ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๘





ต้องรอจนถึงมืดค่ำปลอดผู้คน ทรงธรรมจึงค่อยได้โอกาสใช้ความมืด แฝงตัวกลับเข้าไปในคฤหาสน์เรือนตึกบ้านอเนกคุณากร

พยายามฟังอยู่เหมือนกันว่า ตรงฝั่งบ้านเรือนไทยของเจ้าคุณ จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เพราะหลังจากที่ตนรู้ข่าวเรื่องการเสียชีวิตของอุ่นเรือน พอตกเย็นข่าวลือเรื่องการตายของเจ้าคุณผู้เป็นบิดา ก็แพร่สะพัดออกมาอีก

แต่แปลกที่ฟากนั้นกลับเงียบเชียบ ไม่มีการตามไฟหรือบรรเลงปี่พาทย์ใดๆ เหมือนอย่างที่ควร ทรงธรรมได้แต่เก็บความแปลกใจนี้ไว้คนเดียว ระหว่างค่อยใช้ประตูข้าง เพื่อเข้าไปสู่ภายในบริเวณบ้านเรือนตึก

บ้านนี้ก็เงียบสงัด ไม่ต้องนับเรื่องความวังเวงหรือเปลี่ยวร้าง เพราะเป็นของคู่กันกับตัวเรือน ซึ่งทรงธรรมชาชินกับมันเสียแล้ว

เขาเดินมาตามทาง พลางร้องเรียกบรรดาผีประจำบ้านทั้งหลาย คล้ายกับเวลาคนเดินทางไกลได้กลับมาสู่เหย้าเรือนที่หลับนอนของตน แต่จนก้าวผ่านเฉลียงหน้ามุกขึ้นมาจนถึงภายในห้องโถงด้านหน้า ก็ยังปราศจากวี่แววของภูตผีตนใด

ทรงธรรมออกจะใจหาย กับการที่ใครๆ ก็ต่างพากันเงียบไปเช่นนี้ แต่ยังออกปากเรียกชื่อคนนั้นคนนี้เรื่อยไป ท่ามกลางความมืดมิดที่โดยปกติ คุณแสจะใช้อิทธิฤทธิ์ เนรมิตความสว่างแวววามคล้ายดวงโคม ให้ทั้งเรือนตึกมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นในยามราตรี

“ไปไหนกันหมดแล้ว พี่ผกา มาลี กระถิน เจ้าหลง... คุณแส... แม่แสง”

เขาหยุดยืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นสู่ชั้นบน ตัดสินใจอยู่ว่าจะขึ้นไปให้ถึงที่ ดูให้เห็นว่าแกล้งหลบอยู่ข้างบน หรือหายไปไหนกันหมดแล้วจริงๆ

“แม่แสง... แสงเพ็ง พี่กลับมาแล้ว... เจ้าหลง บุปผา คุณแสขอรับ”

ทรงธรรมลองเรียกหาดูอีกครั้ง...

คราวนี้ได้ผล

เริ่มมีเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา

โคมไฟ ทั้งที่แขวนและติดตามผนังเริ่มวาวแสง สองสามพริบตาถัดมา ทั้งห้องก็กระจ่างแจ่ม ด้วยแสงสีนวลตาอย่างที่คุ้นเคย

เสียงหัวร่อต่อกระซิบกันก็มาเวียนอยู่รอบตัวอีกอึดใจใหญ่ กว่าที่ขบวนผีประจำเรือนจะเริ่มเผยตน เล่นร้องล้อมอยู่รอบตัวของทรงธรรม

“เล่นเอาตกใจหมด นึกว่าหายไปไหนกันเสียแล้ว”

เขาพึมพำออกมา เมื่อหัวขบวนคือแสงเพ็ง มาหยุดอยู่ตรงหน้า

“เป็นความคิดเจ้าหลงน่ะจ้ะ มันว่า... ดูซิ พี่ธรรม์จะกลัวผีหรือกลัวไม่มีผีมากกว่า”

ผีสาวส่งยิ้มมาให้ ดีใจนักที่คนรักได้คืนกลับมาเสียที

ส่วนคนที่ถูกพาดพิง ก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะเอาม้วนกระดาษที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมาให้ทรงธรรมดู เป็นถ้อยคำที่ทำให้เขาต้องถึงกับอมยิ้ม

…Welcome home…

“คุณธรรม์เจ้าคะ นี้เป็นลายมือของดีฉันเอง”

ผีผกาทำท่าเขินๆ เพราะคงไม่พอใจกับลายมือของตัวเองสักเท่าไร

“เล่นภาษาอังกฤษเลยหรือนี่”

ทรงธรรมอดทึ่งไม่ได้

“ดีฉันเปิดหนังสือคุณธรรม์ แล้วให้แม่ผกาลอกตามหรอกเจ้าค่ะ”

ผีกระถินช่วยเฉลย

“แต่ข้าเป็นคนเสนอให้เขียนเป็นภาษาอีหรอบ”

ผีมาลีไม่ยอมน้อยหน้า

“พี่ธรรม์ขอรับ หลงก็ช่วยด้วยเหมือนกันขอรับ”

“ใช่ค่ะพี่ธรรม์ พวกพี่ๆ น้องๆ เขาอยากให้พี่ธรรม์ประทับใจ จะได้ไม่ทิ้งพวกเราไปไหนอีก หมดเคราะห์หมดโศกกันเสียที่นะคะ”

พอแสงเพ็งขยับเข้าใกล้ พวกผีที่เหลือก็ขยับตาม แต่ละตนส่งแววตาอ้อนวอน อยากให้ทรงธรรมอยู่ต่อไปด้วยใจจริง

“แม่แสงพูดถูก เราไปฉลองกันดีกว่า นะเจ้าคะคุณธรรม์”

“ขอบใจทุกคนมาก ข้ารู้ว่าทุกคนทำเพื่อข้ามามาก แต่ว่า... เวลานี้ ข้าไม่มีอารมณ์จะฉลองหรอก...”

ให้ดีใจที่ได้กลับมาอยู่ตรงนี้ขนาดไหน ทรงธรรมก็ยังตัดใจเรื่องที่อุ่นเรือนและเจ้าคุณอเนกไม่ได้อยู่ดี พอเขาพูดดังนั้น ก็ไม่มีใครกล้าขัดแย้ง ต่างคนก็ต่างมีสีหน้าสลดลงไปตามๆ กัน

“...ขอตัวก่อนนะ...”

เขาไม่รอให้ใครได้พูดอะไรอีก มีแต่แสงเพ็งเท่านั้นที่เดินตามเข้ามาในห้อง

“พี่ธรรม์คงเหนื่อยมาก”

“ใช่ พี่เหนื่อยมาก แต่ตอนนี้ พอเห็นว่าแม่แสงยังอยู่ดี ก็หายเหนื่อยแล้วละ”

เสียงของเขาไม่ได้สดชื่นเลยสักนิด จนผีสาวต้องเอ่ยถาม

“หรือว่าพี่ธรรม์ยังกังวลเรื่องของพ่อลูกคู่นั้น”

ทรงธรรมระบายลมหายใจยาว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด

“มันออกจะเกินไปหน่อยไหมเล่าแม่แสง ที่พี่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ เพราะต้องเอาอีกชีวิตหนึ่งมาแลกเปลี่ยน...”

“พี่ธรรม์คะ... เราจะคิดไปว่า เป็นกรรมที่พวกเขาเคยก่อเอาไว้ จะไม่ได้เชียวหรือ”

แสงเพ็งก็พลอยอึดอัดไปด้วย

“ก็... อาจจะเป็นไปได้ แต่... เพราะเรื่องของคนรุ่นก่อน แม่อุ่นกลับต้องมาตาย เจ้าคุณก็ต้องมาแขวนคอตาย ถึงเวลานี้ญาติวงศ์พงศาก็แตกแยกกันไป มันคุ้มกันหรือแม่แสง”

คำถามนี้ผีสาวไม่อาจตอบว่ากระไรได้ เพราะที่เขาพูดมาก็ล้วนแต่เป็นความจริง

“ช่างเถอะ แม่แสงอย่าพลอยโศกเศร้าไปด้วยเลย นี่ก็แค่ความคิด ความรู้สึกส่วนตัวของพี่คนเดียว... จริงสิ ยังไม่เห็นคุณแสเลย”

ทรงธรรมต้องเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่าแสงเพ็งมีอาการโศกสลดลงจริงๆ

“คุณแสไม่ยอมออกจากห้องนั้นเลยค่ะ... เดินวนเวียน เหมือนคิดอะไรไม่ตก”

แสงเพ็งหมายถึงห้องที่เกิดเหตุ ที่คนรักของคุณแสทำผิดสัญญา ไม่ยอมกินยาฆ่าตัวตายตามนั่นเอง

ทรงธรรมนึกอยากขอบคุณคุณแสเช่นกัน เพราะเธอมีส่วนสำคัญในการทำให้เขาได้ออกมายืนอยู่ตรงนี้

เขาจึงขอตัวจากแสงเพ็ง เพื่อมาพบกับผีสาวผู้เป็นใหญ่ในเรือนตึก ตอนที่ทรงธรรมมาถึงหน้าประตูห้อง ยังเห็นว่าคุณแสยังเพียรเพ่งพิศอยู่กับรูปวาด รูปเหมือนของตัวเองที่เขียนโดยฝีมือของคนที่นางรักยิ่งกว่าชีวิต โดยไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังมีใครจับตามองอยู่

“คุณแส...”

เขาต้องให้เสียงเบาๆ

พอเงยขึ้นมามอง ทรงธรรมก็ยิ่งเห็นชัด ว่าคุณแสมีท่าทางอมทุกข์มากกว่าเก่า ดวงหน้าหม่นเศร้ายิ่งกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก

“กระผมกลับมาแล้ว”

เขาเอ่ยต่อไป ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามยังนิ่งเฉย

“นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า ชื่อเสียงเกียรติยศ จะทำให้คนเราเป็นไปได้ถึงขนาดนี้”

คราวนี้คุณแสพยักหน้านิดๆ เหมือนเพิ่งได้สติ

“ตอนนั้น คุณโด่งก็ต้องรับภาระอันหนัก ในการประคับประคองชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลที่บรรพชนสั่งสมมาช้านาน หรือเพราะคำว่าเกียรติยศ หรือเพราะคำว่ากฎแห่งกรรมกันแน่ ที่ทำให้ข้าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะข้าจะเป็นต้นเหตุทำให้เขาเสื่อมเสียอย่างนั้นน่ะหรือ”

“ห้องนี้น่าจะอยู่สบาย คุณแสรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ ที่ได้กลับเข้ามาอยู่ในนี้”

ทรงธรรมลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เผื่อว่าความทรงจำดีๆ จะทำให้ความรู้สึกหม่นหมองของคุณแสผ่อนคลายลงได้บ้าง

“กับห้องนี้น่ะหรือ ก็... เป็นที่ที่ข้าเคยมีความสุข แล้วก็เคยเสียใจ... แม้กระทั่งตอนที่ตาย ก็ตายอยู่ที่นี่ ตอนที่กลับเข้ามาครั้งนี้ เลยไม่แน่ใจ ว่าข้ารู้สึกอย่างไรกับห้องนี้กันแน่”

“ที่จริง... เรื่องราวที่เคยติดค้าง เจ้าคุณอเนกก็ชดใช้แทนให้ไปแล้ว คุณแสน่าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง”

“พ่อธรรม์ จำได้หรือไม่ ที่เคยพูดเอาไว้ว่า ความแค้นมันอยู่ที่ใจ... ตอนนี้พวกบ้านนั้นก็มีอันต้องย่อยยับไปแล้ว ที่จริงข้าน่าจะดีใจ แต่รู้หรือไม่ ความแค้นใจข้านี้ มันไม่ได้บรรเทาเบาบางลงไปเลย แม้เพียงสักนิดก็ไม่มี ยิ่งอยากจะลืม ก็ยิ่งทรมาน แทนที่จะลืมได้ กลับยิ่งชัดเจน...”

คุณแสร่ำไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น ความอัดอั้นที่พยายามเก็บฝืนเอาไว้ ถั่งท้นออกมาทางหยาดน้ำตา ทรงธรรมต้องประคองให้นางนั่งลง พร้อมกับพยายามปลอบโยน

“นึกไม่ถึงเลยว่าคุณแสจะมีความแค้นฝังแน่นถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ตลอดไป คงจะลืมไม่ได้ เมื่อลืมไม่ได้ก็ปลงไม่ได้ ข้าไม่อยากให้คุณแสเดินซ้ำรอยพวกนั้น ถ้าการอยู่ในห้องนี้ทำให้คุณแสต้องจมอยู่กับความเคียดแค้น ไม่สู้ออกไปเที่ยวเล่น เปิดตาเปิดใจอยู่ข้างนอก เมื่อสบายใจแล้วก็จะปลงใจกับเรื่องราวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น”

“ข้าต้องขอบคุณในความหวังดีของพ่อธรรม์ แต่ถ้าเลือกได้ ก็ขอเลือกอยู่ในนี้ ได้อยู่กับอดีต ที่อย่างน้อยก็เคยมีความทรงจำที่เป็นความสุขอยู่บ้าง และอีกอย่าง...”

“พวกเจ้าหลงก็ยังต้องการที่พึ่ง ข้าเคยสัญญาไว้ ว่าจะหาทางนำกระดูกพวกเขามาบำเพ็ญกุศล จะได้ไปผุดไปเกิดกันตามแต่บุญกรรม”




หมอเกตุกำลังนิทราอย่างบรมสุข ฝันไกลไปว่าได้เป็นถึงมหาพราหมณ์ปุโรหิต ในมหานครซึ่งอุดมไปด้วยทรัยพ์สมบัติ แวดล้อมอยู่กับข้าทาสบริวารอันล้วนแล้วแต่เป็นสาวสะคราญวัยแรกรุ่นกำดัด

บัดเดี๋ยวฝันก็แปรเปลี่ยน เหล่าดรุณีโฉมงามพลันมีเขามีหางงอกยาว กระนั้นหมอเกตุยังยิ้มย่อง นางปิศาจจำแลงกายแค่นี้ย่อมไม่ครณามือ แค่กระดิกปลายนิ้วกับตวัดสายตาไป เหล่านางภูตร้ายนั้นก็แตกกระเจิง

“พวกเจ้าอย่าบังอาจ รู้หรือหาไม่ ข้าคือใคร... ข้อคือจอมขมังเวทเกตุอาคม เจ้าของตำหนักมหาเทพอาคมแห่งกรุงสยาม”

เขาถึงกับพร่ำละเมอออกมา พร้อมกับทำท่าลูบคลำคางเครา ด้วยเคยคิดเสมอว่า เคราคางนั้นคือเครื่องประดับความภูมิฐานให้สมกับที่เป็นจอมเวท...

ในฝันนั้นยังระเริงโลด จนอีกครู่ที่เริ่มมีกลิ่นสาบสางปะปนมาให้รู้สึก แต่หมอผีหนุ่มยังเชื่อว่าตนอยู่ในความฝัน กำลังฟาดฟันกับบรรดาโหงพรายตั้งร้อย ที่พากันจู่โจมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง กลิ่นสาบสางที่โชยมา ย่อมคือกลิ่นเลือดเนื้ออันเน่าหนอนของพวกมันนั่นเอง

สักพักก็รู้สึกอัดแน่นที่หน้าอก คล้ายมีใครเหยียบยันไม่ปรานี แต่หมอเกตุยังไม่คร้ามเกรง ในมโนนึกฝันนั้นบอกว่า ไอ้ตัวนี้ละหัวหน้า กำลังถึงกล้าแข็ง จนสามารถแตะสัมผัสกายของเจ้ามหาอาคมเช่นตนได้

แค่ปัดเดียวน้ำหนักที่กดทับนั้นก็ปลิวหาย

“เห็นไหมเล่า... ไอ้ภูตผีไร้ชื่อชั้น มีอย่างหรือมากล้าต่อกรกับจอมขมังเวทอย่างข้า”

เผียะ!!!

คราวนี้รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่

เผียะ! เผียะ!... เผียะ!

แล้วรัวไม่ยั้งทั้งซ้ายขวา เจ็บจริงทั้งสองข้างแก้มแต่ก็ยังไม่อาจจะขยับกายป้องกัน

พอระลึกได้ว่าเหล่านี้เป็นภูตผี หมอผีหนุ่มจึงรีบรวมสมาธิ ด้วยความชำนาญที่ฝึกฝนจนได้ผล ไม่กี่อึดใจจึงหลุดพ้นจากอาการคล้ายถูกผีอำ ลืมตาได้ปุ๊บก็ดีดตัวขึ้นปั๊ป

“เจ้าหลง ไอ้เจ้าหลง! ตามมารังควานกันหรือยังไรเล่า”

เมื่อมองหาไม่เห็นใครอื่น ก็นึกโทษได้อยู่แต่ผู้เดียว

แต่ก็ยังปราศจากสุ้มเสียงตอบรับ จนหมอเกตุต้องหันรีหันขวาง สำรวจตรวจตราทุกซอกทุกมุมในห้อง ลองใช้ทั้งตานอกตาใน ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นใครที่กลั่นแกล้ง

“หรือจะเป็นผีแม่อุ่นกะท่านเจ้าคุณ...”

เผี้ยะ!!!

คิดได้ไม่ทันจบก็ถูกฟาดซ้ำอีกครั้งจนหน้าหัน ถ้าเห็นตนเองในกระจกคงต้องตกใจ เพราะบัดนี้สองข้างแก้มนั้นแดงช้ำเป็นรอยฝ่ามือ

“แน่จริงก็ออกมาซีวะ! นึกหรือว่าจะกลัว เป็นผีก็อยู่ส่วนผี จะมายุ่งอะไรกับคนจะหลับจะนอน”

ร้องท้าทายไปดังนี้อีกสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ลอบทำร้ายยังไม่ยอมเปิดเผยตัว ก็คิดว่าพวกมันคงจะกลัวคนจริง จึงประมาทซ้ำเอาไว้ก่อนจะล้มตัวลงอีกครั้ง

“ถ้ายังกล้าเสนอหน้ามาก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน ไปที่ชอบๆ ซะเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกันให้ไม่เป็นสุข ข้าจะนอน! ห้ามมารบกวนอีก เข้าใจหรือหาไม่!”

ทว่าเมื่อกำลังจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบ ก็กลับรู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกคนแบก ลอยขึ้นจากแคร่ที่นอนแล้วทุ่มทิ้งลงมาบนพื้นเรือน ที่ประหลาดคือเขาไม่เจ็บปวด แม้จะรู้สึกเหมือนถูกกระทุ้งเข้าที่ลิ้นปี่ จิกหัวดึงตัวให้ลุกขึ้น เตะที่ขาพับให้สองเข่าทรุดกระแทกลงกับพื้น เขาจะรู้สึกสักนิดก็หาไม่

หมอผีหนุ่มจึงพาลคิดไปว่าเป็นความฝัน อาจจะเป็นฝันในช่วงเพลี่ยงพล้ำไปสักหน่อย แต่สักประเดี๋ยวก็คงจะได้ชัยตามประสาความฝัน ในใจนั้นอดนึกสยองแสยงไม่ได้ว่า ถ้าหากเป็นความจริง กระดูกกระเดี้ยวคงแตกหักไปไม่รู้จะกี่ท่อนต่อกี่ท่อน

ในความรู้สึกว่ากำลังฝัน ยังถูกกระทุ้งกระแทกอยู่อีกหลายตลบ จนชักเริ่มรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ จนในที่สุด เมื่อรู้สึกว่าถูกฝันตนทรมานจนเกินไป ก็สั่งให้ตัวเองลืมตาตื่น

คราวนี้ยิ่งประหลาด...

หมอเกตุอาคมกลับลืมตาขึ้นในถ้ำกว้างขวาง มีแสงสีพราวพราย และเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ไม่ทันที่จะได้ผุดลุก ก็เหมือนหัวถูกกด ให้หน้ากระแทกคำนับลงกับพื้นไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง จนมึนไปหมด กระทั่งน้ำหนักที่กดคอนั้นเลือนหาย เขาจึงรีบหยัดกายขึ้นทันที

คนถูกพามาในสถานที่อันแปลกประหลาด หันซ้ายขวาและหมุนรอบตัว งุนงงอยู่ทั้งกับที่โดนโขกหัวเมื่อครู่ กับทั้งแสงเงาที่แปลงเปลี่ยน จากพราวพรายวิบวับ กลับเป็นสีหมองหม่นมัว กลิ่นหืนๆ เอียนๆ เหมือนสาบน้ำเลือดน้ำหนอง โชยมาชัดเจนติดจมูก

อีกเป็นหลายอึดใจ กว่าความว่างเปล่าจะค่อยปรากฏ เป็นบางสิ่งที่แลคล้ายโต๊ะตั่งหรือหน้าต่างเรือน ทว่าทั้งหมดละม้ายสลักจากหินผา หรือไม่ก็กล่อมเกลาเอาจากบรรดาหินงอกหินย้อยภายในโถงถ้ำใหญ่นี่ละ

แต่ส่วนที่แลคล้ายหน้าต่างบานใหญ่ มีซี่ลูกกรงคดโค้งขัดขวางอยู่นั้น ราวกับมีพื้นที่กว้างขวางไกลออกไปในเบื้องหลัง

หมอเกตุอาคมสืบเท้าใกล้เข้าไป เพราะหูเริ่มแววเสียงกรีดร้องดังมาจากไกลๆ น่าจะใช่เสียงที่ดังมาจากเบื้องนอกนั่น

ที่ไกลลิบตา หมอกควันหนาทึบอย่างยิ่ง มีเพียงประกายคล้ายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ ให้พอเห็นเป็นเค้าลาง ว่ามีภูเขาทะมึนซับซ้อนอยู่มากมาย ซ้ำยังมีเหมือนนกใหญ่บินว่อนวนเวียน พอสายฟ้าแล่นปราด ก็สะท้อนเงากับจะงอยปากที่น่าจะเป็นเหล็ก!

หมอผีหนุ่มพยายามชะโงกผ่านซี่ลูกกรงศิลาลงไป เพราะได้ยินเสียงคล้ายสุนัขใหญ่เห่าหอน บ้างกรรโชกขู่คำราม บ้างเหมือนกำลังวิ่งไล่กวดใครสักคน เพราะฝีเท้านั้นดังชัด

แต่เหมือนมีรังสีบางอย่างแผ่วกระทบอยู่ที่หลังคอ หมอเกตุจึงหันขวับ

แล้วก็มีอันต้องผงะงายไปพิงอยู่กับผนัง เพราะบุรุษที่จ้องเขม็งอยู่นั้น ยืนอยู่ในระยะประชิด หน้าตาดุดันถมืงทึง ผิวพรรณราวสีทองแดง

“เอ็งเป็นใคร!”

หมอเกตุอาคมยังไม่หยุดคิดหรอกว่า ตนเองฝันประหลาด พอเห็นว่าบุรุษตรงหน้ายังยืนนิ่ง จ้องหน้าไม่วางตา โดยไม่เอ่ยวาจาใด เขาก็ถามซ้ำ

“อย่าบังอาจอ้ำอึ้ง รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าคือหมอเกตุอาคมจอมขมังเวท แห่งตำหนักมหาเทพอาคมแห่งกรุงสยาม”

ถ้อยคำเดิมที่คิดว่าจะข่มเหงให้บุรุษตรงหน้ารู้สึกเกรงกลัว กลับเป็นตัวเองที่ราวกับถูกลมถีบเข้าที่ยอดอก กระแทกกับผนังดังอึก เจ็บจริงไม่คล้ายฝัน

หมอผีหนุ่มชักแตกตื่น คิดว่าความฝันช่างสมจริง กระทั่งการพลิ้วตัวฉากหลบออกมาหาที่โล่งเพื่อตั้งหลัก ยังรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวและความเจ็บปวดชอกช้ำอยู่ตลอดร่าง

แต่แล้วพอตั้งหลักมั่นก็ถูกซ้ำ ลมถีบเข้าที่ลิ้นปี่ เพราะด้านหลังโล่งโถง ทั้งตัวจึงกระเด็นไปปะทะกับแท่นศิลา จนถึงกับลงไปนอนกอง

ทั้งเจ็บทั้งจุกแต่ลมร้ายก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ตอนนี้ดุจมีมือที่มองไม่เห็นจิกหัวเขาให้ตั้งตัวขึ้นยืนตรง

“เอ็งสิบังอาจ! กล้ามาตอแยกับนิรยบาลผู้คุ้มกฎอย่างข้า!”

เสียงตวาดก้อง ทั้งที่ริมฝีปากแทบไม่ขยับ กับที่แทบไม่อยากเชื่อสายตาอีกอย่างหนึ่งคือ หมอผีหนุ่มรู้สึกว่า ระหว่างที่บุรุษตรงหน้าเปล่งสีหนาทวาจาออกมานั้น ร่างกายของเขาก็ใหญ่โตขึ้นจนต้องแหงนหน้ามอง

“ท่าน... เป็นท่าน... ท่านน่ะหรือ นายนิรยบาลผู้คุ้มกฎ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า เป็นผู้คุ้มกฎแห่งนรกน่ะซี...”

แล้วความปวดแปลบแสบระบมก็ระดมเข้ามา รู้สึกแน่ชัดแล้วว่าทั้งหมดตั้งแต่คล้ายถูกตบหน้า จนถึงตอนถูกลมถีบ ล้วนเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวจากร่างกายที่สะบักสะบอม

“นี่เป็นการลงโทษเล็กน้อย ใครให้เอ็งแหกกฎแห่งความเป็นความตาย”

เสียงนั้นเบาลงกว่าเดิมนิดหนึ่ง แต่มิได้ลดทอนความเหี้ยมเกรียมลงเลยสักน้อย

“...วิชา... วิชาแลกชีพคืนวิญญาณ นรกรู้เรื่องด้วยหรือนี่...”

หมอผีหนุ่มแทบครางออกมา ขณะนายนิรยบาลผู้คุ้มกฎย่างสามขุมเข้าหา

“เอ็งไม่มีทางเลือกอื่น ต้องทำคุณไถ่โทษ ข้าจะเหยียบร่างเอ็ง ไปล่าแม่วิญญาณพวกนั้นให้ลงนรกมารับการพิจารณาความดีความชั่ว!”

ทั้งน้ำเสียงถ้อยคำ ทั้งท่าทางที่คุมคามใกล้เข้ามา ทำให้หมอเกตุสยองแสยงจับใจ

“ไม่! เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่มีวันยอม!”

เขาตะโกนออกมาสุดแรง แต่กลับปราศจากสุ้มเสียงใดๆ

“เอ็งไม่มีทางเลือกอื่น อ้อ! หรือจะเลือกทางตาย!”

หมอเกตุรู้สึกว่าขนหัวลุกขึ้นพร้อมกันทั้งศีรษะ ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำเหมือนปรานีที่อุตส่าห์มีทางให้เลือก

“จะบ้าเรอะ... แม่อุ่นเรือนนั่น หรือว่าเจ้าคุณคนนั้น ก็ควรได้รับกรรมอย่างสาสมแล้วไม่ใช่รึไง!”

“ไม่ใช่หน้าที่เอ็งที่จะตัดสิน โน่น! ท่านผู้เป็นใหญ่ในยมโลก กำลังให้ท่านสุวรรณสุวานกางบัญชีความดีชั่วของสองพ่อลูกนั่น ไอ้พ่อคงหนักหน่อย แต่อินังลูกสาวก็ไม่เบา”

“เห็นไหมเล่า ข้าช่วยประหยัดเวลาให้ท่านด้วยซ้ำ”

พอเห็นว่าบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ทำท่าเหมือนจะพูดจากันรู้เรื่อง หมอเกตุอาคมก็เริ่มพยายามต่อรอง

“บอกแล้วว่าไม่ใช่หน้าที่ของเอ็ง หยุดพูด แล้วให้มาข้าเหยียบร่างเสียดีๆ”

“ทำไมล่ะ พวกนางเป็นผีดี ทำไมต้องจับมาลงโทษ”

“จับมาพิพากษา! ไม่ใช่เอามาลงโทษ ที่สำคัญ ผีก็ต้องอยู่ส่วนผี ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้คน!”

“ไอ้ผีชั่วผีเลวอีกไม่รู้เท่าไร ข้ายังเคยรู้เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ยักเคยเห็นว่าพวกท่านจะไปจัดการยังไร นี่ทำไมผีดีๆ ท่านถึงจะไปยุ่งกะพวกเขา”

หมอผีหนุ่มยังพยายามต่อรอง แต่กลับได้รอยแสยะยิ้มเป็นคำตอบ

นายนิรยบาลผู้คุ้มกฎ หัวเราะหนักๆ ในลำคอ ดวงตาแดงก่ำราวเพลิงสุมขอน ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ขณะที่หมอเกตุอาคมไม่รู้ว่าตนตกมาอยู่ในมุมอับตั้งแต่เมื่อไร

แล้วเสียงหัวเราะหนักๆ ก็กลายเป็นหัวเราะลั่น ราวกับขำขันในความคิดเห็นของคนตรงหน้าเสียเต็มประดา

“เรื่องดีเรื่องชั่วให้ท่านยมบาลเป็นผู้ตัดสิน ข้ามีหน้าที่รักษากฎ คือจับดวงวิญญาณติดที่พวกนั้นมารับการพิพากษา!”

“ข้าไม่ยอม! หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมให้ท่านเหยียบร่าง”

ไม่ทันขาดคำ คนพูดก็รู้สึกแข็งทื่อไปทั้งร่าง กระทั่งกะพริบตายังทำไมได้ เห็นชัดว่าการเหยียบร่างอันไม่อาจปฏิเสธนั้น คือร่างของนายนิรยบาลค่อยเคลื่อนเข้ามาทับซ้ำอยู่กับร่างตน

พอผสานกันได้สนิท สติของหมอเกตุอาคมก็ดับวูบลงทันที




ทรงธรรมบอกกับตัวเองได้แน่ชัดว่า สองสามวันที่ผ่านมา เป็นเวลาที่แสนหนักหน่วง แต่ก็ยังนับว่ามีส่วนดีอยู่มากกว่า เพราะมันทำให้เขาเข้าใจความหมายของคำว่า “มนุษย์” ชัดเจนยิ่งขึ้น

แม้จะเจ็บป่วยบอบช้ำ ซ้ำยังได้ชื่อว่าเป็นคนที่ผ่านคุกผ่านตะรางมาแล้ว แต่ชายหนุ่มยังรู้สึกว่าตนเองปลอดโปร่งแจ่มใส จิตใจไม่ได้ดำมืดเหมือนเมื่อก่อนหน้า จะมีที่ยังติดขัดในหัวใจอยู่บ้าง ก็คือเรื่องการเสียชีวิตของอุ่นเรือนกับบิดา ซึ่งแสงเพ็งก็ช่วยปลอบโยนเขาได้มาก

กระนั้น กว่าที่ทรงธรรมจะข่มตาให้หลับลงได้ก็เกือบใกล้รุ่ง แต่ก็หลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน มารู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงปึงปังอยู่ด้านนอก นอนฟังอยู่อึดใจจนมีเสียงดังโครม... แล้วก็เงียบไป

อาจเป็นคนบ้านเรือนเจ้าคุณอเนกส่งคนมาไล่รื้อ ทรงธรรมจึงรีบผุดลุก ตั้งใจจะออกไปบอกกล่าวว่า เขาตั้งใจแน่นอน ที่จะไปจากบ้านหลังนี้ทันที

ทว่า... ยังออกมาไม่พ้นประตูใหญ่หน้าเรือนด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นว่าหมอเกตุอาคมยืนจังก้าอยู่ มีท่าทางแข็งข้นดุดันอย่างประหลาด เมื่อทรงธรรมเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็ยังไม่มีท่าจะทักทายกันว่าอย่างไร

“เฮอะ! วันนี้มาแปลก จะว่าเมาก็ไม่ใช่ ไม่เห็นจะมีกลิ่นเหล้าตรงไหน หรือว่าร้อนวิชา เลยคิดจะมาจับผีตอนกลางวันแสกๆ”

ทรงธรรมไม่ได้คิดอะไรอื่น นอกจากว่าช่วงนี้หนุ่มรุ่นน้อง ผู้มีอาชีพละม้ายๆ พ่อมดหมอผีผู้นี้ คร่ำเคร่งฝึกฝนวิชามากเกินไป จนออกจะเพี้ยนๆ ไปบ้าง

หมอเกตุอาคมยังยืนนิ่ง พอมายืนอยู่ในระยะประชิดเช่นนี้ หนุ่มรุ่นพี่จึงสังเกตเห็นว่า หน้าตาของฝ่ายตรงข้ามบวมช้ำ ตามแขนขาคล้ายมีร่องรอยของการต่อสู้หนักหน่วง เมื่อกลับมาพิจารณาดวงหน้าอีกครั้ง ก็เห็นว่ากรอบตานั้นแข็งค้างอยู่ กระทั่งอีกหลายอึดใจผ่านไป ก็ยังไม่เห็นหมอเกตุกะพริบตาแม้สักครั้ง

“ไอ้หมอเกตุ เอ็งเป็นอะไร ไปโดนใครเขารุมยำทำร้ายมาหรือยังไร”

เมื่อเห็นว่าสหายรุ่นน้องมีท่าทางผิดปกติขนาดนั้น ทรงธรรมจึงถึงกับจับแขนหมอเกตุเขย่าแรงๆ

แล้วก็ยิ่งตกใจหนัก

“เฮ้ย! ทำไมตัวเย็นยังกะศพหยั่งนี้!”

ไม่ทันพูดจบ ทรงธรรมก็ถูกผลักจนหงายหลัง

“เอ็งใช่หรือหาไม่ ที่ฝืนกฎแห่งไตรภูมิ ริอ่านไปรักกับภูตผี!”

เสียงตวาดกลับมานั่น ไม่ใช่เสียงของหมอเกตุอาคมแน่ๆ

“ไอ้หมอ! หยุดก่อนไอ้หมอ! เอ็งเป็นอะไรของเอ็ง หรือว่ามีธาตุไฟเข้าแทรก จนสมองเสื่อมไปแล้ว”

ทรงธรรมรีบตามเข้ามาฉุดรั้งหนุ่มรุ่นน้องเอาไว้ แต่ก็ถูกยันจนกระเด็นออกมาจากชายคาเรือน

“ไอ้หมอเกตุ! ไอ้หมอเกตุอาคม เอ็งเป็นอะไรของเอ็ง!”

ทั้งเจ็บทั้งจุกจนแทบไม่อาจลุกขึ้นได้ ได้แต่ตะโกนถามออกไป เพราะแน่ใจแล้วว่าสถานการณ์นี้ต้องไม่สู้ดี

ที่ทรงธรรมเห็นชัดๆ คือ หมอเกตุอาคมผายมือกางออกทั้งสองข้าง สะบัดฝ่ามืออีกวูบหนึ่ง ประตูและหน้าต่างหน้าเรือนก็เปิดผางออกพร้อมกันหมด พอสะบัดมืออีกวูบ ก็มีเสียงเหมือนเนื้อไม้ฉีกจากกัน นั่นคงเป็นประตูหน้าต่างส่วนอื่นที่ติดดาล ก็ล้วนถูกกำลังของอะไรสักอย่าง กระแทกให้เผยออกเช่นกัน

คราวนี้มีเสียงหวีดหวิววี้ดว้ายตามมา...

คงเป็นเสียงของบรรดาผีสาว ที่ต้องได้ยินเสียงโครมครามปึงปังเหมือนกัน จึงพากันลงมาดู พอแสงแดดแรงร้อนของยามใกล้เที่ยง สาดส่องเข้าไปในตัวเรือนอย่างฉับพลัน เสียงกรีดร้องจึงตามมา

“บ่วงพญายม หนีเร็ว ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าจะถูกจับ!”

เป็นเสียงคุณแสแน่ๆ ที่หวีดดังขึ้น

ที่ผีผู้เป็นใหญ่ในบ้านตกใจขนาดนั้น ก็เพราะบัดนี้ในมือของหมอเกตุอาคม มีบ่วงเชือกเก่าคร่ำเส้นหนึ่ง สีของมันช้ำๆ คล้ำๆ เป็นสีอมแดงหม่นๆ อย่างน่ากลัว

“หยุดนะไอ้หมอ มืงจะทำอะไร!”

พอทรงธรรมลุกขึ้นได้อีกครั้งก็ถลาเข้ามาทันที

กรี๊ดดดดดดด!!!!

แล้วเสียงกรีดร้องของบรรดาผีสาวก็ดังซ้ำขึ้นอีก เมื่อห่วงเชือกในมือลอยขึ้นไปในอากาศ ขยายขนาดใหญ่ขึ้น ซ้ำกลางบ่วงยังปรากฏคล้ายคลื่นหมอกควัน ที่เริ่มหมุนวนเป็นวงม้วนเข้าสู่ศูนย์กลาง

อึดใจต่อมาแรงดึงดูดมหาศาลก็เกิดขึ้น

ในพลันนั้น ผีมาลีที่ยังละล้าละลังหาที่หลบหนีก็ถูกดูดวูบหาย!

“มาลี มาลี!”

แสงเพ็งตะโกนสุดเสียง ผวาจะกระโจนตามเข้าไป แต่เจ้าหลงกับคุณแสช่วยกันฉุดดึงเอาไว้

ภาพตรงหน้าที่ทรงธรรมได้เห็น ชวนสยดสยองเสียยิ่งกว่าภาพตอนนักโทษถูกประหารชีวิต ที่หัวหลุดกระเด็นจากบ่า มีสายเลือดพุ่งโชน เขาโผนทั้งตัวเข้าใส่หมอเกตุอาคม หมายจะกระแทกให้ล้ม หรือให้หมดสติไปเลยก็ยิ่งดี

แต่เหมือนทั้งร่างกระแทกเข้ากับเสาหิน ร่างของหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด มีแต่ทรงธรรมเองที่ถูกแรงกระแทกดีดให้ผงะหงายออกมา

ทรงธรรมรีบรวบรวมเรี่ยวแรงอีกครั้ง คราวนี้กระโดดคว้าชายเชือก หมายที่บ่วงบาศขนาดยักษ์นั่น

ได้ผล ร่างของหมอเกตุอาคมกระตุกมือหลบวูบ หมอกควันที่หมุนวนอยู่ในวงบาศมลายหาย เหลือเพียงกระไอจางๆ ที่เริ่มรวมตัวกันเข้าอีกครั้ง

“รีบหนีไปก่อน คุณแส แม่แสง!”

ทรงธรรมตะโกนลั่น แต่อีกเสียงกลับดังกว่า

“คิดจะหนีไปไหนพ้น พวกเอ็งไม่มีวันหนีพ้นจากกฎแห่งกรรม กฎแห่งภพภูมิ!”

ทั้งผีทั้งคนได้ยินชัด นั่นไม่ใช่เสียงของหมอผีหนุ่มเป็นแน่แท้

“ยมทูต! ท่านคือท่านยมทูต มาจนได้ ท่านมาจนได้!”

เป็นคุณแสที่ไขความกระจ่าง ให้กับทั้งทุกดวงวิญญาณและกับทั้งทรงธรรม

นายนิรยบาลผู้ถูกเรียกขานว่า “ยมทูต” แสดงสีหน้าไม่พอใจนิดหนึ่ง แล้วก็กลับขึงขังดังเดิม มือข้างที่ว่างจากการถูกทรงธรรมเกาะกุมชี้หน้าคุณแสตรงๆ และพออีกข้างสะบัดให้ชายหนุ่มกระเด็นไป ก็ตวัดบ่วงยมทูตขึ้นอีกครั้ง

“แย่แล้วแม่แสง ถ้าเป็นท่านยมทูต เรา... เรา... หนีไม่พ้น!”

เสียงของคุณแสยิ่งตระหนกหนัก

พอบ่วงบาศเริ่มสำแดงฤทธิ์อีกครั้ง ภูตผีที่เหลือก็รีบหลบหลีกอันเป็นอลหม่าน

คุณแสตั้งจิต ปล่อยกระแสพลังเข้าต่อสู้ แต่ก็ถูกกระแทกกลับจนหงายหลัง

นายนิรยบาลในร่างหมอเกตุปล่อยให้บ่วงยมทูตลอยค้างอยู่กลางอากาศ ขณะที่ตนเริ่มใช้สองมือประสานเข้าหากันในท่าทีประหลาด แต่ทุกคนที่เห็นล้วนเข้าใจแน่ชัด ว่าเขากำลังเพิ่มพลังฤทธานุภาพของบ่วงศักดิ์สิทธิ์

ผกาที่กอดเสาแอบอยู่ถูกดูดหายลับเข้ากลางบ่วงเป็นรายต่อมา

ตามด้วยบุปผาและกระถิน สองนางนี้พยายามเอาตัวเองเข้ากันมิให้เจ้าหลงถูกดูดเข้าไป ทำให้ตนต้องเป็นผู้ได้รับเภทภัย

เพราะความตกใจ เจ้าหลงผวาตาม และเพราะเกินกว่าที่คุณแสและแสงเพ็งจะเอื้อมมาฉุดรั้ง ผีเด็กชายจึงถูกดูดกลืนหายในพริบตาถัดมา

สองผีสาวที่เหลือถึงกับหลั่งน้ำตากับชะตากรรมหนักหนาที่ต้องเผชิญ

“เจ้าหลง เจ้าหลง!”

แสงเพ็งพร่ำเรียก ร่ำๆ จะโผตาม แต่คุณแสยังฉุดดึงเอาไว้

ทรงธรรมรวบรวมกำลังได้อีกครั้ง คราวนี้เขาโถมทั้งตัวเข้าทางด้านหลัง รวบสองแขนของหมอเกตุอาคมให้หลุดออกจากท่าร่ายเวทคาถา

“หนีไป หนีไปก่อน! แม่แสง คุณแส หนีไปก่อนขอรับ!”

ให้นายนิรยบาลดิ้นอย่างไรทรงธรรมก็ไม่ยอมปล่อย

แสงเพ็งถึงกับทำอะไรไม่ถูก มองคนนั้นทีคนนี้ที ปากก็พร่ำว่า

“ไม่นะเจ้าคะคุณแส ดีฉันไม่ยอมลงนรก ดีฉันไม่อยากลงนรก!”

“ไปเถิดแม่แสง รีบไปให้พ้นจากตรงนี้เสียก่อน!”

ทรงธรรมยังตะโกนไล่ ขณะที่ตนถูกเหวี่ยงซ้ายขวาจนตัวโยน

แล้วร่างของหมอเกตุอาคมก็ก้าวถอย ผลักตัวเองให้แผ่นหลังกระแทกกับเสาต้นหนึ่งอย่างแรง

แน่นอนว่าทรงธรรมต้องรู้สึกเหมือนถูกกระแทกอัด จากก้อนศิลาหนาหนักทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทั้งจุกทั้งเจ็บ แม้จะยังควบคุมสติเอาไว้ได้ แต่เรียวแรงก็มลายหาย พอนายนิรยบาลขยับไปข้างหน้านิดเดียว ร่างเขาก็ร่วงผล็อย

“ไม่ว่าเราจะหนีไปที่ไหน ก็หลบท่านยมทูตไม่พ้นหรอกนะแม่แสง”

คุณแสพร่ำพูด น้ำตาอาบสองแก้ม เห็นชัดถึงชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น

พอร่างของหมอผีหนุ่มขยับกลับมาตั้งท่าร่ายเวทอาคมได้ใหม่ บ่วงยมทูตก็สำแดงเดชอีกครั้ง

แสงเพ็งซึ่งกระแสวิญญาณอ่อนกว่าคุณแส ถูกพลังดึงดูดรุนแรงจนตัวลอย

คุณแสรีบใช้ร่างของตัวเองเข้าบัง!

จนตนต้องถูกแรงดึงดูดนั้นเสียเอง

แสงเพ็งคว้ามือคุณแส ฉุดรั้งไว้เต็มที่ แต่ก็สุดที่จะต้านทาน แม้ทรงธรรมจะรวบรวมเรี่ยวแรงอีกเฮือก เข้ามาช่วยฉุดดึง แต่แรงดึงก็ยังพาให้ทุกคนค่อยๆ ลื่นไถลเข้าใกล้บ่วงยมทูต

ทรงธรรมลองใช้แรงดึงดูดนั้นให้เป็นประโยชน์ เป็นแรงส่งให้ตนเองโถมตัว พุ่งเข้าใส่ร่างคนที่ถูกผู้รักษากฎแห่งนรกภูมิสิงสู่อีกคำรบ

แม้กำลังดึงดูดจากบ่วงยมทูตจะบรรเทาลงนิดหนึ่ง แต่ร่างของชายหนุ่มรุ่นน้องก็ยังยืนนิ่งคล้ายไม่ได้ถูกทรงธรรมโถมเข้าใส่อย่างเต็มที่

คนตั้งใจจะทำร้ายร่างของหมอเกตุต่างหาก ที่เป็นฝ่ายกระดอนกลับ แต่เขาก็ยังไม่ถอดใจ พอเห็นว่าส่วนปลายเท้าของคุณแสกลืนหายเข้าไปในหมอกควันกลางบ่วงบาศ ทรงธรรมก็ไม่เสียเวลาคิดอะไรอื่น อะไรอยู่ใกล้มือก็ฉวยหมด ระดมทุบฟาดเข้าใส่ร่างของหมอผีหนุ่มอย่างไม่ยั้ง จนเก้าอี้หักพังไปหลายตัว โถแก้วแจกันเคลือบแหลกลาญไปหลายใบ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่สะทกสะท้าน

พอหมดสิ่งที่ฉวยได้ใกล้มือ ทรงธรรมก็ใช้ทั้งหมัดเท้าเข่าศอก ประเคนเข้าใส่ ทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี หมายจะหยุดยั้งเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ให้จงได้

“ปล่อยเถิด ปล่อยข้าเถิดแม่แส รีบหนีไปซะ รีบหนีไป”

“คุณแสเจ้าคะ ไม่นะเจ้าคะ อย่างทิ้งดีฉันไว้อย่างนี้”

ฝ่ายหนึ่งที่ถูกแรงดึงดูดให้เข้าสู่สัมปรายภพไปแล้วถึงครึ่งเข่า กับอีกฝ่ายหนึ่งที่พยายามฉุดรั้งอีกฝ่ายไว้อย่างเต็มที่ ต่างตนก็ต่างยังพร่ำบอกแก่กันอยู่ดังนั้น

ด้านทรงธรรมก็ยังไม่หยุดเตะต่อย จนในที่สุดหมัดหนึ่งก็ได้ผล เขายิงหมัดตรงเข้าใส่ลูกกระเดือก ทำให้ร่างของหนุ่มรุ่นน้องผงะหงาย

แล้วบ่วงยมทูตก็สิ้นฤทธิ์ มันร่วงลงกับพื้นทันที พร้อมกับท่าทางที่เหมือนหมดสติของร่างที่ถูกสิงสู่

ร่างของคุณแสก็ตกวูบลง เป็นอันว่าพ้นจากกระแสดูดวิญญาณไปได้แล้ว

แล้วก็มีดวงแสงวาวๆ เคลื่อนออกจากร่างที่นอนแผ่ พร้อมกับที่บ่วงเชือกนั่นลอยขึ้นช้าๆ

ก่อนจะหายไปทั้งแสงนั่นและบ่วงล่าวิญญาณ นายนิรยบาลยังทิ้งเสียงแค้นเคืองไว้ให้ได้ยิน

“หนีไม่พ้น! พวกเจ้าไม่มีวันหนีพ้น!!!”






*********************




นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2555, 09:13:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2555, 09:13:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1428





<< บทที่ ๑๗   บทที่ ๑๙ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account