ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 9 ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง

ภายในไนท์คลับหรูของเจ้าพ่อหนุ่มพีรพัฒน์ยังคงคลาคล่ำไปด้วยบรรดาแขกผู้มาใช้บริการดังเช่นปกติเกือบจะทุกค่ำคืน โต๊ะทุกโต๊ะถูกจับจองจนไม่มีที่ว่าง ไม้เว้นแม้แต่โต๊ะเสริมอันปราศจากเก้าอี้ ซึ่งเจ้าของโต๊ะจะต้องยืนต่างนั่ง แต่พวกเขาก็ยอมโดยไม่มีใครปริปากบ่น ยิ่งช่วงใกล้เวลาแสดงของนักรัองสาว ซึ่งเป็นเสมือนแม่เหล็กของไนท์คลับด้วยแล้ว ดูเหมือนคนจะยิ่งแน่นเป็นพิเศษ

รินรตีอยู่ในชุดสีแดงเพลิงเงาวับ เสื้อแจ็คเก็ตเอวลอยกับกางเกงขาสั้นบดบังผิวเนื้อสีน้ำตาลอ่อนตลอดช่วงลำตัวและเอวบาง ท่อนขายาวเรียวถูกซ่อนไว้ภายภายใต้รองเท้าบูธทรงสูงห่อหุ้มจากปลายเท้าจดหัวเข่า เรือนผมยาวสลวยรวบตึงม้วนปลายเป็นลอนส่งให้หน้ารูปไข่เรียวเสลาซึ่งตกแต่งไว้ด้วยโทนสีเข้ากับชุดดูโฉบเฉี่ยวชวนบาดใจ มองดูเผินๆ แล้วก็เหมือนกับตอนที่หญิงสาวเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงของเธอในทุกค่ำคืน

เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงตามคิวที่ได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้า ติดตามด้วยควันหนาพวยพุ่งออกมาบดบังทุกสิ่ง เสียงอื้ออึงพลันดังขึ้นในบัดดลเมื่อร่างสมส่วนกรายร่างแทรกผ่านกลุ่มควันออกมาในมาดสาวพราวเสน่ห์ สวยบาดจิตบาดใจ หยุดสายตาทุกคู่ไว้ตรงกึ่งกลางเวที หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้ารอดูต่างพากันจ้องมองจนแทบลืมหายใจ นักร้องสาวขับขานบทเพลงตามท่วงทำนองไปโดยไม่สะดุด สองตาชะม้ายกวาดแลไปรอบๆ อย่างไม่มีเป้าหมาย เป็นท่าทางตามปกติ จะมีก็แต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ ว่ามีบางแปลกไปจากทุกคืน เพราะเธอกวาดตามองไปรอบๆ และมุ่งหวังว่าจะได้เห็นใครบางคนแทรกตัวอยู่ในหมู่ชนที่รายล้อมรอบเวที ทว่าก็ต้องผิดหวัง เมื่อเธอหาไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

หลากหลายบทเพลงถูกบรรเลงผ่านไปอย่างต่อเนื่องเพลงแล้วเพลงเล่า ได้รับการตอบรับจากบรรดาผู้ชมรอบด้านเป็นอย่างดีดั่งเคย รินรตียังไม่วายกวาดตามอง แต่ยิ่งเวลาผ่านความหวังที่จะได้เห็นใครบางคนแทรกตัวอยู่ท่ามกลางผู้ชมก็ยิ่งริบหรี่ การแสดงดำเนินมาจนถึงช่วงของบทเพลงสุดท้าย ดนตรีช้าๆ สอดประสานกับเสียงร้องหวานซึ้ง ชวนให้คนฟังเคลิบเคลิ้มคล้อยตามอารมณ์ของบทเพลงที่ถูกถ่ายทอดออกมาราวกับเป็นเรื่องราวของคนร้อง

ไม่รู้ว่านานเท่าไร ที่ฉันและเธอห่างไกลตั้งแต่วันนั้น
อยากขอแค่เพียงสักวัน ให้เราได้มาพบกันเหมือนวันเก่า

* แม้ไม่อาจเป็นดั่งใจที่ต้องการ เราต่างรู้คงไม่นานเกินเฝ้ารอ จะจำไว้เสมอ

** เมื่อใดที่สายลมพัด ดังมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ
ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน
เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน แม้มองไม่เห็น แต่ฉันรู้สึกถึงเธอ

แค่นึกว่าได้เจอกัน หรือว่าพบในฝันฉันก็สุขใจเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอ จะเป็นแบบเดิมและคิดถึงกันรึเปล่า
(*, **)

ลมจะพัดมาจากทิศใดก็ตาม สายลมเป็นดังสายใย
เชื่อมใจเราไว้ไม่ขาด ให้เราผูกพันแม้ต้องห่างไกล

ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน
เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน แม้มองไม่เห็น
แต่ฉันรู้สึกถึงเธอ
แม้มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้เสมอ …
บทเพลง : เจนนิเฟอร์ คิ้ม

เพลงสุดท้ายจบลงไปแล้วพร้อมกับความหวังที่วูบหาย รินรตีก้าวลงจากเวทีด้วยใจอันห่อเหี่ยว ปฏิกิริยาดูเนือยผิดจากตอนแรกขึ้นเวทีราวกับคนละคน เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้องแต่งตัวตามลำพัง หญิงสาวสูดหายใจลึกๆ กลั้นหยดน้ำที่เอ่อคลอขึ้นมาอยู่บนสองหน่วยตาอย่างยากเย็น ความน้อยใจแล่นเป็นริ้วอยู่ภายในอก โกรธตัวเองที่เผลอไปคาดหวังในสิ่งที่ไม่ควรหวัง ทำให้หัวใจต้องเจ็บแปลบ

เข็มนาฬิกาบนผนังห้องเดินวนผ่านไปหลายต่อหลายรอบโดยปราศจากการเหลือบแล ผิดจากทุกคืนที่รินรตีมักจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินทางกลับทันทีที่จบคิวแสดง ร่างงามนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องพักในชุดเดิม ขังตัวเองอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนอิริยาบทหรือเคลื่อนย้ายไปไหน จนเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งตามมาด้วยเสียงเรียกคุ้นหู เจ้าตัวจึงคืนสติ ขานรับคนที่อยู่หน้าประตู ชายหนุ่มคนสนิทเจ้าของคลับหรูก้าวผ่านเข้ามาภายในห้องพัก มองสำรวจเนื้อตัวของหญิงสาวแล้วรู้สึกประหลาดใจจนต้องเอ่ยถาม

“ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกหรือรตี”

“คะ? อ๋อ กำลังจะเปลี่ยนค่ะ”

รินรตีลุกขึ้นยืนเก้ๆ กังๆ เหลียวซ้ายแลขวามองหากระเป๋าสัมภาระของตน

“กลับเข้ามาตั้งนาน พี่คิดว่าเราเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมจะกลับบ้านแล้วเสียอีก”

จิระเดินเข้ามายังหน้าโต๊ะแต่งตัว แล้วหยิบพวงกุญแจที่ถูกวางทิ้งไว้ ชำเลืองมองหญิงสาวด้วยความสงสัย ที่จู่ๆ เธอก็ทำท่าราวกับว่าไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรก่อนดี ชายหนุ่มเดินตรงไปยังล็อคเกอร์ ไขหยิบเอาเสื้อผ้าที่แขวนไว้ออกมาพร้อมกับกระเป๋าใบเขื่องส่งให้ ซึ่งเธอก็รับไปแต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับดูเนือยๆ เหมือนคนใจลอยไม่อยู่กับตัว

“รตี... เหนื่อยน่ะค่ะ เลยอย่างนั่งพักสักแป๊บ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย ให้พี่พาไปหาหมอไหม” ชายหนุ่มถามขึ้นเพราะความเป็นห่วง สองตากวาดมองสำรวจไปตามเนื้อตัวของหญิงสาวราวกับกำลังค้นหาสิ่งผิดปกติ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อยเอง พักเดี๋ยวเดียวก็หาย” คนถูกสำรวจตอบเสียงเนือย จนคนฟังอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเธอ

“แน่ใจเหรอ สีหน้ารตีไม่ค่อยดีเลยนะ พี่ว่าไปหาหมอก่อนดีกว่ามั้ง”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ พี่จิระอย่ากังวลไปเลยนะคะ”

“ถ้างั้นคืนนี้พี่ขับไปส่งเราที่บ้านให้เอง รตีจะได้นอนพักไปในรถ”

“อย่าเลยค่ะ รตีไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ กลับบ้านเองได้สบายมาก พี่กลับไปทำงานเถอะนะคะ” หญิงสาวตอบปฏิเสธ ดวงหน้าสวยระบายยิ้มอ่อนๆ เป็นนัยขอบคุณ

“เรื่องงานไม่ต้องเป็นห่วง เจ้ารวีอยู่ที่นี่ทั้งคน พี่ไปส่งรตีก่อนแล้วค่อยกลับมาที่คลับก็ยังทัน” จิระไม่ยอมแพ้ ยื่นข้อเสนอที่พาให้หญิงสาวยิ่งกระอักกระอ่วนใจ

“รบกวนพี่เปล่าๆ ไหนจะพี่รวีอีกคน”

“รบกงรบกวนอะไรกันรตี เอ.. พี่ว่าคืนนี้เราดูแปลกๆ นะ หรือว่ากำลังคอยใคร เมื่อตอนที่อยู่บนเวที พี่เห็นรตีเอาแต่มองหาใครอยู่ตลอดเวลา?” สองคิ้วหนาของจิระขมวดเข้าหากัน หลี่ตามองแบบค้นหา

“เปล่านะคะพี่จิระ รตีจะไปมองหาใคร ก็แค่แสดงไปเหมือนทุกทีเท่านั้น” รินรตีปฏิเสธอย่างร้อนตัว หลบสายตาอย่างคนมีพิรุธในใจ

“ไม่เหมือนหรอกรตี หลอกคนอื่นน่ะได้ แต่กับพี่รตีหลอกไม่ได้แน่ บอกมาดีกว่าว่ามันเรื่องอะไรกันแน่” จิระไล่รุกถาม จนรินรตีอ่อนใจ รู้สึกราวกับน้ำท่วมปอด ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร

“เงียบแบบนี้ แปลว่าพี่เดาไม่ผิด เล่าให้พี่ฟังบ้างได้หรือเปล่า หรือว่ามีใครทำอะไรรตี” จิระพยายามเดา ไพล่คิดระแวงไปถึงพฤติกรรมชวนให้หวั่นใจของนายพัฒนา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ถือได้ว่ามีอิทธิพลอยู่พอตัว

“ไม่มีใครทำอะไรรตีหรอกค่ะ เพียงแต่ว่า รตีไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าให้พี่ฟังอย่างไรดี” คนถูกตื้อถามกำมือแน่น พยายามเรียกความมั่นใจให้กับตนเอง

“ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง หรือว่าไม่อยากเริ่มกันแน่ แต่ว่าท่าทางแบบนี้... ถ้าจะให้พี่เดา รตีกำลังหวั่นไหวไปกับใครบางคนใช่หรือเปล่า” จิระมองสำรวจแล้วสรุปความ เกิดอาการสังหรณ์ใจขึ้นมาตงิดๆ

ร่างบางทว่าสมส่วนหันกลับมามองเขาอย่างชั่งใจก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยถึงต้นเหตุของความกังวล ไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไรสักวันชายหนุ่มก็ต้องรู้ อีกอย่างการบอกความจริงกับเขาในวันนี้ยังช่วยให้เขาตัดใจจากเธอได้เร็วขึ้นด้วย หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วพูดต่อ

“รตีไม่รู้ว่ามันจะเรียกว่าความรักได้ไหม แต่การที่ได้เห็น ได้ใกล้ชิดกับเขาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา มันทำให้รตีรู้สึกดีแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน”

“ในที่สุดพี่ก็เดาถูก เขาเป็นใครหรือรตี ใครกันที่ทำให้รตีหวั่นไหวได้ถึงขนาดนี้” คราวนี้จิระเป็นฝ่ายหลบสายตาบ้าง แม้จะพยายามกดความรู้สึกสะท้านเอาไว้ในอก แต่น้ำเสียงที่ใช้ถามก็ยังไม่วายพร่าสั่น

“เขาเป็นเจ้านายของรตีเองค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ แผ่วเบาราวกระซิบ

“คุณพฤทธิ์” จิระเอ่ยชื่อชายหนุ่มอีกคน ด้วยน้ำเสียงคล้ายละเมอ “เขาอาจจะดูดีในสายตาของผู้หญิงหลายๆ คน แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่รตีรู้สึกกับเขา มันคือความรัก”

“ข้อนี้รตีเองก็ตอบไม่ได้ เขาอาจจะเป็นแค่คนเก่ง เป็นคนดีมีน้ำใจ และน่าทึ่งในสายตาของรตี แต่เพียงแค่นั้นรตีก็ไม่สามารถถอนตัวจากความรู้สึกที่มีให้กับเขาได้แล้ว ทั้งที่รู้ว่าเขามีใครในใจ รตีกลับห้ามใจตัวเองไม่ได้ ยิ่งหลังจากเมื่อคืนก่อนที่เขามาที่นี่ ทั้งที่เขาเห็นรตีบนเวที แต่กลับไม่มีท่าทีรังเกียจ หรือดูถูกรตีเลย”

“เพราะแบบนั้น รตีเลยยิ่งรู้สึกดีกับเขามากขึ้นไปอีก”

“มันทำให้รตีเฝ้าแต่รอเขาอยู่ตลอดเวลา” หญิงสาวพยักหน้า บอกพลางถอนหายใจเบาๆ

“รตีน่าจะรู้ดีว่ามันเป็นไปแทบไม่ได้เลย มันไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างเขากับรตีเท่านั้น ไหนจะเรื่องที่พ่อเขาคอยตามรตีนั่นอีก”

“รตีรู้ แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อรตีห้ามใจตัวเองไม่ได้”

“ลองคิดดูนะรตี ว่าถ้าเกิดเขารู้ว่ารตีเป็นคนที่พ่อของเขาจ้องจะครอบครอง เขาจะยังรู้สึกดีกับรตีแบบเดิมอยู่ไหม” จิระพูดในสิ่งที่รินรตีได้ฟังแล้วหน้าถอดสี “ตัดใจเสียเถอะรตี ตอนนี้ยังไม่สาย พี่ไม่อยากให้รตีต้องผิดหวังเสียใจเพราะเขา”

“แต่เรื่องของหัวใจ บางทีมันก็พูดยากนะคะ”

“ต่อให้ยากแสนยาก ก็ต้องพยายาม ฟังพี่นะรตี เรากับเขาต่างกันเกินไป ต่อให้เขาหันมามองรตีจริงๆ คิดหรือว่า ครอบครัวเขาจะยอมรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ได้”

“พี่จิระ....”

“เชื่อพี่เถอะนะ รตีเองยังมีแม่ มีน้อง และที่สำคัญรตียังมีพี่ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้รตีต้องเสียใจเด็ดขาด”

“พี่จิระ แต่ว่ารตี.....”

“รตีไม่จำเป็นต้องตอบพี่ตอนนี้ แต่ลองเก็บเอาสิ่งที่พี่พูดไปคิดดูให้ดีๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนดีกว่า คลับใกล้เลิกแล้ว เดี๋ยวพี่จะออกไปดูความเรียบร้อยด้านนอก เสร็จงานแล้วพี่จะไปส่งเราที่บ้านเอง”

จิระไม่รอฟังคำตอบ ก้าวเดินไปที่ประตูแล้วหายลับออกไป ทิ้งให้หญิงสาวจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่อไปอีกพักใหญ่ เพียงคิดว่าตนต้องตัดใจจากชายหนุ่มที่พึงใจ แค่นั้นหัวใจก็เจ็บร้าวไปถึงไหนต่อไหน รินรตีคิดไม่ตกจริงๆ ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกของตนเองในตอนนี้อย่างไรดี

------------------------------------------------------------

เพดานสีขาวกับผนังสีครีมตลอดจนสารพัดสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบกายดูแปลกตาจนคนซึ่งเพิ่งตื่นตอนต้องเหลียวมองไปรอบๆ อีกครั้งอย่างตั้งสติ หญิงสาวเกิดอาการใจหายวาบ ตามมาด้วยความกลัวจนจับขั้วหัวใจ จำได้แม่นว่าก่อนหน้านี้เธออยู่ที่ไหนกับใคร ทว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากช่วงเวลานั้น ภายในสมองของเธอกลับโล่งโจ้งปราศจากความทรงจำใดๆ ณิชญาฎาพยายามปลอบใจตัวเองว่าเหตุร้ายเมื่อครั้งอดีตคงไม่ย้อนกลับมาหาเธออีกเป็นรอบสอง หวังว่าเธอคงจะไม่โชคร้ายแบบนั้น

หญิงสาวเหลือบตาลงมองสำรวจไปตามร่างกายของตนเองแล้วก็ให้โล่งใจ ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ทุกชิ้นบนตัวเธอยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี จะมีก็แต่ความหนักหน่วงซึ่งพาดทับอยู่ตรงช่วงกลางลำตัวของเธอเท่านั้น ณิชญาฎามองเรื่อยไปตามลำแขนแข็งแกร่งจนถึงใบหน้าขาวคมเข้มของคนที่กำลังนอนหลับพักผ่อนอย่างแสนสบาย พิจารณาจากการหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของเขาแล้วก็ให้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ลงความเห็นกับตนเองว่าภูวิชกำลังหลับสนิท ไม่มีปฏิกิริยาอันใดที่บ่งบอกว่าเขารับรู้ในการลืมตาตื่นของเธอ

มือบางค่อยๆ ประคองท่อนแขนหนาหนักเลื่อนออกห่าง แล้ววางลงยังข้างๆ ตัวอย่างเบามือ เกรงนักว่าการขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อยนิดจะปลุกคนข้างๆ ให้ตื่นขึ้นมา เหตุการณ์เมื่อช่วงเวลาก่อนหน้าทำให้ณิชญาฎาตระหนักว่า ตนยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ต่อให้ท่าทีของภูวิชจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้วก็เถอะ แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ว่านั่นคือความจริงใจ หาใช่ภาพลวงตาที่เจ้าตัวพยายามสร้างขึ้นเพื่อหลอกใครต่อใครโดยเฉพาตัวเธออย่างที่กำลังนึกกลัวและเพราะแบบนั้น ความประหวั่นพรั่นใจจึงหวนกลับคืนมาสู่เธออีกครั้ง ดั่งเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้

ณิชญาฎาจดปลายเท้าลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา หมายใจจะพาร่างลงจากเตียง ยังไม่ทันที่ร่างบางจะขยับกายลุกขึ้น พลันให้ต้องผวาเฮือกเมื่อท่อนแขนแข็งแรงของคนที่เธอคิดว่ากำลังหลับสนิท กลับคืนมากอดเอวบางของเธอเอาไว้ ดังเดิม พร้อมกับเสียงเรียกถามแผ่วเบาราวกระซิบอยู่ตรงริมหู

“จะรีบไปกันล่ะครับน้องแพร”

แท้จริงแล้ว ภูวิชไม่ได้หลับ เขาเพียงแค่อยากพักสายตาลงชั่วครู่หลังจากเฝ้ามองเธออยู่นานนับชั่วโมง แรกเริ่มชายหนุ่มเพียงนั่งจ้องมองเธออยู่ตรงข้างเตียง ทว่ายิ่งมองไปนานๆ ดวงหน้าใสอ่อนเยาว์ยามหมดสติของณิชญาฎากลับเร่งเร้าจนเขาอดใจไว้ไม่อยู่ ยอมเป็นคนฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวความชื่นใจเล็กๆ น้อยจากร่างบางด้วยการกอดนิด หอมหน่อย จนในที่สุดก็กลายเป็นนอนกอด ดังที่หญิงสาวรับรู้เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา

“คนฉวยโอกาส ปล่อยนะ แพรจะกลับห้อง”

ณิชญาฎาตวัดเสียงสูงไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่กล้าส่งเสียงดัง เกรงว่าจะเป็นการปลุกให้คนอื่นๆ ต้องตื่นขึ้นมาและรับรู้

“ฉวยโอกาสอะไร พี่ยังไม่ได้ทำอะไรแพรเลยนะครับ ทั้งที่ก็อยากจะทำอยู่หรอก” ภูวิชบอกเสียงเรียบเรื่อย ทำเป็นทองทองไม่รู้ร้อน จนหญิงสาวเริ่มจะเดือด

“พอเลยนะ คนทุเรศ ถือสิทธิ์อะไรไม่ทราบ พูดออกมาได้ไม่อายปาก ปล่อยแพรเดี๋ยวนี้ แพรจะกลับห้องแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนสิ จะรีบกลับไปไหนเรายังคุยกันไม่ทันจะรู้เรื่องเลย ห้องก็อยู่แค่นี้เองจะรีบกลับไปไหน” คนฉวยโอกาสพูดโดยไม่ลืมตา มือหนายังคงรั้งอยู่ที่เอวไม่ยอมปล่อย

“จะคุยอะไรกันอีก นี่มันดึกมากแล้ว เดี๋ยวพวกเด็กๆ ตื่นขึ้นมาไม่เห็นแพรแล้วแกจะตกใจ” เมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เธอจึงจำเป็นต้องทำเป็ฯใจดีสู้เสือ ค่อยๆ พูด หยิบยกเอาเรื่องลูกขึ้นมาเป็นข้ออ้าง

“อย่ากลัวไปเลยพี่เดินไปดูสองสามรอบแล้ว พวกแกยังหลับสนิทดี อีกอย่างเราสองคนก็ยังคุยกันไม่จบ แล้วนี่มันก็เกือบจะเช้าแล้วด้วย”

ภูวิชบอกหน้าตาเฉย ราวกับว่าการนอนคุยกันอยู่บนเตียงนอน ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย แต่คนฟังนี่สิ ตกใจจนหน้าตาตื่น มองหานาฬิกา พลางขยับกายถอยห่าง แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล เพราะมือหนายังคงกอดเธอเอาไว้แน่น

“จะเช้าแล้ว!!! ยิ่งต้องรีบกันไปไปใหญ่ เกิดใครมาเห็นเข้าจะว่าไง เขาจะเข้าใจผิดเอาได้นะคะ”

“ใครจะเข้าใจยังไง ก็ช่างเขาประไร สำคัญที่เราต่างหาก ถ้าเราปรับความเข้าใจ และตกลงกันได้ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่เป็นปัญหา”

ชายหนุ่มนอนพูดไปเรื่อยๆ ไม่นำพากับแรงต่อต้าน แถมยังกระชับวงแขนรั้งร่างเธอเข้ามากอด ตามด้วยจมูกโด่งที่จดลงบนแก้มนวลอย่างแผ่วเบาทว่าตั้งใจ

“หยุดนะพี่ภู พี่ ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับแพรนะ ไหนบอกว่าจะปรับความเข้าใจไง ทำแบบนี้แล้วจะคุยกันรู้เรื่องเหรอ?” ณิชญาฎาดิ้นขลุกขลัก ปากก็พร่ำบอกต่อรองไปเรื่อย นึกเจ็บใจตัวเองที่เรี่ยวแรงหดหาย อ่อนไหวไปกับสัมผัสอ่อนโยนของชายหนุ่ม

“ก็แพรอยากดิ้นทำไมล่ะ นอนเฉยๆ พี่คงไม่เป็นแบบนี้หรอก” ภูวิชตอบแบบขันๆ สุดท้ายกลับโทษว่าเป็นความผิดของเธอเสียอย่างนั้น

“พี่ภู!!!” ณิชญาฎา เรียกชื่อเขากดเสียงหนัก รู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ มีแต่เธอเท่านั้นที่เสียเปรียบ

“ก็ได้ๆ แพรหยุดดิ้นแล้ว พี่ภูปล่อยแพรก่อน แล้วเราค่อยมาตกลงกัน หือไม่ก็รอไว้พรุ่งนี้สายๆ เราค่อยคุยกันใหม่อีกทีก็ได้ ยังไงๆ แพรไม่ได้หนีไปไหนอยู่แล้ว”

“แน่ใจเหรอว่าพรุ่งนี้จะได้คุย พี่ว่าแพรจะเอาแต่หลบหน้าพี่เสียล่ะไม่ว่า” ภูวิชบอกอย่างรู้ทัน “อย่าดื้ออีกเลยนะแพร พี่อยากให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่จริงๆ ให้โอกาสพี่ ให้โอกาสตัวเอง แล้วก็ลูกด้วย เรามาสร้างครอบครัวด้วยกันเถอะนะ”

“พูดง่ายดีนี่ แต่แพรไม่เห็นว่ามันจะจำเป็นที่ตรงไหน” ณิชญาฎาแค่นเสียงตอบ หันไปสบตาเข้ากับนัยน์ตาคมของคนด้านข้าง จึงรู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่

“จำเป็นสิ ลูกต้องการพ่อ ต้องการครอบครัวที่อบอุ่น ตัวพี่เองก็ต้องการพวกแก ที่สำคัญ พี่รู้ว่าแพรเองก็รักพี่”

ช่างเป็นคำตอบที่เรียบง่ายทว่าตรงเสียจนคนฟังฟังแล้วใจเต้นไม่เป็นส่ำแทบหยุดหายใจ แต่ก็ยังไม่วายฝืนใจตอบประชดประชันกลบเกลื่อนพิรุธในใจ

“รักเริกอะไรกัน อย่ามาพูดพล่อยๆ มั่วเหมาเอาเองแบบนั้นนะ ที่ผ่านมาเราเองก็ต่างคนต่างอยู่ แบบนั้นมันก็น่าจะดีอยู่แล้ว เกิดจะมาอยากสร้างครอบครัวอะไรกันขึ้นมาตอนนี้ไม่ทราบ”

“ก็ตอนนั้นแพรหนีพี่ไป พี่เองก็ไม่รู้ว่าแพรมีลูก แล้วแพรจะให้พี่ทำยังไง”

“แพรก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรนี่ พี่ภูจะเดือดร้อนไปทำไมกัน”

“ก็ตอนนี้พี่รู้แล้ว จะให้ทำนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนได้ยังไง พี่เป็นผู้ชายนะแพร แล้วก็เป็นพ่อของพวกแกด้วย” ภูวิชทอดเสียงอ่อน ลงทุนอ้อนหวังให้เธอใจอ่อนสุดตัว

“เป็นพ่อแล้วยังไงคะ แพรเลี้ยงลูกมา เป็นทั้งพ่อและแม่ให้แก จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าไม่ต้องมาเจอกับพี่ ชีวิตเราก็คงจะยังปกติดี” เสียงต่อว่าต่อขานขึ้นจมูกติดจะสั่นน้อยๆ

“แต่พวกแกกำลังโต และรู้เรื่องมากขึ้นทุกวัน ต่อไปถ้าลูกถาม แพรจะตอบพวกแกว่ายังไง”

“จะตอบแบบไหนมันก็เป็นเรื่องของแพร พี่ภูไม่เห็นจะต้องมาเดือดร้อน”

“เดือดร้อนสิ ในเมื่อพี่เป็นพ่อ พ่อคนนะแพร ไม่ใช่สิงห์สาราสัตว์ จะได้ไม่รู้จักรักลูกของตัวเอง” คนพูดโต้กลับจริงจังทั้งสีหน้าและแววตา ทำเอาณิชญาฎาอึ้ง ชายหนุ่มรับรู้ได้ในทันทีว่าโอกาสของตนกำลังมา อ้อนวอนต่อด้วยถ้อยคำที่เจตนาให้ยอมใจอ่อน ให้โอกาสแก่เขาดังที่ร้องขอ

“ขอโอกาสพี่อีกสักครั้ง ครั้งนี้พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้แพรกับลูกต้องผิดหวัง พี่จะทำทุกอย่างเพื่อสร้างครอบครัวของเรา ชดเชยทุกสิ่งที่พี่เคยทำพลาดไป นะครับคนดี”

ณิชญาฎากำลังตกอยู่ในสภาพอึ้งจนเกือบจะใจอ่อนอยู่แล้วแท้ๆ ทว่าคำว่า ‘ชดเชย’ ที่ชายหนุ่มพูดออกมาเพียงคำเดียว กลับจุดประกายในใจของเธอให้ลุกวาบ แท้จริงแล้วที่เขาพูดมาทั้งหมดมันเกิดจากความรู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ ใจที่ออกจะหวั่นไหวเมื่อแรกพลันวาบโหวงขึ้นมาอย่างประหลาด หญิงสาวพยายามกดความรู้สึกผิดหวังเอาไว้ในอก ค่อยๆ กระถดร่างออกห่างบรรจงส่งยิ้มหวานไปให้ ชนิดที่คนรับไม่อาจรู้ได้ถึงความผิดปกติ ยอมคลายวงแขนปล่อยเธอไปแต่โดยดี ณิชญาฎาพลิกร่างก้างลงมายืนอยู่ข้างเตียง พลางบอก

“ขอบคุณนะคะพี่ภู แต่อันที่จริงแล้ว แพรคิดว่าว่ามันไม่จำเป็นเลย ที่พี่ภูจะต้องมาเสนอตัวรับผิดชอบอะไร แพรเองก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้อง ระหว่างเราไม่เคยมีอะไรติดค้างกันเพราะฉะนั้นพี่ภูสบายใจได้ ขอเพียงแค่ปล่อยเราแม่ลูกไป แค่นี้แพรก็ขอบคุณมากแล้ว อย่าเสียเวลามาชดเชยอะไรให้เราอีกเลย” คำเอ่ยของณิชญาฎาชวนให้ภูวิชออกจะงงอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆ ท่าทีซึ่งเริ่มจะโอนอ่อนของเธอก็เปลี่ยนไป จะว่าแข็งกร้าวก็ไม่ใช่จะอ่อนไหวก็ไม่เชิง เรียกว่าสับสนน่าจะถูกกว่า

“พี่ว่าแพรกำลังเข้าใจเจตนาของพี่ผิด พี่...” คนซึ่งยังอยู่บนเตียงตั้งท่าจะอธิบาย ขยับร่างเตรียมจะลุกตาม

“แพรง่วง อยากกลับห้องแล้ว พี่ไม่ต้องลุกตามมาหรอกค่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็สว่างแล้ว นอนพักเสียดีกว่า”

“แต่ว่าเรา...” ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปากค้าน หญิงสาวก็ชิงเอ่ยตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

“เอาไว้เราค่อยคุยกันใหม่วันหลัง ขอเวลาให้แพรคิดทบทวนดู บอกตามตรงว่าแพรยังคิดอะไรไม่ออก ไม่พร้อมจะให้คำตอบกับพี่ตอนนี้”

“พี่รู้ว่าไม่ควรเร่งรัดแพรมากไป เอาเป็นว่า แพรลองเก็บของเสนอของไปคิดทบทวนดู แต่พี่หวังจริงๆ ว่าแพรจะยอมรับและให้โอกาสกับพี่อีกครั้ง”

ภูวิชให้นึกประหลาดใจกับท่าทีของหญิงสาว แต่ก็เข้าใจดีว่าการเร่งรัดเจรจาให้จบในคราวเดียวนั้นเป็นเรื่องยาก จึงยอมปล่อยผ่านไปก่อน แอบหวังอยู่ในใจว่า เยื่อใยเก่าๆ ที่เธอเคยมีให้กับเขา ถ้ามันจะยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง แบบนั้นเขาคงจะพอมีหวัง

ณิชญาฎา ก้าวเท้าไปยังประตูแล้วหันกลับมามองที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ความผิดหวังและเจ็บปวดถูกซ่อนไว้ภายใต้ดวงหน้าอันเรียบเฉย จะมีก็แต่แววตัดพ้อซึ่งถูกส่งมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว

‘จะมีบ้างไหม ที่เขาจะคิดรักเธอโดยปราศจากเงื่อนไขหรือเหตุผลอื่นใด สำหรับเธอแล้วการจะตอบตกลงเขานั้น มันไม่ใช่เรื่องยากสักนิด ทว่าเหตุผลที่จะทำให้เธอยอมรับเขาไว้ในชีวิต มันต้องไม่ใช่มาจากความเห็นใจ หรืออย่างน้อย เขาเองก็ควรจะรู้ว่า การจะอยู่ร่วมกับใครสักคนเพราะความสงสาร มันรังแต่จะทำให้ทั้งสองคนต้องเจ็บปวดในวันหน้า แล้วแบบนี้ จะให้เธอตอบรับเขาได้อย่างไร สู้ปลดปล่อยซึ่งกันและกันไปเสียแต่วันนี้ มันจะไม่ดีต่อทั้งสองคนหรอกหรือ’

------------------------------------------------------

ม่านหมอกแห่งรัติกาลในคืนวานถูกเบียดบังสิ้นเมื่อแสงสีทองซึ่งขึ้นมาทาบทับยังขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก เหล่าวิหคผกผินบินออกจากรังเพื่อหากิน ต่างส่งเสียงจิ๊บจั๊บเสริมสร้างบรรยากาศของธรรมชาติให้ยิ่งสดชื่นรื่นรมย์ขึ้นอย่างสมบูรณ์ลงตัว หยาดน้ำเกาะตัวควบแน่นอยู่บนยอดหญ้ากระทบเข้ากับแสงแดดอ่อนส่องสะท้อนเป็นประกายวาววับไปทั่วลานกว้าง ล่อหลอกสายตาคนมองราวกับหยาดพิรุณได้โปรยปรายลงมาเมื่อช่วงดึกของคืนวาน ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงหยาดน้ำค้างของยามเช้าเท่านั้น

แม้ว่ารอบบริเวณจะปกคลุมไปด้วยหมอกที่ค่อนข้างหนาแน่น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภูมิอากาศออกจะเย็นยะเยือก ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งก็นำพาความสดชื่นปลอดโปร่งมาสู่ผู้ซึ่งออกมายืนรับลมเย็นในยามเช้าตรู่ให้รู้สึกผ่อนคลาย โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยปัจจัย หรืออุปกรณ์ช่วยใดๆ เข้ามาเสริม พฤทธิ์กำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบๆ ตัว ด้วยการสูดลมหายใจลึกเก็บเกี่ยวอ๊อกซิเจนเข้าปอด ตั้งใจกอบโกยช่วงเวลาดีๆ ของวันพักผ่อนให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะเป็นนักธุรกิจที่การงานค่อนข้างรัดตัวจึงไม่อาจพยากรณ์ได้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้ออกมาใช้เวลาท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างนี้ได้อีก

“อากาศดีจังเลยนะคะ”

เสียงใสที่เอ่ยทักมาจากทางด้านหลัง แม้จะเพิ่งเคยได้ยินเพียงไม่กี่ครั้ง แต่พฤทธิ์ก็จำได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นคุณหมอสาวร่างเล็กที่เพิ่งตามมาสมทบเมื่อช่วงเย็นของวันวาน ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามายืนเกาะราวระเบียงยังด้านข้าง พลางสูดลมหายใจลึกแบบเดียวกับที่ชายหนุ่มเพิ่งจะทำไปเมื่อสีกครู่ที่ผ่านมา เขาหันมามอง แล้วส่งยิ้มให้อย่างสดชื่น

“คุณหมอก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะครับ”

“อากาศดีๆ แบบนี้ ขืนนอนอุดตุด อยู่ในห้องคงเสียดายแย่”

“นั่นสิครับ นานๆ จะได้มีโอกาสออกมาสูดอากาศบริสุทธ์แบบนี้สักที”

“ชีวิตคนกรุงอย่างเราก็แบบนี้ล่ะค่ะ วันๆ มีแต่งาน เลิกงานก็กลับบ้าน ถ้าไม่หาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง ก็มีแต่จะเครียดสะสม” คุณหมอสาวยังคงชวนคุยโต้ตอบไปเรื่อยๆ

“สมเป็นคุณหมอจริงๆ เลยนะครับ คุยเรื่องอะไรก็สามารถนำมาวิเคราะห์โยงเข้ากับโรคได้หมด แต่ผมว่าคนยิ้มง่าย อารมณ์ดีอย่าคุณหมอ ต่อให้มีเรื่องต้องคิดก็คงหาวิธีระบาย ผ่อนความตึงเครียดได้ไม่ยากหรอก จริงไหมครับ”

“ตามอาชีพล่ะค่ะ คนเป็นหมอต้องทำงานอยู่กับความทุกข์ อาการเจ็บป่วยของคนไข้ ถ้าไม่รู้จักทำใจปล่อยวาง เห็นทีจะทำงานลำบาก แต่ก็มีอยู่บ่อยๆ นะคะ เวลาที่เจอผู้ป่วยอาการหนักๆ แล้วอดสงสารไม่ได้ ไหนจะพวกญาติๆ อีก มันหลีกเลี่ยงยากจริงๆ ค่ะ”

“ก็จริงนะครับ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากพื้นฐานของคุณหมอที่เป็นคนใจดี ถึงยังตัดความรู้สึกแบบนั้นออกไปได้ไม่หมด แต่ผมว่าดีออก สมัยนี้หาคุณหมอใจดี เห็นอกเห็นใจคนป่วยแบบคุณรสายากจะตายไป”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เรียกว่าเป็นคนใจอ่อนน่าจะเหมาะกว่า” รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรถูกส่งมาให้ก่อนที่เจ้าตัวจะชวนคุยต่อ “คุณพีทกับคุณแพรดูเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมากๆ เลยนะคะ ไม่ทราบคบกันมานานกี่ปีแล้วคะ?”

“ผมกับแพรน่ะหรือครับ อืม... ราวๆ เกือบสิบปีเห็นจะได้ ทำไมครับ หรือว่ามันดูแปลก” พฤทธิ์ให้คำตอบแล้วจุ่ๆ ก็หันมาเลิกคิ้วถาม ทำเอาคนที่กำลังรอฟังอย่างตั้งใจ ต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยคำอธิบายแต่เพียงสั้นๆ

“เปล่าหรอกค่ะ เพียงแต่ว่ารสาสังเกตเห็นว่าคุณพีทคอยเอาใจใส่คุณแพรเป็นพิเศษ ก็เท่านั้นเอง”

“เราเป็นเพื่อน และสนิทกันมาตั้งแต่สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย จริงๆ แล้วแพรเป็นรุ่นน้องในคณะของผม แต่จับพลัดจับผลูเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ก็เลยไม่ยอมเรียกผมว่าพี่ ครั้นจะมาเปลี่ยนกันทีหลัง ก็รู้สึกกระดากปากกันไปเสียแล้ว ก็เลยเรียกแต่ชื่อกันมาแบบนี้ตลอด สงสัยผมจะหน้าอ่อนละมังครับ เลยทำให้แพรเขาเข้าใจผิดไปในตอนแรก” ชายหนุ่มเล่ายาวแบบติดตลก ทอดสายตามองไกล รำลึกถึงเหตุการณ์แต่หนหลัง

“ตลกดีนะคะ มีการเข้าใจผิดกันด้วย”

“นั่นสิครับ หรือว่าเพราะผมเองทำตัวไม่น่านับถือก็ไม่รู้”

“คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ว่าแต่... จะเป็นไรไหมคะ ถ้าหากว่าดิฉันจะขอถามอะไรบางอย่างจากคุณพฤทธิ์ตรงๆ” วรรณรสาเอียงหน้าหันกลับมามอง เลียบๆ เคียงๆ ถามเป็นนัยยากจะเดา

“ถาม? ถามอะไรหรือครับ” พฤทธิ์ให้งงหนัก มาดแม้นว่ามีกระจกมาส่องอยู่ตรงหน้า คงไม่แคล้วได้เห็นเครื่องหมายคำถามแปะติดอยู่บนหน้าผากของเขาเป็นแน่

“ก็... มันอาจจะดูละลาบละล้วงไปหน่อย แต่รสาสงสัยก็เลยอยากลองถามดูน่ะค่ะ ว่าไงคะ จะอนุญาตให้ถามหรือเปล่า” คุณหมอคนงามยึดเอาความอยากรู้เป็นที่ตั้ง แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น แต่ก็ยังอยากลองเสี่ยงที่จะถาม

“เอ...ฟังดูชักจะน่ากลัว คำถามเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรือครับ เอาเป็นว่าถ้าตอบได้ผมจะตอบ แต่ถ้าเป็นคำถามที่ส่วนตัวจนเกินไป เห็นทีผมคงต้องขอตัว?” พฤทธิ์แบ่งรับแบ่งสู้ นึกชมหญิงสาวในความเป็นคนใจกล้า และเปิดเผย

“ตกลงค่ะ คือรสาสังเกตเห็นว่าคุณพฤทธิ์คอยดูแล เอาใจใส่คุณแพรเธอเป็นพิเศษ เลยอยากรู้ว่า จริงๆ แล้วคุณรู้สึกกับคุณแพรเธอแบบไหน”

คนรอฟังได้ยินคำถามแล้วถึงกับอึ้ง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่าหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตัวจะกล้าถามเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับณิชญาฎาแบบโต้งๆ พฤทธิ์ไม่ตอบคำถาม ทว่าหันกลับมามองหน้าคุณหมอสาวตรงๆ ด้วยความแปลกใจ แอบตั้งคำถามกับตัวเองว่า กิริยาท่าทางของเขามันชัดเจนโจ่งแจ้งถึงขนาดที่คนนอกที่เพิ่งจะรู้จักกันอย่างวรรณรสายังดูออกเชียวหรือ ต่อให้ตัวเขาไม่เคยคิดจะปกปิดความรู้สึกของตนที่มีต่อนางในดวงใจก็เถอะ

“ถ้าคุณพฤทธิ์ไม่สะดวก หรือไม่อยากตอบ ก็ไม่เป็นไรนะคะ อย่างที่บอกล่ะค่ะ รสาก็แค่อยากรู้เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรจริงๆ”

“มันก็ไม่เชิงหรอกครับ เพราะถ้าจะว่าไปเรื่องที่ผมชอบแพรมันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรอยู่แล้ว แค่แปลกใจว่าทำไมจู่ๆ คุณหมอถึงได้ถามคำถามนี้ขึ้นมา”

“อย่าคิดมากสิคะ มันเป็นแค่นิสัยของรสาที่ไม่ชอบเก็บความสงสัยไว้ในใจ มีเรื่องอะไรผ่านเข้ามาเป็นต้องถามไถ่ให้รู้เรื่อง ไม่ได้มีประเด็นอะไรสลักสำคัญหรอกค่ะเลย” เจ้าของร่างเล็กออกตัวอธิบายยาว

“อืม... จะบอกยังไงดี คือจริงๆ แล้วผมเองก็อยากจะคบหากับแพรเขาเกินคำว่าเพื่อนอยู่หรอกนะครับ แต่ติดทีเจ้าตัวเขาไม่ยินยอม บอกว่าไม่อยากเสียเพื่อน เราสองคนก็เลยคงสถานภาพความเป็นเพื่อนกันไว้อย่างเหนียวแน่นมาจนถึงตอนนี้”

“อ้อ...” วรรณรสาลากเสียงยาว แล้วชวนคุยต่อ “น้องตัวไหมกับน้องใบหม่อนแกน่ารักมากนะคะ ช่างซักช่างถาม ฉลาดดีจริงๆ ดูท่าว่าคุณพฤทธิ์จะคุ้นเคย แล้วก็เอ็นดูพวกแกมากพอดู เลยใช่ไหมคะ”

“มันก็เป็นธรรมดาล่ะครับ ผมเห็นเด็กทั้งสองคนมาตั้งแต่เกิด แล้วพวกแกออกจะน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนั้น ใครอยู่ใกล้เป็นอดหลงรักไม่ได้”

“นั่นสิคะ พวกแกเป็นเด็กที่มีเสน่ห์ หน้าตาน่ารัก กิริยามายาทหรือก็เรียบร้อยน่าเอ็นดูเป็นที่สุด แถมยังฉลาดเป็นกรด รสาเองยังตกหลุมรักพวกแกเข้าโครมเบ้อเร่อ นี่ขนาดเพิ่งจะเจอกันเองนะคะ” คุณหมอสาวเอ่ยสำทับไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตนเองจริงๆ

“แพรเขาเลี้ยงลูกแบบเปิดกว้างเหมือนคนตะวันตก พวกแกเลยเป็นเด็กที่ช่างคิด ช่างสงสัย แล้วก็ช่างซักช่างถาม แต่ก็ไม่ลืมใส่ความเป็นไทยลงไปในตัวเด็ก ความนอบน้อม โอบอ้อมอารี น่ารักไร้เดียงสาเหมือนๆ กับเด็กที่เติบโตในบ้านเมืองเรา เลยกลายเป็นเสน่ห์ของพวกแก ที่ใครเห็นใครก็รัก เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจไปเลยครับ ถ้าหากว่าคุณจะหลงรักพวกแกได้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ”

พฤทธิ์สาธยาสรรพคุณของเด็กน้อยคู่แฝด ส่งยิ้มพรายไปทั้งใบหน้าและดวงตา

“น่าทึ่งดีจังเลยนะคะ ไม่น่าเชื่อว่า พวกแกจะโตมากับแม่เพียงคนเดียว”

วรรณรสาบอกความรู้สึกของตนไปตามสิ่งที่ได้รับรู้มาจากปากของณิชญาฎาเมื่อช่วงค่ำของคืนวาน ในเรื่องที่ว่าตัวเธอเป็น ‘Single Mom’

“อย่าว่าแต่คุณเลยครับ ขนาดผมใกล้ชิดกับครอบครัวนี้มาโดยตลอด ยังอดทึ่งไม่ได้เหมือนกัน”

ถึงไม่บอกวรรณรสาก็รู้ ว่าชายหนุ่มทั้งรักทั่งชื่นชมในตัวณิชญาฎาขนาดไหน การแสดงออกของชายหนุ่มนั้นบอกชัดว่าตัวเขารู้สึกกับหญิงสาวอย่างไร ต่อให้เธออยู่ในสถานะซึ่งมีลูกติด แต่ตลอดเวลาที่เฝ้ามองดูปฏิกิริยาเขา พฤทธิ์หาได้มีอาการตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังดูท่าว่าจะรักและเอ็นดูพวกแกเป็นอย่างมากอีกต่างหาก ทว่านั้นไม่ใช่เป้าหมายแท้จริงที่คุณหมอสาวร่างเล็กอยากรู้ เธอจึงเดินหน้าชวนคุยและหาเรื่องถามต่อไปเรื่อยๆ

“เอ... ว่าแต่เมื่อกี้คุณพฤทธิ์บอกว่าเห็นพวกเด็กๆ มาตั้งแต่เกิด ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องเคยเห็นคุณพ่อของพวกแกสิคะ พอจะบอกรสาได้หรือเปล่าคะ ว่าเขาเป็นใคร แล้วตอนนี้ไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว รสาไม่เห็นว่าคุณแพรจะพูดถึงเลย” เธอวกกลับเข้ามาสู่หัวข้อที่ตนเองอยากรู้ จะเรียกว่าเป็นมูลเหตุของการสนทนาในครั้งนี้ก็ว่าได้

“ข้อนี้ผมขออนุญาตไม่ตอบ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของแพรเขา ถ้าเจ้าตัวเขาอยากบอกใคร เขาคงต้องเลือกที่จะบอกเอง” พฤทธิ์อึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบปฏิเสธเพียงสั้นๆ นัยน์ตามีรอยขุ่นให้เห็นอยู่รำไร

“ตายจริง! รสาขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะถามเกินเลยไปเลยจริงๆ ถ้าอย่างนั้นรสาคงไม่ถามต่อแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่คำถามของรสาทำให้คุณพฤทธิ์ต้องลำบากใจ” วรรณรสาแสร้งทำท่าว่าตกใจ พลางเอ่ยขอโทษขอโพย ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเธอเองก็พอจะเดาคำตอบได้ตั้งแต่ต้น

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองที่เป็นคนอนุญาตให้คุณถาม แล้วก็ไม่ได้ระบุว่าเรื่องไหนถามได้ เรื่องไหนถามไม่ได้ ผมว่าเราอย่ามัวคุยเรื่องของคนอื่นเลย อากาศกำลังสบายแบบนี้ เราควรจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ เอาไว้เป็นกำไรชีวิตให้มากที่สุดถึงจะถูก” ชายหนุ่มแบ่งรับแบ่งสู้ จากนั้นจึงเอ่ยตัดบท มิได้สนใจในคำถามของหญิงสาวอีกต่อไป

วรรณรสาส่งยิ้มให้กับเขาแทนคำตอบ และหลังจากนั้นความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสถานะและห้วงของความคำนึงที่แตกต่างกัน หนึ่งกำลังดื่มด่ำชื่นชมกับธรรมชาติรอบกาย หนึ่งเวียนวนอยู่กับความคิดของตนตามสิ่งที่ได้รับรู้มาโดยบังเอิญ ภาพของณิชญาฎาที่ก้าวออกมาจากห้องนอนของหนุ่มเจ้าของบ้านเมื่อยามใกล้รุ่ง สร้างความฉงนใจให้กับเธอไม่น้อย วรรณรสาคาดเดาเอาเองมาโดยตลอดว่าเธอคนนั้นเป็นคนรักของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ตัวเธอเวลานี้ ทว่าสิ่งที่เจอกลับชี้ให้เห็นว่าเธอเข้าใจผิด

ถ้าอย่างนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ของคนทั้งหมดมันคืออะไร และเหตุใดจึงดูซับซ้อนยิ่งนัก ใช่ว่าหญิงสาวจะเดือดร้อนอันใดไปกับสิ่งที่เห็น แต่เพราะความไม่เข้าใจในท่าทีของใครหลายๆ คนที่มาอยู่รวมกันในครั้งนี้ต่างหาก ที่ทำให้เธอสะดุดใจจนอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เธอเองควรจะรู้ไม่ใช่หรือว่าใครเป็นใครและคิดอย่างไร อย่างน้อยก็จะได้เก็บไว้เป็นข้อมูล และรู้ว่าสิ่งใดควรระวัง สิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด ทว่าในท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับว่า เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอ เว้นแต่ว่าโชคชะตาจะนำพาให้เธอ ต้องวนเวียนมาข้องเกี่ยวกับคนเหล่านี้อีก ไม่ว่าจะในสถานะไหนก็ตาม

-----------------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2555, 19:09:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 เม.ย. 2555, 20:24:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1784





<< ตอนที่ 8 : เล่ห์ลวงหรือบ่วงรัก   ตอนที่ 10 ความจริงที่ไม่อาจยอมรับ >>
violette 16 เม.ย. 2555, 19:33:40 น.
หนูแพรรอคำว่ารักจากพี่ภูนี่เอง อิอิ


นิลวนา 16 เม.ย. 2555, 20:53:34 น.
ฟังดูเหมือนจะเป็นนางเอกโบราณเลยนะคะที่รอแค่คำว่ารักจากคุณพระเอก จริงๆ เรื่องความรักก็ส่วนหนึ่งค่ะ แต่มากกว่านั้นคือความเข้าใจและ ความผูกพัน น้องแพรเธอแค่ไม่อยากให้คำว่าความรับผิดชอบกลายมาเป็นโซ่ล่ามคนที่เธอรักรวมทั้งตัวเธอเองด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะความที่ยังไม่ลืมเรื่องในอดีต เลยทำให้การแสดงออกค่อนข้างจะไม่ตรงกับใจค่ะ ตอบแบบนี้พอจะนึกภาพออกมั้ยคะ เอว่าแต่ว่า สปอยแบบนี้จะดีไหมน้อ? สปอยเยอะไป กลัวจะอ่านไม่สนุกน่ะค่ะ เอาเป็นว่า บอกแค่พอหอมปากหอมคอแล้วกันนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account