ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 8 : เล่ห์ลวงหรือบ่วงรัก

รถตู้คันใหญ่เคลื่อนเข้ามาจอดเทียบตรงลานด้านหน้าเรือนไม้ประยุกต์ที่ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางพื้นที่ รอบด้านเรียงรายไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่เมื่อพิจารณาแล้วก็พอจะเดาได้ว่ามีอายุยืนมานานพอดู ทิวทัศน์อันงดงามโอบล้อมไปด้วยเนินเขาสลับกับทิวเขาซึ่งทอดตัวนอนยาวยังเบื้องหลัง มองไปแล้วให้ความรู้สึกเสมือนยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลาง ทั้งที่ความจริงแล้ว ณ จุดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของที่ราบระหว่างหุบเขาเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นภูมิทัศน์โดยรวมสามารถทำให้บรรดาแขกผู้มาเยือนรู้สึกทึ่งอยู่ไม่น้อย ใบไม้ขนาดใหญ่หนาปกคลุมให้ความร่มรื่น และทำให้อากาศรอบตัวเย็นสบายทั้งที่เป็นเวลาเที่ยงวัน รวมถึงสารพัดพรรณไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตามธรรมชาติลอยล่องมาตามลม แต่ละสิ่งล้วนแล้วแต่หาได้ยากในเขตเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร

“มากันแล้วหรือคะ สวัสดีค่ะคุณ เชิญค่ะ เชิญขึ้นบนเรือนกันก่อน” นางละม้าย แม่บ้านวัยกลางคนค่อนปลายเอ่ยทักทายพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปยังชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านาย ละเรื่อยไปยังอีกหลายคนที่ค่อยๆ ทะยอยกันลงมาจากพาหนะซึ่งใช้เดินทาง

“เป็นอย่างไรบ้างครับป้า ผมมัวแต่วุ่นอยู่กับงานที่กรุงเทพฯ พักหลังเลยไม่ค่อยมีเวลามาดูแลทางนี้” ผู้เป็นนายตอบ พลางก้าวเดินขึ้นบันไดไปยังชานบ้านกว้างโล่งโปร่งสบาย

“เรียบร้อยดีค่ะ อิฉันจัดการทำความสะอาดห้องพักรอไว้พร้อมตามที่คุณสั่งทุกอย่างแล้วล่ะค่ะ” นางรายงาน แล้วก้าวเดินนำเจ้านายและบรรดาแขกทั้งหลายตรงไปยังห้องรับแขกซึ่งตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย ทว่าบรรยากาศดูอบอุ่นสบายตา

“ขอบคุณครับป้า ครั้งนี้มากันหลายคน ป้าคงจะต้องเหนื่อยสักหน่อยนะครับ” ท่าทางเกรงอกเกรงใจจนชวนให้คิดว่าเป็นผู้อาศัย ตลอดจนการแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อบริวารของชายหนุ่มหาใช่เรื่องแปลกใหม่อันใดสำหรับนาง เพราะตลอดมาชายหนุ่มมักปฏิบัติดังนี้ทั้งต่อตัวนางและครอบครัวของนางซึ่งอาศัยอยู่ภายในอาณาบริเวณของไร่แห่งนี้จนเป็นปกตินิสัยเขาเขาไปแล้ว

“เหนื่อยอะไรกันคะ ตื่นเต้นดีใจละสิไม่ว่า นาน ๆ คุณถึงจะพาคนมาเที่ยวที่ไร่นี่สักที คนมากกว่านี้อิฉันก็เต็มใจค่ะ จะว่าไปก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยด้วยซ้ำ ปกติก็มาดูแลทำความสะอาดที่นี่อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว คราวนี้ก็แค่ปัดกวาดเช็ดถูนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง” นางพูดพลางยิ้มพลาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดีและเต็มใจเป็นที่ยิ่ง

“ลุงมีละครับ ลุงมีไปไหน” ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวลงนั่งลงบนโต๊ะไม้สักตัวหนา สายตากวาดมองบนพื้นไม้ขัดมัน สะอาดสะอ้านบ่งบอกถึงการดูแลเป็นอย่างดี อดไม่ได้ที่จะนึกชมนางผู้เป็นแม่บ้านของเขา

“ยังอยู่ในไร่โน่นเลยค่ะ กว่าจะคุมคนงานใส่ปุ๋ยเสร็จก็คงจะบ่ายแก่ๆ แต่เดี๋ยวพอรู้ว่าคุณมาถึงแล้ว ก็คงออกมาสวัสดีคุณอยู่หรอกค่ะ” นางยิ้มพลางตอบพลาง กวาดตามองไปยังบรรดาแขกของเจ้านายหนุ่มที่ทยอยกันเดินตามเข้ามาภายในห้องรับแขก

“จริงสิ! ผมเกือบจะลืมแนะนำแขกของเราให้ป้ารู้จักไปเสียสนิทเลย คุณผู้หญิงท่านนี้คือคุณแพรครับป้า ส่วนเด็กสองคนนั่นเป็นลูกๆ ของเธอ ชื่อตัวไหมกับใบหม่อน คนนั้นชื่อเจ้าพีทเป็นเพื่อนรุ่นน้องผมเอง แล้วก็ท่านสุดท้ายนี่คือป้าบัว ขาดเหลืออะไรฝากป้าช่วยดูแลด้วยนะครับ” ชายหนุ่มไล่เรียงแนะนำไปตามลำดับ

“สวัสดีค่ะ เชิญคุณๆ นั่งพักกันให้สบายก่อนเถอะนะคะ อิฉันจะไปตามเด็กมาขนกระเป๋าให้ ว่าแต่...นี่ก็เลยเที่ยงมาพักใหญ่แล้ว หิวกันหรือยังคะ” ราวกับเพิ่งนึกได้ นางจึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดุจเดิม

“หิวสิครับป้า ผมมัวแต่ตื่นเต้นจะรีบพาพวกเด็กๆ มาเที่ยวไร่ ระหว่างทางเลยไม่ได้แวะทานอะไรที่ไหน ป้าเตรียมอะไรไว้บ้างครับ” ภูวิชเปลี่ยนท่าทางจากที่ทิ้งตัวนั่งในท่านั่งสบาย กลายเป็นกุลีกุจอขึ้นมาทันที

“หลายอย่างเชียวล่ะค่ะ พวกคุณนั่งพักรออยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า เดี๋ยวอิฉันจะให้เด็กลำเลียงอาหารมาตั้งโต๊ะ เรียบร้อยแล้วค่อยมาเชิญไปทานกันนะคะ รอสักครู่ค่ะ” นางกล่าวจบก็ให้หันหลังเดินกลับเข้าไปด้านในทันที

“บ้านน่าอยู่จังเลยนะครับพี่ภู ดูเรียบง่าย แต่สบายตาน่าอยู่สมกับเป็นบ้านเจ้าของบริษัทออกแบบจริง ๆ” พฤทธิ์ออกปากชมจากใจหลังจากกวาดตามองสำรวจจนทั่ว

“นั่นสิคะ แถมอากาศยังดีมากอีกด้วย ป้าชักจะติดใจแล้วสิ หายใจโล่งปอดทีแท้” นางบัวเอ่ยสำทับ ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าชอบ จะมากันบ่อย ๆ ก็ได้นะครับป้า ผมจะอาสาขับรถพามาให้เอง” เจ้าของบ้านรีบเอ่ยชวนด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด

“แพรว่าอย่าดีกว่าค่ะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก็เกรงใจท่านเจ้าของบ้านเขาจะแย่อยู่แล้ว”

หญิงสาวผู้ซึ่งพยายามสงวนถ้อยคำ พูดน้อยจนแทบจะนับคำได้มาตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง ในท้ายที่สุดแล้วก็อดรนทนฟังต่อไปไม่ไหว เอ่ยตัดบทอย่างจงใจปิดทางเดินหน้าของบุรุษหนุ่มคู่กรณี ไม่วายทิ้งท้ายเป็นเชิงค่อนขอด

“เกรงใจอะไรกันเล่าแพร เรามันก็คนกันเองแท้ ๆ จริงไหมลูกตัวไหม ใบหม่อน”

ภูวิชไม่เพียงไม่สนใจในคำพูดของเธอ มิหนำซ้ำยังฉวยโอกาสถือสนิท หันไปเรียกเสียงสนับสนุนเอากับพวกเด็กๆ ที่กำลังวิ่งวุ่นสนุกสนานกับการสำรวจไปทั่วบริเวณ ซึ่งก็พร้อมใจตอบเป็นเสียงเดียวกันราวกับนัด เป็นเหตุให้หญิงสาวเริ่มจะส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้เขาอยู่รำไรๆ หากว่านางบัวผู้เป็นพี่เลี้ยงของเด็กทั้งสอง มิได้จงใจเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนทั้งสองไปยังเหล่าเด็กน้อย

“ป้าว่า อย่ามัวแต่พูดกันอยู่เลยค่ะ เลยเที่ยงมาพักใหญ่แล้ว คุณหนูแฝดคงจะหิวกันแย่ อิฉันพาพวกเธอไปล้างไม้ล้างมือก่อนดีกว่า ห้องน้ำไปทางไหนคะคุณภู”

“อยู่ทางปีกซ้ายครับป้า เดี๋ยวผมนำทางไปให้เองดีกว่า ไปเถอะลูก ไปล้างมือกัน” หนุ่มเจ้าของบ้านขันอาสา ละสายตาที่กำลังจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของหญิงสาวไปยังพวกเด็ก ๆ ชักชวนแล้วลุกเดินพากันไปยังห้องน้ำที่ตั้งอยู่ยังอีกฟากหนึ่งของตัวเรือนอย่างไม่รอช้า

“เชอะ! ทำมาเป็นเรียกลูก ฝันไปเถอะย่ะ!” ณิชญาฎาแค่นเสียงมองตามหลังเขาไปอย่างขัดใจ

“ไม่เอาน่า แพร!” พฤทธิ์ออกโรงปรามน้ำเสียงเรียบ

“ก็มันชักจะทนไม่ไหวแล้วนี่พีท คนอะไรหน้าด้าน แถมยังขี้ตู่ไม่มีสิ้นสุด” เธอหันมาบ่นเสียงขรม พ่วงก่นด่าเขาเอากับเพื่อนหนุ่ม ใบหน้าสวยก่ำแดงเพราะฉิวโกรธ

“ใจเย็นเอาไว้ก่อนเถอะ ให้อย่างไรแพรก็ต้องอนทน ขืนแพรลุกขึ้นมาโวยวายตอนนี้ มันมีแต่จะเสียเปรียบ อีกอย่าง พีทก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรที่เลวร้ายเลย”

พฤทธิ์ยกมือขึ้นวางบนไหล่เธออย่างให้กำลังใจ พร้อมกับให้ความเห็นอย่างของคนที่กำลังมองดูเหตุการณ์จากภายนอก ที่มักจะวิเคราะห์และแยกแยะเหตุผลได้ดีกว่าคนที่ซึ่งคลุกอยู่วงในของปัญหาอย่างเธอ แต่ดูเหมือนเหตุผลทั้งหลายที่เขาพยายามจะหยิบยกขึ้นมาอธิบายจะไม่เข้าหูหญิงสาวเสาเสียเลย กลับกลายเป็นว่ายิ่งได้ฟังยิ่งพาให้เธอหัวเสียมากขึ้นไปกว่าเดิม

“ก็แล้วที่แพรต้องมาอึดอัดใจ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แบบนี้ มันเพราะใครกันล่ะ เขาทำกับแพรถึงขนาดนี้ พีทยังจะมาบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ” เสียงหวานย้อนถามกลับมาอย่างกระแทกกระทั้น เหตุเพราะความเครียดซึ่งสะสมมาเป็นเวลาหลายวัน อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ณิชญาฎาค่อย ๆ หลุดการควบคุมตัวเองลงไปทีละน้อย

“พีทเข้าใจความรู้สึกของแพรดี แต่ในเมื่อยังมีทางออก อย่างไรก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน”

“แพรจะต้องทนไปจนถึงเมื่อไหร่กัน เท่าที่ต้องคอยระแวดระวังอยู่ทุกวันนี้ มันก็ทำให้แพรแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วนะพีท”

“แต่ความจริงย่อมต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ ถึงไม่บอกวันนี้ แต่สักวันหนึ่งพวกเด็ก ๆ ก็ต้องรู้อยู่ดี ทำไมแพรไม่ลองหันมาใช้วิธีเผชิญหน้ากับความจริง บางทีมันอาจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้นะ”

“ไม่มีวัน ให้ตายแพรก็ไม่มีวันบอกให้ลูกรู้เด็ดขาด” ณิชญาฎาเชิดหน้าตอบ ด้วยสีหน้าที่พฤทธิ์มักจะแอบค่อนขอดในใจอยู่เสมอ ในอุปนิสัยอวดดื้อถือดีของเจ้าหล่อน

“ความลับไม่มีในโลก คำๆ นี้แพรน่าจะรู้ซึ้งดีที่สุด ขนาดแพรทำทุกวิถีทางเพื่อปิดบังเรื่องไว้ตั้งนาน เขายังอุตส่าห์รู้เข้าจนได้ แพรจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าสายสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขา มันจะไม่มีผลกระทบต่อจิตใจของพวกเด็กๆ ถ้าวันหน้าพวกเกิดแกสงสัยขึ้นมา แพรจะตอบลูกว่าอย่างไร”

“ก็ไม่เห็นว่าจะต้องตอบอะไรเลยนี่ พวกเขาเจอกันแค่ไม่กี่วัน อย่างมากก็เป็นได้แค่คนผ่านไปผ่านมาเท่านั้น อีกอย่างแพรไม่รอจนถึงวันนั้นแน่ เสร็จงานเมื่อไหร่ แพรจะพาพวกแกกลับไปอยู่ที่อเมริกา แล้วก็จะไม่กลับมาที่นี่อีก”

“แพร!” พฤทธิ์เอ่ยชื่อเธอเสียงเบาหวิว สีหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยกังวล ใจหายไม่น้อยกับสิ่งที่หญิงสาวเพิ่งจะบอกออกมาด้วยท่าทีอันมาดมั่น

เธอเบือนกลับมามองสบตากับเขาแล้วก็ให้เดาออกถึงความกังวลในสายตาของเพื่อนหนุ่ม จึงเอ่ยออกไปเป็นเชิงปลอบใจในอยู่ที “พีทล่ะก็ อย่าทำหน้าตาจริงจังอย่างนั้นสิจ๊ะ ทำอย่างกับว่าแพรไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนอย่างนั้นล่ะ”

“แพรจะลองทบทวนดูใหม่อีกสักครั้งไม่ได้หรือ?” พฤทธิ์กุมไหล่บอบบางทั้งสองข้างเอาไว้มั่น ย้ำถามอย่างต้องการเตือนให้เธอใช้สติไตร่ตรองมากกว่าที่เป็นอยู่

“พีทน่าจะรู้ดี ว่าอะไรที่แพรตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนใจ” ณิชญาฎายืนยันในหลักการของตนอีกครั้งโดยไม่จำเป็นต้องรั้งรอ

“ถ้าอย่างนั้น พีทก็จะไม่พูดอะไรอีก ขออย่างเดียว แพรอย่าหนีหายไปแบบครั้งนั้นเป็นพอ แค่นี้พีทก็พอใจแล้ว” ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ รู้ดีอยู่หรอกว่าต่อให้ถกเถียงกันไปก็ใช่ว่าจะเอาชนะความดื้อรั้นของเธอได้

“พูดอย่างกับว่าพีทไม่รู้จักทางไปบ้านแด๊ดกับมัมอย่างนั้นแหละ”

“ใครจะไปรู้ แพรอาจจะอุตริคิดหนีไปไหนไกล ๆ อีกก็ได้ พีทก็แค่พูดกันเอาไว้ก่อน ก็เท่านั้น...”

หญิงสาวได้ฟังให้นึกหมั่นไส้ในคำค่อนของเพื่อนหนุ่ม อดใจไม่ไหวส่งค้อนไปให้อย่างไม่จริงจัง ขณะที่คนฟังยิ้มรับออกจะโล่งใจอยู่ไม่น้อยที่อย่างน้อยเธอก็รับปากว่าจะไม่หนีหายไปจากเขา

“จ้า... พ่อคนรอบคอบ ว่าแต่ พีทต้องสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด ตกลงไหม”

“ข้อนั้นไม่ต้องห่วง แพรก็รู้ว่าพีทอยู่ข้างแพรเสมอ”

“เป็นอันว่าตกลง แต่แพรว่าเราหยุดพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ป้าบัวพาเจ้าแฝดไปล้างมือนานแล้ว แพรตามไปดูพวกแกหน่อยดีกว่า”

ณิชญาฎาพาร่างบางของตนออกจากห้องไปทางประตูที่ภูวิชบอกเอาไว้เมื่อครู่ พฤทธิ์มองตามแล้วได้แต่ถอนใจ เพราะไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนั้นก็คือความดื้อรั้นของหญิงสาวนั่นเอง

-------------------------------------------

โปรแกรมการท่องเที่ยวในในช่วงบ่ายผ่านไปด้วยการพาบรรดาแขกเข้าไปเยี่ยมชมไร่ดอกเบญจมาศซึ่งแม้จะมีการตัดดอกไปขายอยู่รายวัน ทว่าก็มีดอกใหม่ๆ ค่อยๆ ผลิบานรอการตัดเก็บไปขายรอบใหม่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั่วทั้งไร่จึงมีสีเหลืองลออ เกลื่อนกระจาย เรียกว่าแทบจะไม่มีช่องว่าง เรียกอาการตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าด ระคนไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง สนุกสนานจากเด็กน้อยทั้งสอง ได้เป็นอย่างดี

เวลาครึ่งวันนับจากช่วงเที่ยงหมดไปอย่างรวดเร็ว กับมื้อกลางวันและกิจกรรมท่องเที่ยวเยี่ยมชมแปลงดอกเบญจมาศกินเนื้อที่นับร้อยไร่ แม้ว่าแสงตะวันยามบ่ายจะแรงร้อน แต่ก็หาได้หยุดความเพลิดเพลินทั้งมวลของบรรดาแขกผู้เยี่ยมชมลงไปได้เลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าสนุกสนานกันเสียจนแทบจะลืมหิว มารู้ตัวอีกที ท้องของพวกเด็กๆ ก็เริ่มร้องเสียงดังโครกครากเป็นเชิงประท้วงเสียแล้ว อาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่ณิชญาฎา หญิงสาวผู้ซึ่งเมื่อแรกหาได้เต็มใจจะเดินทางเลย

ตะวันที่เริ่มจะคล้อยต่ำ บวกเข้ากับเสียงท้องร้องซึ่งแม้จะไม่ได้ดังมาก แต่พอจะก็เป็นสัญญาณเตือน เจ้าของบ้านหนุ่มว่าให้พาเหล่าผู้มาเยือนกลับไปยังบ้านพักได้แล้ว เพื่อที่ให้ทุกคนได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนและจัดการกับธุระส่วนตัว ก่อนที่กิจกรรมภาคค่ำจะเริ่ม ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุมรอบบริเวณอย่างรวดเร็วด้วยผืนม่านแห่งราตรีครอบครองทั่วผืนฟ้า กอปรกับเงาทะมึนของเหล่าต้นไม้ใหญ่ ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวมืดครึ้ม ค่อนข้างจะแตกต่างจากยามกลางวันอย่างเห็นได้ชัด

ขอนไม้ขนาดใหญ่ถูกนำมาวางเรียงไว้ตรงกลางลานหน้าชานเรือนรอเวลาถูกไฟสุมไล่ความหนาว และคอยหลอกล่อเหล่าแมลงกลางคืน อาหารคาวหวานหลากหลายชนิด รวมทั้งของสดสำหรับการปิ้งย่าง ถูกนำมาวางเรียงไว้เต็มพื้นที่ภายในซุ้มขนาดย่อม มากมายเสียจนคนที่เฝ้ายืนมองการลำเลียงอาหารจากในครัวออกมาอย่างนัทธีธร อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า คนแค่ไม่กี่คน จะกินของเหล่านี้เข้าไปอย่างไรหมด ต่อให้มีแขกพิเศษอย่างเขาตามมาสมทบอีกสักคนสองคนก็ตามที อย่าว่าแต่จะกินกันจนหมดเลย แค่ชิมทุกอย่างอย่างละนิด ยังไม่แน่ว่าชิมครบได้โดยไม่อิ่มจุกไปเสียก่อน

ด้านข้างซุ้มอาหารคือเตาถ่านขนาดใหญ่ ภายในบรรจุถ่านติดไฟสีแดงลุกโชนพร้อมสรรพ รอเวลาให้บรรดาแขกผู้มาเยือนลงมาจากเรือน เพื่อมารับประทานอาหารค่ำและสนุกร่วมกัน เนื่องจากติดภาระกิจในช่วงเช้า นัทธีธรกับหญิงสาวที่มาด้วยกันจึงไม่สามารถมาพร้อมคณะ และมาถึงไร่เมื่อช่วงเย็นเป็นคู่สุดท้าย ทว่ายามนี้เขากลับเป็นคนแรกที่ก้าวลงมาจากเรือน หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาทีหญิงสาวที่เดินทางมาพร้อมกับเขา จึงเดินตามลงมา ถือได้ว่าคราวนี้ว่าคนทั้งคู่ต่างก็ว่องไวกว่าใครในคณะเดินทาง

ร่างบางค่อนไปทางเล็กซึ่งตามปกติจะอยู่ในชุดกราวน์สีขาวสะอาดตา ยามอยู่ในชุดลำลองทะมัดทะแมงแบบนี้กลับยิ่งดูเล็กลงไปกว่าเดิมอีกถนัดใจ หญิงสาวเดินลงมาตามทางจากเชิงบันไดจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาที่กำลังเพ่งมองอย่างสำรวจตรวจตาจนคนถูกมองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดเขิน นัทธีธรกราดมองไปทั่วทั้งร่างของหญิงสาวแล้วให้ต้องอมยิ้ม แม่สาวหน้าเคร่งท่าทางสุขุมคนเดิมอันตรธานหายไปที่ไหนเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าภายใต้หน้ากากเย็นชาที่เธอสวมใส่อยู่เป็นประจำ แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนเอาเด็กสาวหน้าตาเกลี้ยงเกลา เจ้าของดวงตาแป๋วน่ารักคนนี้เอาไว้ได้อย่างมิดชิด

ทว่าตามอุปนิสัยส่วนตัวของคุณหมอหนุ่มเจ้าสำราญแบบเขาแล้ว ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะรั้งปากช่างเจรจาของตนไว้ไม่ให้เอ่ยแซวเธอออกไป ต่อให้สายตาที่กำลังจ้องมองดูเธอจะส่อแววไปทางกรุ้มกริ่มอย่างหวังผลก็ตามที

“อาบน้ำหรือว่าวิ่งผ่านน้ำกันแน่ครับคุณหมอ ทำไมมันถึงได้ไวนัก”

“อาหารยังไม่สุกดีหรือไงคะ ปากถึงได้ว่างงาน จนหาเรื่องมาแซวคนอื่นเขาแบบนี้”

วรรณรสาเขวี้ยงค้อน ย้อนประชดเสียงใส บุ้ยปากส่งไปยังทิศที่มีซุ้มอาหารตั้งอยู่ ดวงหน้านวลปรากฏยิ้มบาง ๆ ดูอารมณ์ดีแตกต่างจากเมื่อตอนนั่งอยู่ในรถตลอดการเดินทางช่วงขามา ที่เจ้าตัวเอาแต่นั่งนิ่งทำหน้าเฉยราวกับรูปปั้น

“คุณพระช่วย! นี่คุณหมอยิ้มเป็นด้วยหรือครับ ผมนึกว่าจะทำเป็นแต่หน้าบึ้งอย่างเดียวเสียอีก”

หนุ่มทะเล้นแสร้งทำท่าตกใจ ร้องโวยวายเสียงหลงจนเจ้าของดวงหน้าเนียนใสต้องหันกลับมาจ้องราวกับจะเอาเรื่อง ทว่านัยน์ตาหวานกลมใสกลับขัดกับสีหน้าของเธออย่างจัง นัทธีธรบังเอิญจ้องลงไปแล้วให้เกิดอาการไหววาบในใจชนิดหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าเจ้าตัวเองจะพอรู้ถึงสาเหตุ แต่ก็ไม่วายให้ต้องสะดุดไปชั่วแวบหนึ่งเสียทุกครั้ง ที่ให้บังเอิญสบสายตาเข้ากับเจ้าหล่อน และก็ดูเหมือนว่าเธอเองพอจะดูออก แต่ถึงอย่างไรเท่าที่เธอทำได้ก็เป็นแต่เพียงแค่เฉไฉ แสร้งว่าเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้แบบขอไปทีเสียทุกครั้งไปก็เท่านั้น

“เดี๋ยวเถอะนะคุณ พอพูดด้วยเข้าหน่อย เลยชักจะเอาใหญ่ใช่ไหม?”

“เอ๊ย! ผมเปล่านะ ทำไมต้องทำหน้าตาดุขนาดนี้ด้วยเล่า เอาแต่ทำตาดุแบบนี้ ระวังจะไม่มีใครกล้าไปสู่ขอนะครับ คุณหมอคนสวย” คนหน้าเป็นยังไม่วายต่อล้อต่อเถียง ถึงจะเรียกสติกลับมาจากอาการชะงักงันได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากถอนสายตาจากนัยน์ตาวาวหวานคู่นั้นอยู่ดี

วรรณรสาพยายามเบือนหน้าหนี แต่กลับกลายเป็นว่าเสี้ยวหน้านวลใสหันไปรับกับแสงไฟสีส้มอ่อนนวลตาที่สาดส่องจากชานเรือนเข้าอย่างพอดิบพอดี

“ยังไม่ยอมหยุดใช่ไหม เลิกทำทำทะเล้นไปเลยนะ ฉันหิวแล้ว นำทางไปเสียทีสิ” เจ้าของร่างเล็กบอบบางออกปากห้ามเขาดังเอี๊ยด เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่กำลังจ้องจะต่อล้อต่อเถียงฟังแล้วอยากจะเอาหัวทิ่มโคลนตาย

“เฮ้อ! ให้มันได้อย่างนี้ทุกทีสิน่า!!! ก็ได้ครับ เชิญตามผมมาทางนี้เลยครับคุณผู้หญิง” นัทธีธรบ่นกระปอดกระแปดอย่างแสนเสียดาย ไม่วายทำท่าทางทะเล้นแบบเดิม เริ่มออกเดินนำพาหญิงสาวไปยังซุ้มอาหาร ซึ่งมีนางผู้เป็นแม่บ้านของภูวิชเพื่อนหนุ่มเจ้าของสถานที่พร้อมกับเด็กรับใช้อีกสองคนยืนรออยู่แล้ว

“มีอะไรให้ช่วยบ้างคะ” คุณหมอสาวส่งยิ้มชวนประทับใจ และเอ่ยถามอย่างไม่เจาะจงว่าถามใคร หมดความสนใจในท่าทางอันแสนจะทะลึ่งตึงตังของนัทธีธรลงไปในเกือบจะทันทีที่เขาและเธอเดินมาถึงซุ้ม

“คงไม่มีหรอกมั้งคุณ แต่ถ้าคุณอยากจะแย่งงานป้าละม้ายแกทำละก็... นี่เลย!!! มีแต่พวกปิ้ง ๆ ย่าง ๆ พวกนี้เท่านั้นแหละ อาหารอย่างอื่นๆ น่ะ แค่ใส่ปากเคี้ยวแล้วกลืน แค่นั้นเป็นใช้ได้”

“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไงนะ บอกว่าให้เลิกพูดทะเล้นได้แล้ว ไม่ได้ยินหรือไง เดี๋ยวปั๊ด....” คุณหมอหน้าใสจัดแจงทำท่าว่าจะเงื้อมือจะฟาดเผียะไปยังลำแขนของล่ำสันของคนข้างๆ ทว่ายังไม่ทันจะโดน เจ้าตัวกลับร้องเสียงร้องโอดเกินจริงขึ้นมาทันควัน ทำเอาทุกคนในที่นั้นพากันหัวเราะครืนๆ

“ร้องอะไรกันขนาดนั้นคะคุณนัท คุณหมอเธอยังไม่ทันได้ทำอะไรคุณเลยนะคะ” นางละม้ายพูดพลางหัวเราะพลาง น้ำหูน้ำตาแทบไหล

“คนช่างสำออย อย่าไปถือสาเลยค่ะป้า ปากคีบอยู่ไหนคะ เดี๋ยวหนูช่วยเผากุ้งให้ค่ะ” วรรณรสาค่อนว่าไม่มองหน้า พลางสอดส่ายสายตามองหาของที่เธอเพิ่งจะถามหา

“หนู!!! หนูหรือแมวกันแน่ครับคุณหมอ ตัวโตขนาดนี้ แถมดุอีกต่างหาก เผลอๆ จะเป็นเสือเสียละไม่ว่า” หนุ่มทะเล้นทำท่าทางราวกับเพิ่งจะได้ยินเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตก็ไม่ปาน

“ดูพูดเข้าสิคะ ต่อให้คุณหมอเธอเป็นเสือ ยังไงก็ต้องคอยระวังพ่อเสือลายพาดกลอนแบบคุณอยู่ดีล่ะค่ะคุณนัท” คราวนี้ถึงทีนางละม้ายออกโรงเถียงแทนคุณหมอสาว ขยิบตาบอกใบ้มายังเขาเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มจะตาเขียวเพราะความที่ถูกยั่วโมโหไม่เลิก

“อ้าว แล้วกันสิป้า ไหงมาหันหัวเรือกลับ เปลี่ยนไปเข้าข้างคุณหมอเธอเสียอย่างนั้น ไหนป้ารับปากกับผม ว่าจะช่วยผมจนกว่าจะจีบคุณหมอเธอสำเร็จไง” นัทธีธรเห็นท่าไม่ดีรีบเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปต่อล้อต่อเถียงกับคุณป้าแม่บ้านแทนเกือบจะทันที

“ตายจริงคุณนัท พูดออกมาได้ อย่าไปฟังนะคะคุณหมอ ป้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทั้งนั่นล่ะค่ะ” นางแสร้งตบอก ร้องปฏิเสธลั่นจนเสียงหลง นัยน์ตากลับยิ้มพราวด้วยความขันในวิธีการกะล่อนบอกรักสาวของคุณหมอหนุ่มรูปงามตรงหน้า สายตานางพลันเหลือบไปเห็นภูวิชที่กำลังเดินตรงมายังซุ้มอาหารเข้าพอดี

“คุณภูมาพอดี มาค่ะ มาช่วยป้ากับคุณหมอเธอหน่อย วันนี้คุณนัทเธอเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เกเรเอาเรื่องจนป้าเวียนหัวไปหมดแล้วค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้นวะไอ้เสือ ทุกทีเห็นแกกับป้าละม้ายเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไหงวันนี้ เกิดนอกใจแกขึ้นมาเสียได้เล่า?” ภูวิชแม้เพิ่งจะมาถึง แต่ดูจากสีหน้าและอาการของเพื่อนรักกับคุณหมอสาวโจทก์เก่าของรพีพัฒน์หนึ่งในเพื่อนสนิทร่วมแกงค์แล้วก็พอจะเดาเรื่องราวออกได้เกินกว่าครึ่ง

“ก็นั่นน่ะสิวะ! เมื่อกี้ก็ยังว่าอยู่ว่า...”

“อ๊ะๆ พูดให้ดีนะคะคุณนัท อย่ามากล่าวหากันง่ายๆ แบบนี้ ป้าไม่รู้เรื่องอะไรกับคุณด้วยสักหน่อย” นัทธีธรที่กำลังจะอ้าปากเล่า พลันหยุดชะงัก เมื่อคู่กรณีคนใหม่พูดขัดขึ้น ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะแหะๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียราวกับเด็กที่โดนขัดใจ

“เฮ้อ! นี่ละนะ... โบราณเขาถึงได้ว่าไว้ สามวันจากนารีเป็นอื่น” ปากพูดกับนางละม้าย แต่สายตากลับทอดมองไปยังวรรณรสาที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเผากุ้งเผาปูต่อไปอย่างไม่คิดจะเงยหน้า หรือแม้แต่จะต่อปากต่อคำกับเขาเหมือนเมื่อแรก

“โอย! ป้าจะเป็นลม คุณภูคะ ป้ารบกวนหน่อย คุณภูช่วยพาพ่อคนเจ้าคารมคนนี้ไปนั่งไกลๆ ป้าทีค่ะ ขืนฟังเธอพูดจาต่อไป ป้าจะพานเวียนหัว เป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน” นางละม้ายทำทีเป็นร้องขอความช่วยเหลือ จากเจ้านายหนุ่ม หาใช่เพราะว่านางเคืองคุณหมอรูปงามคนโปรดของนางแต่อย่างใด แต่การจะพูดชื่นชมให้ท้ายใครสักคนทั้งที่อยู่ต่อหน้าเจ้าตัว เห็นทีจะไม่เหมาะ ดีไม่ดี จะพานถูกหมั่นไส้ เอาโดยไม่รู้ตัวแทนเสียล่ะไม่ว่า

“ได้เลยครับป้า ไปเว้ยเจ้านัท ไปหาอะไรดื่มกันทางโน้นดีกว่า สาวๆ แถวนี้เขาเบื่อหน้าแกจะแย่แล้ว ยังมายืนทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยอยู่ได้สิน่า” เจ้าของไร่ทำทีเป็นรับมุขจัดแจงลากเพื่อนรักออกไปจากวงสนทนา

“อะไรวะ! ฉันยังไม่ได้ทันได้พูดว่าอะไรใครเลยนะเว้ย... รอผมเดี๋ยวเดียวนะครับคุณหมอ อย่าเพิ่งหนีไปไหน เดี๋ยวผมกลับมา ผมไปแป๊บเดียวเท่านั้นเอง นะครับคุณหมอคนดี....”

หลังจากหันไปโวยวายเอากับเพื่อนรักแล้ว นัทธีธรก็หันไปทำตาละห้อย พูดจาสั่งเสียกับคุณหมอสาวราวกับว่าเขากำลังจะจากไปไหนไกลๆ ทำเอาคุณหมอคนงามที่กำลังตั้งใจฟัง ถึงกับปล่อยหัวเราะคิกอย่างห้ามไม่อยู่ พอได้เห็นรอยยิ้มจากเธอ เขาก็โล่งใจ ยอมหันหลังเดินไปตามแรงลากของเพื่อนแต่โดยดี หลังจากนั้นไม่นานมหกรรมกามเทพแผลงศรของนางละม้ายจึงเริ่มต้น กระทั่งณิชญาฎา กับแขกคนอื่นเข้ามาร่วมวง หัวข้อสนทนาก็ยังคงดำเนินไปดังเดิม

ทุกๆ คนได้แค่ฟังแล้วก็ได้แต่เออๆ ออๆ หรืออย่างน้อยก็อมยิ้มอย่างนึกขันไปวิธีการในการเชียร์แขกของนางละม้าย จะมีก็แต่พฤทธิ์เท่านั้นที่คอยเออออห่อหมก พูดเสริมไปกับนาง เป็นอันว่ากลยุทธ์ของนัทธีธรในครั้งนี้นับว่าได้ผลชนิดที่ เรียกว่า ‘ได้พวกดีมีชัยไปกว่าครึ่ง’ ฉันท์ใดฉันท์นั้น

---------------------------------------------------

สองหนุ่มผู้ซึ่งโดนผลักไสออกมาจากกลุ่มเมื่อสักพักใหญ่ๆ ที่ผ่านมา พากันแยกมานั่งดื่ม และพูดคุยกันลำพังตรงด้านมุมระเบียงของชานเรือน ทว่าบ่อยครั้งที่ต้องหันไปตามเสียงหัวเราะครืนๆ ที่แว่วมาตามสายลมซึ่งดังมาจากบรรดาแขกที่พากันเข้ามาล้อมวงเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสนุกสนาน ภาพของวงสนทนาที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติยังเบื้องหน้า เรียกรอยยิ้มของนัทธีธรออกมาอย่างเต็มที่ จนภูวิชอดไม่ได้จริงๆ ที่จะออกปากแซวเพื่อนรัก

“หุบยิ้มได้แล้วแก เหงือกแห้งจนจะแข็งหมดแล้ว”

“ไม่ต้องมาทำเป็นแซวเลยไอ้ภู ไอ้ความรู้สึกแบบนี้เนี่ยนะ ถ้าไม่เจอกับตัวแกไม่มีทางเข้าใจหรอกเว้ย” นัทธีธรโต้ตอบเพื่อน ทั้งที่ตายังจ้องมองไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปจากจุดเดิม

“จะว่าไป คุณหมออะไรนั่นเธอก็ดูน่ารักดีนะ เห็นแล้วชักจะเสียดายแทนเจ้าพีมันขึ้นมาตงิดๆ ว่ะ” คำปรารภเป็นเชิงกระเซ้าของภูวิชพาเอานัทธีธรถึงกับยิ้มค้างหันกลับมาทำทำตาขุ่นใส่เขาอย่างช่วยไม่ได้

“ทำเป็นพูดดีไป เดี๋ยวก็อัดเทปเก็บเสียงเอาไปฟ้องคุณเกดเธอให้เสียหรอก ระวังให้ดีเถอะวะ เกิดเธอรู้ขึ้นมาว่าแกพูดแมวๆ แบบนี้ มีหวังได้เข้าหน้าเธอไม่ติดกันเป็นแถบๆ โทษฐานที่ไปเผาเรือนของเธอ”

“ฮี่โธ่! ทำมาเป็นพูดจากลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่อง กลัวจะจีบคุณหนูหน้าใสนั่นไม่ติดละสิ ฉันรู้ทันแกหรอกนะเว้ยไอ้หมอนัท”

“ไม่ต้องมาทำเป็นเดาสุ่มเลยไอ้หมาภู แกน่ะเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะวะ ดูจากท่าทางคุณแพรเธอแล้ว เอาเรื่องไม่น้อยเลยนี่หว่า” หมอหนุ่มรูปงามวกกลับเข้ามาหาหัวข้อเรื่องที่นับว่าเป็นหนามแหลมทิ่มแทงใจคนฟังให้ต้องปวดแปลบขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน

“เฮ้อ! นั่นสิ ไอ้เราหรือพยายามทำดีด้วยทุกอย่าง ไหงเจ้าหล่อนกลับมองไปในแง่ร้ายเสียหมดก็ไม่รู้” ภูวิชถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในมือถือแก้วใส ภายในบรรจุน้ำสีเหลืองอำพัน เหวี่ยงไปมาเบาๆ และยกขึ้นจิบหลังจากได้พูดถึงปัญหาหนักอกของตน

“อย่าคิดมากไปเลยเพื่อน ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา จะไปหักหาญเอาชนะคงไม่ได้ แกต้องพยายามพิสูจน์ความจริงใจให้เธอได้รู้รับรู้ ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องใจอ่อนกับแกเข้าสักวัน” นัทธีธรพยายามปลอบใจเพื่อนที่แสดงออกชัดแจ้งว่ากำลังทดท้ออย่างรุนแรง อีกทั้งงัดหาเหตุผลนานามาประกอบ เผื่อว่าจะช่วยให้ทุกข์ในใจของเพื่อนรักจะทุเลาเบาบางลงไปบ้าง

“ดื้อรั้นขนาดนั้น จะไปยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ ขนาดฟังยังไม่ยอมฟัง เอะอะอะไรก็จะหอบลูกหนีท่าเดียว”

ชายหนุ่มพูดจาด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน ทั้งสีหน้า แววตา และคำพูดของภูวิชบอกชัดว่าไม่อาจคลายความกังวล

“นั่นมันเพราะว่าเธอกำลังกลัวต่างหากเล่า เธอกลัวว่าแกจะมาพรากลูกไปจากเธอเท่านั้นเอง ลองสมมติดูสิว่าถ้านายเป็นเธอ แล้วนายจะรู้สึกอย่างไร” นัทธีธรแสดงทัศนะอย่างคนที่เข้าใจในความรู้สึกหวั่นเกรง แบบเดียวกับที่ณิชญาฎากำลังเผชิญอยู่ โดยส่วนตัวแล้วเขาเองก็เห็นใจเพื่อนรักอยู่ไม่น้อย

“แต่เด็กสองคนนั่นก็ลูกฉันเหมือนกัน ถึงพวกแกจะเกิดมาเพราะความผิดพลาด แต่ฉันก็ควรจะมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ว่าฉันเองมีลูก แล้วพวกแกเองก็ควรจะรู้ว่าฉันเป็นพ่อของพวกแก”

“นั่นมันก็ใช่ แต่ถ้าแกลองคิดทบทวนดูให้ดีๆ ตอนนั้นคุณแพรเธอยังอายุน้อย เธออาจจะไม่ทันได้คิดอย่างที่แกกำลังคิดอยู่ตอนนี้ก็ได้”

นัทธีธรต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในอันที่จะอธิบายถึงเหตุและผล ที่น่าจะช่วยทำให้เพื่อนของเขาใจเย็นลงมาบ้าง แต่ให้อย่างว่า คนเราเมื่อผงเข้าตาเสียแล้ว ก็ยากที่จะเขี่ยออก ต่อให้มีคนมาช่วยเขี่ย หากเจ้าตัวไม่ยอมเปิดตา ไหนเลยผงนั้นจะถูกเขี่ยให้หลุดร่วงออกมาจากดวงตาได้

“ก็แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ทำไมยังคิดจะหอบลูกหนีฉันไปอีก”

“แกหมายความว่ายังไงที่ว่า เธอคิดจะหอบลูกหนี”

“เมื่อกลางวันฉันบังเอิญไปได้ยินตอนที่เธอกำลังคุยกับเจ้าพีท แพรบอกว่าเสร็จงานแล้วเธอจะพาพวกเด็กๆ กลับไปอยู่ที่อเมริกา อเมริกานะเว้ยนัท กว้างใหญ่ เสียขนาดนั้น แล้วก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เลยด้วย ไม่รู้เขาคิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ไง ให้ตายสิ! ผู้หญิงอะไร ใจร้ายจริงๆ”

ภูวิชถ่ายทอดถึงเหตุการณ์ที่ตนบังเอิญไปได้ยินมาเมื่อช่วงกลางวันอย่างฉุนเฉียว พูดพลางสบถพลาง มิหนำซ้ำยังค่อนว่าเธอลับหลัง ทั้งที่ตามปกติแล้ว นั่นไม่ใช่อุปนิสัยของเขาเลยสักนิด ชายหนุ่มหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างปรารถนาจะระบายความอัดอั้นใจที่มีแต่จะฝังรากแน่นขึ้นทุกวัน กระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นจึงเริ่มพูดต่ออย่างมึนๆ เล็กน้อย

“จะว่าไปแล้วมันก็น่าอยู่หรอกที่เธอกลัว ในเมื่อแพรเองที่เป็นคนทำผิด ผิดแต่แรก ที่ไม่ยอมบอกฉัน มิหนำซ้ำยังอุ้มท้องหนีไปอยู่ไกลถึงอเมริกา แล้วใครหน้าไหนมันจะไปตรัสรู้ได้เล่า”

“ก็แล้วถ้าตอนนั้นเธอตัดสินใจบอก แล้วแกเกิดใจร้ายบอกให้เธอทำลายเด็กทิ้งเสีย แบบนั้นเธอจะมิยิ่งแย่ไปกว่าเดิมหรอกหรือ แกเคยคิดถึงใจเธอบ้างหรือเปล่า เป็นใครก็ต้องกลัวทั้งนั้นแหละ” นัทธีธรเหลืออดกับอาการวิตกจริตของเพื่อน อดไม่ได้ที่จะแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ออกจะมีอารมณ์อยู่บ้าง

“นี่แกเห็นว่าฉันใจยักษ์ใจมารขนาดนั้นเลยหรือไงวะ ถึงดูจะเข้าอกเข้าใจกันเสียเหลือเกิน สรุปว่าแกเป็นพวกใครกันแน่ หา! เจ้านัท” คงเป็นเพราะว่าเขาท้องว่าง ดังนั้นเมื่อดื่มเหล้าไปหลายๆ แก้ว อาการมึนจึงมาเร็วกว่าปกติ อารมณ์พาลที่ภูวิชกำลังเป็นนี้ อาจมีผลมาจากฤทธิ์ของสุราร่วมอยู่ด้วยก็เป็นได้

“เฮ้อ! ไอ้ภูเอ๋ย ชักจะพาลหนักแล้วนะแก ฉันอยู่ข้างความถูกต้องเว้ย แกเองก็น่าจะรู้ดีว่า สำหรับฉันความถูกต้องย่อมมาก่อนเสมอ ฉันจะเตือนแกไว้ด้วยความหวังดี ว่าถ้ายิ่งขืนแกรุกไล่คุณแพรเธอหนัก มันก็จะยิ่งทำให้เธอต้องดิ้นหนี แล้วถ้าแกมัวแต่ท่ามากทำให้เธอไม่ไว้ใจ ก็เตรียมทำใจรอไว้ได้เลย ไอ้เรื่องที่แกบอกฉันเมื่อกี้มันต้องเกิดขึ้นแหงๆ”

ผู้พูดไม่ได้พยายามคมขู่หรือทำตัวเป็นนักพยากรณ์ เขาเพียงแค่พูดจากสิ่งที่ประมวลได้ตามสถานการณ์ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงตามนิสัยของณิชญาฎาอย่างยิ่ง ชนิดที่ทำให้คนฟังฟังแล้วใจหาย ได้แต่เก็บเอาไปคิดและทบทวนต่อด้วยตัวเอง ถึงกระนั้นภูวิชก็ยังไม่วายแค่นเสียงต่อคำจนนัทธีธรได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“ฉันไม่ยอมให้แพรทำอย่างนั้นเด็ดขาด ต่อให้ถ้าเธอเกิดบ้าทำขึ้นมาจริงๆ ฉันก็จะตามหา ต่อให้เธอหนีไปไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว ฉันก็จะตามหาจนกว่าจะเจอ”

“เอาเถอะๆ เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันต่อวันหลังดีกว่า ตอนนี้ฉันว่าแกหยุดดื่มก่อนเถอะ ตะบันดื่มทั้งที่ท้องว่างแบบนี้ เดี๋ยวก็เมาตายกันพอดี ไปหาอะไรกินรองท้องกันก่อนดีกว่า อีกอย่างฉันปล่อยให้พวกนั้นคุยกันตามใจชอบมาตั้งนานแล้ว ป่านนี้เจ้าพีทมันช่วยป้าละม้ายผสมโรงเผากระดูกฉันจนป่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้” พูดจบเขาก็จัดการกึ่งลากกึ่งจูงเพื่อนหนุ่มเจ้าของไร่เดินมุ่งหน้ากลับเข้าไปรวมกลุ่ม ดูเหมือนว่าภาพการณ์จะกลับกันกับเมื่อตอนขามา ที่ตัวเขาเป็นคนที่ถูกลาก

นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ทั้งสองหนุ่มเข้ามาร่วมวงสมทบ หลายต่อหลายครั้งที่ณิชญาฎาให้บังเอิญหันไปสบเข้ากับสองตาคมของภูวิช ที่เอาแต่จับจ้องมองมายังเธอ ชนิดที่เรียกว่าแทบจะไม่วางตา แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดจาอะไรกับใครมากมาย แต่กลับสร้างความประหวั่นพรั่นใจให้กับหญิงสาวอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งผ่านช่วงเวลาดึกมาได้เล็กน้อย เด็กทั้งสองเริ่มทำตาปรอย เธอผู้เป็นมารดาจึงฉวยโอกาส ขอตัวพาพวกเด็กๆ ไปเข้านอน เรียกว่าหลีกเลี่ยงบรรยากาศน่าอึดอัด ไปได้อย่างหวุดหวิด พาให้โล่งใจในทันทีที่พ้นจากวงสนทนาวงนั้น

------------------------------------------

การพูดคุยจากภายนอกเงียบลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ณิชญาฎาเองก็ไม่ทันได้สังเกต หลังจากรับหน้าที่พาเด็กๆ เข้ามานอนยังห้องนอนที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมไว้ให้เธอกับลูกๆ แล้ว หญิงสาวไม่ได้กลับออกไปที่วงสนทนานั่นอีก ไม่คิดจะก้าวเท้าออกจากอาณาเขตของห้องนอนเสียด้วยซ้ำ แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ชั่วโมง เธอกลับไร้ซึ่งอาการง่วงงุนอย่างที่ควรจะเป็น เป็นไปได้มากว่าความตึงเครียดที่ได้รับมาเมื่อช่วงค่ำส่งผลกระทบจนทำให้เธอไม่อาจข่มตาหลับลงได้

ร่างบางขยับกายหันไปกระชับผ้าห่มให้กับเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะก้าวเท้าลงจากเตียง แล้ว ค่อยย่องไปเปิดประตูยื่นหน้าออกไปสำรวจซ้ายขวา เพื่อให้แน่ใจว่าคนอื่นๆ พากันเข้านอนไปหมดแล้ว ครั้นไม่เห็นว่าประตูห้องทุกห้องปิดนิ่งเงียบสนิท มีใครเหลืออยู่ด้านนอกแล้วจริงๆ เธอจึงค่อยก้าวออกจากห้องมาอย่างสบายใจ

อากาศที่บนระเบียงชานเรือนออกจะเย็นอยู่ไม่น้อย ทว่าก็รู้สึกได้ดียิ่งถึงความบริสุทธิ์สดชื่นยามสูดลมหายเข้าไปในปอดลึกๆ ณิชญาฎาเดินต่อไปจนถึงขอบระเบียง แหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า แม้จะเป็นคืนเดือนมืดอันไร้แสงจันทร์สาดส่อง แต่กลับเป็นโอกาสอันดีของหมู่ดาวดวงเล็กดวงน้อย ให้พากันส่องแสงเป็นประกายวิบวับท้าทายสายตาเธออย่างน่าทึ่ง ปรากฏเป็นรอยยิ้มงามเด่นบนดวงหน้าเนียนเรียบของหญิงสาวได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ณิชญาฎาเกาะระเบียงแหงนมองภาพตรงหน้าอยู่พักใหญ่ ความเย็นจากบรรยากาศโอบล้อมอยู่รอบๆ กาย ผสานกับน้ำค้างที่ค่อนข้างแรงของยามดึก ส่งให้ร่างบางออกจะหนาวสั่นอยู่ไม่น้อย แต่สมองกลับโล่งโปร่งใสขึ้นเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดจึงคิดได้ว่าสมควรแก่เวลานอน เธอจึงส่งยิ้มให้กับท้องฟ้าแทนการขอบคุณ หันหลังหมายใจจะเดินกลับเข้าไปยังตัวเรือน สายตาของเธอพลันไปกระทบเข้ากับร่างๆ หนึ่ง ณ มุมระเบียง

ชายผู้นั้นมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น เธอเองก็ไม่อาจรู้ แต่ดูจากสภาพสิ่งของที่วางอยู่ตรงนั้นแล้วก็ชวนให้เชื่อได้ว่าเขาน่าจะนั่งอยู่ ณ ที่ตรงนี้อยู่ก่อนที่เธอออกมายืนสูดอากาศเสียด้วยซ้ำ

“นอนไม่หลับหรือ” ภูวิชเป็นฝ่ายส่งเสียงทักทำลายความเงียบและบรรยากาศอึมครึมรอบตัวขึ้นมาก่อน ทว่าไร้ซึ่งเสียงตอบใดๆ จากหญิงสาวผู้ถูกทัก จะมีก็แต่อาการกลั้นหายสูดลมหายใจอย่างสุดลึกสู่ปอด แล้วพยายามผ่อนระบายออกมาอย่างแผ่วเบาที่สุด

“ช่วยอยู่คุยเป็นเพื่อนพี่อีกสักเดี๋ยวจะได้ไหม” ชายหนุ่มออกปากร้องขอเวลาจากเธอโดยไม่ยอมทิ้งช่วง

ริมฝีปากบางของณิชญาฎายังคงเม้มขบกันไว้จนแน่น ราวกับเกรงว่าตนจะปล่อยให้เสียงเล็ดรอดออกมาก็ไม่ปาน

“ระหว่างเรา การจะพูดจากันดีๆ สักครั้ง มันยากเย็นขนาดนั้นเลยเหรอ?” ภูวิชวางแก้วของเหลวสีอำพันในมือลง ลุกจากที่เดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ณิชญาฎาที่เอาแต่ยื่นทำหน้านิ่งขึงตึงอยู่ดุจเดิม

“ว่าไงเล่าแพร พูดกับพี่ดีๆ สักครั้งได้ไหม? จะคิดว่าพี่ขอร้องก็ได้?” เขามองสบลงไปในตาเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ฟังดูนุ่มนวล ชวนให้น่าสงสาร หากว่าคนที่ยืนฟังอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เธอที่เป็นคู่กรณีกับเขามาก่อนเก่า ป่านนี้คงจะใจอ่อนยวบยาบไปแล้ว

“นี่มันดึกมากแล้ว ถ้ามีอะไร เอาไว้เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้จะดีกว่า” เธอพยายามเบือนหน้าหลบสายตา และบอกปัด ทำท่าว่าจะเบี่ยงตัวเดินหนีกลับเข้าข้างในอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อหลายนาทีก่อน

“อย่าเพิ่งไปสิแพร รู้ไหมว่าพี่นั่งรอแพรอยู่นานเท่าไหร่แล้ว”

ชายหนุ่มเอื้อมคว้าข้อมือบางรั้งเธอเอาไว้ แม้ว่าไม่ได้ออกแรงอะไรมาก แต่ก็สามารถหยุดการเดินของหญิงสาวเอาไว้ได้ ณิชญาฎาหันไปมองยังมือหนาที่กำลังเกาะกุมข้อมือของเธอไว้ ทำตาดุเหลือบขึ้นสบสบกับสายตาคมเข้มเป็นเชิงเตือน ทว่าภูวิชกลับไม่แม้แต่จะสนใจ มิหนำซ้ำยังเลื่อนลงมากุมมือเธอไว้เสียจนแน่นหนายิ่งกว่าเดิม

“รอแพร? จะรอทำไม พี่ภูปล่อยมือแพรนะคะ” เธอย้อนถาม สีหน้าฉงนระคนสงสัย พยายามขืนบิดข้อมือให้พ้นจากการเกาะกุมแต่ไม่เป็นผล

“ไม่ปล่อย จนกว่าแพรจะรับปากว่าจะยอมคุยกับพี่ดีๆ” ชายหนุ่มทำราวกับว่าไม่ใช่เรื่องราวสลักสำคัญอะไร เลือกที่จะตอบเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเบาดังเดิม

“แพรบอกแล้วไง ว่าถ้ามีอะไร ก็ให้เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้”

“พรุ่งนี้ทุกคนก็ตื่นขึ้นมากันหมด แล้วเราจะไปหาเวลาที่ไหนมาคุยกันได้เล่าแพร”

“พี่ภู ปล่อยมือก่อน เดี๋ยวใครออกมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี” ณิชญาฎาเอ่ยพลางเหลียวมองเข้าไปในตัวเรือนอย่างระแวดระวัง แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มยังคงไม่ได้สนใจเหมือนเดิม

“ดึกป่านนี้ใครจะออกมา แต่ถึงจะมีใครจะเห็น ก็ช่างเขาประไร ยังไงๆ พี่ก็ไม่ปล่อย จนกว่าแพรจะยอมรับปากพี่”

“พี่ภู! ก็ได้ค่ะ คุยก็ได้ แต่ว่าแค่แป๊บเดียวนะคะ”

“ก็แค่เนี้ย”

ในที่สุดเธอก็ต้องยอม ภูวิชอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเปรยออกมาเบาๆ พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนๆ ด้วยสายตาเอ็นดู สายตาชนิดเดียวกันกับที่เธอเคยเห็น ครั้งที่เธอได้เจอกับเขาในคราวแรก นึกไม่ถึงว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปนานถึงหกปี มันจะยังสามารถก่อกวนหัวใจเธอให้ต้องวิบไหวได้อยู่เหมือนเดิม ณิชญาฎาค่อยๆ ดึงมือของตนออกจากการเกาะกุม ส่วนตัวเขาก็ให้จำต้องยอมปล่อยมือ ทั้งที่ลึกๆ แล้วรู้สึกเสียดาย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงยังอยากกุมมือเธอเอาไว้แบบนั้น

“มีอะไรก็พูดมาสิคะ พูดจบแพรจะได้ไปนอนสักที”

“พี่มีเรื่องอยากจะตกลง แล้วก็ขอร้องกับแพร”

“ตกลงอะไร แล้วขอร้องเรื่องอะไร ไม่... ทราบ...” เธอขึ้นต้นประโยคด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก ทว่าลงท้ายกลับทอดเสียงอ่อนลงไป เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเพิ่งจะรับปากกับเขาว่าจะคุยกันดีๆ ภูวิชเห็นอากัปกิริยาของเธอแล้วก็ให้ต้องหัวเราะหึๆ ส่งสายตาเอ็นดูแบบเดิม จ้องมองไปยังเธอไม่เปลี่ยน

“เรื่องลูก”

“ถ้าเรื่องนี้... เอ่อ... คือ... ถ้าเรื่องนี้ แพรว่าเรา....” หญิงสาวทำเสียงอึกๆ อักๆ อยู่ในลำคอ กำลังคิดหาทางเลี่ยง บ่ายเบี่ยง แต่ดูท่าว่าชายหนุ่มจะรู้ทันชิงพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“พี่รู้ว่าแพรกำลังคิดจะทำอะไร... และเพราะรู้พี่ถึงยอมไม่ได้ เพราะรู้คืนนี้พี่ถึงต้องมารอ รอเพื่อจะตกลงกับแพร ต่อใหต้องคุกเข่าอ้อนวอนพี่ก็จะยอมทำ”

“พี่ภูคิดว่าแพรจะทำอะไร งั้นหรือ?”

“แพรกำลังคิดจะหอบลูกหนีพี่ บินกลับอเมริกา แบบนั้นใช่หรือเปล่า”

ณิชญาฎา หน้าถอดสี นึกไม่ถึงว่าเขาจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดและวางแผนเอาไว้ ภายในใจไพล่นึกไปถึงพฤทธิ์ หรือว่าจะเป็นเขาที่หักหลัง เอาความลับเรื่องนี้ของเธอไปบอกกับชายหนุ่มตรงหน้า เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็เคยสนิทกัน วิ่งเล่นเหมือนพี่น้องกันมาก่อน แต่คิดๆ ไปแล้ว ก็ไม่น่าว่าจะเป็นไปได้อยู่ดี พฤทธิ์หรือจะยอมเอาเรื่องนี้มาแลกกับความเป็นเพื่อนที่ผูกพันกันมานานปีของเธอกับเขา

“พี่ภูรู้ได้อย่างไร หรือว่า พีท....”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพีทหรอก เป็นพี่เองที่บังเอิญไปได้ยินเข้าอย่างไม่ตั้งใจ ในเมื่อตอนนี้พี่รู้แล้ว แพรคิดหรือว่าพี่จะยอมให้แพรทำแบบนั้นได้ง่ายๆ” ภูวิชตอบเธอแบบไม่ต้องการจะอ้อมค้อมอีกต่อไป

“ก็ถ้าแพรจะทำเสียอย่าง พี่ภูจะทำอะไรได้” หญิงสาวอดไม่ได้จริงๆ ที่จะย้อนถามกลับไป ด้วยสีหน้าออกจะท้าทายเขาเป็นอย่างยิ่ง

“แพรน่าจะรู้ดีกว่าใคร ว่าคนอย่างพี่ ทำอะไรได้บ้าง” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ก้มลงมากระซิบตอบเธอในระยะประชิดตรงริมใบหู แม้ว่าท่าทางจะดูคุกคามอยู่ในที ทว่าน้ำเสียงกลับแผ่วเบา ชวนให้วาบไหวคิดไปไกลต่างๆ นานา พาให้ณิชญาฎาเกิดอาการขนลุกเกรียวกราว ใช้สองมือบางยันแผงอกเขาให้ต้องผงะถอยห่างเพราะความตกใจ

“คิดจะเล่นลูกไม้อะไรไม่ทราบ ถอยไปนะคะพี่ภู” เธอร้องบอก พยายามถอยห่างอย่างอัตโนมัติหน้าใสๆ ก่ำแดงขึ้นมาราวลูกตำลึงสุก ทำเอาคนกำลังจ้องมองเห็นแล้วเกือบจะอดใจไม่ไหว ขยับตัวตามเข้าใกล้ ทำตาวิบวับใส่ราวกับหนุ่มเจ้าชู้ ไม่เหลือมาดพระฤๅษีของตนแม้แต่เสี้ยว

“เปล่าลูกไม้สักหน่อย พี่ก็แค่อยากจะขอโอกาสจากแพรอีกสักครั้ง ก็เท่านั้น”

“โอกาส? โอกาสอะไรไม่ทราบ” เธอฟังคำตอบแล้วให้ฉงนใจหนักไปกว่าเดิม สองคิ้วขมวดเข้าหากัน ลืมกระทั่งว่า ยามนี้ภูวิชได้ก้าวเข้ามายืนประจัญหน้า ใกล้เสียจนเกือบจะชิดติดตัวเธอ จะห่างกันอยู่ก็แค่ครึ่งก้าวเท่านั้น

“โอกาสที่จะทำให้ลูกมีพ่อ โอกาสที่พี่จะได้อยู่กับลูกอย่างที่ควรจะเป็น และที่สำคัญโอกาสที่จะชดเชยในสิ่งที่พี่เคยทำผิดเอาไว้กับแพร ให้โอกาสนั้นกับพี่อีกสักครั้งได้ไหมครับคนดี”

คำตอบตรงๆของภูวิชทำเอาหญิงสาวถึงกับชะงักค้าง โลกทั้งโลกราวกับจะหยุดหมุน นิ้วเรียวยาวของเขากำลังไล้อย่างแผ่วเบาอยู่บนแก้มเนียนของเธอด้วยกิริยานุ่มนวลแผ่วเบา อ่อนโยนเสียจนยากจะเก็บกลั้นอาการหวิววาบในใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจน ณิชญาฎาตั้งสติรับไม่ทัน ได้แต่งงงัน ตีบตันคำพูด ตลอดทั้งลำคอจดริมฝีปากแห้งผากไร้ความชุ่มชื้น สรรพสิ่งรอบตัวเริ่มขาวโพลน และทุกสิ่งจะดับวูบลงไปพร้อมกับร่างบางของเธอที่ตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มตรงหน้า ‘ณิชญาฎาเกิดอาการช็อกจนหมดสติไปเสียแล้ว’

--------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2555, 16:27:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2555, 16:27:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1702





<< ตอนที่ 7 : ไปน้ำตกกันไหม???   ตอนที่ 9 ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง >>
violette 12 เม.ย. 2555, 19:36:47 น.
ลุ้นนนนนนนค่า โอยเป็นลมซะได้หนูแพร


นิลวนา 14 เม.ย. 2555, 13:24:08 น.
น้องแพร เป็นลมเลยพาให้คนอ่านลุ้นจนตัวโก่ง นิลวนานี่น่าตีจริงๆ เลย เนอะ 55555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account