่งในสมัยนี้ยังคงรักษาซึ่งความดีงาม ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในครั้งที่เขาเดินทางมาที่นี่ในครั้งแรก ก็ก่อเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้เจอกับผู้คนที่นี่เช่นกัน
เช่นเดียวกับผู้คนที่อำเภอปัว ในครั้งที่เขาไปยังที่นั่นพร้อมกับคณาจารย์ แม้จะเป็นคนต่างถิ่น หากผู้คนที่นั่นกลับไม่เคยคิดรังเกียจ พวกเขาต้อนรับคณะนักโบราณคดีด้วยความยินดี แถมยังให้ความร่วมมือในหลายๆ ด้าน ตลอดจนการแนะนำให้เขาได้รู้จักกับผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ ในการสืบเสาะและสอบถามหาประวัติบางตอนที่ขาดหายไป
แม้จะไม่ได้ข้อมูลอะไรมากไปกว่าเดิม แต่การได้พบปะพูดคุยกับคนพวกนั้น กลับทำให้ชาวคณะในครั้งนั้นรู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนัก
สายลมหนาวยังคงพัดเข้ามาเป็นระยะ เหนือไม้ใหญ่ไกลออกไปภายในความมืด มีริ้วสายหมอกลอยคว้างประดับอย่างสวยงาม หยาดน้ำค้างตกกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะปะเช่นเดียวกับเหล่าจิ้งหรีดที่ออกมากรีดปีกยังปากหลุม เพื่อหาคู่
ห่างไกลออกไป ท่ามกลางครองจักษุการมองเห็นปรากฏภาพๆ หนึ่งที่ทำให้เขาแทบตะลึง
ห่างออกไปทางใต้ต้นไม้ใหญ่ ปรากฏภาพของชายผู้หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่กำยำ แผงอกอันเปลือยเปล่านั้นเป็นมันเงาสะท้อนแสงจันทร์ เขาคนนั้นอยู่ในชุดกางเกงผ้าฝ้ายสีเนื้อ แม้จะอยู่ภายใต้เงามือ หากชายหนุ่มกลับเห็นชัดซึ่งกรอบหน้าคมนั้น กับแววตาที่ฉายชัดซึ่งความหม่นเศร้า
ภูริตเหมือนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดที่ร้ายแรง ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ แม้ปรารถนาจะยกมือขึ้นขยี้ตาและอยากจะเชื่อว่าร่างนั้นคือคน ทว่ามันก็มีสิ่งหนึ่งยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ในยามที่สองหูสดับตลับฟังซึ่งเสียงที่ลอยมาจากร่างนั้น
‘ช่วยด้วย...ช่วยเราด้วยเจ้าน้อย...’
“เจ้าน้อย...”
เขาทวนชื่ออันคุ้นเคยนั้นเสียงแผ่วเบา รู้สึกซึ่งความหนาวเหน็บที่มันแล่นริ้วจากแผ่นหลังขึ้นมาจนถึง
กลางกระหม่อม รับรู้ถึงความร้อนและหนาวปะปนกัน ก่อนจะรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าหมุนคว้างและเบลอแล้วค่อยๆ หายไป
เจ้าน้อย...เจ้าน้อยอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
ชายหนุ่มได้มีโอกาสทวนชื่อเพียงแค่นั้น เมื่อจู่ๆ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ก็ดับวูบไปในทันที เสมือนภาพบนจอโทรทัศน์ที่ถูกปิดฉับลงไป
////
หลังจากสติที่ได้ดับวูบไปนั้น ภูริตก็รู้สึกตัวอีกครั้ง ทว่าคราวนี้โดยรอบกลับมีแต่สีขาวของสายหมอกอันหนาทึบ จะมองไปทางไหนก็เหมือนจะเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นเป็นยิ่งนัก
เขาเหมือนหลงอยู่ภายในโลกอีกโลกหนึ่งที่แม้จะมองไปทางไหน เพื่อจะหาจุดสังเกตว่าตนกำลังยืนอยู่ตรงจุดไหนกลับไม่มีเอาเสียเลย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินในเวลานี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงได้แต่ทอดกายเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เพราะยังหวังบางทีสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะช่วยนำพาให้เขาหลุดพ้นไปจากสถานที่บ้าๆ นี้ได้
“เจ้า...เจ้าน้อย”
ท่ามกลางความเงียบเหล่านั้น จู่ๆ เสียงเรียกอันคุ้นหูก็ดังขึ้นและนั่นมันก็เหมือนจะเป็นความหวังให้เขาได้หลุดพ้นไปจากสถานที่แห่งนี้ได้
“ใคร...ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย” เสียงแหบพร่า ทั้งนึกกลัวและตกใจดังจากเรียวปากได้รูปของชายหนุ่ม
“เจ้าน้อย...ช่วยเราด้วย ช่วยด้วย” เสียงที่สะท้อนกลับมา เหมือนอย่างจะขอความช่วยเหลือไม่แพ้กัน
ภูริตยืนนิ่งตรงนั้นเหมือนอย่างจะต้องมนต์สะกดอีกคราหนึ่ง ช่วยด้วยหรือ...เจ้าน้อยหรือ...
แม้จะเริ่มนึกกลัวต่อเสียงที่ดังเข้ามาและเหมือนจะดังมาจากสถานที่อันแสนไกลกัน ยังดังอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มจะทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวต่อเสียงเหล่านั้นขึ้นมาทุกขณะ
เสียงนั้นเหมือนอย่างจะติดอยู่ในหล่มลึกของห้วงเหวของที่ไหนสักที่
แล้วเขาล่ะ ตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
“เจ้าน้อย...ช่วยด้วย ช่วยเฮาด้วยเต๊อะ”
ทันทีที่เสียงของเขาซึ่งหลุดพ้นออกจากริมฝีปาก ก็บังเกิดเสียงร้องขอความช่วยเหลือตาม เหมือนจะเป็นเสียงสะท้อนของเขาเสียด้วยซ้ำ
ช่วย...เขาจะช่วยใครได้อย่างไร ก็ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าตนเองอยู่ที่ไหน
ทันทีที่เขาคิดเช่นนั้น จู่ๆ หมอกสลัวเริ่มจะหมุนคว้างอีกครั้ง มันหมุนวนไปรอบๆ ตัวขอเขาจากช้าแล้วค่อยๆ เร็ว
ขึ้นทุกขณะ เช่นเดียวกับเสียงนั้นที่ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องจนสับสนไปหมด
“ช่วยด้วย ช่วยเฮาด้วย...เจ้าน้อย ช่วยด้วย...”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับ ทั้งสับสนต่อเสียงที่ได้ยินและเริ่มจะงุนงงต่อภาพซึ่งหมุนไปโดยรอบจนเวียนหัวไปหมด เขาทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น พยายามเป็นอย่างยิ่งจะไม่ให้ได้ยินได้เห็นเสียงและภาพเหล่านั้น
ทว่าเหมือนกับว่ายิ่งปิดบัง ความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายเหล่านั้นจะยิ่งหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะหลับตา หากภาพที่หมุนคว้างเหล่านั้นกลับเด่นชัด แม้จะปิดหูเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นกลับยิ่งชัดเจน
มันเกิดอะไรขึ้น....
“ไม่!!!!”
เมื่อสุดจะทานทน เขาจึงได้ตะเบ็งเสียงที่มีทั้งหมดให้ออกมาจนสุดเสียง ก่อนจะผุดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าทั่วทั้งเนื้อตัวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนสองหูจะแว่วได้ยินเสียงเรียกของสิชลและชัดเจนในที่สุด
“ภู...ภูริต นายเป็นอะไร ภูริต”
สองตาค่อยๆ ลืมขึ้น ก่อนภาพตรงหน้าที่เด่นชัดจะเป็นภาพใบหน้าของสิชลซึ่งยื่นเข้ามาใกล้จนเกือบจะชิด
ชายหนุ่มหอบหายใจปานว่าจะผ่านการวิ่งมาหลายสิบกิโลเมตรจนเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อหลั่งรินผ่านดวงตาจนรู้สึกแสบและอดจะยกมือขึ้นมาปาดมันออกไปไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น...”
เขาครางถามเสียงเครือ ก่อนสายตาจะกวาดมองไปรอบๆ
“ฉันเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง”
“ก็นายหลับไป คงจะเพราะความเหนื่อยมั้ง ฉันไปเห็นเข้าเลยพาเข้ามา นายนี่ขี้เซาไม่หายเลยนะ นี่ถ้าฉันไม่ไปเจอเข้าเสียก่อน ปานนี้คงถูกยุงหามไปกินแล้วล่ะ”
สิชลลำดับเรื่องราวบอกเพื่อนหนุ่ม ขณะภูริตพยักหน้าเข้าใจและไม่งงอีกต่อไปว่าเหตุใดตนถึงได้มาอยู่ภายในห้องนี้ได้
“แล้วเมื่อกี้คงจะฝันร้ายล่ะสิ ถึงได้ร้องลั่นห้องเลย ปานนี้คุณย่าคงจะตกใจตื่นแล้วมั้ง”
“เอ่อ...นิดหน่อย ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ ขอตัวก่อนนะ”
เขาบอก พร้อมกับลุกขึ้น ไม่อยากจะพูดให้อีกฝ่ายถามให้มากความ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวและเดินออกจากห้อง
ไปในที่สุด
พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปมาก ในที่สุดคนรถของบ้านภูริตจึงได้พารถเข้ามาจอดภายในอาณาบริเวณของบ้านเรือนไทยหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบ้านมีศักดิ์เป็นย่าของเขา
ทุกครั้งที่มาน่าน ชายหนุ่มก็มักจะมาขอพักกับคุณย่าที่เรือนหลังนี้ทุกครั้งไป
กะว่า ก่อนจะเข้าอำเภอปัว คืนนี้เขาจะขอพักที่บ้านคุณย่าสักคืนหนึ่งเสียก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางเข้าอำเภอปัวเพื่อจะสืบเสาะหาความจริงบางอย่างต่อไป
ความจริงที่ว่ามันคอยจะกวักมือเรียกและเรียกร้องให้เขากลับไป ณ ที่แห่งนั้นอยู่ทุกวินาทีของลมหายใจ
เป็นไปได้อย่างไร...พร้อมๆ กับความรู้สึกที่อยากจะทะยานไปที่นั่น ทว่าอีกหัวใจหนึ่งยังคงคอยตั้งคำถามควบคู่กันไปตลอดเวลา
เหตุใดจึงต้องคิดอยากจะไปที่นั่น
ที่แห่งนั้นมันมีอะไร แล้วทำไม จะต้องเป็นเขาที่ต้องไปค้นหามัน
‘เจ้าจะต้องไปเจ้าน้อย...’
หากยังมีเสียงหนึ่งคอยย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาและทุกครั้งที่ได้ยินมัน เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้ แถมความรู้สึกที่ลอยเข้ามากับเสียงเหล่านั้น กลับสร้างความเจ็บปวดให้เขาเหลือจะคณนา
เจ็บ...เจ็บปวดเหลือแสน
บางสิ่งบางอย่างบอกเขาเช่นนั้น
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ พร้อมกับไฟหน้าบ้านที่เปิดขึ้น ก่อนเจ้าของบ้านจะเดินออกมาชะเง้อมองผู้มาเยือนในยามเย็นเช่นนี้อย่างแปลกใจ
ต่อเมื่อเห็นผู้ซึ่งลงมายืนข้างรถอย่างเต็มตัวและเดินเข้ามานั่นแหละ หญิงชราจึงได้คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
“ภูริต...นั่นหลานจริงๆ รึนั่น”
“สวัสดีครับคุณย่า” ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้หญิงชราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
บ้านเกิดของผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ที่น่าน นั่นก็เท่ากับว่าเชื้อสายที่แท้จริงของเขานั้นมากกว่าครึ่งก็คือคนที่นี่ เขาจึงไม่รู้สึกคลางแคลงในหัวใจเลย เมื่อภายในใจอยากจะทะยานกลับมาที่แห่งนี้และการเข้าเรียนในสาขา
ประวัติศาสตร์ ก็ทำให้เขาสนใจในประวัติของล้านนาเป็นพิเศษกว่าที่อื่นๆ
โดยเฉพาะ...ศิลปะน่านนคร
นอกจากจะมีเชื้อสายของชาวล้านนาตะวันออกแล้ว บางทีอดีตชาติของเขาก็อาจจะคงเคยเกิดในดินแดนแห่งนี้ก็เป็นได้
“จะมาทำไมไม่โทรมาบอกย่าก่อนฮึ ย่าจะได้จัดห้องให้” หญิงชราทำเสียงขึ้นจมูกอย่างนึกหมั่นไส้ ที่เจ้าหลานชอบมาแบบไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้อยู่ร่ำไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมขอมาพักแค่คืนเดียวเท่านั้นจะนอนที่ไหนก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะเข้าปัวน่ะครับ มาทำงาน”
“เมืองปัวอีกแล้วรึ...อ้าวนั่นพาเพื่อนมาด้วย มาๆ เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ”
หลังเห็นว่าสิชลตามลงมาจากรถและยกมือขึ้นพนมไหว้หญิงชรา ย่าบัวคำจึงเอ่ยเชื้อเชิญให้คนทั้งหมดเข้าไปคุยกันในบ้าน
จากนั้นทั้งหมดจึงเข้ามาคุยกันต่อในบ้าน หลังจากแนะนำให้กับผู้เป็นย่าได้รู้จักกับเพื่อนของเขาแล้ว ชายหนุ่มจึงคุยถึงเรื่องที่ตนต้องเดินทางมาที่นี่อีกครั้ง
“พอดีอาจารย์ท่านให้ทำงานวิจัยน่ะครับ ผมก็เลยคิดว่าประวัติวรนครน่าสนใจมากที่สุด”
“จะดีหรือภูริต...เวลามันนานมาแล้วนะ อีกอย่างเวลานี้เมืองปัวเปิ้นก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรให้เราศึกษาแล้ว เวลามันผ่านมาหลายร้อยปีแล้วนะหลาน”
ผู้เป็นย่าถามอย่างเป็นห่วง กลัวว่าการมาครั้งนี้ของผู้เป็นหลานจะกลายเป็นว่าไม่ได้ความอะไร ไม่ต่างกับการมาคราวก่อนกับคณาจารย์ของกรมศิลป์ฯ ที่กลับไปแต่เพียงข้อมูลเดิมๆ ซึ่งเคยมีอยู่แล้ว
“แต่ผมกลับคิดว่า ด้วยระยะที่ผ่านมานาน จะทำให้เรายิ่งรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่ามากแค่ไหน ถ้าหากว่าเราได้ข้อมูลที่แตกต่างจากที่ผ่านมา มันก็ถือว่าดีไม่ใช่หรือครับ”
สำหรับชายหนุ่มเขากลับคิดเป็นอีกอย่าง เขาคิดว่าสิ่งที่คอยชักจูงให้เขามาที่นี่แหละจะเป็นตัวเชื่อมโยงและคอยบอกบางสิ่งบางอย่างกับเขา
ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้อย่างเด่นชัดก็คือ คำตอบทั้งหมดจะต้องอยู่ที่นั่น
วรนคร...กับ...วัดเชียงหมิ่น
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจย่าไม่รบกวนละตามสบายนะ สิชลด้วยนะตามสบายนะถือซะว่าเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของตัวเอง ย่าขอตัวเข้านอนก่อนก็แล้วกัน คนแก่แล้วมักจะนอนแต่หัวค่ำแบบนี้แหละหลานเอ้ย” เอ่ยบอก พร้อมกับหันไปส่งยิ้มอย่างเมตตาให้กับชายหนุ่มอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนของหลานชาย ก่อนคนอายุมากกว่าจะหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินจากไปในที่สุด
มาถึงบ้านหลังนี้สิชลยังไม่ลดความตื้นเต้นกับความเป็นไทยล้านนาไม่หาย บ้านหลังนี้นอกจากจะบ่งบอกเอกลักษณ์เหล่านั้นแล้ว บรรยากาศโดยรอบไม่ว่าจะเป็นมวลอากาศเย็นซึ่งมาเยือนนับตั้งแต่ที่พระอาทิตย์ลาลับไปกับกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดก็ทำให้เขารู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งไม่แพ้กัน
“บ้านคุณย่าบัวคำ น่าอยู่จังว่ะภู ร่มรื่น เย็นสบายทำให้ฉันหายเหนื่อยเลยแหละ” รอยยิ้มกับความกระตือรือร้นบวกกับความตื่นเต้น ทำให้ภูริตอดจะขำกับท่าทีเหล่านั้นไม่ได้
มันก็คงจะไม่ต่างจากเขาซึ่งมาที่นี่เป็นคราวแรกนั่นล่ะ
รู้สึกคุ้น...ทั้งๆ ที่มาครั้งแรก
แถมยังรู้สึกเหมือนว่าอาณาบริเวณโดยรอบยังเป็นเหมือนพื้นที่ ซึ่งเขาเคยเดินเล่นมาก่อนเช่นเดียวกัน
พ่อของเขาเคยเล่าว่า ท่านทวดภูคำ บิดาของย่าบัวคำซึ่งเสียไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มาเกิดเป็นเขา ตามความเชื่อที่ยังเชื่อกันอยู่และบ้านหลังนี้ก็เคยเป็นที่อยู่อาศัยของท่านทวดภูคำ แม้จะไม่เชื่อในเรื่องอดีตชาติกับเรื่องเหลือเชื่อเหล่านั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยคิดจะลบหลู่ หรือแม้กระทั่งการไปทำลายความเชื่อของบรรพบุรุษ
ในเมื่อคุณพ่อและทุกๆ คนเชื่อเช่นนั้น เขาก็ไม่คิดขัด ถ้าจะคิดก็คิดไป...
“เป็นเรือนไทยโบราณด้วย อย่างกับคุ้มกับวังเก่าเลยแหละนาย ถามจริง นายมีเชื้อเจ้าป่ะน่ะ”
“เปล่า ไม่มีหรอก คุณย่าเคยเล่าว่า พ่อของท่านหมายถึงท่านทวดน่ะ ท่านเคยเป็นข้าหลวงในสมเด็จเจ้าหลวงเมืองน่านในสมัยนั้นก็เท่านั้น”
เขาเอ่ยถึงประวัติ ซึ่งผู้เป็นย่าเคยเล่าถึงเชื้อชาติเก่าก่อนของตนเองให้ฟังในตอนเด็กๆ ครั้งแรกที่เคยมาที่แห่งนี้
“โอ้โห...เป็นข้าหลวงเลยหรือ ถึงว่าครอบครัวนายแต่ละคนถึงได้เป็นใหญ่เป็นโตกันทั้งนั้น คุณพ่อของนายก็เป็นถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ฉันล่ะอิจฉายังไม่หาย”
“นายก็ว่าเกินไป คุณลุงสมยศ ลุงของนายก็เป็นนายทหารเพื่อนของพ่อฉันไม่ใช่หรือ มันก็พอๆ กันน่ะแหละ อย่าอิจฉาไปเลยเพื่อน” เขาหัวเราะกับท่าทีของเพื่อนหนุ่ม
“เออๆ ไม่อิจฉาก็ไม่อิจฉา”
สิชลบอกปัดไปในที่สุด ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น แล้วเดินไปตามตู้โชว์ซึ่งมีภาพวาดตั้งประดับเอาไว้ แต่ละภาพเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก ฝีมือของคนวาดจากการที่สังเกตดูแล้ว ละเอียดและประณีตเอามากๆ นับว่าเป็นฝีมือระดับชั้นครูเลยล่ะ
เขาไปหยุดอยู่ตรงภาพวาดของดอกกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นภาพที่สวยงามที่สุดในห้องแห่งนั้นเลยก็ว่าได้
“ภาพกล้วยไม้อะไรวะ สวยอย่างกับของจริงเลย”
“เอื้องแซะน่ะ” ภูริตเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กับเพื่อนหนุ่ม เงยหน้ามองภาพนั้นด้วยความชื่นชมไม่แพ้กัน
“เอื้องแซะ ไม่เคยได้ยินว่ะ เป็นยังไงล่ะ”
“ก็อย่างที่เห็นน่ะแหละ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงยียวน จนเจ้าเพื่อนหันกลับมามองด้วยดวงตาเขียวปัดทันที
“กวนแระมึง...ฉันหมายถึงมันมีลักษณะที่พิเศษยังไงต่างหาก”
ภูริตยิ้มแหะ ก่อนจะปรับสีหน้าไม่ให้หัวเราะและทำลายน้ำใจของเพื่อนมากจนเกินไป เขาลืมไปว่าสิชลไม่ใช่คนภาคเหนือ เอื้องแซะ ซึ่งเป็นพรรณไม้หายาก เขาจะรู้จักได้อย่างไร นอกจากคนที่ชอบเลี้ยงกล้วยไม้อย่างแท้จริงนั่นแหละถึงจะรู้จัก
“เออๆ ไม่กวนก็ได้”
“แล้วมันเป็นยังไงวะ ถึงได้เรียกว่าเอื้องแซะ”
“นายอยากจะรู้จริงๆ หรือ” หลิ่วตามองเพื่อนหนุ่มด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ฉันถาม ทำไมนายจะต้องย้อนตลอดด้วยฮึ ไอ้ภู บอกมาซะดีๆ นะเว้ย”
“ก็ได้...เอื้องแซะน่ะ เป็นกล้วยไม้พันธุ์หนึ่งที่หายากที่สุด เกิดขึ้นในป่าดิบชื้นและสิ่งที่ทำให้มันเป็นของหายากนั้น ก็เพราะจุดที่มันเกิดน่ะ มันเล่นไปอยู่ที่สูง ตรงภูผาที่มีความชื้นพอเพียง ใครเห็นแล้วก็ต้องถอดใจเพราะพ่อคุณอยู่สูงเหลือเกิน จะเอาแต่ละที ต้องเป็นคนที่รักและอยากได้ที่สุดนั่นแหละ เพราะมันอาจจะเสี่ยงต่อการตกมาตายได้...
“คุณสมบัติพิเศษของกล้วยไม้ชนิดนี้ก็คือกลิ่นของมันที่หอมมากๆ หอมกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นๆ เสียอีก คนเฒ่าคนแก่ท่านว่า ไม้ชนิดนี้เป็นของสูงเป็นดอกเอื้องของเทวดายากนักที่มนุษย์จะเห็นได้ ฉันเคยค้นประวัติบางส่วนของกล้วยไม้ชนิดนี้นะ เขาบอกว่าแต่ก่อนนั้นเอื้องแซะเป็นกล้วยไม้ต้องห้ามเพราะเชื่อมีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ ถึงขนาดในราชสำนักเชียงใหม่สั่งห้ามการนำมาปลูกเลี้ยงในที่ของตน ในช่วงหลังๆ เพราะกลิ่นหอมของมันจึงทำให้ความเชื่อเหล่านี้ลดลง เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่เคยใช้เอื้องแซะนี้แทนเครื่องบรรณาการถวายกรุงรัตนโกสินทร์เพื่อบ่งบอกถึงความจงรักภักดี”
“แค่ที่มาก็น่าอัศจรรย์แล้ว แล้วภาพนี้ล่ะมาได้ยังไง ใครเป็นคนวาด”
“ท่านทวดภูคำน่ะ นายรู้ไหมภาพนี้น่ะมีอายุเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะเว้ย”
“ท่านทวดภูคำ ชื่อคล้ายๆ นายเลยว่ะ ภูริต”
“อืม...คุณย่าบอกว่าท่านทวดภูคำกลับชาติมาเกิดมาเป็นฉันน่ะ”
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง” อีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินชมภาพอื่นๆ ต่อไปโดยไม่ถามอะไรให้มากความอีก
ฝ่ายภูริตเดินแยกเข้าห้องครัวไปอย่างคุ้นเคย เขาพูดคุยสั่งงานคนขับรถซึ่งแยกไปพักยังห้องพักที่อยู่ข้างหลังบ้านคำสองคำ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับแก้วน้ำ
“ทานน้ำก่อนเพื่อน ห้องน้ำอยู่ด้านหลังนะ ส่วนห้องนอนอยู่ทางซ้ายมือ นายอยากจะพักก็เข้าไปพักก่อน”
“อ้าวแล้วนายล่ะภูริต”
“ฉันจะขอไปอ่านหนังสือที่ซุ้มศาลาด้านนอก นายอาบน้ำถ้ายังไม่นอนก็ออกไปคุยกันได้”
เขาว่าพร้อมกับค้นหนังสือเล่มหนึ่งและเดินออกไปในทันที ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเกาหัวกับอาการที่รวดเร็วของเจ้าเพื่อนหนุ่ม
“จะอ่านอะไรนักหนาวะ พรุ่งนี้ก็จะไปที่นั่นแล้ว ไอ้ภูเอ้ย”
////
ภูริตเดินออกมายังด้านนอกของตัวบ้านไม้เรือนไทย ศาลาไม้ซึ่งทำเป็นซุ้มปกคลุมด้วยดอกพวงชมพู ที่บัดนี้กำลังหลับใหลไปกับรัตติกาลที่มาเยือนไม่กี่สิบนาทีที่ผ่านไป กลิ่นหอมของไม้ดอกหลากหลายชนิดยังคงลอยเวียนวนโดยรอบ
เจ้าหนุ่มเดินเข้าไปหยุดในศาลา มือหนาเอื้อมไปกดสวิทซ์ไฟอย่างคุ้นชิน ก่อนจะขยับไปนั่งเก้าอี้ไม้ ซึ่งมีโต๊ะรากไม้ถูกจัดทำขึ้นอย่างลงตัววางอยู่ตรงกลาง ชายหนุ่มวางหนังสือเล่มนั้นลง ก่อนจะกวาดสายตามองไปโดยรอบของอาณาบริเวณเหล่านั้น ความเงียบ แม้จะมีเสียงของสรรพสัตว์กรีดปีกบรรเลงบทเพลงอย่างไพเราะหากมันไม่ได้ทำให้สมาธิของเขาห่างหายไปไหนเลย
บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ บวกกับอากาศหนาวซึ่งลอยเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมของมวลไม้ดอกหอม ทำให้เขารู้สึกสดชื่นมากยิ่งขึ้น อาการเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ดูเหมือนจะหายไปพร้อมๆ กับความรู้สึกปีติยินดีที่ได้เดินทางมาถึงยังที่แห่งนี้
เหตุใดถึงยินดี...คำถามก่อเกิดขึ้นอีกครั้ง
หากแต่ก็สุดรู้เช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ มองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งที่เขาสนใจ ในนั้นมันมีความรู้เกี่ยวกับประวัติของเมืองน่านและวรนคร หัวเมืองเล็กๆ ของล้านนาทางตะวันออก ที่มีประวัติการณ์อันยาวนานไม่แพ้กับเชียงใหม่เลยสักนิด
เป็นเมืองเล็กภายใต้หุบเขาที่โอบล้อมรอบ มีประชาชนซึ่งในสมัยนี้ยังคงรักษาซึ่งความดีงาม ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในครั้งที่เขาเดินทางมาที่นี่ในครั้งแรก ก็ก่อเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้เจอกับผู้คนที่นี่เช่นกัน
เช่นเดียวกับผู้คนที่อำเภอปัว ในครั้งที่เขาไปยังที่นั่นพร้อมกับคณาจารย์ แม้จะเป็นคนต่างถิ่น หากผู้คนที่นั่นกลับไม่เคยคิดรังเกียจ พวกเขาต้อนรับคณะนักโบราณคดีด้วยความยินดี แถมยังให้ความร่วมมือในหลายๆ ด้าน ตลอดจนการแนะนำให้เขาได้รู้จักกับผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ ในการสืบเสาะและสอบถามหาประวัติบางตอนที่ขาดหายไป
แม้จะไม่ได้ข้อมูลอะไรมากไปกว่าเดิม แต่การได้พบปะพูดคุยกับคนพวกนั้น กลับทำให้ชาวคณะในครั้งนั้นรู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนัก
สายลมหนาวยังคงพัดเข้ามาเป็นระยะ เหนือไม้ใหญ่ไกลออกไปภายในความมืด มีริ้วสายหมอกลอยคว้างประดับอย่างสวยงาม หยาดน้ำค้างตกกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะปะเช่นเดียวกับเหล่าจิ้งหรีดที่ออกมากรีดปีกยังปากหลุม เพื่อหาคู่
ห่างไกลออกไป ท่ามกลางครองจักษุการมองเห็นปรากฏภาพๆ หนึ่งที่ทำให้เขาแทบตะลึง
ห่างออกไปทางใต้ต้นไม้ใหญ่ ปรากฏภาพของชายผู้หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่กำยำ แผงอกอันเปลือยเปล่านั้นเป็นมันเงาสะท้อนแสงจันทร์ เขาคนนั้นอยู่ในชุดกางเกงผ้าฝ้ายสีเนื้อ แม้จะอยู่ภายใต้เงามือ หากชายหนุ่มกลับเห็นชัดซึ่งกรอบหน้าคมนั้น กับแววตาที่ฉายชัดซึ่งความหม่นเศร้า
ภูริตเหมือนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดที่ร้ายแรง ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ แม้ปรารถนาจะยกมือขึ้นขยี้ตาและอยากจะเชื่อว่าร่างนั้นคือคน ทว่ามันก็มีสิ่งหนึ่งยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ในยามที่สองหูสดับตลับฟังซึ่งเสียงที่ลอยมาจากร่างนั้น
‘ช่วยด้วย...ช่วยเราด้วยเจ้าน้อย...’
“เจ้าน้อย...”
เขาทวนชื่ออันคุ้นเคยนั้นเสียงแผ่วเบา รู้สึกซึ่งความหนาวเหน็บที่มันแล่นริ้วจากแผ่นหลังขึ้นมาจนถึง
กลางกระหม่อม รับรู้ถึงความร้อนและหนาวปะปนกัน ก่อนจะรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าหมุนคว้างและเบลอแล้วค่อยๆ หายไป
เจ้าน้อย...เจ้าน้อยอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
ชายหนุ่มได้มีโอกาสทวนชื่อเพียงแค่นั้น เมื่อจู่ๆ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ก็ดับวูบไปในทันที เสมือนภาพบนจอโทรทัศน์ที่ถูกปิดฉับลงไป
////
หลังจากสติที่ได้ดับวูบไปนั้น ภูริตก็รู้สึกตัวอีกครั้ง ทว่าคราวนี้โดยรอบกลับมีแต่สีขาวของสายหมอกอันหนาทึบ จะมองไปทางไหนก็เหมือนจะเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นเป็นยิ่งนัก
เขาเหมือนหลงอยู่ภายในโลกอีกโลกหนึ่งที่แม้จะมองไปทางไหน เพื่อจะหาจุดสังเกตว่าตนกำลังยืนอยู่ตรงจุดไหนกลับไม่มีเอาเสียเลย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินในเวลานี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงได้แต่ทอดกายเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เพราะยังหวังบางทีสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะช่วยนำพาให้เขาหลุดพ้นไปจากสถานที่บ้าๆ นี้ได้
“เจ้า...เจ้าน้อย”
ท่ามกลางความเงียบเหล่านั้น จู่ๆ เสียงเรียกอันคุ้นหูก็ดังขึ้นและนั่นมันก็เหมือนจะเป็นความหวังให้เขาได้หลุดพ้นไปจากสถานที่แห่งนี้ได้
“ใคร...ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย” เสียงแหบพร่า ทั้งนึกกลัวและตกใจดังจากเรียวปากได้รูปของชายหนุ่ม
“เจ้าน้อย...ช่วยเราด้วย ช่วยด้วย” เสียงที่สะท้อนกลับมา เหมือนอย่างจะขอความช่วยเหลือไม่แพ้กัน
ภูริตยืนนิ่งตรงนั้นเหมือนอย่างจะต้องมนต์สะกดอีกคราหนึ่ง ช่วยด้วยหรือ...เจ้าน้อยหรือ...
แม้จะเริ่มนึกกลัวต่อเสียงที่ดังเข้ามาและเหมือนจะดังมาจากสถานที่อันแสนไกลกัน ยังดังอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มจะทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวต่อเสียงเหล่านั้นขึ้นมาทุกขณะ
เสียงนั้นเหมือนอย่างจะติดอยู่ในหล่มลึกของห้วงเหวของที่ไหนสักที่
แล้วเขาล่ะ ตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
“เจ้าน้อย...ช่วยด้วย ช่วยเฮาด้วยเต๊อะ”
ทันทีที่เสียงของเขาซึ่งหลุดพ้นออกจากริมฝีปาก ก็บังเกิดเสียงร้องขอความช่วยเหลือตาม เหมือนจะเป็นเสียงสะท้อนของเขาเสียด้วยซ้ำ
ช่วย...เขาจะช่วยใครได้อย่างไร ก็ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าตนเองอยู่ที่ไหน
ทันทีที่เขาคิดเช่นนั้น จู่ๆ หมอกสลัวเริ่มจะหมุนคว้างอีกครั้ง มันหมุนวนไปรอบๆ ตัวขอเขาจากช้าแล้วค่อยๆ เร็ว
ขึ้นทุกขณะ เช่นเดียวกับเสียงนั้นที่ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องจนสับสนไปหมด
“ช่วยด้วย ช่วยเฮาด้วย...เจ้าน้อย ช่วยด้วย...”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับ ทั้งสับสนต่อเสียงที่ได้ยินและเริ่มจะงุนงงต่อภาพซึ่งหมุนไปโดยรอบจนเวียนหัวไปหมด เขาทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น พยายามเป็นอย่างยิ่งจะไม่ให้ได้ยินได้เห็นเสียงและภาพเหล่านั้น
ทว่าเหมือนกับว่ายิ่งปิดบัง ความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายเหล่านั้นจะยิ่งหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะหลับตา หากภาพที่หมุนคว้างเหล่านั้นกลับเด่นชัด แม้จะปิดหูเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นกลับยิ่งชัดเจน
มันเกิดอะไรขึ้น....
“ไม่!!!!”
เมื่อสุดจะทานทน เขาจึงได้ตะเบ็งเสียงที่มีทั้งหมดให้ออกมาจนสุดเสียง ก่อนจะผุดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าทั่วทั้งเนื้อตัวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนสองหูจะแว่วได้ยินเสียงเรียกของสิชลและชัดเจนในที่สุด
“ภู...ภูริต นายเป็นอะไร ภูริต”
สองตาค่อยๆ ลืมขึ้น ก่อนภาพตรงหน้าที่เด่นชัดจะเป็นภาพใบหน้าของสิชลซึ่งยื่นเข้ามาใกล้จนเกือบจะชิด
ชายหนุ่มหอบหายใจปานว่าจะผ่านการวิ่งมาหลายสิบกิโลเมตรจนเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อหลั่งรินผ่านดวงตาจนรู้สึกแสบและอดจะยกมือขึ้นมาปาดมันออกไปไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น...”
เขาครางถามเสียงเครือ ก่อนสายตาจะกวาดมองไปรอบๆ
“ฉันเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง”
“ก็นายหลับไป คงจะเพราะความเหนื่อยมั้ง ฉันไปเห็นเข้าเลยพาเข้ามา นายนี่ขี้เซาไม่หายเลยนะ นี่ถ้าฉันไม่ไปเจอเข้าเสียก่อน ปานนี้คงถูกยุงหามไปกินแล้วล่ะ”
สิชลลำดับเรื่องราวบอกเพื่อนหนุ่ม ขณะภูริตพยักหน้าเข้าใจและไม่งงอีกต่อไปว่าเหตุใดตนถึงได้มาอยู่ภายในห้องนี้ได้
“แล้วเมื่อกี้คงจะฝันร้ายล่ะสิ ถึงได้ร้องลั่นห้องเลย ปานนี้คุณย่าคงจะตกใจตื่นแล้วมั้ง”
“เอ่อ...นิดหน่อย ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ ขอตัวก่อนนะ”
เขาบอก พร้อมกับลุกขึ้น ไม่อยากจะพูดให้อีกฝ่ายถามให้มากความ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวและเดินออกจากห้อง
ไปในที่สุด
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2555, 20:35:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2555, 20:35:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1414
<< ตอนที่ ๕ เชียงหมิ่น...แห่ง...รัก | ตอนที่ ๗ เงาอดีต >> |