รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๑๔ คุณครูจำเป็น
ตอนที่ ๑๔
ร่างบางที่ทรุดกายลงนั่งบนพื้นโซฟาตัวนุ่มเพียงไม่กี่วินาทีต้องลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินบางคำจากปากของทั้งบิดาและมารดาซึ่งกำลังเล่าถึงเรื่องของน้องสาวที่ได้รับอุบัติเหตุเมื่อวันก่อน
“ยายรติน่ะหรือคะ ที่ตอนนี้นอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลที่เชียงราย” รัญญิกาเสียงสูง แม้ว่าเธอกับน้องสาวคนนี้จะนิสัยไม่เหมือนกัน ทว่าความเป็นห่วงมันก็พอมีอยู่เหมือนกัน
“ใช่...คุณจอมทัพเพิ่งโทรมาบอกแม่เมื่อวานนี้เหมือนกัน เราว่าจะขึ้นไปหารติที่นั่น แต่เพราะคุณพ่อต้องเข้าร่วมประชุมสภาในเย็นวันนี้ แม่จึงคิดว่าจะให้รันไปดูน้องก่อน อีกสองวันแม่กับคุณพ่อจะตามไป”
“ให้หนูขึ้นไปก่อนนี่น่ะหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไร
“ใช่ ให้รันขึ้นไปดูน้องก่อน แล้วอีกสองวันแม่กับคุณพ่อจะตามไปนะ”
“แล้วหนูจะรู้ได้ยังไงว่ายายรติพักรักษาตัวอยู่ที่ไหน เกิดไปแล้วหนูหลงจะทำยังไงล่ะคะ”
“ไม่หลงหรอก นี่ที่อยู่ของโรงพยาบาลและนี่ก็หมายเลขห้องพัก คุณจอมทัพบอกว่าน้องนอนไม่ได้สติ คงไม่มีใครพาย้ายห้องไปไหนหรอก อ้อ...นี่เบอร์โทรศัพท์ของคุณจอมทัพ เก็บเอาไว้ด้วย”
“ไม่เอาหรอกค่ะ หนูรอไปพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่จะดีกว่า” สาวสังคมเบ้ปากอย่างไม่พอใจกับคำสั่งของมารดา
ระหว่างรัญญิกาและรติกร แม้จะเป็นคู่ฝาแฝดกัน ทว่านิสัยของทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างลับลับ รติกรคนน้องเป็นคนเอาการเอางาน นิสัยเรียบร้อยซึ่งมันแตกต่างจากคนเป็นพี่อย่างสิ้นเชิง รัญญิกาเป็นสาวสังคม หัวสูง การงานไม่ทำ วันๆ เอาแต่ผลาญเงินบิดาและมารดาซึ่งเธอเชื่อว่า ใช้ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด
บางครั้งหล่อนยังคิดค่อนขอดรติกรไม่ได้ ที่ไม่รักดี มีเงินกองอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ยังดันจะไปหาเงินเองโดยการไปเป็นเลขาฯ ให้เจ้านายจิกใช้ไปวันๆ
“แต่เราจะต้องไปก่อนนะรัน หนูไม่ห่วงน้องหรือยังไง”
“ไอ้ห่วงน่ะก็ห่วงอยู่หรอกค่ะ แต่รันก็ไม่แฟร์เหมือนกันนะคะที่จะต้องตะลอนๆ ไปตามหาห้องนอนของคนป่วย”
“แต่เลขห้อง แม่ก็ให้ไปแล้วนะรัน ไปแค่นี้ทำเพื่อน้องไม่ได้หรือไง” มารดาเสียงเข้มขึ้น นางมองนิ่งที่กรอบหน้าสวยเฉี่ยวของบุตรสาวไม่วางตา
“ก็ได้...นี่แม่ขอร้องนะคะ ยายรติก็เหมือนกัน ไปป่วยที่ไหนก็ไม่ป่วย ดันไปป่วยที่เชียงรายนู้น” บ่นพึมพร้อมกับกระทืบเท้าเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
/////
รุ่งเช้า...วันนี้เมยาวีตั้งใจชวนจอมทัพไปเยี่ยมรติกรอีกครั้ง ทั้งสองเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในเวลาต่อมา เมยาวีมองร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงก็พรางทอดถอนใจออกมา
“น่าสงสารคุณรตินะคะ ต้องมาเป็นแบบนี้เพราะมาที่สวนดอกไม้ของเหมยแท้ๆ”
เธอเอ่ยเพื่อทำลายความเงียบในห้อง ก่อนจะเงยหน้ามองเขาเหมือนจะถามว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับร่างบนเตียงหากว่ารติกรไม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ
“คุณเหมยไม่ผิดหรอกครับ มันผิดที่ผมเองที่พาเธอมา”
“คุณจอม...”
เมยาวีหล่นเสียงเบาหวิว ทว่าไม่ได้มาจากประโยคคำพูดของเขาหากแต่เป็นปฏิกิริยาบางอย่างต่อร่างที่ทอดกายนิ่งมาตลอดสามวันต่างหาก
“คุณรติขยับนิ้วแล้วล่ะค่ะ”
เธอบอกพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นดังนั้น นิ้วเรียวสวยของรติกรค่อยๆ ขยับ วงหน้าสวยของร่างนั้นดูมีเลือดฝาดมากขึ้นกว่าเดิมหากจะเทียบกับวันแรกและเหมือนว่าจะเป็นนิมิตอันดีเสียด้วยที่รติกรค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ
“คุณรติฟื้นแล้วจริงๆ ค่ะ คุณจอมดูสิคะ เธอเปิดตาขึ้นแล้ว”
ร่างบนเตียงกะพริบตาคู่สวยอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหลุบลงปิดอีกครั้งเมื่อจอประสาทตากำลังปรับสภาพ เธอทำอยู่เช่นนั้นสามรอบ ก่อนจะเปิดขึ้นอย่างเต็มที่อีกครั้ง
จอมทัพเคลื่อนเข้าไปจับที่ราวขอบเตียงของหญิงสาวจากอีกด้านหนึ่ง เขามองร่างบนเตียงอย่างดีใจสุดๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างที่อยู่ตรงกันข้ามแล้วบอก
“ผมว่าเรียกพยาบาลมาดูอาการคุณรติก่อนดีกว่าครับ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็กดปุ่มคอลโทรลเรียกพยาบาลและพาเมยาวีออกมารอที่หน้าห้องและเมื่อหมอตรวจอาการของรติกรเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกับเมยาวีจึงได้เข้าไปเยี่ยมคนไข้อีกครั้งหนึ่ง
“คุณรติ ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ”
เมยาวีก้มลงถามคนบนเตียง ทว่าอีกฝ่ายก็ได้แค่พยักหน้าแววตาที่มองเขาและเธอสลับกันกลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ที่นี่ที่ไหน” ริมฝีปากที่ขาวซีดเปล่งเสียงถามอันสั่นเครือ ขณะเมยาวีส่งยิ้มอ่อนโยนให้และตอบคำถามนั้น
“โรงพยาบาลค่ะ”
“โรงพยาบาล...ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...มันเกิดอะไรขึ้น แล้ว แล้วพวกคุณเป็นใคร…”
สองสามประโยคแรกยังพอฟังรู้เรื่อง หากประโยคสุดท้ายทำให้ทั้งสองหนุ่มสาวเงยหน้าขึ้นมองกันอย่างรวดเร็ว หรือสิ่งที่หมอบอกเมื่อครู่จะเป็นความจริง รติกรความจำเสื่อมและจำใครไม่ได้อีกต่อไป
“ยายรติ ไหนๆ ยายรติ”
ทั้งสองยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น เสียงของรัญญิกาก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างเฉิดฉายก้าวเข้ามา เมื่อเห็นว่าร่างบนเตียงซึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่เป็นร่างของรติกรน้องสาวตนเอง สาวเจ้าก็รี่ตรงเข้าไปหาในทันที
“ยายรติ ว้าว...ไหนว่าเธอหมดสติไง”
“เธอเพิ่งฟื้นน่ะครับ”
จอมทัพเป็นคนตอบและก็รู้ในทันทีว่าผู้หญิงตรงหน้าคือรัญญิกา พี่สาวฝาแฝดของรติกร แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่โครงหน้าก็ปรากฏอย่างเด่นชัดแล้วว่า ทั้งสองคือพี่น้องกัน
เมื่อได้ยินเสียงตอบนั้นแล้ว ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองคนพูด ประกายตาคู่สวยที่วาววับก็ฉายแววบางอย่างขึ้นมาในทันที
“คุณ...คุณจอมทัพใช่ไหมคะ”
เสียงหวานดังขึ้น เมยาวีเริ่มจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กับตนเอง ความไม่ไว้วางใจเริ่มเกิดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายแวววาวยิ่งนักในยามที่มองหน้าของจอมทัพ
ความหึงหวงเข้าจี้หัวใจอย่างทันใด ทว่าเธอกลับข่มมันลงได้ในที่สุด เธอคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่ายเพื่อสานความเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ คุณ”
“อ้อ...ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เอ่อ...คุณ”
“เหมยค่ะ เมยาวี ศีตกรรณ” เมยาวีบอกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ทว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นต้องทำให้เธอหุบยิ้มลงไปทันที
“อ้อ...คุณเหมยเจ้าของสวนดอกไม้ที่ทำให้ยายรติเป็นแบบนี้น่ะเอง”
“เอ่อ ฉันขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณรติต้องเป็นแบบนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ตั้งใจ น้องฉันเป็นมากขนาดนี้หรือที่เธอว่าไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายขึ้นเสียงดังลั่น ขณะเมยาวีหน้าเข้มขึ้นเมื่อถูกต่อว่าเช่นนั้น
“เอ่อ...อย่าเพิ่งว่ากันตอนนี้เลยนะครับ ดูสิ คุณรติมองใหญ่แล้ว”
จอมทัพเป็นฝ่ายเข้ามาห้ามทัพอย่างทันท่วงที หากแต่นั่นก็ไม่พ้นไปจากตัวเอง เมื่อรัญญิกาได้วิ่งรี่อ้อมเตียงมาหาเขาและเกาะแขนจนแน่น
“ยินดีมากๆ เลยนะคะที่ได้เจอคุณจอมทัพ” หล่อนไม่สนใจน้องสาว แถมยังทำท่ากระดี๊กระด๊าได้อย่างเกินหน้าเกินตา เมยาวีมองฝ่ายนั้นอย่างขัดเคืองสุดๆ สลับกับจอมทัพคล้ายถามว่าจะเอายังไงต่อไป
“เอ่อ...ผมว่าเราไปคุยกันต่อข้างนอกเถอะครับ ดูเหมือนว่าจะหมดเวลาเยี่ยมแล้วล่ะ”
พูดจบจอมทัพก็เบี่ยงกายเดินนำออกไป ขณะเมยาวีเดินตามโดยมีรัญญิการีบรี่ตามเข้าไปเกาะแขนจอมทัพแน่นอย่างกับตังเม
“สงสารยายรติจริงๆ นะคะ”
เธอพูด ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เข้าไปในห้องนั้นแทบจะไม่ได้มองหน้าน้องสาวเลยสักนิด เมยาวีบิดปากอย่างนึกหมั่นไส้ผู้หญิงคนนี้ตงิดๆ แล้ว เชื่อได้ละว่าคุณเธอไปได้อย่างหน้าด้านจริงๆ
“เอ่อ...ครับ”
จอมทัพตอบคำถามได้แค่นั้นเพราะรู้สึกอึดอัดกับการกระทำของรัญญิกาที่เหมือนว่าจะทำความรู้จักกับเขาได้รวดเร็วเหลือเกิน
เขามองไปทางเมยาวีที่มองเขาอยู่ด้วยประกายตาชนิดหนึ่ง เห็นอย่างชัดเจนว่าหญิงสาวเชิดหน้าใส่เขา ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่พูดอะไร
“เอ่อ...คุณเหมย นั่นคุณจะไปไหน”
“เหมยจะกลับไร่แล้วค่ะ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานที่คุณสั่งเอาไว้ยังไม่ได้สั่งการกับคนงานเลย” เมยาวีตอบเสียง
สะบัด เธอมองรัญญิกาหมั่นไส้นิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาขว้างค้อนใส่เขาอีกวงโต
“ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับด้วยนะครับ”
“คุณจอมทัพคะ แล้วรันล่ะคะ รันเพิ่งมาถึงนะคะยังไม่มีที่พักเลย คุณช่วยพารันไปหาที่พักหน่อยสิคะ” รัญญิกาเริ่มบทอ้อนอย่างที่ชายหนุ่มเคยเจอกับปุณชิกา เขามองกรอบหน้าสวยเฉี่ยวก่อนจะหันไปทางเมยาวีอย่างเกรงใจ
“ให้ไปพักที่ไร่ของเหมยก็ได้ค่ะ ข้าวของของคุณรติยังอยู่ที่นั่น ให้พี่สาวของเธอไปพักที่นั่นคงไม่เป็นอะไร” เมยาวีบอกเสียงนิ่งเย็น ก่อนจะหันหลังเดินจากไป เห็นดังนั้นจอมทัพจึงชวนรัญญิกาให้ตามไปในที่สุด
/////
บรรยากาศภายในรถไม่ค่อยรื่นรมย์เสียเท่าไรเพราะเมยาวีที่ขับรถอยู่ ต้องทนเห็นภาพกระดี๊กระด๊าและความสนิทสนมจนเกินงามของรัญญิกา ที่แม่คุณมีอย่างรวดเร็วเพียงเจอจอมทัพเป็นครั้งแรกเท่านั้น ไม่รู้ว่าไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่เมยาวีแน่ใจสีหน้าของจอมทัพฟ้องว่าเขาอึดอัดต่อกิริยาเหล่านั้นเป็นยิ่งนัก
“อุ้ย...” เมยาวีร้อง เธอบิดปากอย่างนึกหมั่นไส้กับสิ่งที่เห็นผ่านกระจกหลัง ไม่คิดว่ารัญญิกาที่มีกรอบหน้าถอดแบบเดียวกันกับรติกรจะกล้าโน้มหน้าเข้าไปแอบหอมแก้มจอมทัพในขณะที่เขาเผลอได้
“คุณเหมย เป็นอะไรไปครับ เกิดอะไรขึ้น” จอมทัพถามมาจากเบาะหลังหลังจากที่หลบปากของรัญญิกาไปได้อย่างหวุดหวิด เขาขยับตัวออกห่างจากรัญญิกาจนไปติดอยู่กับประตูรถอีกฟากหนึ่ง
“เหมยแค่ตกใจนิดหน่อยค่ะ เมื่อกี้ขับรถผ่านมาเห็นวัยรุ่นสมัยนี้หน้าด้านจริงๆ นะคะ ยืนกอดกับผู้ชายกันข้างถนนเลย สมัยนี้ไม่มียางอายกันบ้างเลยหรือยังไงกันนะ”
เธอพูดเช่นนั้น ทว่าสายตากลับมองผ่านกระจกมองหลังไปยังตำแหน่งของรัญญิกานิดหนึ่ง
รัญญิกาแบะปากอย่างไม่ค่อยจะพอใจที่ถูกพูดกระทบ หากหล่อนกลับไม่สะทกสะท้านต่อคำนั้น จึงยิ่งขยับเข้าแนบชิดจอมทัพแน่นอีก
“รันเพิ่งมาที่เชียงรายนี่เป็นครั้งแรก คงจะต้องให้คุณจอมพาเที่ยวแล้วล่ะค่ะ”
“เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยจะสันทัดกับเรื่องนี้สักเท่าไร คงไม่อาจรับหน้าที่นี้ได้หรอกครับ”
ชายหนุ่มปฏิเสธนึกรำคาญกับผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทุกทีแล้วล่ะ นี่หล่อนจะมาดูแลน้องสาวด้วยความเป็นห่วง หรือจะมาเที่ยวกันแน่ ถ้ารู้ว่าการแจ้งข่าวจะได้รับผลอย่างนี้กลับมา เขาคงไม่โทรไปบอกทางครอบครัวของรติกรตั้งแต่ทีแรกหรอก
เช่นเดียวกับเมยาวีที่บิดยิ้มอย่างเหยียดหยันและเอ่ยขึ้นมาในที่สุด
“ให้เหมยพาเที่ยวก็ได้นะคะ สงสัยมาเฝ้าคุณรติแล้วคุณรันคงจะเบื่อมากสิคะ แต่เอ้...ก็เพิ่งมาถึงเองไม่ใช่หรือคะ ยังไม่ได้ดูแลคุณรติเสียด้วยซ้ำ...”
ประโยคตรงๆ ทำให้กรอบหน้าสวยเฉี่ยวเผือดลงไปในทันที ทว่ามันก็เป็นได้ไม่นาน รัญญิกาก็สามารถปรับให้กลับมาเหมือนเดิมได้ในที่สุด
“ก็มาเยี่ยมน้องสาวฉันสิคะคุณเหมย มาเฝ้าคนป่วยน่าเบื่อจะตายไป รันก็ต้องออกไปท่องเที่ยวบ้างสิคะ”
“หรือคะ เหมยอยากจะรู้จริงๆ ค่ะ ทำไมคุณรันถึงได้มีกะจิตกะใจอยากจะเที่ยวล่ะคะ” เมยาวีเดินหน้ารุกหนักอย่างได้ที ขณะรัญญิกาแบะปากอย่างนึกหมั่นไส้กับผู้หญิงคนนี้มากกว่าเดิม แค่เจอกันครั้งแรกเธอก็รู้สึกไม่ชอบหน้าเมยาวีเข้าให้แล้ว และนี่จะต้องมาขอความช่วยเหลือจากหล่อนอีกไม่รู้เธอจะทนได้หรือเปล่า
แต่ก็ยังดีที่มีจอมทัพ สุดหล่อที่เห็นครั้งแรกเธอก็ชอบมันก็พอจะลดทอนกันได้บ้าง ยิ่งได้พูดคุยกับเขาทัศนคติที่เคยจงเกลียดจงชังในครั้งที่รู้ว่าเขาเป็นเจ้านายของน้องสาวก็หมดไป เพราะเขาหล่อในระดับขั้นเทพ...
พระเอกละครโทรทัศน์ซึ่งเคยเป็นคู่ควงกับเธอบางคนยังหล่อไม่เท่าเลย
“ฉันมาถึง ก็อยากจะเที่ยวบ้างสิ จะให้นั่งๆ นอนๆ รอเวลาเข้าเยี่ยมยายรติหรือยังไงกัน” รัญญิกาเชิดหน้าตอบอย่างไม่กลัวเกรงและก้มหน้าลงซบตรงหัวไหล่ของจอมทัพอีกครั้ง
เห็นดังนั้นเมยาวีจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา นึกสงสารรติกรที่มีพี่แบบนี้ ก่อนจะเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปเพราะรู้เถียงไปก็เปลืองน้ำลายไปเปล่าๆ
//////
“นี่คุณรัญญิกา พี่สาวของคุณรติกร” เมยาวีแนะนำรัญญิกาที่ยืนกระดี๊กระด๊าอยู่ข้างๆ กับจอมทัพตลอดเวลาให้กับวัสนางค์และมณีกานดาที่มาเยี่ยมเธอในเช้าของวันนั้นได้รู้จัก
วัสนางค์เหลือบตามองรัญญิกานิดหนึ่ง ก่อนจะขยับเข้ามากระซิบถามเพื่อนสาวอย่างสงสัย
“นี่หรือคุณรัญญิกา พี่สาวฝาแฝดของคุณรติกร”
“ใช่...ดูสิ หน้าเหมือนกันหรือเปล่าล่ะ” เมยาวีทำสายตาหมั่นไส้ส่งให้รัญญิกานิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาทางวัสนางค์อีกครั้ง
“ดูท่าจะเอาเรื่องเหมือนกันเนอะ ดูสิ ไม่ห่างจากแขนของคุณจอมทัพเลย”
มณีกานดาส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายแล้ว ทว่ากลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีสักเท่าไร เธอจึงเข้ามากระซิบบอกเพื่อนสาวอีกคนหนึ่ง
“รายนี้แรงเลยนะเหมย เธอจะเอายังไง”
“จะแรงหรือไม่แรงฉันไม่สนใจหรอก”
“แล้วเธอสนอะไรล่ะ คุณจอมทัพเพียงคนเดียวใช่หรือเปล่า”
“บ้า...เธอก็ว่าไปยายฝน ไม่เอาละ ฉันขอตัวไปสั่งงานกับคนงานก่อน” เมยาวีหน้าเข้มเมื่อถูกเพื่อนสาวแซวอีก เธอหาวิธีการหลีกเลี่ยงคำเหล่านั้นโดยการฉากตัวจากไปได้ในที่สุด
“ชิ...ทำตัวเป็นนางเอก เกิดคุณจอมทัพสนใจยายหน้าจืดนี่ระวังจะร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกล่ะ” วัสนางค์บ่นตามร่างเพื่อนสาวที่เดินจากไป
“ฉันรู้น่าว่าเธอไม่อยากจะให้เป็นเช่นนั้น” มณีกานดาบอกเพื่อนสาว และอดที่จะขำกับท่าทีของวัสนางค์ไปไม่ได้
“นั่นคุณเหมยไปไหนล่ะครับ” เห็นเมยาวีเดินจากไป จอมทัพจึงเข้ามาถามในทันที
“อ้อ...เหมยไปสั่งงานในสวนค่ะ เรื่องสินค้าของคุณ”
“งั้นผมขอตามไปช่วยดูนะครับ”
พยายามจะแกะแขนรัญญิกาออก ทว่าแม่สาวเฉี่ยวกลับเกาะเขาแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกเสียอีก เห็นดังนั้นแล้ววัสนางค์จึงนึกสนุก เธอยิ้มส่งให้กับเขาก่อนจะรี่เข้าไปแทรกกลางระหว่างจอมทัพและรัญญิกาในทันใด
“คุณจอมคะ ฝนว่าเราเข้าไปคุยกันในศาลาร่มๆ กันเถอะค่ะ อย่าไปตามยายเหมยเลยนะคะ ยิ่งสายแดดก็ยิ่งร้อน ไปเถอะค่ะ” วัสนางค์ใช้สะโพกดันร่างรัญญิกาให้ออกห่างไปจนสำเร็จและจะดึงแขนจอมทัพให้ตามหล่อนเข้าไปนั่งในศาลาอีกฟากหนึ่ง
“อ๊าย...นังบ้า หลีกไปนะ”
รัญญิกายอมไม่ได้ที่ถูกสลัดออกไป หล่อนรีบเข้าไปหาชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง หากวัสนางค์ก็เหนียวใช่ย่อยถูกดึงเท่าไรเธอก็ไม่ยอมปล่อยแขนจอมทัพให้กับอีกฝ่าย จนแล้วจนรอดรัญญิกาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และเปลี่ยนมาคล้องแขนอีกข้างของจอมทัพแทน
ทั้งสองสาวใช้สายตาฟาดฟันใส่กันแบบไม่ยั้ง ทำให้คนตรงกลางได้แต่ทอดถอนใจอย่างเอือมระอา เขารู้ว่าวัสนางค์แค่อยากแกล้งรัญญิกาเท่านั้น สำหรับรัญญิกาเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ทำงานทำการอย่างหล่อน มันไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว ถ้าจะให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็ขอไม่เลือกใครเสียจะดีกว่า
เห็นร่างทั้งสามที่พากันเดินเลี่ยงจากไป มณีกานดาจึงได้แต่โคลงศีรษะไปมาและอมยิ้มกับภาพที่เห็น นี่ถ้ามีปุณชิกาเข้ามาร่วมวงด้วยอีกสักคน อยากจะรู้นักว่าจะสนุกขนาดไหน
/////
ที่โรงพยาบาล...ภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วย รติกรนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเตียง บนศีรษะมีผ้าพันแผลพันอยู่โดยรอบ เพราะสิ่งนี้จึงทำให้หญิงสาวต้องนั่งคิดอยู่เนิ่นนาน
ในครั้งแรก เธอรู้สึกเจ็บปวดที่หัวอย่างทุรนทุรายทุกครั้งที่พยายามใช้ความคิดเค้นหาคำตอบในหลายๆ ด้าน แต่จนแล้วจนรอด คำตอบที่ควรจะเป็นกลับไม่มีเอาเสียเลย เช่นเดียวกับอาการปวดที่เธอเริ่มจะชาชินกับมันไปทุกขณะแล้ว
ความทรงจำอื่นๆ มันได้เลือนหายไปไหนหมด แม้ว่ายังมีบางส่วนที่เลือนรางอยู่ก็ตามและสิ่งนั้นก็เป็นภาพของเธอที่กำลังร้องไห้เสียใจอยู่กับเรื่องเรื่องหนึ่ง ซึ่งเธอก็ค้นหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด
จนในเวลานี้เธอก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้องด้วยความคิดที่สับสน มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและที่สำคัญเธอเป็นใคร ทำไมความทรงจำที่มันเลือนรางและเหลือน้อยเหล่านั้นถึงบอกกับเธอแค่เพียงว่า เธอกำลังเศร้าและเสียใจ
เสียใจ...ร้องไห้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเธอด้วยสาเหตุอะไรกันแน่นะ
นั่งนิ่งคิดอยู่เช่นนั้นโดยไม่พูดอะไร เหมือนว่าในเวลานี้ตนอยู่บนโลกสี่เหลี่ยมส่วนตัว ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยว...ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกสับสน
เวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า มีเพียงผู้ชายและผู้หญิงอีกสองคนเข้ามาหาเธอ แต่กระนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกับเธอมากไปกว่านางพยาบาลผู้ใจดีและคุณหมอที่เข้ามาตรวจดูอาการของเธอในรอบทุกๆ สองชั่วโมง ทั้งหมอและนางพยาบาลเข้ามาพูดคุยกับเธออย่างสนิทสนม ภายในดวงตาคู่นั้นเธอมองเห็นความอ่อนโยนและมีเมตตา จนเธอไว้ใจพวกเขาและมักจะยิ้มให้ทุกครั้ง
แม้กระทั่งในช่วงของอาหารเที่ยง ก็มีแค่พยาบาลที่เข้ามาป้อนอาหารกับเธอ หญิงสาวคิดสับสนว่าเหตุใด เธอถึงไม่มีญาติและดูเหมือนว่าความทรงจำในเรื่องเหล่านี้มันจะไม่มีอยู่ในหัวเสียด้วยซ้ำ
เธอจำอะไรไม่ได้...มันเกิดอะไรขึ้น
แล้วเหตุใดเธอถึงได้เป็นเช่นนี้ สิ่งที่บ่งบอกอยู่ชัดเจนมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ เธอเจ็บปวดและอยากจะลืมเรื่องเหล่านั้นให้หมดไปจากหัวใจ
เรื่องอะไร ไม่เข้าใจ คำตอบที่เค้นคิดได้มีแต่เพียงคำว่าไม่รู้...ไม่ทราบเพียงเท่านั้น
มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอจำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งชื่อของตนเอง
เธอเป็นใคร...เธอชื่ออะไร แล้วเธอมาจากที่ไหน...
/////
หลังจากวันนั้น มันทำให้ปุณชิกาได้คิด เธอกับจอมทัพอาจจะไม่ถึงขั้นเป็นแฟนกันเพราะจากที่คิดดูแล้ว เขาคิดกับเธอแค่น้องสาวเท่านั้น
น้องสาว...คำนี้ยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดและที่สำคัญ เธอไม่อาจที่จะไปสู้หน้าเขาได้อีกต่อไป
ปุณชิกาเอาแต่หลบหน้าจอมทัพ พูดกับเขาน้อยคำนักและวันนี้เธอก็เลี่ยงที่จะเจอกับเขา หลังจากตื่นนอนแล้วหญิงสาวจึงรีบลงมาที่ไร่และไปอยู่กับชัย ช่วยงานเขาเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่ที่ชายหนุ่มจะให้ช่วย แม้สุดท้ายแล้ว มันจะเป็นการช่วยกวนเสียมากกว่าก็ตาม
เช่นเวลานี้เธอกำลังช่วยเขาตัดช่อดอกเบญจมาศในสวนที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ตัดไปตัดมาก้านของดอกก็ยิ่งสั้นลงไปทุกขณะ ชัยมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเข้าไปเตือนเธอ
“คุณปูเป้ครับ อย่าตัดสั้นแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวทางร้านเขาเอาไปปัก ดอกก็จมอยู่กับโฟมหมดสิครับ”
“ก็ฉันตัดไม่เป็นนี่” ปุณชิกาตอบเสียงสะบัดทำหน้ายู่ พร้อมกับมองตะกร้าใส่ดอกไม้ก็นึกขำกับผลงานของตัวเอง
“ไหนว่าเมื่อกี้คุณบอกว่าตัดเป็นยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ก็เมื่อกี้ตัดเป็น ตอนนี้ตัดไม่เป็นแล้ว เอาไปเลย ฉันไม่ตัดแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณไปนั่งที่ใต้ร่มนั่นก่อนเถอะครับ นี่ก็เกือบเที่ยงแล้วผมขอตัดไปอีกนิดเดี๋ยวแล้วเราค่อยไปทานข้าวกัน”
เขาบอกพร้อมกับชี้ให้เธอไปนั่งรอที่ใต้ร่ม ทว่าปุณชิกากลับไม่ไปแถมเธอยังเดินเข้ามาหยิบกรรไกรอันเดิมทำท่าจะก้มหน้าลงไปตัดดอกไม้อีก
“นั่นคุณจะทำอะไรน่ะคุณปูเป้”
“ก็จะช่วยนายไง จะได้เสร็จไวๆ แล้วจะได้ไปกินข้าวกัน”
“ก็ไหนว่าคุณจะไม่ตัดแล้วอย่างไรล่ะครับ”
เขาอมยิ้มมองกรอบหน้าขาวสวยที่บัดนี้มีสีเข้มขึ้นเพราะทำงานแถมมีหยาดเหงื่อไหลมาตามหน้าผากกลมมนจนบางส่วนไหลลงมาที่แก้ม ชายหนุ่มเอื้อมมือจะไปช่วยปาดเหงื่อให้ หญิงสาวจึงรีบหลบในทันทีพร้อมกับถามเสียงเขียว
“นายจะทำอะไรน่ะ นายชัย”
“เอ่อ...ผมจะช่วยปาดเหงื่อให้คุณน่ะครับ เอาเป็นว่า...คุณปูเป้ไปนั่งรอที่ใต้ร่มนั่นเถอะครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ”
“แต่ฉันอยากจะช่วยนายนี่ มะ ฉันตัดเป็นแล้วล่ะ จะได้เสร็จไวๆ”
แล้วคนตัดเป็นก็ก้มลงไปตัดดอกไม้ในแปลงอีกครั้งด้วยท่าทีขะมักเขม้น ท่ามกลางสายตาของชัยที่มองเธออย่างขบขัน ไหนว่าทำเป็นล่ะ ยิ่งตัดก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ดอกไม้เสียไปเปล่าๆ
“หยุดเถอะครับคุณปูเป้...”
“ไม่ ฉันอยากจะช่วยนายนี่ ไปๆ ไปทำในส่วนของนายซะ”
“แต่ดูสิครับ คุณทำให้ดอกไม้ของผมเสียหายหมดแล้วนะครับ”
“เสีย...ไหน เสียตรงไหน ฉันก็ตัดอย่างที่นายทำน่ะแหละ”
“ไม่ครับ ไม่ได้ตัดแบบนั้น ทำแบบนั้นดอกไม้จะเสียน้ำและเฉาเร็ว ผมว่าคุณวางกรรไกรเถอะครับ”
“ไม่...ก็ฉันอยากจะช่วยนายน่ะ ถ้าอย่างนั้นนายก็สอนฉันสิ จะได้เสร็จไวๆ แล้วไปกินข้าวกัน”
“มันจะดีหรือครับ” คุณครูจำเป็นมองกรอบหน้าสวยของว่าที่ลูกศิษย์สาวซึ่งมองตอบมายังเขาเช่นกัน
“ดีสิ ฉันจะได้ตัดเป็นสักที นายว่าที่ฉันตัดมันไม่ดีไม่ใช่หรือ มาสิ มาสอนฉัน มันจะได้เสร็จไวๆ ไง”
“ก็ได้ครับ”
พูดจบชัยก็ขยับเข้าไปหาหญิงสาว พร้อมกับค่อยๆ สอนเธอให้ตัดดอกไม้อย่างถูกวิธี จนหญิงสาวค่อยๆ ทำเป็น
ในเวลาต่อมา แต่กระนั้นการใกล้ชิดของทั้งสอง ยิ่งทำให้หัวใจของแต่ละคนเต้นแรงอย่างไม่เป็นส่ำ โดยเฉพาะปุณชิกา ที่รับรู้ถึงความแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยเฉพาะกับจอมทัพ ที่เธอวิ่งตามเขามาตลอด หากแต่กับชัย มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอไม่ได้วิ่งตามเขา แต่เป็นเขาเองที่กำลังวิ่งตามเธอ โดยที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้หยุดรอและพร้อมที่จะให้เขาก้าวไปพร้อมกัน
ช่วงนี้ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดในชีวิตของเธอ หญิงสาวก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าความสุขที่เคยพบเจอมา จะมีมากเท่ากับในเวลานี้ เธอมีความสุขโดยที่ตนเองก็พร้อมที่จะให้มันเดินทางเข้ามา สิ่งนี้กระมัง ที่มันแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงเพราะที่ผ่าน เธอได้สิ่งเหล่านั้นมาโดยมีคนเอามาให้ เธอไม่ได้เดินตามหามันอย่างกับเวลานี้
การที่ได้ใกล้ชิดกับชัย มันทำให้เธอมีความสุขเป็นยิ่งนัก เขาทำให้เธอมองเห็นโลกอีกด้านหนึ่ง เขาทำให้เธอมองเห็นการทำงานของกลุ่มคนในระดับล่าง เขาสอนเธอและเล่าถึงความทุกข์ยากของกลุ่มคนเหล่านี้และเขายังบอกกับเธออีกว่า ถ้าไม่มีคนกลุ่มนี้คอยส่งเสริมอยู่อย่างเงียบๆ งานดอกไม้ งานพิธีต่างๆ ที่มีแต่ความสวยงาม ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
คนงานในไร่ทุกคนมีชีวิต พวกเขามีจิตใจและที่สำคัญ พวกเขามีจิตวิญญาณที่ไม่ได้ต่ำต้อยเหมือนอย่างกับวิถีชีวิตของพวกเขาที่ทุกคนเข้าใจ คนที่อยู่อย่างสูงส่งต่างหากในบางครั้งกลับแสดงกิริยาออกมาได้ไม่สมกับที่อยู่ของตนสักนิด
สิ่งเหล่านี้มันได้ทำให้ปุณชิกาได้คิด เธอเริ่มที่จะมองเห็นอีกด้านหนึ่งและเริ่มจะเข้าใจการมาอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันทำให้เธอได้รู้จักอะไรหลายๆ อย่าง ที่สำคัญเธอได้รู้จักกับเขากับคุณค่าอันสำคัญที่สุด ซึ่งเธอก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคือความรัก
หลายครั้งที่เธอแอบมองคุณครูหนุ่ม สอนเธอตัดดอกไม้ คอยตักเตือนในครั้งที่เธอทำผิดและคอยสอนให้เธอรู้จักในอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
รอยยิ้มของเขา แม้จะเป็นแบบคนติดดินที่เธอเคยดูถูก เริ่มจะเปลี่ยนความคิดของเธอไปอย่างรวดเร็ว ยังดีที่เธอได้คิดไม่อย่างนั้น เธอก็คงจะไม่รู้จักคุณค่าในด้านนี้อย่างแน่นอนและเธอก็คงจะทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ คอยวิ่งตามหาความรัก ทั้งๆ ที่ตนก็ไม่เคยรู้ว่าแท้จริงความรักเป็นเช่นไร และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องการหรือไม่
สิ่งที่วิ่งตาม มันแตกต่างจากสิ่งที่มันวิ่งเข้าหาอย่างสิ้นเชิง เธอรู้จักกับความสุข มากกว่าความรักที่เคยตามหา และเขา ก็สอนให้เธอได้รู้จักกับคุณค่าเหล่านี้
ร่างบางที่ทรุดกายลงนั่งบนพื้นโซฟาตัวนุ่มเพียงไม่กี่วินาทีต้องลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินบางคำจากปากของทั้งบิดาและมารดาซึ่งกำลังเล่าถึงเรื่องของน้องสาวที่ได้รับอุบัติเหตุเมื่อวันก่อน
“ยายรติน่ะหรือคะ ที่ตอนนี้นอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลที่เชียงราย” รัญญิกาเสียงสูง แม้ว่าเธอกับน้องสาวคนนี้จะนิสัยไม่เหมือนกัน ทว่าความเป็นห่วงมันก็พอมีอยู่เหมือนกัน
“ใช่...คุณจอมทัพเพิ่งโทรมาบอกแม่เมื่อวานนี้เหมือนกัน เราว่าจะขึ้นไปหารติที่นั่น แต่เพราะคุณพ่อต้องเข้าร่วมประชุมสภาในเย็นวันนี้ แม่จึงคิดว่าจะให้รันไปดูน้องก่อน อีกสองวันแม่กับคุณพ่อจะตามไป”
“ให้หนูขึ้นไปก่อนนี่น่ะหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไร
“ใช่ ให้รันขึ้นไปดูน้องก่อน แล้วอีกสองวันแม่กับคุณพ่อจะตามไปนะ”
“แล้วหนูจะรู้ได้ยังไงว่ายายรติพักรักษาตัวอยู่ที่ไหน เกิดไปแล้วหนูหลงจะทำยังไงล่ะคะ”
“ไม่หลงหรอก นี่ที่อยู่ของโรงพยาบาลและนี่ก็หมายเลขห้องพัก คุณจอมทัพบอกว่าน้องนอนไม่ได้สติ คงไม่มีใครพาย้ายห้องไปไหนหรอก อ้อ...นี่เบอร์โทรศัพท์ของคุณจอมทัพ เก็บเอาไว้ด้วย”
“ไม่เอาหรอกค่ะ หนูรอไปพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่จะดีกว่า” สาวสังคมเบ้ปากอย่างไม่พอใจกับคำสั่งของมารดา
ระหว่างรัญญิกาและรติกร แม้จะเป็นคู่ฝาแฝดกัน ทว่านิสัยของทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างลับลับ รติกรคนน้องเป็นคนเอาการเอางาน นิสัยเรียบร้อยซึ่งมันแตกต่างจากคนเป็นพี่อย่างสิ้นเชิง รัญญิกาเป็นสาวสังคม หัวสูง การงานไม่ทำ วันๆ เอาแต่ผลาญเงินบิดาและมารดาซึ่งเธอเชื่อว่า ใช้ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด
บางครั้งหล่อนยังคิดค่อนขอดรติกรไม่ได้ ที่ไม่รักดี มีเงินกองอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ยังดันจะไปหาเงินเองโดยการไปเป็นเลขาฯ ให้เจ้านายจิกใช้ไปวันๆ
“แต่เราจะต้องไปก่อนนะรัน หนูไม่ห่วงน้องหรือยังไง”
“ไอ้ห่วงน่ะก็ห่วงอยู่หรอกค่ะ แต่รันก็ไม่แฟร์เหมือนกันนะคะที่จะต้องตะลอนๆ ไปตามหาห้องนอนของคนป่วย”
“แต่เลขห้อง แม่ก็ให้ไปแล้วนะรัน ไปแค่นี้ทำเพื่อน้องไม่ได้หรือไง” มารดาเสียงเข้มขึ้น นางมองนิ่งที่กรอบหน้าสวยเฉี่ยวของบุตรสาวไม่วางตา
“ก็ได้...นี่แม่ขอร้องนะคะ ยายรติก็เหมือนกัน ไปป่วยที่ไหนก็ไม่ป่วย ดันไปป่วยที่เชียงรายนู้น” บ่นพึมพร้อมกับกระทืบเท้าเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
/////
รุ่งเช้า...วันนี้เมยาวีตั้งใจชวนจอมทัพไปเยี่ยมรติกรอีกครั้ง ทั้งสองเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในเวลาต่อมา เมยาวีมองร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงก็พรางทอดถอนใจออกมา
“น่าสงสารคุณรตินะคะ ต้องมาเป็นแบบนี้เพราะมาที่สวนดอกไม้ของเหมยแท้ๆ”
เธอเอ่ยเพื่อทำลายความเงียบในห้อง ก่อนจะเงยหน้ามองเขาเหมือนจะถามว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับร่างบนเตียงหากว่ารติกรไม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ
“คุณเหมยไม่ผิดหรอกครับ มันผิดที่ผมเองที่พาเธอมา”
“คุณจอม...”
เมยาวีหล่นเสียงเบาหวิว ทว่าไม่ได้มาจากประโยคคำพูดของเขาหากแต่เป็นปฏิกิริยาบางอย่างต่อร่างที่ทอดกายนิ่งมาตลอดสามวันต่างหาก
“คุณรติขยับนิ้วแล้วล่ะค่ะ”
เธอบอกพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นดังนั้น นิ้วเรียวสวยของรติกรค่อยๆ ขยับ วงหน้าสวยของร่างนั้นดูมีเลือดฝาดมากขึ้นกว่าเดิมหากจะเทียบกับวันแรกและเหมือนว่าจะเป็นนิมิตอันดีเสียด้วยที่รติกรค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ
“คุณรติฟื้นแล้วจริงๆ ค่ะ คุณจอมดูสิคะ เธอเปิดตาขึ้นแล้ว”
ร่างบนเตียงกะพริบตาคู่สวยอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหลุบลงปิดอีกครั้งเมื่อจอประสาทตากำลังปรับสภาพ เธอทำอยู่เช่นนั้นสามรอบ ก่อนจะเปิดขึ้นอย่างเต็มที่อีกครั้ง
จอมทัพเคลื่อนเข้าไปจับที่ราวขอบเตียงของหญิงสาวจากอีกด้านหนึ่ง เขามองร่างบนเตียงอย่างดีใจสุดๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างที่อยู่ตรงกันข้ามแล้วบอก
“ผมว่าเรียกพยาบาลมาดูอาการคุณรติก่อนดีกว่าครับ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็กดปุ่มคอลโทรลเรียกพยาบาลและพาเมยาวีออกมารอที่หน้าห้องและเมื่อหมอตรวจอาการของรติกรเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกับเมยาวีจึงได้เข้าไปเยี่ยมคนไข้อีกครั้งหนึ่ง
“คุณรติ ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ”
เมยาวีก้มลงถามคนบนเตียง ทว่าอีกฝ่ายก็ได้แค่พยักหน้าแววตาที่มองเขาและเธอสลับกันกลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ที่นี่ที่ไหน” ริมฝีปากที่ขาวซีดเปล่งเสียงถามอันสั่นเครือ ขณะเมยาวีส่งยิ้มอ่อนโยนให้และตอบคำถามนั้น
“โรงพยาบาลค่ะ”
“โรงพยาบาล...ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...มันเกิดอะไรขึ้น แล้ว แล้วพวกคุณเป็นใคร…”
สองสามประโยคแรกยังพอฟังรู้เรื่อง หากประโยคสุดท้ายทำให้ทั้งสองหนุ่มสาวเงยหน้าขึ้นมองกันอย่างรวดเร็ว หรือสิ่งที่หมอบอกเมื่อครู่จะเป็นความจริง รติกรความจำเสื่อมและจำใครไม่ได้อีกต่อไป
“ยายรติ ไหนๆ ยายรติ”
ทั้งสองยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น เสียงของรัญญิกาก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างเฉิดฉายก้าวเข้ามา เมื่อเห็นว่าร่างบนเตียงซึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่เป็นร่างของรติกรน้องสาวตนเอง สาวเจ้าก็รี่ตรงเข้าไปหาในทันที
“ยายรติ ว้าว...ไหนว่าเธอหมดสติไง”
“เธอเพิ่งฟื้นน่ะครับ”
จอมทัพเป็นคนตอบและก็รู้ในทันทีว่าผู้หญิงตรงหน้าคือรัญญิกา พี่สาวฝาแฝดของรติกร แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่โครงหน้าก็ปรากฏอย่างเด่นชัดแล้วว่า ทั้งสองคือพี่น้องกัน
เมื่อได้ยินเสียงตอบนั้นแล้ว ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองคนพูด ประกายตาคู่สวยที่วาววับก็ฉายแววบางอย่างขึ้นมาในทันที
“คุณ...คุณจอมทัพใช่ไหมคะ”
เสียงหวานดังขึ้น เมยาวีเริ่มจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กับตนเอง ความไม่ไว้วางใจเริ่มเกิดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายแวววาวยิ่งนักในยามที่มองหน้าของจอมทัพ
ความหึงหวงเข้าจี้หัวใจอย่างทันใด ทว่าเธอกลับข่มมันลงได้ในที่สุด เธอคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่ายเพื่อสานความเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ คุณ”
“อ้อ...ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เอ่อ...คุณ”
“เหมยค่ะ เมยาวี ศีตกรรณ” เมยาวีบอกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ทว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นต้องทำให้เธอหุบยิ้มลงไปทันที
“อ้อ...คุณเหมยเจ้าของสวนดอกไม้ที่ทำให้ยายรติเป็นแบบนี้น่ะเอง”
“เอ่อ ฉันขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณรติต้องเป็นแบบนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ตั้งใจ น้องฉันเป็นมากขนาดนี้หรือที่เธอว่าไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายขึ้นเสียงดังลั่น ขณะเมยาวีหน้าเข้มขึ้นเมื่อถูกต่อว่าเช่นนั้น
“เอ่อ...อย่าเพิ่งว่ากันตอนนี้เลยนะครับ ดูสิ คุณรติมองใหญ่แล้ว”
จอมทัพเป็นฝ่ายเข้ามาห้ามทัพอย่างทันท่วงที หากแต่นั่นก็ไม่พ้นไปจากตัวเอง เมื่อรัญญิกาได้วิ่งรี่อ้อมเตียงมาหาเขาและเกาะแขนจนแน่น
“ยินดีมากๆ เลยนะคะที่ได้เจอคุณจอมทัพ” หล่อนไม่สนใจน้องสาว แถมยังทำท่ากระดี๊กระด๊าได้อย่างเกินหน้าเกินตา เมยาวีมองฝ่ายนั้นอย่างขัดเคืองสุดๆ สลับกับจอมทัพคล้ายถามว่าจะเอายังไงต่อไป
“เอ่อ...ผมว่าเราไปคุยกันต่อข้างนอกเถอะครับ ดูเหมือนว่าจะหมดเวลาเยี่ยมแล้วล่ะ”
พูดจบจอมทัพก็เบี่ยงกายเดินนำออกไป ขณะเมยาวีเดินตามโดยมีรัญญิการีบรี่ตามเข้าไปเกาะแขนจอมทัพแน่นอย่างกับตังเม
“สงสารยายรติจริงๆ นะคะ”
เธอพูด ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เข้าไปในห้องนั้นแทบจะไม่ได้มองหน้าน้องสาวเลยสักนิด เมยาวีบิดปากอย่างนึกหมั่นไส้ผู้หญิงคนนี้ตงิดๆ แล้ว เชื่อได้ละว่าคุณเธอไปได้อย่างหน้าด้านจริงๆ
“เอ่อ...ครับ”
จอมทัพตอบคำถามได้แค่นั้นเพราะรู้สึกอึดอัดกับการกระทำของรัญญิกาที่เหมือนว่าจะทำความรู้จักกับเขาได้รวดเร็วเหลือเกิน
เขามองไปทางเมยาวีที่มองเขาอยู่ด้วยประกายตาชนิดหนึ่ง เห็นอย่างชัดเจนว่าหญิงสาวเชิดหน้าใส่เขา ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่พูดอะไร
“เอ่อ...คุณเหมย นั่นคุณจะไปไหน”
“เหมยจะกลับไร่แล้วค่ะ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานที่คุณสั่งเอาไว้ยังไม่ได้สั่งการกับคนงานเลย” เมยาวีตอบเสียง
สะบัด เธอมองรัญญิกาหมั่นไส้นิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาขว้างค้อนใส่เขาอีกวงโต
“ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับด้วยนะครับ”
“คุณจอมทัพคะ แล้วรันล่ะคะ รันเพิ่งมาถึงนะคะยังไม่มีที่พักเลย คุณช่วยพารันไปหาที่พักหน่อยสิคะ” รัญญิกาเริ่มบทอ้อนอย่างที่ชายหนุ่มเคยเจอกับปุณชิกา เขามองกรอบหน้าสวยเฉี่ยวก่อนจะหันไปทางเมยาวีอย่างเกรงใจ
“ให้ไปพักที่ไร่ของเหมยก็ได้ค่ะ ข้าวของของคุณรติยังอยู่ที่นั่น ให้พี่สาวของเธอไปพักที่นั่นคงไม่เป็นอะไร” เมยาวีบอกเสียงนิ่งเย็น ก่อนจะหันหลังเดินจากไป เห็นดังนั้นจอมทัพจึงชวนรัญญิกาให้ตามไปในที่สุด
/////
บรรยากาศภายในรถไม่ค่อยรื่นรมย์เสียเท่าไรเพราะเมยาวีที่ขับรถอยู่ ต้องทนเห็นภาพกระดี๊กระด๊าและความสนิทสนมจนเกินงามของรัญญิกา ที่แม่คุณมีอย่างรวดเร็วเพียงเจอจอมทัพเป็นครั้งแรกเท่านั้น ไม่รู้ว่าไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่เมยาวีแน่ใจสีหน้าของจอมทัพฟ้องว่าเขาอึดอัดต่อกิริยาเหล่านั้นเป็นยิ่งนัก
“อุ้ย...” เมยาวีร้อง เธอบิดปากอย่างนึกหมั่นไส้กับสิ่งที่เห็นผ่านกระจกหลัง ไม่คิดว่ารัญญิกาที่มีกรอบหน้าถอดแบบเดียวกันกับรติกรจะกล้าโน้มหน้าเข้าไปแอบหอมแก้มจอมทัพในขณะที่เขาเผลอได้
“คุณเหมย เป็นอะไรไปครับ เกิดอะไรขึ้น” จอมทัพถามมาจากเบาะหลังหลังจากที่หลบปากของรัญญิกาไปได้อย่างหวุดหวิด เขาขยับตัวออกห่างจากรัญญิกาจนไปติดอยู่กับประตูรถอีกฟากหนึ่ง
“เหมยแค่ตกใจนิดหน่อยค่ะ เมื่อกี้ขับรถผ่านมาเห็นวัยรุ่นสมัยนี้หน้าด้านจริงๆ นะคะ ยืนกอดกับผู้ชายกันข้างถนนเลย สมัยนี้ไม่มียางอายกันบ้างเลยหรือยังไงกันนะ”
เธอพูดเช่นนั้น ทว่าสายตากลับมองผ่านกระจกมองหลังไปยังตำแหน่งของรัญญิกานิดหนึ่ง
รัญญิกาแบะปากอย่างไม่ค่อยจะพอใจที่ถูกพูดกระทบ หากหล่อนกลับไม่สะทกสะท้านต่อคำนั้น จึงยิ่งขยับเข้าแนบชิดจอมทัพแน่นอีก
“รันเพิ่งมาที่เชียงรายนี่เป็นครั้งแรก คงจะต้องให้คุณจอมพาเที่ยวแล้วล่ะค่ะ”
“เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยจะสันทัดกับเรื่องนี้สักเท่าไร คงไม่อาจรับหน้าที่นี้ได้หรอกครับ”
ชายหนุ่มปฏิเสธนึกรำคาญกับผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทุกทีแล้วล่ะ นี่หล่อนจะมาดูแลน้องสาวด้วยความเป็นห่วง หรือจะมาเที่ยวกันแน่ ถ้ารู้ว่าการแจ้งข่าวจะได้รับผลอย่างนี้กลับมา เขาคงไม่โทรไปบอกทางครอบครัวของรติกรตั้งแต่ทีแรกหรอก
เช่นเดียวกับเมยาวีที่บิดยิ้มอย่างเหยียดหยันและเอ่ยขึ้นมาในที่สุด
“ให้เหมยพาเที่ยวก็ได้นะคะ สงสัยมาเฝ้าคุณรติแล้วคุณรันคงจะเบื่อมากสิคะ แต่เอ้...ก็เพิ่งมาถึงเองไม่ใช่หรือคะ ยังไม่ได้ดูแลคุณรติเสียด้วยซ้ำ...”
ประโยคตรงๆ ทำให้กรอบหน้าสวยเฉี่ยวเผือดลงไปในทันที ทว่ามันก็เป็นได้ไม่นาน รัญญิกาก็สามารถปรับให้กลับมาเหมือนเดิมได้ในที่สุด
“ก็มาเยี่ยมน้องสาวฉันสิคะคุณเหมย มาเฝ้าคนป่วยน่าเบื่อจะตายไป รันก็ต้องออกไปท่องเที่ยวบ้างสิคะ”
“หรือคะ เหมยอยากจะรู้จริงๆ ค่ะ ทำไมคุณรันถึงได้มีกะจิตกะใจอยากจะเที่ยวล่ะคะ” เมยาวีเดินหน้ารุกหนักอย่างได้ที ขณะรัญญิกาแบะปากอย่างนึกหมั่นไส้กับผู้หญิงคนนี้มากกว่าเดิม แค่เจอกันครั้งแรกเธอก็รู้สึกไม่ชอบหน้าเมยาวีเข้าให้แล้ว และนี่จะต้องมาขอความช่วยเหลือจากหล่อนอีกไม่รู้เธอจะทนได้หรือเปล่า
แต่ก็ยังดีที่มีจอมทัพ สุดหล่อที่เห็นครั้งแรกเธอก็ชอบมันก็พอจะลดทอนกันได้บ้าง ยิ่งได้พูดคุยกับเขาทัศนคติที่เคยจงเกลียดจงชังในครั้งที่รู้ว่าเขาเป็นเจ้านายของน้องสาวก็หมดไป เพราะเขาหล่อในระดับขั้นเทพ...
พระเอกละครโทรทัศน์ซึ่งเคยเป็นคู่ควงกับเธอบางคนยังหล่อไม่เท่าเลย
“ฉันมาถึง ก็อยากจะเที่ยวบ้างสิ จะให้นั่งๆ นอนๆ รอเวลาเข้าเยี่ยมยายรติหรือยังไงกัน” รัญญิกาเชิดหน้าตอบอย่างไม่กลัวเกรงและก้มหน้าลงซบตรงหัวไหล่ของจอมทัพอีกครั้ง
เห็นดังนั้นเมยาวีจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา นึกสงสารรติกรที่มีพี่แบบนี้ ก่อนจะเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปเพราะรู้เถียงไปก็เปลืองน้ำลายไปเปล่าๆ
//////
“นี่คุณรัญญิกา พี่สาวของคุณรติกร” เมยาวีแนะนำรัญญิกาที่ยืนกระดี๊กระด๊าอยู่ข้างๆ กับจอมทัพตลอดเวลาให้กับวัสนางค์และมณีกานดาที่มาเยี่ยมเธอในเช้าของวันนั้นได้รู้จัก
วัสนางค์เหลือบตามองรัญญิกานิดหนึ่ง ก่อนจะขยับเข้ามากระซิบถามเพื่อนสาวอย่างสงสัย
“นี่หรือคุณรัญญิกา พี่สาวฝาแฝดของคุณรติกร”
“ใช่...ดูสิ หน้าเหมือนกันหรือเปล่าล่ะ” เมยาวีทำสายตาหมั่นไส้ส่งให้รัญญิกานิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาทางวัสนางค์อีกครั้ง
“ดูท่าจะเอาเรื่องเหมือนกันเนอะ ดูสิ ไม่ห่างจากแขนของคุณจอมทัพเลย”
มณีกานดาส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายแล้ว ทว่ากลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีสักเท่าไร เธอจึงเข้ามากระซิบบอกเพื่อนสาวอีกคนหนึ่ง
“รายนี้แรงเลยนะเหมย เธอจะเอายังไง”
“จะแรงหรือไม่แรงฉันไม่สนใจหรอก”
“แล้วเธอสนอะไรล่ะ คุณจอมทัพเพียงคนเดียวใช่หรือเปล่า”
“บ้า...เธอก็ว่าไปยายฝน ไม่เอาละ ฉันขอตัวไปสั่งงานกับคนงานก่อน” เมยาวีหน้าเข้มเมื่อถูกเพื่อนสาวแซวอีก เธอหาวิธีการหลีกเลี่ยงคำเหล่านั้นโดยการฉากตัวจากไปได้ในที่สุด
“ชิ...ทำตัวเป็นนางเอก เกิดคุณจอมทัพสนใจยายหน้าจืดนี่ระวังจะร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกล่ะ” วัสนางค์บ่นตามร่างเพื่อนสาวที่เดินจากไป
“ฉันรู้น่าว่าเธอไม่อยากจะให้เป็นเช่นนั้น” มณีกานดาบอกเพื่อนสาว และอดที่จะขำกับท่าทีของวัสนางค์ไปไม่ได้
“นั่นคุณเหมยไปไหนล่ะครับ” เห็นเมยาวีเดินจากไป จอมทัพจึงเข้ามาถามในทันที
“อ้อ...เหมยไปสั่งงานในสวนค่ะ เรื่องสินค้าของคุณ”
“งั้นผมขอตามไปช่วยดูนะครับ”
พยายามจะแกะแขนรัญญิกาออก ทว่าแม่สาวเฉี่ยวกลับเกาะเขาแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกเสียอีก เห็นดังนั้นแล้ววัสนางค์จึงนึกสนุก เธอยิ้มส่งให้กับเขาก่อนจะรี่เข้าไปแทรกกลางระหว่างจอมทัพและรัญญิกาในทันใด
“คุณจอมคะ ฝนว่าเราเข้าไปคุยกันในศาลาร่มๆ กันเถอะค่ะ อย่าไปตามยายเหมยเลยนะคะ ยิ่งสายแดดก็ยิ่งร้อน ไปเถอะค่ะ” วัสนางค์ใช้สะโพกดันร่างรัญญิกาให้ออกห่างไปจนสำเร็จและจะดึงแขนจอมทัพให้ตามหล่อนเข้าไปนั่งในศาลาอีกฟากหนึ่ง
“อ๊าย...นังบ้า หลีกไปนะ”
รัญญิกายอมไม่ได้ที่ถูกสลัดออกไป หล่อนรีบเข้าไปหาชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง หากวัสนางค์ก็เหนียวใช่ย่อยถูกดึงเท่าไรเธอก็ไม่ยอมปล่อยแขนจอมทัพให้กับอีกฝ่าย จนแล้วจนรอดรัญญิกาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และเปลี่ยนมาคล้องแขนอีกข้างของจอมทัพแทน
ทั้งสองสาวใช้สายตาฟาดฟันใส่กันแบบไม่ยั้ง ทำให้คนตรงกลางได้แต่ทอดถอนใจอย่างเอือมระอา เขารู้ว่าวัสนางค์แค่อยากแกล้งรัญญิกาเท่านั้น สำหรับรัญญิกาเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ทำงานทำการอย่างหล่อน มันไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว ถ้าจะให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็ขอไม่เลือกใครเสียจะดีกว่า
เห็นร่างทั้งสามที่พากันเดินเลี่ยงจากไป มณีกานดาจึงได้แต่โคลงศีรษะไปมาและอมยิ้มกับภาพที่เห็น นี่ถ้ามีปุณชิกาเข้ามาร่วมวงด้วยอีกสักคน อยากจะรู้นักว่าจะสนุกขนาดไหน
/////
ที่โรงพยาบาล...ภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วย รติกรนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเตียง บนศีรษะมีผ้าพันแผลพันอยู่โดยรอบ เพราะสิ่งนี้จึงทำให้หญิงสาวต้องนั่งคิดอยู่เนิ่นนาน
ในครั้งแรก เธอรู้สึกเจ็บปวดที่หัวอย่างทุรนทุรายทุกครั้งที่พยายามใช้ความคิดเค้นหาคำตอบในหลายๆ ด้าน แต่จนแล้วจนรอด คำตอบที่ควรจะเป็นกลับไม่มีเอาเสียเลย เช่นเดียวกับอาการปวดที่เธอเริ่มจะชาชินกับมันไปทุกขณะแล้ว
ความทรงจำอื่นๆ มันได้เลือนหายไปไหนหมด แม้ว่ายังมีบางส่วนที่เลือนรางอยู่ก็ตามและสิ่งนั้นก็เป็นภาพของเธอที่กำลังร้องไห้เสียใจอยู่กับเรื่องเรื่องหนึ่ง ซึ่งเธอก็ค้นหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด
จนในเวลานี้เธอก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้องด้วยความคิดที่สับสน มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและที่สำคัญเธอเป็นใคร ทำไมความทรงจำที่มันเลือนรางและเหลือน้อยเหล่านั้นถึงบอกกับเธอแค่เพียงว่า เธอกำลังเศร้าและเสียใจ
เสียใจ...ร้องไห้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเธอด้วยสาเหตุอะไรกันแน่นะ
นั่งนิ่งคิดอยู่เช่นนั้นโดยไม่พูดอะไร เหมือนว่าในเวลานี้ตนอยู่บนโลกสี่เหลี่ยมส่วนตัว ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยว...ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกสับสน
เวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า มีเพียงผู้ชายและผู้หญิงอีกสองคนเข้ามาหาเธอ แต่กระนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกับเธอมากไปกว่านางพยาบาลผู้ใจดีและคุณหมอที่เข้ามาตรวจดูอาการของเธอในรอบทุกๆ สองชั่วโมง ทั้งหมอและนางพยาบาลเข้ามาพูดคุยกับเธออย่างสนิทสนม ภายในดวงตาคู่นั้นเธอมองเห็นความอ่อนโยนและมีเมตตา จนเธอไว้ใจพวกเขาและมักจะยิ้มให้ทุกครั้ง
แม้กระทั่งในช่วงของอาหารเที่ยง ก็มีแค่พยาบาลที่เข้ามาป้อนอาหารกับเธอ หญิงสาวคิดสับสนว่าเหตุใด เธอถึงไม่มีญาติและดูเหมือนว่าความทรงจำในเรื่องเหล่านี้มันจะไม่มีอยู่ในหัวเสียด้วยซ้ำ
เธอจำอะไรไม่ได้...มันเกิดอะไรขึ้น
แล้วเหตุใดเธอถึงได้เป็นเช่นนี้ สิ่งที่บ่งบอกอยู่ชัดเจนมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ เธอเจ็บปวดและอยากจะลืมเรื่องเหล่านั้นให้หมดไปจากหัวใจ
เรื่องอะไร ไม่เข้าใจ คำตอบที่เค้นคิดได้มีแต่เพียงคำว่าไม่รู้...ไม่ทราบเพียงเท่านั้น
มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอจำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งชื่อของตนเอง
เธอเป็นใคร...เธอชื่ออะไร แล้วเธอมาจากที่ไหน...
/////
หลังจากวันนั้น มันทำให้ปุณชิกาได้คิด เธอกับจอมทัพอาจจะไม่ถึงขั้นเป็นแฟนกันเพราะจากที่คิดดูแล้ว เขาคิดกับเธอแค่น้องสาวเท่านั้น
น้องสาว...คำนี้ยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดและที่สำคัญ เธอไม่อาจที่จะไปสู้หน้าเขาได้อีกต่อไป
ปุณชิกาเอาแต่หลบหน้าจอมทัพ พูดกับเขาน้อยคำนักและวันนี้เธอก็เลี่ยงที่จะเจอกับเขา หลังจากตื่นนอนแล้วหญิงสาวจึงรีบลงมาที่ไร่และไปอยู่กับชัย ช่วยงานเขาเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่ที่ชายหนุ่มจะให้ช่วย แม้สุดท้ายแล้ว มันจะเป็นการช่วยกวนเสียมากกว่าก็ตาม
เช่นเวลานี้เธอกำลังช่วยเขาตัดช่อดอกเบญจมาศในสวนที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ตัดไปตัดมาก้านของดอกก็ยิ่งสั้นลงไปทุกขณะ ชัยมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเข้าไปเตือนเธอ
“คุณปูเป้ครับ อย่าตัดสั้นแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวทางร้านเขาเอาไปปัก ดอกก็จมอยู่กับโฟมหมดสิครับ”
“ก็ฉันตัดไม่เป็นนี่” ปุณชิกาตอบเสียงสะบัดทำหน้ายู่ พร้อมกับมองตะกร้าใส่ดอกไม้ก็นึกขำกับผลงานของตัวเอง
“ไหนว่าเมื่อกี้คุณบอกว่าตัดเป็นยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ก็เมื่อกี้ตัดเป็น ตอนนี้ตัดไม่เป็นแล้ว เอาไปเลย ฉันไม่ตัดแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณไปนั่งที่ใต้ร่มนั่นก่อนเถอะครับ นี่ก็เกือบเที่ยงแล้วผมขอตัดไปอีกนิดเดี๋ยวแล้วเราค่อยไปทานข้าวกัน”
เขาบอกพร้อมกับชี้ให้เธอไปนั่งรอที่ใต้ร่ม ทว่าปุณชิกากลับไม่ไปแถมเธอยังเดินเข้ามาหยิบกรรไกรอันเดิมทำท่าจะก้มหน้าลงไปตัดดอกไม้อีก
“นั่นคุณจะทำอะไรน่ะคุณปูเป้”
“ก็จะช่วยนายไง จะได้เสร็จไวๆ แล้วจะได้ไปกินข้าวกัน”
“ก็ไหนว่าคุณจะไม่ตัดแล้วอย่างไรล่ะครับ”
เขาอมยิ้มมองกรอบหน้าขาวสวยที่บัดนี้มีสีเข้มขึ้นเพราะทำงานแถมมีหยาดเหงื่อไหลมาตามหน้าผากกลมมนจนบางส่วนไหลลงมาที่แก้ม ชายหนุ่มเอื้อมมือจะไปช่วยปาดเหงื่อให้ หญิงสาวจึงรีบหลบในทันทีพร้อมกับถามเสียงเขียว
“นายจะทำอะไรน่ะ นายชัย”
“เอ่อ...ผมจะช่วยปาดเหงื่อให้คุณน่ะครับ เอาเป็นว่า...คุณปูเป้ไปนั่งรอที่ใต้ร่มนั่นเถอะครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ”
“แต่ฉันอยากจะช่วยนายนี่ มะ ฉันตัดเป็นแล้วล่ะ จะได้เสร็จไวๆ”
แล้วคนตัดเป็นก็ก้มลงไปตัดดอกไม้ในแปลงอีกครั้งด้วยท่าทีขะมักเขม้น ท่ามกลางสายตาของชัยที่มองเธออย่างขบขัน ไหนว่าทำเป็นล่ะ ยิ่งตัดก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ดอกไม้เสียไปเปล่าๆ
“หยุดเถอะครับคุณปูเป้...”
“ไม่ ฉันอยากจะช่วยนายนี่ ไปๆ ไปทำในส่วนของนายซะ”
“แต่ดูสิครับ คุณทำให้ดอกไม้ของผมเสียหายหมดแล้วนะครับ”
“เสีย...ไหน เสียตรงไหน ฉันก็ตัดอย่างที่นายทำน่ะแหละ”
“ไม่ครับ ไม่ได้ตัดแบบนั้น ทำแบบนั้นดอกไม้จะเสียน้ำและเฉาเร็ว ผมว่าคุณวางกรรไกรเถอะครับ”
“ไม่...ก็ฉันอยากจะช่วยนายน่ะ ถ้าอย่างนั้นนายก็สอนฉันสิ จะได้เสร็จไวๆ แล้วไปกินข้าวกัน”
“มันจะดีหรือครับ” คุณครูจำเป็นมองกรอบหน้าสวยของว่าที่ลูกศิษย์สาวซึ่งมองตอบมายังเขาเช่นกัน
“ดีสิ ฉันจะได้ตัดเป็นสักที นายว่าที่ฉันตัดมันไม่ดีไม่ใช่หรือ มาสิ มาสอนฉัน มันจะได้เสร็จไวๆ ไง”
“ก็ได้ครับ”
พูดจบชัยก็ขยับเข้าไปหาหญิงสาว พร้อมกับค่อยๆ สอนเธอให้ตัดดอกไม้อย่างถูกวิธี จนหญิงสาวค่อยๆ ทำเป็น
ในเวลาต่อมา แต่กระนั้นการใกล้ชิดของทั้งสอง ยิ่งทำให้หัวใจของแต่ละคนเต้นแรงอย่างไม่เป็นส่ำ โดยเฉพาะปุณชิกา ที่รับรู้ถึงความแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยเฉพาะกับจอมทัพ ที่เธอวิ่งตามเขามาตลอด หากแต่กับชัย มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอไม่ได้วิ่งตามเขา แต่เป็นเขาเองที่กำลังวิ่งตามเธอ โดยที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้หยุดรอและพร้อมที่จะให้เขาก้าวไปพร้อมกัน
ช่วงนี้ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดในชีวิตของเธอ หญิงสาวก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าความสุขที่เคยพบเจอมา จะมีมากเท่ากับในเวลานี้ เธอมีความสุขโดยที่ตนเองก็พร้อมที่จะให้มันเดินทางเข้ามา สิ่งนี้กระมัง ที่มันแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงเพราะที่ผ่าน เธอได้สิ่งเหล่านั้นมาโดยมีคนเอามาให้ เธอไม่ได้เดินตามหามันอย่างกับเวลานี้
การที่ได้ใกล้ชิดกับชัย มันทำให้เธอมีความสุขเป็นยิ่งนัก เขาทำให้เธอมองเห็นโลกอีกด้านหนึ่ง เขาทำให้เธอมองเห็นการทำงานของกลุ่มคนในระดับล่าง เขาสอนเธอและเล่าถึงความทุกข์ยากของกลุ่มคนเหล่านี้และเขายังบอกกับเธออีกว่า ถ้าไม่มีคนกลุ่มนี้คอยส่งเสริมอยู่อย่างเงียบๆ งานดอกไม้ งานพิธีต่างๆ ที่มีแต่ความสวยงาม ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
คนงานในไร่ทุกคนมีชีวิต พวกเขามีจิตใจและที่สำคัญ พวกเขามีจิตวิญญาณที่ไม่ได้ต่ำต้อยเหมือนอย่างกับวิถีชีวิตของพวกเขาที่ทุกคนเข้าใจ คนที่อยู่อย่างสูงส่งต่างหากในบางครั้งกลับแสดงกิริยาออกมาได้ไม่สมกับที่อยู่ของตนสักนิด
สิ่งเหล่านี้มันได้ทำให้ปุณชิกาได้คิด เธอเริ่มที่จะมองเห็นอีกด้านหนึ่งและเริ่มจะเข้าใจการมาอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันทำให้เธอได้รู้จักอะไรหลายๆ อย่าง ที่สำคัญเธอได้รู้จักกับเขากับคุณค่าอันสำคัญที่สุด ซึ่งเธอก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคือความรัก
หลายครั้งที่เธอแอบมองคุณครูหนุ่ม สอนเธอตัดดอกไม้ คอยตักเตือนในครั้งที่เธอทำผิดและคอยสอนให้เธอรู้จักในอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
รอยยิ้มของเขา แม้จะเป็นแบบคนติดดินที่เธอเคยดูถูก เริ่มจะเปลี่ยนความคิดของเธอไปอย่างรวดเร็ว ยังดีที่เธอได้คิดไม่อย่างนั้น เธอก็คงจะไม่รู้จักคุณค่าในด้านนี้อย่างแน่นอนและเธอก็คงจะทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ คอยวิ่งตามหาความรัก ทั้งๆ ที่ตนก็ไม่เคยรู้ว่าแท้จริงความรักเป็นเช่นไร และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องการหรือไม่
สิ่งที่วิ่งตาม มันแตกต่างจากสิ่งที่มันวิ่งเข้าหาอย่างสิ้นเชิง เธอรู้จักกับความสุข มากกว่าความรักที่เคยตามหา และเขา ก็สอนให้เธอได้รู้จักกับคุณค่าเหล่านี้
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2555, 21:54:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2555, 21:54:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 1641
<< ตอนที่ ๑๓ ร้าย...ไม่เลิก | ตอนที่ ๑๕ เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป >> |
anOO 12 เม.ย. 2555, 14:15:29 น.
คู่แข่งโผล่มาอีกแล้ว ยัยเหมยเตรียมตัวตั้งรับให้ดี
หรือว่าจะปล่อยนายจอมทัพไปดีนะ
คู่แข่งโผล่มาอีกแล้ว ยัยเหมยเตรียมตัวตั้งรับให้ดี
หรือว่าจะปล่อยนายจอมทัพไปดีนะ