ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2 : ฝากฝัง

ภาพการต่อสู้เพื่อขัดขืนดิ้นรนระหว่างชายร่างผอมทว่าเรี่ยวแรงมหาศาลขัดกับวัยที่ดูจะไม่ต่างสูงกับพนักงานรักษาความปลอดภัยของอาคารกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างไม่อาจเลี่ยง ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่ที่เพิ่งเดินผ่านประตูกระจกด้านหน้าเข้ามายังภายในอาคาร สภาพการณ์อันเต็มไปด้วยไทยมุงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เขาซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรแห่งนี้ไม่อาจนิ่งเฉย และตัดสินใจเดินผ่าเข้าไปยังกลางวงแห่งความวุ่นวายนั่นทันที

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสียงทรงอำนาจแผดก้องดังสะท้อนไปจนทั่วทั้งตึก เป็นเหตุให้ความชุลมุนที่กำลังดำเนินอยู่ถึงกับชะงักงัน

“ขอประทานโทษครับท่าน คือว่าเจ้าคนนี้มัน...” พนักงานรักษาความปลอดภัยพยายามจะรายงานเหตุการณ์ ทั้งที่ยังอยู่ในอาการโรมรันพันตู เหนี่ยวรั่งตั้งคู่กรณีไว้สุดแรง ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้เช่นกัน

“พอได้แล้ว ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้” ไตรวินออกคำสั่งเฉียบขาดน้ำเสียงยังคงทรงอำนาจดุจเดิม พลางปรายสองตาไปยังบุรุษสูงวัยผู้บุกรุก ซึ่งก็ยอมรามือและหันมาจ้องหน้าไตรวินอย่างไม่ลดละแทน

“ไม่ทราบว่าคุณมา....” ไตรวินตั้งใจจะเอ่ยถามว่าเขามาหาใคร ทว่ายังไม่ทันจบประโยคก็มีอันให้ต้องหยุดชะงักสมองพลันครุ่นคิดอย่างทบทวนเมื่อเค้าโครงหน้าของคนตรงหน้าที่เห็นช่างคลับคล้ายคลับครากับใครบางคนที่เขาเคยคุ้นเคยด้วยในอดีต และเมื่อยิ่งจ้องไปนานๆ ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนเมื่อครั้งเก่าก่อนก็ลอยผุดขึ้นมาทับซ้อนกับโครงหน้าของบุรุษตรงหน้า ไตรวินจดจำได้ในเกือบจะทันทีที่เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน

“อินทร์! นั่นใช่แกรึเปล่าอินทร์” คำทักทายเสียงดังฟังชัดแฝงไว้ด้วยความเป็นกันเองของไตรวินทำเอาเจ้าหน้าที่ของตึกที่ใช้ความพยายามอย่างหนักในการเหนี่ยวรั้งกันไม่ให้บุรุษแปลกหน้าผู้นั้นเข้าไปภายในตึกถึงกับนิ่งอึ้ง เหลียวมองตามหน้าตาตื่น งงเป็นไก่ตาแตก ก็แล้วใครจะไปนึกเล่าว่าคนหน้าตาท่าทางซอมซ่อขนาดนั้น จะกลับกลายเป็นเพื่อนกับท่านประธานใหญ่ของบริษัทนี้จริงๆ ตามที่เอ่ยอ้าง อาการเสียวสันหลังวาบแล่นเป็นริ้วมาเกาะหนึบจนแน่นอก หวั่นเกรงนักว่าจะต้องมาตกงานเสียในคราวนี้

“ใช่! ฉันเอง” นายอินทร์ขานรับ พลางสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมของหนึ่งในพนักงานรักษาความปลอดภัยที่มัวแต่นิ่งฟังจนชะงักค้าง

“ไม่ได้เจอกันนาน เป็นไงมาไงถึงได้มาที่นี่ได้ แล้วนี่แกสบายดีหรือเปล่า” ไตรวินรัวคำถามใส่เป็นชุดตรงรี่เข้าไปจับไม้จับมือ ทั้งสีหน้าและแววตาที่แสดงออกมาฉายชัดถึงความยินดี

“ฉันมาที่นี่ตามคำสั่งของคุณหนู” เสียงที่ตอบกลับมากลับห้วนห้าวเสียจนคนฟังนึกแปลกใจ มิหนำซ้ำคำว่า “คุณหนู” ที่หลุดออกมาจากปากของนายอินทร์ ยังสะดุดใจไตรวินจนถึงกับชะงักกึก ทว่าแม้จะเต็มไปด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยังพยายามเก็บอาการเอาไว้ และถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังปกติ

“คุณหนู! หมายถึงน้องหนูหรือเปล่า น้องหนูให้นายมาหาฉันอย่างนั้นหรือ” ไตรวินกวาดตาสำรวจไปรอบๆ ตัวก็พบว่าเหล่าไทยมุงกำลังค่อยๆ สลายตัวกันไป เมื่อเหตุการณ์ได้กลับเข้าสู่ปกติ “ฉันว่า เราขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่าจะได้นั่งคุยกันสบายๆ” ท่านประธานฯ หันมาเชื้อเชิญแขกของตนอย่างเต็มอกเต็มใจ ทว่ากลับถูกปฏิเสธด้วยเสียงอันห้วนห้าว

“ไม่ต้อง! ฉันมาทำธุระตามที่คุณหนูสั่ง เดี๋ยวเดียวก็จะกลับแล้ว”

“จะรีบกลับไปไหนกันเล่า ยังคุยกันไม่ทันจะรู้เรื่องเลย ไปเถอะ ขึ้นไปข้างบนก่อน นานๆ เจอกันที อยู่คุยกันสักประเดี๋ยวจะเป็นไรไป” เจ้าของสถานที่หาได้ฟังคำปฏิเสธ จัดแจงจะฉุดมือเพื่อนเก่าให้เดินตาม

“ฉันบอกว่าไม่ต้อง ฉันแค่มาส่งจดหมายให้คุณหนู เสร็จแล้วก็จะกลับ” นายอินทร์ดึงมือกลับ แล้วล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ๊ต จับยัดใส่มือไตรวินด้วยมืออันสั่นเทาของตนโดยไม่มองหน้า ทำราวกับว่ากำลังพยายามจะหลบสายตาอย่างไรอย่างนั้น

“จดหมายเหรอ! จดหมายอะไร” ไตรวินรับจดหมายมาถือไว้ มองสลับไปมาระหว่างซองกระดาษในมือ กับใบหน้าของเพื่อนอย่างงงๆ “มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ แล้ว ทำไมแกถึงได้เอาแต่ก้มหน้าแบบนั้น

“แกอ่านจดหมายนั่น แล้วก็จะรู้เอง” นายอินทร์บอกด้วยเสียงที่เริ่มจะสั่นเครือ

“ดูท่าว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยใช่ไหม ถ้างั้นฉันว่าเราขึ้นไปคุยกันข้างบนจะไม่ดีกว่าเหรอ มีเรื่องอะไรเราจะได้คุยกันสะดวกๆว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” ไตรวินกำกระดาษในมือไว้แน่น พลางคะยั้นคะยอเพื่อนต่ออย่างไม่ยอมลดละ

“คุณหนูกำชับให้ฉันเอาจดหมายมาให้แกที่นี่ เธอสั่งว่าให้ฉันส่งมันให้มือแกให้ได้” เสียงที่เคยห้วนของนายอินทร์อ่อนลงไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อยามเอ่ยถึง ‘คุณหนู’ “แกรีบๆ อ่านเสียเถอะ เสร็จแล้วฉันจะได้กลับเสียที”

“อ่านน่ะอ่านแน่ แต่ก็อย่างที่ฉันบอก เรายังมีเรื่องที่ต้องคุยกันก่อน มาเถอะตามฉันมา ขึ้นไปคุยกันต่อข้างบนจะดีกว่า”

“ฉันอยู่นานไม่ได้หรอก ต้องรีบกลับไปดูบ้าน ยายปลิกแกไม่อยู่ไปดูแลคุณหนูที่โรงพยาบาล” นายอินทร์ตอบแล้วทำท่าว่าจะเดินออกในทันทีที่พูดจบ ไตรวิน

“เดี๋ยวก่อนสิอินทร์! นี่มันเรื่องอะไรกัน น้องหนูเป็นอะไร ทำไมถึงต้องอยู่โรงพยาบาล” สิ่งที่ได้ยินผลักดันให้ไตรวินเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ไล่ตามติดพลางเอ่ยถามด้วยอย่างร้อนรน

“แกจะอยากรู้ไปทำไม เมื่อก่อนไม่เห็นว่าจะเคยอยากรู้เลยนี่นา” บุรุษในชุดซอมซ่อหันกลับมามองและตอบน้ำเสียงหยัน พอๆ กับสีหน้าและแววตา

“เมื่อก่อนยังไงฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันกำลังถามแกอยู่ว่าน้องหนูเป็นอะไร” ท่าทีอันตื่นตระหนกของไตรวิน สามารถเรียกรอยสะใจขึ้นมาจนแทบจะล้นอกของนายอินทร์

“คนอย่างแก มันไม่คู่ควรที่คุณหนูจะรัก คนที่ลืมแม้แต่คำสัญญาของตัวเอง มันไม่สมควรที่คุณหนูจะรอ” คำพูดเสียดสีของนายอินทร์ ทำเอาไตรวินถึงกับอึ้ง นึกไม่ถึงว่านายอินทร์จะล่วงรู้ถึงข้อความในจดหมายฉบับนั้น จดหมายที่เขาฝากนายอินทร์ส่งให้กับเลิศลักษณ์ก่อนที่เขาจะจากมา ไตรวินไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่านายอินทร์จะทำเช่นนั้น

“นี่ หมายความว่า....”

“ใช่ ฉันแอบอ่านจดหมายนั่น แต่ที่ทำไปก็เพราะเป็นห่วงคุณหนู ต้องขอบคุณความสอดรู้สอดเห็นของตัวเอง เพราะแบบนั้นฉันถึงได้รู้เช่นเห็นชาติคนอย่างแก” นายอินทร์เฉลยความ

“นี่แกโทษว่ามันเป็นความผิดของฉัน ทั้งที่คนที่แต่งงานไปก่อนก็คือน้องหนู” ไตรวินหยิบยกเอาเรื่องที่รับรู้เมื่อนานมาแล้วขึ้นมา เพราะนั่นเป็นเหตุหลัก ที่ทำให้เขายอมตัดใจไปจากเลิศลักษณ์ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเธอจำต้องทำตามผู้ใหญ่ หาใช่ความเต็มใจของตนแม้แต่น้อย

“เรื่องนั้นก็จริงอยู่ แต่แกก็ควรจะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คุณหนูเธอเต็มใจ เธอรู้สึกผิดกับแก ทุกวันเธอจะไปที่ริมน้ำ เฝ้าคิดถึง และรอให้แกกลับมา เพียงเพื่อให้เธอได้มีโอกาสขอโทษแกสักครั้ง แกเคยรู้บ้างไหม?” นายอินทร์ เอ่ยอย่างกระแทกกระทั้น

“ก็แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครกำลังคอยฉันอยู่ ฉันกลับมาจากเมืองนอก ก็เที่ยวได้มาถามข่าว แต่ที่ได้ยินก็คือน้องหนูแต่งงานไปแล้ว แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ไหนแกตอบฉันมาหน่อยสิว่าจะให้ฉันทำยังไง” ไตรวินโต้กลับอย่างคนที่คับแค้นในอก

“ก็แล้วทำไมแกไม่มาหาฉัน ในเมื่อเมื่อก่อน แกเองก็เคยไว้ใจฉัน”

“ก็เพราะว่าฉันไม่อยากทำให้น้องหนูลำบากใจน่ะสิ ฉันถึงเลือกที่จะหายไปอย่างเงียบๆ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ แกตอบคำถามฉันมาก่อนดีกว่าว่า น้องหนูเป็นอะไร ทำไมถึงต้องไปอยู่โรงพยาบาล” คนร้อนใจตัดบท ย้อนกลับมาสู่คำถามที่ยังคงค้างคำตอบ

“หึ! ไม่อยากให้คุณหนูลำบากใจ แล้วไง ตอนนี้คุณหนูเธอกำลังจะตายแล้ว แกได้ยินไหม ว่าคุณหนูกำลังจะตาย” อินทร์โพล่งออกไปอย่างเก็บกด และโกรธเคืองแทนเจ้านายผู้ซึ่งเขาทั้งจงรักและภักดี

“อะไรนะ! นี่... นี่แกล้อฉันเล่นหรือเปล่า น้องหนูน่ะเหรอกำลังจะตาย” ไตรวินหน้าตาตื่นด้วยความคาดไม่ถึงกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน

“ใช่! คุณหนูเธอกำลังป่วยหนัก เธอเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด หมอบอกว่าระยะสุดท้ายแล้ว รักษาไม่หาย และตอนนี้อาการของเธอก็แย่ลงทุกวัน ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน เป็นไงรู้แบบนี้แล้วคงจะสะใจนายมากใช่ไหมล่ะ” นายอินทร์แค่นเสียงขยายความ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยหยัน

“มะเร็งระยะสุดท้าย! เป็นไปได้ยังไง แล้ว... แล้ว ตอนนี้น้องหนูอยู่ที่ไหน” ทิฐิพลันมลายหาย กลายเป็นความห่วงใยพวยพุ่งขึ้นมากลางอก ไตรวินเร่งไต่ถามอย่างไม่รั้งรอ

“โรงพยาบาล” แม้เสียงที่ตอบมาจะห้วนห้าวระคายหู แต่ไตรวินก็มิได้ใส่ใจ

“นายช่วยพาฉันไปหาน้องหนูได้หรือเปล่า ฉันอยากพบเธอ”

คำขอร้องนั้นทำให้นายอินทร์ถึงกับทำท่าครุ่นคิด ใบหน้าอันเผือดซีดบวกกับท่าทีตื่นตระหนกของไตรวินบอกให้เขารู้ว่า นั่นมิใช่อาการเสแสร้ง เขากับไตรวินรู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย กิริยาอาการต่างๆ ย่อมอ่านกันได้ไม่ยาก ใจที่เคยแข็งขืนพลันอ่อนลง และพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบตกลง

ตลอดช่วงของการเดินทางสู่โรงพยาบาล นายอินทร์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในบ้านบูรณะภักดีนับตั้งแต่วันที่ไตรวินจากไป รวมทั้งเรื่องการหมั้นหมาย และแต่งงานของเลิศลักษณ์ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากคำขอร้องแกมบังคับที่ไม่อาจปฏิเสธของนายอรรถโชติ เพื่อให้เธอสมรสกับ“กฤษธี ฤกษ์วิจิตรกร” บุตรชายคนโตของเพื่อนสนิทเมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นนายทหาร แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเลิศลักษณ์นั้นยังคงรักและเฝ้ารอไตรวินอยู่เสมอ แต่เพราะความรักและห่วงใยในตัวลูกสาว ท่านจึงอยากให้เธอได้แต่งงานครองคู่อยู่กับคนที่ท่านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควร

เลิศลักษณ์พยายามจะแข็งขืน แต่ครั้นเมื่อท่านยืนกราน เธอซึ่งแต่เดิมเป็นคนหัวอ่อน กอปรกับความเกรงกลัว จึงไม่กล้าขัดคำสั่งผู้เป็นบิดา ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม แต่งงานไปกับคนที่ท่านเห็นชอบโดยปราศจากความเต็มใจ เธอเองเฝ้าแต่เก็บงำความทุกข์เอาไว้ในใจ และเพียรกล่าวโทษว่าเรื่องทั้งหมดล้วนมีต้นเหตุมาจากตนเพียงคนเดียว ที่ไม่อาจรักษาสัญญาเอาไว้ได้ ได้แต่เฝ้ารอวันที่จะพบกับเขาคนนั้นอีกสักครั้ง เพียงเพื่อจะเอ่ยคำขอโทษ ขอโทษที่ไม่อาจรักษาสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน ทว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ไม่เคยมีวี่แววว่าคนๆ นั้นจะกลับมา

หลังจากผ่านพิธีแต่งงานแล้ว คู่สมรสใหม่ทั้งสองยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านสวนของบิดาฝ่ายเจ้าสาว อันเนื่องมาจากคำขอร้องของอรรถโชติซึ่งปรารถนาให้ลูกสาวคนเดียวได้มาอยู่ใกล้ๆ กัน อีกเหตุผลหนึ่งคือบ้านสวนนั้นนับวันก็จะยิ่งเหลือคนอยู่น้อยลงไปทุกที ที่ดินผืนนี้ต่อไปในอนาคตย่อมต้องเป็นมรดกตกทอดไปสู่เลิศลักษณ์ ท่านจึงต้องให้การให้เธอมาอยู่ดูแล ดังนั้นทุกฝ่ายจึงเห็นพ้องต้องกัน และคนทั้งคู่จึงอาศัยอยู่ที่นั่น นับจากนั้นเป็นต้นมา

เมื่อแรกแต่งงานนั้น กฤษธีทุ่มเทความรักใคร่ และเอ็นดูเลิศลักษณ์เป็นอย่างดี เขามีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าสักวันจะได้มีบุตรซึ่งเกิดจากเธอไว้สืบสกุล แต่จนแล้วจนรอด แม้ว่าจะผ่านการแต่งงานกันมานานปีทว่าก็ยังไม่มีวี่แวว จนต่อมาในระยะหลัง กฤษธีได้หยิบยกเอาข้ออ้างสารพัดขึ้นมาใช้ในการออกไปนอนค้างอ้างแรมนอกบ้าน มิหนำซ้ำยังหาเรื่องชวนทะเลาะกับเลิศลักษณ์ชนิดแทบไม่เว้นแต่ละวัน หนักๆ เข้าก็ลามไปถึงเรื่องที่เธอไม่สามารถมีบุตรให้กับเขาได้ขึ้นมาเป็นประเด็น และทุกครั้งที่มีปัญหาเลิศลักษณ์เลือกจะเป็นฝ่ายนิ่งเงียบ และหลบไปนั่งนิ่งๆ ตามลำพังอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ จนกลายเป็นภาพอันเจนตาของทุกคนในบ้าน ซึ่งแม้ไม่บอกก็พอจะเดาออกว่าเธอเองกำลังเสียใจไม่น้อย

เหตุผลแท้จริงที่ทำให้กฤษธีเปลี่ยนท่าทีไปนั้นเนื่องมาจากการพนัน และการมีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาพัวพัน จนถึงขั้นตามมาอาละวาดยังบ้านสวนหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาใครต่อใครระอาใจ และส่ายหน้าอย่างหมดหวัง แม้แต่ตัวของอรรถโชติเองก็ตามที และในช่วงเวลาอันเป็นวิกฤติ สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็ได้บังเกิด เลิศลักษณ์เกิดตั้งครรภ์ และได้กลายมาเป็นความหวังของทุกคนว่าเหตุการณ์ร้ายต่างๆ อาจจะดีขึ้น ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคาด เมื่อกฤษธีได้จมดิ่งลงไปในหลุมพรางที่ตนเป็นคนขุดเอาไว้จนลึกเสียแล้ว

เมื่อเด็กหญิงเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้านถือกำเนิด เลิศลักษณ์ตั้งชื่อให้กับบุตรสาวว่า “ลักษิณาศร” ซึ่งเธอทุ่มเทความรักและดูแลบุตรสาวเสมอชีวิต แต่ด้วยปัญหาสุขภาพซึ่งมีมานับแต่หลังคลอดบุตร ทำให้ยิ่งนับวันเธอยิ่งอ่อนแอลงไปทุกที แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามปกปิดและทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่ทรุดโทรมจึงเป็นเรื่องยากที่ทุกคนในบ้านจะมองข้าม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะถามไถ่ เกรงว่าจะเป็นการรบกวนจิตใจให้เธอยิ่งต้องทุกข์ทรมานมากขึ้นไปอีก

ไตรวินเปิดอ่านจดหมายออกอ่านอีกครั้งด้วยใจที่หดหู่ ทุกถ้อยคำของเลิศลักษณ์ล้วนแสดงออกถึงความเสียใจ น้อยใจในโชคชะตาอย่างถึงที่สุด และความทุกข์ที่กลุ้มรุมสุมใจเธอมานานนับสิบๆ ปี ทำเอาผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าใจแข็งและผ่านความลำบากยากเย็นมามากมายอย่างไตรวินแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เลิศลักษณ์ทิ้งท้ายไว้ในจดหมายว่า เหตุที่เธอยังคงสู้อยู่จนถึงทุกวันนี้นั้น เป็นเพราะว่าเธอยังมีห่วงซึ่งกระหวัดรัดร้อยเธอเอาไว้ เป็นเหตุให้เธอยังไม่อาจลาลับจากโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ไปได้ เธอจึงตัดสินใจเขียนจดหมายและส่งให้นายอินทร์มาพบเขา แล้วเฝ้ารอที่จะได้พบกับ ‘พี่วิน’ ของเธออีกครั้งอย่างใจที่จดจ่อและโหยหา

รถยุโรปสีดำคันงามจอดลงยังที่หมายซึ่งก็คือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของรัฐ อันเป็นแหล่งพำนักสุดท้ายสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเลิศลักษณ์ ไตรวินเร่งฝีเท้าเดินตามนายอินทร์ไปติดๆ ใครเลยจะรู้ว่าในใจของเขานั้น ทั้งลุ่มร้อน และเร่งรีบยิ่งกว่า แม้เพียงแค่วินาทีเดียวเขาก็ไม่อยากรอ ทว่าเมื่อมาถึงยังหน้าห้องพักผู้ป่วยที่เลิศลักษณ์มาอาศัยนอนพักรักษาตัว ไตรวินกลับเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าจะขอเวลาทำใจก็ไม่ปาน

สองมือของเขาสั่นเทาบ่งบอกถึงแรงกดดันภายในใจ สิ่งที่ได้รับรู้อย่างกะทันหันเมื่อราวชั่วโมงกว่าที่ผ่านมา มันช่างบีบคั้นความรู้สึกเสียจนไตรวินแทบรับไม่ไหว เขาพยายามรวบรวมสติ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แล้วฝืนใจก้าวเข้าไปภายในห้อง ครั้นเมื่อภาพที่กำลังนึกหวั่นกลัวปรากฎชัดอยู่ตรงหน้าจริงๆ มันกลับสร้างรอยสะท้อนในอกขึ้นมาจนแทบไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ หยาดน้ำใสๆ ผุดขึ้นมาเอ่อคลออยู่ทั้งสองหน่วยตา ภาพของน้องน้อยผู้งดงามอ่อนหวานที่เคยประทับอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดมา บัดนี้ได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น

ภาพตรงหน้าคือหญิงวัยกลางคน ร่างกายผ่ายผอม ไร้ซึ่งสง่าราศีดังที่เคยเป็น ผิวพรรณเปล่งปลั่งถูกแทนที่ด้วยคยามหม่นหมอง แม้แต่น้ำนวลก็ลบเลือนเหือดหายไปสิ้น ดวงตาคู่สวยซึ่งแม้ในอดีตออกจะดูเศร้าๆ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสดใส ทว่าเวลานี้ดวงตาคู่เดิมกลับดูเศร้าเสียยิ่งกว่าเศร้า ปราศจากความแวววาวดังเช่นครั้งอดีต เมื่อประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงหน้าไตรวินในเวลานี้ช่างดูแตกต่างจากน้องน้อยในใจเขาราวฟ้ากับเหว จะบอกว่าเป็นคนละคนเลยก็คงไม่ผิด

การรอคอยอันแสนยาวนานของเลิศลักษณ์ได้สิ้นสุดลง ในเกือบจะวินาทีแรกที่เธอได้พบหน้ากับไตรวิน น้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาคลอหน่วยและเริ่มหยาดรินเป็นทาง ความหวังที่เฝ้านับวันรอมาเกือบจะตลอดชีวิต บัดนี้มันได้ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ไตรวินกอบกุมมือเรียวผอมนั้นเอาไว้ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ได้แต่พยายามฝืนเก็บกลืนก้อนสะอื้น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ จนทั่วทั้งอก

“พี่วิน! พี่วินจริงๆ ด้วย พี่วินมาหาน้องหนูแล้ว” เลิศลักษณ์เค้นเสียงทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา

“จ้ะ... น้องหนู... พี่... พี่มาแล้ว” ไตรวินขานรับด้วยลำเสียงอันสั่นสะท้าน และแหบเครือ ไตรวินรู้สึกเสียใจจนบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเขาเองก็มีส่วนผิดอยู่ไม่น้อย

“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณ” เสียงแหบโหยเอ่ยต่อ ใบหน้าซีดเซียวระบายยิ้มอ่อนโยนทั้งน้ำตา

“น้องหนู พี่... พี่ขอโทษ พี่ไม่เคยรู้เลยว่าน้องหนูอยู่ในสภาพแบบนี้” ผู้พี่อธิบายด้วยความรู้สึกอัดในอกจนแทบระเบิด น้ำตาที่พยายามกลั้นพลันล้นทะลักจนเกินห้าม

“ไม่เอาค่ะ! อย่าร้องไห้ พี่วินของน้องหนูเข้มแข็งเสมอ ยิ้มหน่อยนะคะคนดี” เธอฝืนยิ้มและพยายามปลอบประโลมเขา แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับรินหยดลงเปื้อนหมอนเสียเอง

มือหนาบรรจงปาดเช็ดคราบน้ำตาออกจากดวงหน้าเรียวตอบซีดเซียวด้วยอาการสั่นเทาอันเกินระงับ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เลิศลักษณ์เก็บกลืนก้อนสะอื้นแล้วพยายามพูดต่อ

“พี่วินรู้ไหมคะ ว่าน้องหนูคอยวันนี้มานานแค่ไหน”

“รู้จ้ะ พี่รู้แล้ว พี่วินขอโทษ พี่ไม่น่า....” ไตรวินยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค มือผอมบางก็ยกเอื้อมขึ้นแตะริมฝีปากหนาอย่างแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงเสียก่อน

“พี่วินไม่ต้องขอโทษน้องหนูหรอกค่ะ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นน้องหนูเองที่ผิดสัญญากับพี่วินก่อน”

“โธ่! น้องหนู พี่สิผิด ผิดที่เอาแต่คิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เคยย้อนกลับมาดูว่าความจริงแล้วน้องหนูต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน”

“ไม่จริงเลยค่ะ น้องหนูรู้ว่าสักวันพี่วินต้องกลับมา แล้วตอนนี้พี่วินก็มาแล้ว” เลิศลักษณ์บอกย้ำใบหน้าเปี่ยมสุข ตอกย้ำว่าเธอเฝ้ารอคอยเขาอยู่แทบจะทุกลมหายใจ แม้ว่าเขาจะมาช้า แต่ อย่างน้อยเธอก็ยังมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้งขณะที่ยังมีลมหายใจ เพียงแค่นี้ก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอยอันยาวนานของเธอแล้ว

“พี่... พี่ ควรมาหาน้องหนูนานแล้ว พี่ขอโทษ”

ไตรวินพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น ทั้งที่ทำได้ไม่ง่ายนัก ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนักหนาสาหัสของหญิงผู้ซึ่งเคยเป็นดั่งดวงใจในยามนี้ชวนให้น่าหนักใจยิ่ง ภายในใจของไตรวินเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดผสมปนเปไปกับความห่วงกังวลชนิดที่แยกแยะไม่ออก ความโกรธขึ้งอันฝังลึกมาเนิ่นนานพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น แม้ร่างกายภายนอกของเลิศลักษณ์นั้นทรุดโทรมแผกไปจักเดิมมาก แต่นั่นหาใช่เรื่องสำคัญ เพราะบัดนี้ภาพของเด็กสาวผู้สดใสในอดีตได้ย้อนกลับมาประทับเด่นชัดอยู่ในใจของไตรวิน น้องน้อยในสายตาของเขายังคงสวยสดงดงามดังเดิมไม่มีผิด

“บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องขอโทษ เพราะน้องหนูไม่มีโทษอะไรจะยกให้พี่วิน น้องหนูรู้แต่ว่าตอนนี้น้องหนูดีใจ ดีใจจนพูดอะไรแทบไม่ถูก”

คนป่วยพยายามทำเสียงสดใส ทั้งที่ความจริงแล้วมันทั้งแหบโหยทั้งสั่นเครือ ความเจ็บปวดแทรกตัวขึ้นมาเป็นริ้วๆ จนบางครั้งเธอถึงกับต้องกัดฟันพูด พยายามต่อต้านไม่ให้ความทรมานมีอำนาจเหนือ เธอต้องอดทน อดทนไว้ อย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะได้พูดกับเขาถึงสิ่งที่เก็บมันเอาไว้ในใจออกมาให้หมดเสียก่อน

“น้องหนูมีเรื่องอยากจะเล่า อยากจะบอก...อยากพูดกับพี่วิน...มันมากมายเสียจนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี” ชั่ววูบหนึ่งขณะที่เธอกำลังพูดกับเขา ไตรวินรู้สึกราวกับว่าเวลาได้ย้อนกลับ เลิศลักษณ์ เจ้าน้องน้อยของเขาช่างพูดช่างเจรจา หาเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้กับเขาฟังได้อยู่ตลอดเวลา เหมือนเดิมไม่มีผิด

“พี่ก็อยากฟัง พี่อยู่ตรงนี้แล้วน้องหนู ค่อยๆ เล่ามาเถอะ พี่วินสัญญาว่าต่อไปนี้พี่จะรับฟังน้องหนูทุกเรื่อง ”

“แต่....น้องหนู คงมีเวลาไม่มากขนาดนั้นแล้ว พี่วินขา น้องหนูกลัว”

“อย่ากลัว น้องรัก น้องหนูต้องไม่เป็นไร พี่วินจะหาหมอที่เก่งที่สุด ดีที่สุดมารักษาน้องหนูให้หาย”

“มันสายไปแล้ว อย่าพยายามเลยค่ะพี่วิน มันไม่มีประโยชน์ น้องหนูรู้ตัวดี เวลาของน้องหนูเหลือไม่มากแล้ว”

“ไม่เอา อย่าพูดแบบนั้น น้องหนูต้องสู้ เพื่อตัวเอง เพื่อพี่วิน”

เลิศลักษณ์พยายามยิ้ม กัดฟันต่อสู้กับความเจ็บปวดอย่างที่สุด มันช่างเจ็บปวดทรมานเสียเหลือเกิน ทรมานมากจนเธอแทบจะทนไม่ไหว

“น้องหนู... รักพี่วิน รักมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยน น้องหนู...ขอโทษ ที่ไม่สามารถรอพี่วินตามสัญญา”

“พี่รู้ น้องหนูไม่ต้องบอก พี่รู้ แล้วก็เสียใจมากที่เอาแต่ทิฐิ จนไม่เคยรับรู้ความจริงอะไรเลย พี่ขอโทษน้องหนู พี่ขอโทษ” ไตรวินเอาแต่พร่ำขอโทษเธอครั้งแล้วครั้งเล่า

“บอกแล้วไงคะว่าพี่วินไม่ได้ทำอะไรผิด น้องหนูต่างหากที่ไม่เข้มแข็ง ผิดที่ไม่อาจต่อต้านคุณพ่อ เป็นต้นเหตุให้พี่วินต้องเสียใจ และลำบาก” มือบอบบางยกขึ้นอย่างยากเย็น ก่อนจะวางทับลงมือของหนาอย่างขอลุแก่โทษ

“ไม่จริงเลย มันไม่ใช่ความผิดของน้องหนู ถ้าจะโทษก็ต้องโทษโชคชะตา แต่เรื่องนั้นมันก็ผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ทุกำอย่างดีแล้ว น้องหนูอย่าคิดมาก ลืมมันเสียให้หมด เชื่อพี่นะคนดี” ไตรวินพยายามจะปลอบเธอ ทั้งที่ใจเขาเจ็บเจียนจะขาดเมื่อนึกถึงคำสัญญา สัญญาที่เขาได้ละทิ้งมันไปเมื่อนานมาแล้ว ช่างน่าละอายนัก

“น้องหนูรู้ตัวดีว่าทำให้พี่วินเสียใจแค่ไหน น้องหนูขอโทษ น้องหนูเองก็เสียใจ...เสียใจมาจนถึงทุกวันนี้” เธอพร่ำพูดอย่างแสนเจ็บ ร่ำไห้สะอึกสะอื้น บอกกับเขาในทุกสิ่งที่เก็บไว้ในใจมานาน

“พอเถอะน้องหนูไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พี่เข้าใจดีทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร พี่วินจะไม่ใส่ใจอีก ขอแค่น้องหนูลืมทุกอย่าง แล้วตั้งหน้าตั้งตา รักษาตัว”

“น้องหนูดีใจ ดีใจเหลือเกิน ที่ได้ยินคำนี้ จริงสิ! ลูกศร! ลูกศรอยู่ไหน พี่วินรู้หรือยังคะ ว่าน้องหนูมีลูก ลูกสาวของน้องหนู แกน่ารักเหลือเกิน พี่วินขา น้องหนูเป็นห่วงลูก ห่วงที่สุดในชีวิต”

“รู้จ้ะ พี่รู้ อินทร์เล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว น้องหนูไม่ต้องห่วงนะ พี่สัญญาว่าจะดูแลทั้งน้องหนูและลูก พี่จะไม่ทิ้งน้องหนูไปไหนอีก น้องหนูต้องหาย” ไตรวินครวญเสียงสั่นเครือ

“ลูกศรแกเป็นเด็กดี น่ารัก และกตัญญู พี่วินขา รับปากน้องหนู ว่าพี่วินจะช่วย ดูแลแกแทนน้องหนู นะคะพี่วิน”

“ได้สิ พี่สัญญา พี่จะดูแลแกอย่างดีที่สุด”

“ต้นไม้ของเรา อีกไม่นานแล้ว น้องหนูจะกลับไป กลับไปอยู่ที่ที่ของเรา น้องหนูอยากอยู่ที่นั่น ตลอดไป”

“น้องหนู...”

“น่าเสียดาย ที่มันจะต้องกลายไปเป็นของคนอื่นแล้ว”

“ไม่หรอก มันต้องไม่เป็นแบบนั้น พี่สัญญา พี่จะเอามันกลับมา เอากลับมาให้น้องหนูให้ได้”

“พี่วินรู้แล้ว?”

“อินทร์บอกพี่หมดแล้ว ทุกเรื่อง น้องหนูอย่าเป็นห่วงไปเลย พี่รับรองว่าพี่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ว่าตอนนี้น้องหนูต้องนอนพัก หลับเสีย ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น”

“น้องหนูกลัว กลัวว่าจะไม่ได้พบพี่วินอีก พี่วินอย่าหนีไปไหนอีกนะคะ” เลิศลักษณ์เอื้อนเอ่ยแสนลำบาก

“ไม่หรอก พี่สัญญา พี่จะหนีไม่ไปไหนอีก พักผ่อนก่อนนะคนดีของพี่”

เปลือกตาแห้งแล้งปิดลงไปอย่างแช่มช้า เครื่องวัดสัญญาณชีพบ่งบอกถึงอาการเต้นของหัวใจอันแผ่วเบา คนป่วยหลับไปพร้อมๆ กับใบหน้าที่ยังไม่คลายความเจ็บปวด เลิศลักษณ์ถูกย้ายไปพักรักษาตัวยังโรงพยาบาลแห่งใหม่นับจากวันนั้น แต่คำยืนยันจากคณะแพทย์ยังเหมือนเดิม เวลาของเธอคงใกล้จะหมดลงแล้ว ไม่ผิดจากที่เธอบอกไว้เมื่อแรก โอกาสรอดนั้นคงไม่ต้องพูดถึง ยามนี้ทำได้เพียงประคับประคองให้เธอเจ็บปวดน้อยที่สุด แค่นั้นก็ดีที่สุดแล้ว ต่อให้เขานำเงินทองมากองจนล้น แต่เมื่อถึงเวลาใครเล่าจะยื้อชีวิต หรือต่อกรกับโชคชะตาได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างไตรวินจะมีช่วงเวลาอันสิ้นหวังแบบนี้กับเขาเหมือนกัน

ไตรวินได้แต่เวียนถามตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถามที่ตัวเขาเองย่อมรู้คำตอบอยู่แก่ใจ

‘นี่พี่จะไม่สามารถยื้อชีวิตของน้องหนูเอาไว้ได้จริงๆ น่ะหรือ พี่จะต้องเสียเธอไปตลอดกาลจริงๆ ใช่ไหม’

-------------------------------------------

แสงสุดท้ายแห่งวันได้ลาลับขอบโลกไปแล้ว บรรยากาศรอบๆ เรือนไม้หลังเล็กในวันนี้ดูทรุดโทรมลงไปอย่างมากมายเพราะขาดการทำนุดูแลมาช้านาน ความรู้สึกในอดีตถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย ภาพคืนวันเก่าๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ ราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันวาน “ไตรวิน” กลับมายืนอยู่ที่ตรงเฉลียงหน้าบ้านหลังเดิม ที่ซึ่งเขาเคยอยู่มาแต่เล็กแต่น้อยจนเข้ารุ่นหนุ่ม ในที่สุดเขาก็ได้กลับมา หลังจากที่ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ยังเบื้องหลังมานานหลายสิบปี

ไตรวินเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากภารกิจที่ทำให้เขาต้องปวดแปลบใจอย่างที่สุด เป็นงานชั้นสุดท้ายซึ่งเขาได้เคยรับปากกับเลิศลักษณ์เอาไว้ คือการนำเอาเถ้ากระดูกของเธอมาฝังไว้ ณ โคนต้นไม้ต้นนั้นไม่อันเป็นที่รวมของความรัก ความหลังของเขาและเธอ หลังจากนั้นเขาก็เลือกที่จะเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดมุ่งหมาย จนกระทั่งมาสิ้นสุด ณ ที่ตรงนี้ บ้านหลังเก่าที่เขาและมารดาเคยได้พักอาศัยเมื่อครั้งอดีต

เสร็จสิ้นไปแล้วกับอีกหนึ่งคำขอของเลิศลักษณ์ เขาได้ไถ่ถอนที่ดินผืนนี้เอามาเก็บรักษาเอาไว้รอคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริง ‘ลักษิณาศร’ ยังจำได้ดีถึงแววตาอ้อนวอนของเธอ มือน้อยกอบกุมมือเขาเอาไว้จนแน่นด้วยอาการสั่นเทาตราบจนจนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ เมื่อนึกถึงตอนนี้ น้ำตาที่เคยคิดว่าแห้งไปแล้ว กับไหลย้อนคืนมาอีกครั้ง อกหนาสั่นสะท้านด้วยความเสียใจอย่างที่สุด ไม่เคยมีการสูญเสียครั้งไหนในชีวิตที่เขาจะรู้สึกเศร้าโศกสะท้อนใจได้มากเท่ากับเหตุการณ์ในครั้งนี้ “ไม่เคยเลย”

ยังคงเหลืออีกสิ่งหนึ่งที่เขาจะต้องทำ คือการรับดูแลบุตรสาวเพียงคนเดียวให้กับเธอ คำสั่งเสียสุดท้ายของเลิศลักษณ์คือการฝากฝังลักษิณาศรไว้กับเขา ซึ่งคำขอในข้อนี้ตัวผู้เป็นบุตรเองก็ไม่ใคร่จะเข้าใจนัก ว่าเหตุใดมารดาจึงต้องฝากฝังเธอไว้กับบุรุษสูงวัยแปลกหน้าคนนั้น แต่เมื่อเป็นความประสงค์สุดท้ายของมารดา เธอจึงน้อมรับและปฏิบัติตามคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายอย่างไม่มีเงื่อนไข เด็กสาวอายุยี่สิบปีเจ้าของดวงหน้าหวานปานจะหยด ไตรวินลงความเห็นว่าเธอถอดพิมพ์ทั้งรูปร่างหน้าตามาจากเลิศลักษณ์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน จะมีก็แต่ดวงตาคู่สวยที่มีแววคมกล้ากว่ามารดา และเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่าน ก็พิสูจน์ว่าคำพูดของเลิศลักษณ์นั้นเป็นจริง ‘ลักษิณาศร’ ทั้งน่ารัก น่าทะนุถนอมเกินกว่าสิ่งใด

ไตรวินได้ปฏิญาณต่อดวงวิญญาณของเลิศลักษณ์ว่าความผิดพลาดใดๆ ที่เขาได้ทำไว้กับเธอ นับแต่นี้ เขาจะขอไถ่โทษคืนให้กับลักษิณาศรเป็นการทดแทนให้กับเธอทั้งหมด ค่าที่เขาละทิ้ง ‘คำสัญญา’ นับแต่นี้จนตลอดไป

“คุณลุงขา... คุณลุง... คุณลุงอยู่ไหนคะ” เสียงหวานใส ร้องเรียกอยู่ไกลๆ จากทางด้านเรือนใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปถัดจากคูน้ำกั้น ฟังดูแล้วคล้ายกับที่เลิศลักษณ์มาร้องเรียกหาเขาในวันนั้นไม่ผิด ช่างน่าสะท้อนใจนัก

“ทางนี้ลูก ลุงอยู่ตรงนี้”

ลักษิณาศรเดินตามเสียงขานรับจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนหลังเล็กที่มีร่างของไตรวินยืนอยู่ ช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้เธอคุ้นเคยกับเขามากขึ้น บวกกับคำพูดของมารดา ทำให้เชื่อได้ว่าเขาคือคนที่มารดาของเธอไว้วางใจฝากฝังเธอเอาไว้กับเขาให้ดูแลแทน ทำให้เธอรู้สึกสนิทใจกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ

“ใกล้ค่ำแล้ว คุณลุงมาทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวกันคะ”

“ลุงมาเดินเล่นน่ะลูก เอ้อ! ลุงกำลังคิดว่าจะส่งคนมาซ่อมแซมบ้านหลังนี้เสียใหม่ หนูคิดว่ายังไงลูก” ไตรวินถามความเห็นทั้งที่ตายังทอดมองนิ่งไปที่บ้านหลังน้อย

“สุดแล้วแต่คุณลุงเถอะค่ะ ยังไงซะ ทุกอย่างที่นี่ ก็เป็นของคุณลุงอยู่แล้ว” ลักษิณาศรตอบกลับไปตามที่ใจคิด

“ทำไมพูดอย่างนั้นเล่าลูก ลุงบอกแล้วไง ว่าถึงยังไง ที่นี่ก็ยังเป็นบ้านของหนู ลุงตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะยกมันให้ หนู ยังไงๆ ลุงก็ไม่เปลี่ยนใจแน่” ไตรวินยืนยันเจตจำนงค์ตามคำมั่นที่ให้ไว้กับเลิศลักษณ์

“แต่ลูกศรคงรับมันไว้ไม่ได้หรอกค่ะคุณลุง มันมากมายเกินไป”

“ลูกศรลืมไปแล้วหรือลูก ว่ายังมีอีกตั้งหลายชีวิตที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ถ้าหนูไม่รับมันเอาไว้ แล้วใครเล่าจะดูแลพวกเขาต่อไป” เขาอธิบายย้ำกับเธอด้วยเหตุและผล ลักษิณาศรอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะดูแลทั้งหมดนี้ แต่ในเมื่อเขายังอยู่ อย่างไรเสียเขาก็ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้กับเธอได้

“แต่ว่า....”

“ไม่มีแต่หรอกลูก บอกแล้วไงว่าลุงเต็มใจ หนูอย่าคิดมากไปเลยนะลูก”

“ลูกศรว่าเราอย่าเพิ่งคุยกันเรื่องนี้เลยดีกว่า ยายปลิกให้ลูกศรมาตามคุณลุงไปทานข้าว สำรับตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ” เมื่อรู้ตัวว่าจนด้วยเหตุผล เด็กสาวรีบตัดบทแล้วเปลี่ยนเรื่องชวนกลับเข้าบ้านทันที

“อื้ม...งั้นก็ไปกันเถอะลูก เดี๋ยวยายปลิกจะรอ แต่ลุงอยากบอกให้หูรู้เอาไว้ ว่าทุกอย่างที่ลุงทำ ลุงทำเพื่อหนู แล้วก็แม่ของหนู ซึ่งเป็นน้องสาวที่ลุงรักที่สุดเพียงคนเดียว”

ไตรวินย้ำกับเธออีกครั้งอย่างมั่นใจ แล้วก้าวเท้าออกเดินนำหน้าเพื่อกลับไปยังเรือนไม้หลังใหญ่ ในขณะที่ลักษิณาศรเลือกจะเป็นเพียงผู้ฟังและก้าวเท้าเดินตามไปเงียบๆ

------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2555, 08:41:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:34:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1288





<< 1 : สายน้ำกับความหลัง   3 : ตัวตนที่ต้องค้นหา >>
meow 3 พ.ค. 2555, 00:14:15 น.
แอบซึ้งอ่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account