รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๑๕ เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ตอนที่ ๑๕
ในช่วงเย็นของวันนั้นชัยพาปุณชิกามาเยี่ยมรติกร แต่ก่อนที่จะได้เข้าเยี่ยมหญิงสาว เขาได้พบคุณหมอเจ้าของไข้ พร้อมกับเอ่ยถามอาการของรติกรเพราะข่าวล่าสุดที่ได้รับทราบจากเมยาวีคือรติกรฟื้นแล้ว
“อาการโดยรวมของคุณรติกรถือว่าดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ และตอนนี้เธอก็ฟื้นแล้วด้วยแสดงว่าพ้นไปจากขอบเขตอันตรายแล้วล่ะครับ”
คุณหมอบอกทั้งสองด้วยสีหน้าเคลือบรอยยิ้มบางๆ ขณะชัยและปุณชิกาหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกโล่งใจ
“ดีแล้วล่ะครับที่เธอฟื้นขึ้นมาได้แล้ว”
“ใช่...เราจะได้ไม่เป็นห่วงเธอมาก”
“แต่เอ่อ...” สีหน้าของชายผู้นั้นไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ชัยเลิกคิ้วสูงก่อนจะตั้งคำถามขึ้น
“แต่อะไรครับคุณหมอ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ตอนนี้คนไข้มีอาการเหม่อลอยและที่สำคัญเธอไม่สามารถที่จะจำอะไรได้เลยครับ”
“จำไม่ได้ หมายความว่าอย่างไรคะ”
ปุณชิกาขยับเข้าไปใกล้คุณหมอในทันที แม้ว่าจะรู้สึกหวั่นๆ กับคำบอกเล่าของคุณหมอเมื่อวันก่อน และยิ่งมาได้รับการยืนยันแบบนี้เธอก็ยิ่งใจเสีย
“ผมเคยบอกพวกคุณก่อนหน้าแล้วอย่างไรล่ะครับ ว่าไม่อาจจะรับประกันได้ว่าคนไข้จะกลับมาเป็นปกติ เพราะศีรษะของเธอได้รับการกระทบกระเทือนและบัดนี้มันก็เป็นเช่นนั้น คนไข้ไม่สามารถที่จะจำอะไรได้ แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง”
“อย่าบอกนะครับว่าตอนนี้คุณรติเป็นเช่นนั้น”
“ใช่แล้วครับ ตอนนี้คนไข้เป็นเช่นนั้น”
จอมทัพที่มาพร้อมกับเมยาวีและรัญญิกา ทั้งวัสนางค์และมณีกานดาที่ตามมาสมทบได้ยินเช่นนั้น จอมทัพถึงกับหน้าเสียและรีบโผเข้าไปหาคุณหมอเพื่อสอบถามในทันที
“มันหมายความว่ายังไงกันครับคุณหมอ มันเกิดอะไรขึ้น”
“จากการที่ตรวจดูแล้ว อาการของคนไข้รายนี้ แม้จริงๆ แล้วจะไม่ร้ายแรงอย่างกับในรายที่ผ่านๆ มา แต่สิ่งที่บ่งบอกอย่างเด่นชัดเลยว่าเธอหนักกว่าคนอื่นก็คือ ขนาดชื่อของตนเอง เธอยังจำอะไรไม่ได้”
“โอ...ยายรติ”
รัญญิกายกมือขึ้นทาบอกอย่างมีจริต แม้จริงๆ แล้วเธอจะไม่รู้สึกเช่นนั้นก็ตามแต่เพราะต้องการสร้างภาพในทางที่ดีเพื่อไม่ให้ใครได้ว่าเธอว่าไม่สนใจน้องสาว
“แล้วคนไข้จะมีโอกาสกลับมาเป็นปกติหรือเปล่าครับ”
ชัยถามหลังจากที่รู้สึกผิดและเป็นห่วงรติกรขึ้นมา ก็เขาเองไม่ใช่หรือที่พาเธอไปที่นั่นจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“ระยะเวลาครับ ที่จะทำให้เธอกลับมาเป็นปกติได้แต่ก็นั่นแหละจะให้เป็นเหมือนเดิมอาจจะไม่ได้อีกต่อไป และ
นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบด้วย”
“เช่นอะไรบ้างคะ คุณหมอ” เมยาวีขยับเข้ามาถามอีกคน
“อย่างแรกก็คือระยะเวลา ทั้งบรรยากาศ กับคนรู้จักที่จะเข้ามาช่วยฟื้นความทรงจำของเธอ”
“บรรยากาศ ระยะเวลา...”
“ใช่ครับ พวกคุณจะต้องให้โอกาสคนไข้ได้พักฟื้น ซึ่งหมอก็เชื่อว่าอีกไม่กี่วันคนไข้ก็สามารถที่จะกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้เพราะบรรยากาศของบ้านจะทำให้เธอได้มีเวลาคิดทบทวนกับสิ่งต่างๆ และฟื้นฟูสภาพจิตใจของเธอด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นรันจะพายายรติกลับบ้านเองค่ะ” รัญญิกาเอ่ยแทรกขึ้น ทว่ากลับถูกจอมทัพขัดขึ้น
“จะได้ยังไงครับ ขนาดตัวเองเธอเองยังจำอะไรไม่ได้เลย”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะคะ จะให้ยายรตินั่งบื้ออยู่อย่างนั้นตลอดหรือคะคุณจอม”
“บรรยากาศมันก็เป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูสภาพจิตใจนะครับ ผมจึงเห็นควรว่าเราน่าจะพาเธอกลับไปที่ไร่ศีตกรรณของคุณเหมยมันจะดีกว่านะครับ”
“ใช่ค่ะ เหมยก็เห็นด้วย บรรยากาศบริสุทธิ์อาจจะทำให้คุณรติดีขึ้นก็ได้ค่ะ”
“คุณหมอครับถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าไปเยี่ยมคุณรตินะครับ” ชัยขออนุญาตคุณหมอ
“ได้ครับ ตอนนี้คนไข้ถูกย้ายออกไปอยู่ที่ห้องพิเศษแล้วล่ะครับ พวกคุณสามารถเข้าเยี่ยมเธอได้ตลอดเวลา เอ่อ...หมอขอตัวก่อนนะครับ”
นายแพทย์เดินเลี่ยงจากไป ชัยจึงจูงมือปุณชิกาเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องที่คุณหมอแนะบอกทันที
ประตูห้องเปิดออก ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี มีพยาบาลกำลังป้อนข้าวต้มให้กับคนไข้สาวอยู่ เห็นคนทั้งหมดเข้ามาในห้อง ทั้งสองคนจึงหันมามองพวกเขาอย่างแปลกใจ
“เอ่อ...ญาติมากันแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
พยาบาลนางนั้นบอกคนไข้และทุกคน ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป ปุณชิกาขยับเข้าไปแทนที่เธอส่งยิ้มให้กับคนไข้สาว บัดนี้เธอลดทิฐิในหัวใจกับผู้หญิงคนนี้ลงไปมากแล้วและสำนึกได้ว่าเธอเคยทำกับรติกรเอาไว้ไม่ใช่น้อย เห็นทีที่เธอจะดูแลอีกฝ่ายบ้างเป็นการขอโทษ
รอยยิ้มจากหญิงสาวตรงหน้า ทำให้รติกรคลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด แม้ลึกๆ จะรู้สึกเจ็บปวดกับกรอบหน้าสวยนี้ก็ตาม ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างบอกเธอว่าควรวางใจ
ปุณชิกาป้อนข้าวรติกร จนคนไข้สาวยกมือบอกเป็นเชิงว่าอิ่มแล้ว เธอจึงเลื่อนโต๊ะอาหารออกไปและให้จอมทัพกับรัญญิกาเข้าไปแทนที่
“เป็นยังไงบ้างครับคุณรติ” จอมทัพถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“รติ...ฉัน ชื่อรติหรือคะ”
เป็นประโยคแรกที่คนไข้สาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอมองหน้าแต่ละคนในห้องนั้นทีละคน บางทีคนพวกนี้อาจจะเป็นญาติของเธออย่างที่พยาบาลบอกก็ได้
“ใช่แล้วครับ คุณชื่อรติกร มณีกาญจน์ คุณเป็นเลขาฯ ของผม จอมทัพ อัศวศิโรรมณ์ ของบริษัท เจ โปรดัก จำกัด อย่างไรล่ะครับ”
ชายหนุ่มเน้นประโยคนั้นอย่างเชื่องช้า เพื่อจะให้เธอจดจำและรื้อฟื้นความทรงจำ ขณะรติกรค่อยๆ หลุบเปลือกตาลงคล้ายทบทวน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มสลับกับรัญญิกาที่เหมือนกำลังยิ้มเยาะเธออยู่
“ใช่แล้วล่ะยายรติ นี่คุณจอมทัพ เจ้านายของเธอยังไงล่ะ แล้วก็ฉัน...เอ่อ พี่ เป็นพี่สาวของเธออย่างไรล่ะ รัญญิกา มณีกาญจน์”
“พี่รัน”
จบประโยคนั้น เธอก็เค้นชื่อนี้ออกมาได้และนั่นก็พอที่จะทำให้รอยยิ้มของทุกคนเปิดขึ้นได้และหันมองหน้ากันอย่างเบาใจ
“น่ารักมากยายน้องรัก ที่ยังจำพี่ได้”
“พี่รัน...พี่รัน...”
หลังจากพูดคำนั้นคนไข้สาวได้แค่เอ่ยซ้ำๆ กัน ดวงตาที่มองทั้งสองคนซึ่งอยู่ข้างเตียงยังคงเหม่อลอยเช่นเดิม แม้ว่าจะจำชื่อนี้ได้ ทว่าทุกคนก็ยังหนักใจอยู่ดีเพราะว่ารติกรยังไม่มีท่าทีที่จะพูดคำไหนไปมากกว่าคำนั้น
มณีกานดาทนเห็นภาพเหล่านั้นไม่ได้ก็พาลจะน้ำตาไหล เธอจึงชวนวัสนางค์ออกมาด้านนอกก่อนเมยาวีจะตามออกมาอีกคน
“สงสารคุณรติจังพวกเธอ”
“ฉันก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอหรอก คีน” วัสนางค์เอ่ยพรางทอดถอนใจยาว
“แต่อย่างน้อยคุณรติก็จำพี่สาวของตัวเองได้แล้วนะ บางที ถ้าให้พูดถึงเรื่องราวเก่าๆ คุณรติอาจจะจำอะไรมากขึ้นก็ได้” เมยาวีตามออกมาและบอกเพื่อนสาว หากสีหน้าที่แสดงก็ไม่ดีมากเท่าไรนัก
“ฉันก็ได้แต่ภาวนาล่ะ ขอให้คุณรติจำอะไรได้เร็วๆ เธอจะได้กลับมาเป็นคนเดิมเสียที” มณีกานดายกมือขึ้นมาพนมไหว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พรางทอดถอนใจออกมาอย่างนึกสงสารคนไข้ในห้องไม่ได้เช่นกัน
ทั้งสามสาวพากันไปนั่งที่ม้านั่งหน้าห้องพักฟื้นคนไข้ เพื่อจะรอให้คนทั้งหมดออกมาและพากันกลับไปที่ไร่ของเมยาวี
//////
ภายในห้องยังมีปุณชิกาและชัยที่ยืนมองจอมทัพและรัญญิกาคอยพูดคุยกับรติกรอยู่อย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าเธอและเขาไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ จึงดึงแขนชัยให้ตามเมยาวีออกมาอีกคนหนึ่ง
“ฉันว่าเราออกไปรอข้างนอกเถอะ เดี๋ยวพี่จอมและคุณรันก็คงจะออกมาแล้วล่ะ ให้พวกเขาพูดคุยกับเธออีกสักพักเถอะนะ”
“ครับ...” ชัยรับคำ ก่อนจะเดินตามหญิงสาวให้ออกมานอกห้องอีกคนหนึ่ง
“ชัย เป็นยังไงบ้าง” เมยาวีถามน้องชายที่ทำหน้าเศร้าและเดินออกมาพร้อมกับปุณชิกาที่วันนี้ดูเปลี่ยนไปมาก
“ก็เหมือนเดิมน่ะครับ ตอนนี้คุณจอมทัพและคุณรัญญิกากำลังพูดคุยเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ กับคุณรติอยู่ อีกสักพักก็น่าจะพากันออกมาได้แล้วล่ะครับ”
ชัยตอบ ก่อนจะเปิดทางให้ปุณชิกาได้ขยับเข้าไปนั่ง เห็นหน้าของอีกฝ่าย เมยาวีก็ถึงกับพูดไม่ออก เรื่องจากเมื่อวานเข้ามารบเร้าในหัวใจของเธอในทันที เธอเชิดหน้าให้กับเด็กสาว หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมายิ่งทำให้เธอนึกงง ปุณชิกาส่งยิ้มให้กับเธอ
“เอ่อ...”
ฝ่ายที่พูดไม่ออกกลับเป็นเธอเสียเอง เพราะนอกจากจะส่งยิ้มให้กับเธอแล้ว ปุณชิกายังเดินเข้ามากุมมือเธออย่างเป็นมิตร ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่มีอายุมากกว่าด้วยสายตาแกมขอโทษ
“ปูเป้ขอโทษนะคะ พี่เหมย”
“พ่ะ...พี่”
“ปูเป้ยอมรับค่ะว่าวีนจริงๆ ปูเป้ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“นี่มันเรื่องอะไรเหมย” วัสนางค์ถึงกับงงกับภาพที่เป็นไป ปุณชิกาน่าจะเข้ามาแว้ดๆ ใส่เพื่อนสาวของเธอสิแต่
แปลกวันนี้ที่อีกฝ่ายเข้ามากุมมือของเมยาวีแทน
“ปูเป้มีหลายอย่างอยากจะพูดกับพี่เหมย ขอความกรุณาพี่เหมยรับฟังปูเป้ด้วยนะคะ”
ปุณชิกาดึงแขนเมยาวีให้ตามหล่อนไปอีกทาง ชัยทำท่าว่าจะตามไปกลับถูกห้ามด้วยสายตาของเมยาวี ส่วนวัสนางค์ที่เป็นห่วงเพื่อนสาวจึงตามไปอีกคน
มณีกานดาและชัยมองทั้งสามคนที่เดินจากไป แม้พอจะรู้ว่าทุกอย่างเริ่มจะคลี่คลาย ทว่าลึกๆ เขากลับนึกสังหรณ์อยู่เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ชายหนุ่มยังพอเบาใจเมื่อมณีกานดาส่งยิ้มให้กับเขาแล้วบอก
“เบาใจเถอะชัย ดูเหมือนว่าคุณปูเป้เธอจะเปลี่ยนไปมากเลยนะ ไม่รู้ว่าได้ยาดีอะไรรักษา”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ผมชักจะกลัวกับความรู้สึกอะไรบางอย่างแล้วล่ะสิ”
“ความรู้สึกกลัว มันอยู่ที่ใจของเรา พี่รู้นะว่าชัยคิดยังไงกับคุณปูเป้ และที่คุณปูเป้เปลี่ยนไปแบบนี้ พี่ก็เชื่อว่าเป็นเพราะชัย”
“แต่ผมก็ยังนึกห่วงทั้งสองคนอยู่ดีครับ”
“ห่วง ห่วงเรื่องอะไรล่ะจ้ะ”
มณีกานดาเลิกคิ้วขึ้นมองชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนอยู่ตรงหน้าและสายตาก็ไม่วางที่จะมองไปยังทั้งสามร่างที่ตามกันออกไป
“ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้”
“ปล่อยวางบ้างเถอะน่าชัย อย่างน้อย พี่ก็เชื่อว่า เธอทำคะแนนกับคุณปูเป้ได้ฉลุยแล้วล่ะ”
“คะแนน คะแนนอะไรครับ”
เห็นมณีกานดาพูดอะไรแปลกๆ ชัยจึงหันมาทางหญิงสาวในทันทีด้วยความแปลกใจ หากคำตอบนั้นกลับยังไม่ได้คำตอบเมื่อสายตาของหญิงสาวเหลือบไปเห็นคนงานในไร่คนหนึ่งเดินผ่านไป ความอยากรู้ว่าเขาคนนั้นมาทำไมที่นี่จึงทำให้หญิงสาวเอ่ยตัดบทในที่สุด
“เอ่อ...ชัย เอาไว้พี่จะบอกกับชัยทีหลังก็แล้วกันนะ พอดีพี่มีธุระ ฝากบอกเหมยกับฝนด้วยนะว่าพี่ขอกลับก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงพี่”
///////
ทั้งเมยาวี วัสนางค์และปุณชิกาออกมาคุยกันที่ร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาล พอคุยกันไปได้สักพัก ก็พอจะได้ผลสรุปที่เหมือนจะทำให้ทุกฝ่ายพอใจ วัสนางค์ทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เธอดีใจกับการที่ปุณชิกายอมอ่อนน้อมเข้าหาเมยาวี และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แม้จะตกใจที่เพื่อนสาวของตนเองถูกปุณชิกาทำร้ายก่อน และเมื่ออีกฝ่ายมาขอโทษ เมยาวีก็ไม่เอาความอะไร ทุกๆ คนจึงยิ้มออกมาได้
“ปูเป้ดีใจค่ะ ที่พี่เหมยยกโทษให้ปูเป้” ปุณชิกาคลี่ยิ้มอย่างยินดี จริงๆ แล้วเธอเป็นคนผิด เมื่อยินดีขอโทษและสำนึกผิด เมยาวีก็ไม่อยากจะเอาความอะไร
“พี่ก็ดีใจ ที่คุณปูเป้เข้าใจพี่”
“เข้าใจที่พี่เหมยรู้สึกดีกับพี่จอมหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเย้า มองหน้าของเมยาวีที่เริ่มเข้มขึ้นมาทุกขณะด้วยความเขินอาย
“ก็...”
“อย่าปิดปูเป้เลยค่ะ ปูเป้ก็รู้นะคะว่าพี่จอมก็มีใจให้พี่เหมยเหมือนกัน เอาล่ะค่ะ คราวนี้ปูเป้จะไม่หึงจะไม่หวง เพราะรู้แล้วค่ะ ว่าคนที่พี่จอมจริงใจและรักจริงๆ คือพี่เหมย สำหรับปูเป้แล้วเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น” ประโยคท้าย เมยาวีสังเกตเห็นกรอบหน้าสวยสลดลงไปพร้อมกับน้ำเสียงที่สั่นเครือของหญิงสาวในตอนท้าย
“อย่ากังวลไปเลยค่ะคุณปูเป้ เหมยก็ดูออกนะคะว่าคุณจอมเขารักคุณปูเป้เหมือนน้องสาวที่พิเศษกว่าไหนๆ เขาแคร์ และดูแลคุณปูเป้ดีมาตลอดไม่ใช่หรือคะ”
“ใช่ค่ะ...แต่มันก็คงไม่มากไปกว่านั้นอีกแล้ว ก็เพราะพี่จอมมีคุณเหมยอย่างไรล่ะคะ”
รอยยิ้มค่อยเพิ่มระดับขึ้นมาอีกนิด เมื่อความเข้าใจที่มีมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งสองสาวพูดดีต่อกัน เมยาวีก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรกับสาวรุ่นน้อง ที่ผ่านมาปุณชิกาทำอะไรไว้ เธอก็ไม่ได้นำมันเอามาคิดให้หนักสมอง เมื่อหญิงสาวตรงหน้าเข้าใจและยอมกลับใจ เธอก็ดีใจด้วย
“พอละๆ ฉันว่าเราออกมานานเกินไปละ ในเมื่อเข้าใจกันแล้วฉันก็ดีใจด้วยนะ เรากลับเข้าไปหาทุกคนกันเถอะ ปานนี้คงจะรอกันแย่แล้วล่ะ”
เห็นว่าออกมานานพอสมควรแล้ววัสนางค์จึงเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะชวนทุกคนให้กลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง
“ก็ได้ เรากลับกันเถอะค่ะคุณปูเป้” เมยาวีเอื้อมมือไปกุมมือของปุณชิกา เป็นเชิงชวนให้อีกฝ่ายลุกขึ้นและเดินออกไป ขณะวัสนางค์เป็นฝ่ายเข้าไปจ่ายเงินกับเจ้าของร้านด้านใน
“ยังไงปูเป้ก็ดีใจนะคะที่ได้เจอกับพี่เหมย”
“เหมยก็ดีใจเหมือนกันค่ะที่ได้เจอกับคุณปูเป้”
“เรียกปูเป้เฉยๆ จะดีกว่าค่ะ เรียกคุณ มันดูห่างเหินกันอย่างไรไม่รู้นะคะ”
“จะดีหรือคะ”
“ดีสิคะ ไหนลองเรียกอีกทีสิคะ”
“เอ่อ...ปูเป้”
“ดีค่ะ ต่อไปนี้สัญญากับปูเป้จะได้ไหมคะว่าเราสองคนจะเป็นพี่น้องกันและพี่เหมยจะไม่เรียกคุณกับปูเป้อีก”
ปุณชิกาเอียงหน้ามองเมยาวีอย่างน่ารัก ขณะอีกฝ่ายคลี่ยิ้มแล้วตอบ “ก็ได้ค่ะ ต่อไปนี้ปูเป้จะเป็นน้องสาวอีกคนของพี่ค่ะ”
ทั้งสองสาวที่เข้าใจกันมากกว่าเดิมเดินจูงมือกันออกมายังนอกร้านด้วยรอยยิ้มสดใส ซึ่งพวกเธอไม่รู้เลยว่าตนกำลังเป็นเป้าสายตาของใครกลุ่มหนึ่งที่จอดรถซุ่มอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นมากนัก
เดินมาไม่เท่าไรและผ่านรถตู้คันหนึ่ง คนกลุ่มนั้นที่ซุ่มอยู่ในรถตู้ติดฟิล์มสีดำสนิทก็พากกันกรูออกมาโป๊ะยาสลบใส่เมยาวีและปุณชิกาในทันที
ทั้งสองสาวต่างสะดุ้งสุดตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นพยายามจะดิ้นรนให้พ้นไปจากพันธนาการที่ชายเหล่านั้นรัดเอาไว้ ทว่าพวกเธอก็หารู้ไม่ว่าสิ่งที่มันเอามาโป๊ะที่จมูกนั้นเป็นยาสลบชนิดแรงที่สุด เมื่อสูดเข้าไปแล้วสติทั้งหมดก็ถูกลบเลือนไปในทันที
“เฮ้ย...พวกแกทำอะไรเพื่อนฉันน่ะ”
วัสนางค์ที่ออกมาทันเห็นเหตุการณ์ร้องลั่น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปจะช่วยเหลือเพื่อนสาว หากสุดท้ายแล้ว ชะตากรรมของหญิงสาวก็ไม่พ้นไปจากเมยาวีและปุณชิกา ท่ามกลางอาการตกใจของคนแถวนั้นที่ไม่อาจจะเข้าไปช่วยอะไรได้ทัน
เพียงไม่ถึงนาที รถตู้คันนั้นก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเย็นของวันนั้นชัยพาปุณชิกามาเยี่ยมรติกร แต่ก่อนที่จะได้เข้าเยี่ยมหญิงสาว เขาได้พบคุณหมอเจ้าของไข้ พร้อมกับเอ่ยถามอาการของรติกรเพราะข่าวล่าสุดที่ได้รับทราบจากเมยาวีคือรติกรฟื้นแล้ว
“อาการโดยรวมของคุณรติกรถือว่าดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ และตอนนี้เธอก็ฟื้นแล้วด้วยแสดงว่าพ้นไปจากขอบเขตอันตรายแล้วล่ะครับ”
คุณหมอบอกทั้งสองด้วยสีหน้าเคลือบรอยยิ้มบางๆ ขณะชัยและปุณชิกาหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกโล่งใจ
“ดีแล้วล่ะครับที่เธอฟื้นขึ้นมาได้แล้ว”
“ใช่...เราจะได้ไม่เป็นห่วงเธอมาก”
“แต่เอ่อ...” สีหน้าของชายผู้นั้นไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ชัยเลิกคิ้วสูงก่อนจะตั้งคำถามขึ้น
“แต่อะไรครับคุณหมอ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ตอนนี้คนไข้มีอาการเหม่อลอยและที่สำคัญเธอไม่สามารถที่จะจำอะไรได้เลยครับ”
“จำไม่ได้ หมายความว่าอย่างไรคะ”
ปุณชิกาขยับเข้าไปใกล้คุณหมอในทันที แม้ว่าจะรู้สึกหวั่นๆ กับคำบอกเล่าของคุณหมอเมื่อวันก่อน และยิ่งมาได้รับการยืนยันแบบนี้เธอก็ยิ่งใจเสีย
“ผมเคยบอกพวกคุณก่อนหน้าแล้วอย่างไรล่ะครับ ว่าไม่อาจจะรับประกันได้ว่าคนไข้จะกลับมาเป็นปกติ เพราะศีรษะของเธอได้รับการกระทบกระเทือนและบัดนี้มันก็เป็นเช่นนั้น คนไข้ไม่สามารถที่จะจำอะไรได้ แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง”
“อย่าบอกนะครับว่าตอนนี้คุณรติเป็นเช่นนั้น”
“ใช่แล้วครับ ตอนนี้คนไข้เป็นเช่นนั้น”
จอมทัพที่มาพร้อมกับเมยาวีและรัญญิกา ทั้งวัสนางค์และมณีกานดาที่ตามมาสมทบได้ยินเช่นนั้น จอมทัพถึงกับหน้าเสียและรีบโผเข้าไปหาคุณหมอเพื่อสอบถามในทันที
“มันหมายความว่ายังไงกันครับคุณหมอ มันเกิดอะไรขึ้น”
“จากการที่ตรวจดูแล้ว อาการของคนไข้รายนี้ แม้จริงๆ แล้วจะไม่ร้ายแรงอย่างกับในรายที่ผ่านๆ มา แต่สิ่งที่บ่งบอกอย่างเด่นชัดเลยว่าเธอหนักกว่าคนอื่นก็คือ ขนาดชื่อของตนเอง เธอยังจำอะไรไม่ได้”
“โอ...ยายรติ”
รัญญิกายกมือขึ้นทาบอกอย่างมีจริต แม้จริงๆ แล้วเธอจะไม่รู้สึกเช่นนั้นก็ตามแต่เพราะต้องการสร้างภาพในทางที่ดีเพื่อไม่ให้ใครได้ว่าเธอว่าไม่สนใจน้องสาว
“แล้วคนไข้จะมีโอกาสกลับมาเป็นปกติหรือเปล่าครับ”
ชัยถามหลังจากที่รู้สึกผิดและเป็นห่วงรติกรขึ้นมา ก็เขาเองไม่ใช่หรือที่พาเธอไปที่นั่นจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“ระยะเวลาครับ ที่จะทำให้เธอกลับมาเป็นปกติได้แต่ก็นั่นแหละจะให้เป็นเหมือนเดิมอาจจะไม่ได้อีกต่อไป และ
นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบด้วย”
“เช่นอะไรบ้างคะ คุณหมอ” เมยาวีขยับเข้ามาถามอีกคน
“อย่างแรกก็คือระยะเวลา ทั้งบรรยากาศ กับคนรู้จักที่จะเข้ามาช่วยฟื้นความทรงจำของเธอ”
“บรรยากาศ ระยะเวลา...”
“ใช่ครับ พวกคุณจะต้องให้โอกาสคนไข้ได้พักฟื้น ซึ่งหมอก็เชื่อว่าอีกไม่กี่วันคนไข้ก็สามารถที่จะกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้เพราะบรรยากาศของบ้านจะทำให้เธอได้มีเวลาคิดทบทวนกับสิ่งต่างๆ และฟื้นฟูสภาพจิตใจของเธอด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นรันจะพายายรติกลับบ้านเองค่ะ” รัญญิกาเอ่ยแทรกขึ้น ทว่ากลับถูกจอมทัพขัดขึ้น
“จะได้ยังไงครับ ขนาดตัวเองเธอเองยังจำอะไรไม่ได้เลย”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะคะ จะให้ยายรตินั่งบื้ออยู่อย่างนั้นตลอดหรือคะคุณจอม”
“บรรยากาศมันก็เป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูสภาพจิตใจนะครับ ผมจึงเห็นควรว่าเราน่าจะพาเธอกลับไปที่ไร่ศีตกรรณของคุณเหมยมันจะดีกว่านะครับ”
“ใช่ค่ะ เหมยก็เห็นด้วย บรรยากาศบริสุทธิ์อาจจะทำให้คุณรติดีขึ้นก็ได้ค่ะ”
“คุณหมอครับถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าไปเยี่ยมคุณรตินะครับ” ชัยขออนุญาตคุณหมอ
“ได้ครับ ตอนนี้คนไข้ถูกย้ายออกไปอยู่ที่ห้องพิเศษแล้วล่ะครับ พวกคุณสามารถเข้าเยี่ยมเธอได้ตลอดเวลา เอ่อ...หมอขอตัวก่อนนะครับ”
นายแพทย์เดินเลี่ยงจากไป ชัยจึงจูงมือปุณชิกาเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องที่คุณหมอแนะบอกทันที
ประตูห้องเปิดออก ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี มีพยาบาลกำลังป้อนข้าวต้มให้กับคนไข้สาวอยู่ เห็นคนทั้งหมดเข้ามาในห้อง ทั้งสองคนจึงหันมามองพวกเขาอย่างแปลกใจ
“เอ่อ...ญาติมากันแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
พยาบาลนางนั้นบอกคนไข้และทุกคน ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป ปุณชิกาขยับเข้าไปแทนที่เธอส่งยิ้มให้กับคนไข้สาว บัดนี้เธอลดทิฐิในหัวใจกับผู้หญิงคนนี้ลงไปมากแล้วและสำนึกได้ว่าเธอเคยทำกับรติกรเอาไว้ไม่ใช่น้อย เห็นทีที่เธอจะดูแลอีกฝ่ายบ้างเป็นการขอโทษ
รอยยิ้มจากหญิงสาวตรงหน้า ทำให้รติกรคลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด แม้ลึกๆ จะรู้สึกเจ็บปวดกับกรอบหน้าสวยนี้ก็ตาม ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างบอกเธอว่าควรวางใจ
ปุณชิกาป้อนข้าวรติกร จนคนไข้สาวยกมือบอกเป็นเชิงว่าอิ่มแล้ว เธอจึงเลื่อนโต๊ะอาหารออกไปและให้จอมทัพกับรัญญิกาเข้าไปแทนที่
“เป็นยังไงบ้างครับคุณรติ” จอมทัพถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“รติ...ฉัน ชื่อรติหรือคะ”
เป็นประโยคแรกที่คนไข้สาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอมองหน้าแต่ละคนในห้องนั้นทีละคน บางทีคนพวกนี้อาจจะเป็นญาติของเธออย่างที่พยาบาลบอกก็ได้
“ใช่แล้วครับ คุณชื่อรติกร มณีกาญจน์ คุณเป็นเลขาฯ ของผม จอมทัพ อัศวศิโรรมณ์ ของบริษัท เจ โปรดัก จำกัด อย่างไรล่ะครับ”
ชายหนุ่มเน้นประโยคนั้นอย่างเชื่องช้า เพื่อจะให้เธอจดจำและรื้อฟื้นความทรงจำ ขณะรติกรค่อยๆ หลุบเปลือกตาลงคล้ายทบทวน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มสลับกับรัญญิกาที่เหมือนกำลังยิ้มเยาะเธออยู่
“ใช่แล้วล่ะยายรติ นี่คุณจอมทัพ เจ้านายของเธอยังไงล่ะ แล้วก็ฉัน...เอ่อ พี่ เป็นพี่สาวของเธออย่างไรล่ะ รัญญิกา มณีกาญจน์”
“พี่รัน”
จบประโยคนั้น เธอก็เค้นชื่อนี้ออกมาได้และนั่นก็พอที่จะทำให้รอยยิ้มของทุกคนเปิดขึ้นได้และหันมองหน้ากันอย่างเบาใจ
“น่ารักมากยายน้องรัก ที่ยังจำพี่ได้”
“พี่รัน...พี่รัน...”
หลังจากพูดคำนั้นคนไข้สาวได้แค่เอ่ยซ้ำๆ กัน ดวงตาที่มองทั้งสองคนซึ่งอยู่ข้างเตียงยังคงเหม่อลอยเช่นเดิม แม้ว่าจะจำชื่อนี้ได้ ทว่าทุกคนก็ยังหนักใจอยู่ดีเพราะว่ารติกรยังไม่มีท่าทีที่จะพูดคำไหนไปมากกว่าคำนั้น
มณีกานดาทนเห็นภาพเหล่านั้นไม่ได้ก็พาลจะน้ำตาไหล เธอจึงชวนวัสนางค์ออกมาด้านนอกก่อนเมยาวีจะตามออกมาอีกคน
“สงสารคุณรติจังพวกเธอ”
“ฉันก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอหรอก คีน” วัสนางค์เอ่ยพรางทอดถอนใจยาว
“แต่อย่างน้อยคุณรติก็จำพี่สาวของตัวเองได้แล้วนะ บางที ถ้าให้พูดถึงเรื่องราวเก่าๆ คุณรติอาจจะจำอะไรมากขึ้นก็ได้” เมยาวีตามออกมาและบอกเพื่อนสาว หากสีหน้าที่แสดงก็ไม่ดีมากเท่าไรนัก
“ฉันก็ได้แต่ภาวนาล่ะ ขอให้คุณรติจำอะไรได้เร็วๆ เธอจะได้กลับมาเป็นคนเดิมเสียที” มณีกานดายกมือขึ้นมาพนมไหว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พรางทอดถอนใจออกมาอย่างนึกสงสารคนไข้ในห้องไม่ได้เช่นกัน
ทั้งสามสาวพากันไปนั่งที่ม้านั่งหน้าห้องพักฟื้นคนไข้ เพื่อจะรอให้คนทั้งหมดออกมาและพากันกลับไปที่ไร่ของเมยาวี
//////
ภายในห้องยังมีปุณชิกาและชัยที่ยืนมองจอมทัพและรัญญิกาคอยพูดคุยกับรติกรอยู่อย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าเธอและเขาไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ จึงดึงแขนชัยให้ตามเมยาวีออกมาอีกคนหนึ่ง
“ฉันว่าเราออกไปรอข้างนอกเถอะ เดี๋ยวพี่จอมและคุณรันก็คงจะออกมาแล้วล่ะ ให้พวกเขาพูดคุยกับเธออีกสักพักเถอะนะ”
“ครับ...” ชัยรับคำ ก่อนจะเดินตามหญิงสาวให้ออกมานอกห้องอีกคนหนึ่ง
“ชัย เป็นยังไงบ้าง” เมยาวีถามน้องชายที่ทำหน้าเศร้าและเดินออกมาพร้อมกับปุณชิกาที่วันนี้ดูเปลี่ยนไปมาก
“ก็เหมือนเดิมน่ะครับ ตอนนี้คุณจอมทัพและคุณรัญญิกากำลังพูดคุยเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ กับคุณรติอยู่ อีกสักพักก็น่าจะพากันออกมาได้แล้วล่ะครับ”
ชัยตอบ ก่อนจะเปิดทางให้ปุณชิกาได้ขยับเข้าไปนั่ง เห็นหน้าของอีกฝ่าย เมยาวีก็ถึงกับพูดไม่ออก เรื่องจากเมื่อวานเข้ามารบเร้าในหัวใจของเธอในทันที เธอเชิดหน้าให้กับเด็กสาว หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมายิ่งทำให้เธอนึกงง ปุณชิกาส่งยิ้มให้กับเธอ
“เอ่อ...”
ฝ่ายที่พูดไม่ออกกลับเป็นเธอเสียเอง เพราะนอกจากจะส่งยิ้มให้กับเธอแล้ว ปุณชิกายังเดินเข้ามากุมมือเธออย่างเป็นมิตร ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่มีอายุมากกว่าด้วยสายตาแกมขอโทษ
“ปูเป้ขอโทษนะคะ พี่เหมย”
“พ่ะ...พี่”
“ปูเป้ยอมรับค่ะว่าวีนจริงๆ ปูเป้ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“นี่มันเรื่องอะไรเหมย” วัสนางค์ถึงกับงงกับภาพที่เป็นไป ปุณชิกาน่าจะเข้ามาแว้ดๆ ใส่เพื่อนสาวของเธอสิแต่
แปลกวันนี้ที่อีกฝ่ายเข้ามากุมมือของเมยาวีแทน
“ปูเป้มีหลายอย่างอยากจะพูดกับพี่เหมย ขอความกรุณาพี่เหมยรับฟังปูเป้ด้วยนะคะ”
ปุณชิกาดึงแขนเมยาวีให้ตามหล่อนไปอีกทาง ชัยทำท่าว่าจะตามไปกลับถูกห้ามด้วยสายตาของเมยาวี ส่วนวัสนางค์ที่เป็นห่วงเพื่อนสาวจึงตามไปอีกคน
มณีกานดาและชัยมองทั้งสามคนที่เดินจากไป แม้พอจะรู้ว่าทุกอย่างเริ่มจะคลี่คลาย ทว่าลึกๆ เขากลับนึกสังหรณ์อยู่เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ชายหนุ่มยังพอเบาใจเมื่อมณีกานดาส่งยิ้มให้กับเขาแล้วบอก
“เบาใจเถอะชัย ดูเหมือนว่าคุณปูเป้เธอจะเปลี่ยนไปมากเลยนะ ไม่รู้ว่าได้ยาดีอะไรรักษา”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ผมชักจะกลัวกับความรู้สึกอะไรบางอย่างแล้วล่ะสิ”
“ความรู้สึกกลัว มันอยู่ที่ใจของเรา พี่รู้นะว่าชัยคิดยังไงกับคุณปูเป้ และที่คุณปูเป้เปลี่ยนไปแบบนี้ พี่ก็เชื่อว่าเป็นเพราะชัย”
“แต่ผมก็ยังนึกห่วงทั้งสองคนอยู่ดีครับ”
“ห่วง ห่วงเรื่องอะไรล่ะจ้ะ”
มณีกานดาเลิกคิ้วขึ้นมองชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนอยู่ตรงหน้าและสายตาก็ไม่วางที่จะมองไปยังทั้งสามร่างที่ตามกันออกไป
“ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้”
“ปล่อยวางบ้างเถอะน่าชัย อย่างน้อย พี่ก็เชื่อว่า เธอทำคะแนนกับคุณปูเป้ได้ฉลุยแล้วล่ะ”
“คะแนน คะแนนอะไรครับ”
เห็นมณีกานดาพูดอะไรแปลกๆ ชัยจึงหันมาทางหญิงสาวในทันทีด้วยความแปลกใจ หากคำตอบนั้นกลับยังไม่ได้คำตอบเมื่อสายตาของหญิงสาวเหลือบไปเห็นคนงานในไร่คนหนึ่งเดินผ่านไป ความอยากรู้ว่าเขาคนนั้นมาทำไมที่นี่จึงทำให้หญิงสาวเอ่ยตัดบทในที่สุด
“เอ่อ...ชัย เอาไว้พี่จะบอกกับชัยทีหลังก็แล้วกันนะ พอดีพี่มีธุระ ฝากบอกเหมยกับฝนด้วยนะว่าพี่ขอกลับก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงพี่”
///////
ทั้งเมยาวี วัสนางค์และปุณชิกาออกมาคุยกันที่ร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาล พอคุยกันไปได้สักพัก ก็พอจะได้ผลสรุปที่เหมือนจะทำให้ทุกฝ่ายพอใจ วัสนางค์ทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เธอดีใจกับการที่ปุณชิกายอมอ่อนน้อมเข้าหาเมยาวี และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แม้จะตกใจที่เพื่อนสาวของตนเองถูกปุณชิกาทำร้ายก่อน และเมื่ออีกฝ่ายมาขอโทษ เมยาวีก็ไม่เอาความอะไร ทุกๆ คนจึงยิ้มออกมาได้
“ปูเป้ดีใจค่ะ ที่พี่เหมยยกโทษให้ปูเป้” ปุณชิกาคลี่ยิ้มอย่างยินดี จริงๆ แล้วเธอเป็นคนผิด เมื่อยินดีขอโทษและสำนึกผิด เมยาวีก็ไม่อยากจะเอาความอะไร
“พี่ก็ดีใจ ที่คุณปูเป้เข้าใจพี่”
“เข้าใจที่พี่เหมยรู้สึกดีกับพี่จอมหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเย้า มองหน้าของเมยาวีที่เริ่มเข้มขึ้นมาทุกขณะด้วยความเขินอาย
“ก็...”
“อย่าปิดปูเป้เลยค่ะ ปูเป้ก็รู้นะคะว่าพี่จอมก็มีใจให้พี่เหมยเหมือนกัน เอาล่ะค่ะ คราวนี้ปูเป้จะไม่หึงจะไม่หวง เพราะรู้แล้วค่ะ ว่าคนที่พี่จอมจริงใจและรักจริงๆ คือพี่เหมย สำหรับปูเป้แล้วเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น” ประโยคท้าย เมยาวีสังเกตเห็นกรอบหน้าสวยสลดลงไปพร้อมกับน้ำเสียงที่สั่นเครือของหญิงสาวในตอนท้าย
“อย่ากังวลไปเลยค่ะคุณปูเป้ เหมยก็ดูออกนะคะว่าคุณจอมเขารักคุณปูเป้เหมือนน้องสาวที่พิเศษกว่าไหนๆ เขาแคร์ และดูแลคุณปูเป้ดีมาตลอดไม่ใช่หรือคะ”
“ใช่ค่ะ...แต่มันก็คงไม่มากไปกว่านั้นอีกแล้ว ก็เพราะพี่จอมมีคุณเหมยอย่างไรล่ะคะ”
รอยยิ้มค่อยเพิ่มระดับขึ้นมาอีกนิด เมื่อความเข้าใจที่มีมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งสองสาวพูดดีต่อกัน เมยาวีก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรกับสาวรุ่นน้อง ที่ผ่านมาปุณชิกาทำอะไรไว้ เธอก็ไม่ได้นำมันเอามาคิดให้หนักสมอง เมื่อหญิงสาวตรงหน้าเข้าใจและยอมกลับใจ เธอก็ดีใจด้วย
“พอละๆ ฉันว่าเราออกมานานเกินไปละ ในเมื่อเข้าใจกันแล้วฉันก็ดีใจด้วยนะ เรากลับเข้าไปหาทุกคนกันเถอะ ปานนี้คงจะรอกันแย่แล้วล่ะ”
เห็นว่าออกมานานพอสมควรแล้ววัสนางค์จึงเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะชวนทุกคนให้กลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง
“ก็ได้ เรากลับกันเถอะค่ะคุณปูเป้” เมยาวีเอื้อมมือไปกุมมือของปุณชิกา เป็นเชิงชวนให้อีกฝ่ายลุกขึ้นและเดินออกไป ขณะวัสนางค์เป็นฝ่ายเข้าไปจ่ายเงินกับเจ้าของร้านด้านใน
“ยังไงปูเป้ก็ดีใจนะคะที่ได้เจอกับพี่เหมย”
“เหมยก็ดีใจเหมือนกันค่ะที่ได้เจอกับคุณปูเป้”
“เรียกปูเป้เฉยๆ จะดีกว่าค่ะ เรียกคุณ มันดูห่างเหินกันอย่างไรไม่รู้นะคะ”
“จะดีหรือคะ”
“ดีสิคะ ไหนลองเรียกอีกทีสิคะ”
“เอ่อ...ปูเป้”
“ดีค่ะ ต่อไปนี้สัญญากับปูเป้จะได้ไหมคะว่าเราสองคนจะเป็นพี่น้องกันและพี่เหมยจะไม่เรียกคุณกับปูเป้อีก”
ปุณชิกาเอียงหน้ามองเมยาวีอย่างน่ารัก ขณะอีกฝ่ายคลี่ยิ้มแล้วตอบ “ก็ได้ค่ะ ต่อไปนี้ปูเป้จะเป็นน้องสาวอีกคนของพี่ค่ะ”
ทั้งสองสาวที่เข้าใจกันมากกว่าเดิมเดินจูงมือกันออกมายังนอกร้านด้วยรอยยิ้มสดใส ซึ่งพวกเธอไม่รู้เลยว่าตนกำลังเป็นเป้าสายตาของใครกลุ่มหนึ่งที่จอดรถซุ่มอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นมากนัก
เดินมาไม่เท่าไรและผ่านรถตู้คันหนึ่ง คนกลุ่มนั้นที่ซุ่มอยู่ในรถตู้ติดฟิล์มสีดำสนิทก็พากกันกรูออกมาโป๊ะยาสลบใส่เมยาวีและปุณชิกาในทันที
ทั้งสองสาวต่างสะดุ้งสุดตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นพยายามจะดิ้นรนให้พ้นไปจากพันธนาการที่ชายเหล่านั้นรัดเอาไว้ ทว่าพวกเธอก็หารู้ไม่ว่าสิ่งที่มันเอามาโป๊ะที่จมูกนั้นเป็นยาสลบชนิดแรงที่สุด เมื่อสูดเข้าไปแล้วสติทั้งหมดก็ถูกลบเลือนไปในทันที
“เฮ้ย...พวกแกทำอะไรเพื่อนฉันน่ะ”
วัสนางค์ที่ออกมาทันเห็นเหตุการณ์ร้องลั่น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปจะช่วยเหลือเพื่อนสาว หากสุดท้ายแล้ว ชะตากรรมของหญิงสาวก็ไม่พ้นไปจากเมยาวีและปุณชิกา ท่ามกลางอาการตกใจของคนแถวนั้นที่ไม่อาจจะเข้าไปช่วยอะไรได้ทัน
เพียงไม่ถึงนาที รถตู้คันนั้นก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 เม.ย. 2555, 20:45:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2555, 20:45:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 2216
<< ตอนที่ ๑๔ คุณครูจำเป็น | ตอนที่ ๑๖ สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ (๑) >> |
anOO 22 เม.ย. 2555, 15:59:24 น.
อ้าว...ใครโผล่มาทำเสียเรื่องอีกล่ะนี่
อ้าว...ใครโผล่มาทำเสียเรื่องอีกล่ะนี่