ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: ยุ่่งยาก

ตอนที่ 16

ตอนนี้ฉันกับคุณนรินทร์กำลังเดินเข้างานเลี้ยงวันเกิดของเขาที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ทุกปีที่โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวกลางกรุง แต่ก่อนที่ฉันจะได้ไปสวาปามอาหารต่างๆ คุณนรินทร์ก็ทำหน้าจริงจังหันมาคุยกับฉัน

“คุณสิดี เดี๋ยวคุณอย่าหนีไปไหนล่ะ คอยเดินตามผมให้ดี เวลาผมทักทายกับใคร คุณก็อย่าลืมยิ้มให้แขกคนนั้นด้วย แล้วเดี๋ยวผมจะแนะนำคุณว่าเป็นเลขาของผม ถ้าแขกคนนั้นเป็นฝรั่งที่พูดภาษาอังกฤษ ก็คุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษด้วยแล้วกัน คุณพูดฝรั่งเศสได้บ้างไหม”

เอ...ฉันชักลังเล คือมันพอนิดหน่อยน่ะ แค่ทักทายหรือขอบคุณอะไรทำนองนี้

“ได้นิดหน่อยค่ะ”

เขาเลิกคิ้วสูง “แน่ใจนะ ไม่ใช่เป็นแบบภาษาญี่ปุ่นคราวที่แล้วอีกล่ะ”

“แหม ฉันเข็ดแล้วล่ะค่ะ คือฉันก็พอจะพูดทักทาย หรือขอบคุณ พวกพื้นฐานน่ะค่ะ พอจะได้บ้าง แต่พูดยาวๆไม่ค่อยได้ แต่พอฟังออกนะคะ เพราะฉันเรียนกับแม่มาบ้าง”

“งั้นก็ดี เข้างานกันได้แล้ว”

แล้วเขาก็เดินผึ่งผายพาฉันเข้างานไป

ภายในห้องโถงที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ ตกแต่งได้หรูหราสมกับที่รองรับแขกผู้บริหารต่างชาติ และนักธุรกิจโด่งดังมากมายในประเทศ ผู้คนแต่งตัวกันสวยงาม ในชุดสูทอย่างดี หรือไม่ก็ชุดราตรีกับเครื่องเพชรแพงระยับ ฉันออกจะแสบตาเสียหน่อย คงเพราะแสงไฟจากแชนเดอเลีย คริสตัลในงาน สาดแสงกระทบเครื่องเพชรพวกนั้น ทำให้ทั่วห้องโถงเจิดจ้าระยิบระยับ

เมื่อคุณนรินทร์เดินเข้าไป แขกทุกคนต่างจ้องมองเราทั้งสองเป็นตาเดียว ทำเอาฉันอายออกนอกหน้า จนคุณนรินทร์ต้องปรามเอาไว้

“นี่คุณ ไม่ต้องอายขนาดนั้นหรอก พวกเขาไม่ได้มองคุณ เขามองผม”

เออ...รู้แล้วล่ะน่า แต่เวลาพวกเขามองคุณก็ต้องมีฉันอยู่ในสายตาด้วยนั่นแหละ ก็ฉันเดินอยู่หลังคุณนิดเดียวนี่นา ซื่อบื้อจริง...แต่ฉันก็คงเถียงเขาได้แต่ในใจเท่านั้น

แล้วคุณนรินทร์ก็เดินเข้าไปทักทายแขกในงานทีละคนสองคน

“สวัสดีครับคุณหญิง ขอบคุณมากนะครับที่ให้เกียรติมางานของผม” เขาปั้นหน้ายิ้มและทักทายแขกเหรื่อได้อย่างไม่เคอะเขิน จนฉันสับสนว่า เนี่ยนะที่เขาบอกไม่อยากมา

“แหมคุณคะ ไหนบอกไม่อยากมา เห็นยิ้มแป้นเชียว” ฉันแกล้งพูดกระซิบใส่เขา

เขาก็กระซิบกลับแบบไม่เปิดปากเช่นกัน “เงียบไว้เถอะน่า!”

“นี่เลขาของผมครับ” แล้วเขาก็แนะนำฉันกับคนที่เข้ามาทักทาย ทำเอาฉันเลยต้องปั้นยิ้มตาม

“สวัสดีค่ะ” ฉันตอบอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยที่สุด

“สุขสันต์วันเกิดครับคุณนรินทร์ ไม่ได้เจอกันเสียนาน สบายดีใช่ไหมครับ” แขกคนหนึ่งเดินเข้ามาจับมือกับเขา

“ขอบคุณมากครับคุณบัณฑูร ผมก็เรื่อยๆครับ ว่าแต่บริษัทคุณปีนี้ได้ข่าวว่ากำไรเกินเป้าใช่ไหมครับ ยินดีด้วยครับ แล้วนี่...” คุณนรินทร์พูดเสร็จก็หันมาหาฉัน “เลขาคนใหม่ของผมครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันพูดแล้วยื่นมือออกไปจะจับกับคุณบัณฑูร
“อ๋อ...ผมจำได้ครับ เจอที่ประชุมบ่อยๆ แล้วก็เวลาผมโทรศัพท์มา วันนี้สวยกว่าปกตินะครับ” คุณบัณฑูรชมฉัน

“แหม พูดอย่างนี้ดิฉันก็เขินแย่สิคะ” แล้วฉันก็ทำท่าอาย...ก็ฉันเขินจริงๆนี่นา อยู่ๆมีคนแปลกหน้ามาชมว่าสวยเนี่ย....

“เก็บอารมณ์หน่อยคุณ!” คุณนรินทร์ส่งเสียงกระซิบอย่างเหี้ยมเกรียมใส่ฉัน ฉันเลยต้องรีบหุบยิ้มบานๆเสีย

แล้วเรา 2 คน ก็ทักทายแขกเหรื่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับแนะนำฉันในฐานะเลขาคนใหม่ของเขา เพราะมันก็สำคัญมากในการติดต่อธุรกิจครั้งต่อๆไป

เสร็จจากทักทายแขกคนไทย ก็เป็นแขกฝรั่งประดังพรุ่งพรูเข้ามาจับมือ โอบกอดทักทายเขา โชคดีที่ฉันคงไม่ต้องทำอย่างนั้นไปด้วยน่ะนะ ตอนนี้คุณนรินทร์กำลังคุยกับประธานบริษัทจากฝรั่งเศสอยู่ ฉันก็พอฟังได้บ้างแต่ไม่มากนัก แล้วคุณนรินทร์ก็หันมาแนะนำตัวฉันด้วยภาษาฝรั่งเศส ฝรั่งคนนี้ยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตรดี ก่อนจะหันไปคุยอะไรกับคุณนรินทร์ไม่รู้ แต่เหล่มาทางฉันแล้วยิ้มอย่างกรุ้มกริ่มพร้อมหัวเราะกว้างแล้วเดินจากไป
“ท่านคะ เขาชมว่าฉันสวยอีกแล้วล่ะค่ะ ท่านน่าจะภูมิใจนะคะที่มีเลขาสวยๆมายืนเคียงข้างแบบนี้ กลับไปท่านน่าจะเพิ่มเงินเดือนให้ฉันอีกนะคะ เพราะฉันอุตส่าห์มาเป็นหน้าเป็นตาให้ท่าน หึหึ” ฉันแค่พูดล้อเล่นแค่นี้แต่เขากลับตีหน้าเยาะเย้ย

“เมื่อกี้เขาพูดอะไรกับท่านเหรอคะ เห็นมองฉันแปลกๆ”

เขาทำท่ากระอักกระอ่วน “ปะ...เปล่านี่” แล้วเขาก็ทักทายแขกต่างชาติต่อไป จากนั้นฉันก็ได้พูดอังกฤษบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง มีเยอรมันด้วย แต่ฉันไม่เคยเรียนเลยฟังไม่ออกและพูดไม่ได้ เอ....แต่มันคุ้นๆนะ กุทเท่น....เท่น...อะไรสักอย่าง เอแต่อย่าเสี่ยงดีกว่าเดี๋ยวผิดแล้วจะถูกตวาดอีก แต่คุณนรินทร์นี่สุดยอด เขาเก่งจริงๆ พูดได้ทุกภาษาเลย ไม่ว่าจะอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่นอีก ทำเอาฉันเป็นใบ้ไปเลย ถ้าไม่ใช่อังกฤษก็พูดไม่ได้

“คุณพูดได้กี่ภาษาคะเนี่ย” ฉันถาม

“เท่าที่คุณเห็นนี่แหละ” เขาตอบ

“แหมดีจังค่ะ ฉันก็อยากพูดได้มากกว่านี้บ้าง”

“อย่าดีกว่าคุณ อังกฤษคุณน่ะพอใช้ แต่ฝรั่งเศสน่ะแปร่งจะตาย ไอ้ชู้ๆ อะไรของคุณน่ะพอทีเถอะ พูดไม่ได้ก็อย่าพูดดีกว่า” เขาพูดเสียงเรียบ

“ชู้ๆ อะไรกันคะท่าน ฉันก็พูดถูกแล้วนี่คะ บองชู้ๆๆๆๆๆๆ ฮึ ใช่ซี่...” ก่อนที่ฉันจะพูดจบ ภาษาญี่ปุ่นที่ไหนก็ไม่รู้แทรกขัดจังหวะเข้ามาทั้งดุ้น

“กอนนิชิว่ะ คุงนาริน แฮปปี้เบิ๊ดเดย์” โอ้ว...พวกญี่ปุ่นกลุ่มนั้นนี่นาที่ฉันเคยไปทานข้าวด้วย...ตายล่ะ...เขายังจำฉันได้อยู่ไหมนะ..น่าอายจริง

“เอ่อ..คุณคะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ” แล้วฉันก็ทำท่าจะแว่บออกมา

แต่พวกญี่ปุ่นจำฉันได้ เรียกฉันให้มาคุยด้วยใหญ่ พูดอะไรกันน่ะ...ฟังไม่รู้เรื่องสักนิด

“เขาจำคุณได้ ทักทายเขาสิ เขาชอบคุณมากนะ บอกว่าคุณตลกดี” คุณนรินทร์แปลให้ฉันเสร็จสรรพ

“แล้วจะให้ฉันตอบอะไรล่ะคะ ฉันพูดไม่เป็นนี่นา....อ่อ....อาโน่ๆ ดูยูรีเมมเบ้อ โดเรม่อน ชิสุกะ โนบิตะ ใครชนะได้เป็นไจแอ้นท์ ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วพวกญี่ปุ่นก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่พลางพูด

“โดเรม่อน ชิสุกะ โนบิตะ ใค ชะ นะ... ไจแอ้น” พูดอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ จนแขกอื่นๆในงานหันมามองกันหมด คุณนรินทร์ชักอายเลยรีบขอตัวแล้วลากฉันออกมาจากตรงนั้น

“คุณโทษฉันไม่ได้นะคะ ก็คุณบอกให้ฉันพูดทั้งๆที่ก็รู้ว่าฉันพูดไม่ได้น่ะ” ฉันรีบดักคอ ก็มันจริงนี่นา

เขาทำท่ากลั้นหัวเราะแล้วปล่อยมันออกมา “โฮ่ คุณสิดี ผมจะไปว่าอะไรคุณได้ พวกเขาชอบคุณซะขนาดนั้น เอาละทีนี้ก็ไปหาคุณพ่อคุณแม่ของผม ไม่ต้องพูดอะไรมากล่ะ คุณเคยทำอะไรไว้กับคุณแม่คงจะจำได้นะ พูดให้น้อยที่สุดก็แล้วกัน”

“ฉันทำอะไรคะ? ท่านอย่ามาดีกว่าค่ะ ฉันยังไม่เคยเจอคุณแม่ของคุณสักที”

“คุณนี่ความจำสั้นหรือไง ใครกันที่หาว่าแม่ผมเป็นช่างซ่อมแอร์”

ช่างซ่อมแอร์อะไรกัน.... “ตายแล้ว! คุณคะ ฉันไม่เจอคุณแม่คุณไม่ได้เหรอคะ ตายล่ะ....”

“เอาเถอะๆ ทำตัวให้เรียบร้อย พูดไม่ต้องมากก็พอ ตามผมมา”

แล้วฉันก็เดินขาสั่นตามหลังเขาไป โอย...มันเวรกรรมอะไรของฉันเนี่ยถึงต้องมาเจอคุณแม่คุณนรินทร์วันนี้ ดูจากการพูดคุยในวันนั้นและวันต่อๆมาที่เคยมีเรื่องกัน...หล่อนคงอยากจะเฉดหัวฉันออกไปจากงานนี้น่าดู

“มาถึงนานหรือยังลูก แม่เขารอนานแล้ว แล้วนี่...ใช่เลขาใหม่หรือเปล่า” โอ้วนี่คือคุณนรินทร์ นราธร senior นี่นา ร่างท้วมๆหน้าตาอย่างนี้...ใช่เลย!

“ครับคุณพ่อ เธอชื่อ...”

“ทรัพย์สิดี ใช่ไหม ฮ่าๆๆ พ่อจำได้น่ะ ชื่อแปลกดีนะหนู ตานรินทร์เล่าเรื่องหนูให้ฉันฟังบ่อย ขอบใจมากนะที่ช่วยงานลูกชายฉันให้ราบรื่น”

หา?...พูดถึงฉันบ่อยเหรอ ฉันหันไปมองคุณนรินทร์ที่ทำท่ากระอักกระอ่วน “ผมไปหาคุณแม่ก่อนนะครับ”

“สวัสดีค่ะท่าน” ฉันพูดทักทายท่าน senior อย่างรวดเร็วก่อนจะเดินตามก้น junior ออกไป

“คุณพูดถึงฉันว่าไงเหรอคะ” ฉันถามเขาด้วยความสงสัย

“ก็บอกว่าคุณเป็นเลขาผมยังไงล่ะ หยุดถามนู่นถามนี่เสียที เดี๋ยวก็ต้องเจอคุณแม่ผมแล้ว”

เฮ้อ....ถึงเวลาขึ้นเขียงแล้วหรือ

“คุณแม่ครับ” สิ้นเสียงเรียกของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน หญิงวัยกลางคนร่างท้วมนิดๆ ในชุดราตรีหรูหรา ก็หันหน้ามาทางเรา 2 คน โอย...พูดยากจริงๆ ไม่รู้ว่าความระยิบระยับของเพชรเม็ดเบ้งที่จุกอยู่บนคอหล่อนหรือ คดีที่ฉันเคยก่อไว้ ส่งผลให้ฉันเกิดหน้ามืดอยากฟุบล้มลงไปเสียเฉยๆกันแน่ คุณนายราชาวดี มองลูกชายตัวเองแว่บหนึ่งด้วยสายตาเปี่ยมรัก ก่อนจะหันมาจิกตาจ้องฉันด้วยสายตาแสดงความสงสัย

“มาแล้วเหรอลูก แล้วนี่ใคร” หล่อนพูดเสียงสูงปรี๊ด แล้วมองฉันหัวจรดเท้า

“เลขาผมไงครับคุณแม่” แล้วฉันก็ยกมือไหว้ คุณนรินทร์พยายามทำเสียงตัวเองให้เป็นปรกติเมื่อแนะนำฉัน แต่ฉันก็จับน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความกลัวได้อยู่บ้าง

เฮอะ...ไม่แปลกหรอกนะ ที่เขาจะเป็นลูกแหง่ติดแม่ ตัดสินใจอะไรเองไม่ได้สักอย่าง ก็ดูแม่เขาสิ ท่าทางเ จ้ายศเจ้าอย่างขนาดนั้น คงเป็นพวกใครขัดใจไม่ได้ พอหล่อนรู้ว่าฉันเป็นใคร ก็ทำท่าตาโตตกใจนิดหนึ่งแล้วดึงแขนลูกชายพาเดินห่างออกไปจากฉัน

“มาก็ดีแล้ว แม่อยากแนะนำใครบางคนให้ลูกรู้จักจ้ะ” แล้วก็ทำท่ากึ่งลากกึ่งจูงคุณนรินทร์ออกไป คุณนรินทร์หันมามองฉันอย่างจนปัญญา แล้วทำปากขมุบขมิบ ประมาณจะบอกฉันว่า ‘เดี๋ยวผมมา’ ทำนองนั้น

ก็ดี...เป็นอันว่าตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว กับงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่มองหาคนรู้จักไม่พบ

“สวัสดีครับคุณทรัพย์สิดี”

อ้าว...แย่แล้วพี่น้อง นี่มันวันรวมตัวพวกที่ฉันเคยก่อคดีด้วยหรือไง

“สวัสดีค่ะคุณจิทัศน์ เอ่อ ไม่คิดว่าคุณจะมางานนี้ด้วย” ฉันปั้นหน้าร่าเริงโดยเร็ว

“แล้วทำไมผมต้องไม่มาด้วยล่ะครับ ผมก็เพื่อนคนหนึ่งของนรินทร์เขาล่ะ” เขาตอบ ดวงตาฉายแววเป็นมิตร “วันนี้คุณ....สวยมากนะครับ”

“อะค่ะ...คุณก็...ใส่หูกระต่ายเหมือนคุณนรินทร์เลยนะคะ” ให้ตายสิยัยเบื๊อก เขาก็ออกจะหล่อทำไมไม่ชมเขาเล่า หูกระต่ายบ้าบออะไรกัน

แล้วเขาก็หัวเราะนิดๆ “ผมหาเลขาใหม่ได้แล้วล่ะครับ แต่ไม่ยักตลกเท่าคุณ” หา? ไม่ตลกเท่าฉันเหรอ นี่คุณจะจ้างคนมาช่วยงานหรือสั่งซื้อซีดีตลกคาเฟ่กันล่ะนี่

ทำเอาฉันสะอึก “ใช่คนที่ลาไปแต่งงานหรือเปล่าคะ”

เขาก็คงจะสะอึกเช่นกัน เอ....แต่ก็เปล่า “อ๋อคุณคนนั้นเธอลาออกไปแล้วไม่กลับมาอีกแล้วล่ะครับ ผมเลยจะจ้างคุณอย่างไรล่ะ อืม...แต่คุณก็กลับมาหานรินทร์แทน” เขากระดกแชมเปญอึกหนึ่งแล้วยิ้มให้ฉัน

“แต่...แต่พนักงานคนหนึ่งบอกว่าเธอแค่ลาไปแต่งงานเท่านั้นนี่คะ ฉันเลยนึกว่าคุณ....”

“เธอคงเข้าใจผิดน่ะครับ คุณเลยเข้าใจผิดไปด้วย หาว่าผมหลอกคุณงั้นเถอะ ผมขอตัวไปทางนู้นก่อนนะครับ” แล้วเขาก็จากไป
อะไรกันนี่ สรุป เขาไม่ได้หลอกฉันเหรอ ทำเอาฉันสะอึกรอบสอง

“เฮ้ สิดี” คราวนี้เป็นใครกันอีกล่ะ อย่าบอกนะว่ายายทับทิม

แต่พอฉันหันไปมอง ก็ค่อยโล่งใจ “อ้าวนลิน ดีใจจัง” โอ๊ยค่อยยังชั่ว ขอบคุณสวรรค์ เจอเพื่อนเสียที แล้วฉันกับคุณนลินเลยออกไปคุยกันแถวโต๊ะของขวัญที่แขกนำมามอบให้คุณนรินทร์

“แหมวันนี้สวยเชียวนะ” ถูกชมอีกแล้ว

“นิดหน่อยจ้ะ” ฉันตอบเขินๆ
“แล้วเธอให้อะไรเป็นของขวัญท่านประธานล่ะ ฉันให้นี่” แล้วหล่อนก็หยิบกล่องเล็กๆออกมาจากกองของขวัญมหึมาตรงนั้น

“เข็มกลัดติดเนคไทน่ะ คนให้ของขวัญท่านเยอะจริงๆเนอะ แอบจิ๊กสักอันได้ไหมนี่”

หา....ของขวัญ... “ตายล่ะคุณนลินฉันลืมมันไว้ที่บ้าน ตายแน่ๆ แล้วตั้งแต่มา ฉันยังไม่ได้อวยพรวันเกิดเขาสักคำ”

โอย...ยุ่งจนลืมไปเลย เขาจะพาฉันกลับบ้านไหมนี่ ถ้าฉันกลับเอง พรุ่งนี้คงต้องแบกรูปภาพ ‘ทุ่งดอกทิวลิป วาดที่เนเธอร์แลนด์ปี ยังคงงดงามอยู่จริงๆ’ ของแจ๊กกี้มาด้วย

“แย่จริงสิดี นี่เธอเป็นถึงเลขาของเขาเชียวนะ แต่ให้ทีหลังคงได้แหละ นี่รู้อะไรไหม” แล้วนลินก็หันซ้ายแลขวาก่อนจะกระซิบกระซาบกับฉัน

“คุณถวิกา แฟนเก่าท่านประธานมางานนี้ด้วย ไม่รู้ใครเชิญมา แต่น่าจะเป็นยายทับทิม เห็นเดินตามก้นหล่อนอยู่ ไม่รู้ท่านประธานเห็นหรือยัง”

“จริงเหรอ...แล้วนี่รู้ไหมฉันเจอใคร...คุณจิทัศน์อย่างไรล่ะ รักสามเศร้าแน่ๆ” ฉันบอก

“คงไม่แล้วล่ะ คุณจิทัศน์ก็เลิกกับแม่นี่แล้ว อีกอย่างคุณนรินทร์คงต้องแต่งงานเร็วๆนี้แล้วด้วย เธอรู้ไหมสิดีว่าวันนี้คุณราชาวดี คุณแม่ท่านประธานน่ะ เตรียมหาสาวๆที่เหมาะสมไว้ให้ท่านเลืกแล้ว และคงจะบังคับให้เลือกวันนี้ด้วย ฉันได้ยินเขาพูดกันให้แซ่ด” คุณนลินเล่าอย่างเมามัน

โอ้ว! เจ้านายฉัน...ตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว “แต่ท่าจะยากนะคะนลิน เพราะท่านคงไม่ยอมง่ายๆ” ฉันออกความเห็นอย่างคนรู้จริง ก็เขาเคยบอกฉันนี่นาว่าจะคานทองน่ะ

“ท่านจะกล้าขัดคำสั่งแม่เหรอ อุ๊ย เขาเรียกแล้วนี่ ไปกันเถอะ”

“นลิน ฉันไปหาคุณนรินทร์ก่อนนะ แล้วเจอกันจ้ะ” ฉันบอกลาเธอแล้วจากไปหาตัวเจ้านายฉัน ก็เขาบอกว่าฉันต้องนั่งโต๊ะดินเนอร์ร่วมกับเขานี่นา

เอ...เจ้านายฉันหายไปไหนนะ แล้วฉันต้องนั่งโต๊ะไหนล่ะนี่

“ว้าย...ขอโทษค่ะ” ฉันไปเหยียบเท้าใครเข้าล่ะ

“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ” ตายแล้ว! ฉันเหยียบเท้าคุณจิทัศน์หรอกหรือ แล้วยังทำให้แชมเปญในแก้วเขาหกเลอะทักซิโด้เขาอีก

“ฉันขอโทษด้วยค่ะ เดี๋ยวเช็ดให้นะคะ ก็แหมคุณมายืนอยู่หลังฉันเมื่อไหร่ล่ะคะ” แล้วฉันก็หยิบผ้าเช็ดหน้า แล้วเช็ดเสื้อเขาใหญ่ แต่คุณจิทัศน์กลับจับมือฉันไว้

“ไม่เป็นไรครับคุณสิดี คุณต้องนั่งโต๊ะเดียวกับนรินทร์ด้วยใช่ไหม ไปกับผมแล้วกัน” เขาบอกอย่างอ่อนโยน

ฉันรีบสลัดมือออกแล้วเดินตามเขาไป...แล้วนี่สิ่งที่เห็นคืออะไรรู้ไหม โต๊ะดินเนอร์ขนาดใหญ่ หัวโต๊ะคือท่านนรินทร์ senior ถัดมาด้านซ้ายคือคุณราชาวดี ด้านขวารู้สึกจะเป็นประธานบริษัทต่างชาติ ส่วนคุณนรินทร์รู้สึกจะอยู่ตรงกลางล้อมรอบว้ายขวาไปด้วยสาวสวยสองคนที่ฉันจำได้ดีว่า คือ เซเลบริตี้ไฮโซที่ออกงานสังคมบ่อยนั่นเอง

ส่วนฉันกับคุณจิทัศน์นั่งตรงไหนน่ะเหรอ ก็ตรงข้ามกับคุณนรินทร์เลยน่ะสิ พอคุณจิทัศน์ยกเก้าอี้ให้ฉันนั่งเท่านั้นแหละแขกที่นั่งประจำที่ก็มองและซุบซิบทันที เมื่อแขกผู้ทรงคุณวุฒินั่งกันครบแล้ว ท่านนรินทร์ senior ก็เชิญให้ทุกคนทานอาหารทันที ฉันเลยคลี่ผ้าเช็ดปากวางไว้บนตัก

ฉันรีบมองคุณนรินทร์ แล้วเขาก็พยักหน้าให้ฉัน พร้อมกับหยิบส้อมและมีดด้านนอกสุดขึ้นมาเหมือนจะเริ่มทานแต่ความจริงคือบอกให้ฉันทำตาม ฉันก็เลยทำบ้าง

คุณจิทัศน์หัวเราะเบาๆ “คุณต้องทำตามเขาเหรอครับ”

ฉันที่กินสลัดอยู่เต็มปาก ก็เลยทำตาโตตกใจ แต่รีบกลบเกลื่อนเร็วไวด้วยการส่ายหัว พอเคี้ยวหมดคำเลยพูดออกมา “เปล่านี่คะ” แล้วทำท่าไม่สนใจ กินๆๆๆๆๆ ต่อไป

“คุณหาของขวัญอะไรให้เขาล่ะครับ อย่าบอกนะว่า หัวใจ” คุณจิทัศน์พูด

“หา? อะไรนะคะ หัวใจ? เหอะ ฉันไปรักชอบกับคุณนรินทร์ตั้งแต่เมื่อไรกัน” ตานี่พูดพิกล

“ฉันลืมเอามาน่ะค่ะ แล้วคุณล่ะคะ” ฉันก็ถามไปงั้นแหละ ไม่ได้อยากรู้หรอก

“ถ้าคุณรู้แล้วคุณจะอึ้ง ผมให้ชินจังตั้งแต่เล่มแรกถึงเล่มล่าสุดกับเขาน่ะครับ ได้ยินคุณราชาวดีพูดว่าหมู่นี้เขาชอบอ่านชินจัง แต่เห็นมีเล่ม 11 อยู่เล่มเดียว”

ฉันเลยสะอึกเสียงดัง “อ๊อก! คุณให้ชินจัง!” สงสัยจะพูดดังเกินไป คนทั้งโต๊ะเลยหันมามอง ฉันรีบสบตาคุณนรินทร์ เห็นเขาทำท่าไม่สนใจ ฉันเลยไม่สนใจใครบ้าง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วคุยกับคุณจิทัศน์ต่อ

“ครับ ฮ่ะๆๆๆ ผมจะบอกให้นะคุณสิดี เจ้านายคุณน่ะมีโลกส่วนตัวที่ใครยากจะเข้าถึงเลยละ” ใครบอก ฉันเนี่ยแหละเป็นคนทำให้เขาได้อ่านชินจังล่ะ เออ แต่มันก็น่าตลกอยู่หรอก

“นรินทร์คะ ชอบของขวัญที่ธิดาให้ไหมคะ นาฬิกาเรือนนั้นน่ะค่ะ”

“แต่ฉันว่าคุณนรินทร์น่าจะชอบ ตลับใส่นามบัตรของสร้อยมากกว่านะคะจริงไหม”

เสียงอ่อนเสียงหว่านของสาวๆตรงข้ามทำเอาฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นว่าทั้งสองคนกำลังมะรุมมะต้มคุณนรินทร์กันใหญ่ ไม่ว่าจะจับแขน จับไหล่ แล้วก็แย่งกันพูดจนคุณนรินทร์ทำหน้าละเหี่ยใจ พอเขาสบตาฉัน ฉันก็ยิ้มให้เขาอย่างล้อเลียน เขาเลยชักสีหน้าใส่ก่อนจะเสแสร้งสุภาพอ่อนโยนกับแม่สาวๆพวกนั้นต่อไป

จานต่อมาเป็นซุปครีมเห็ด ฉันมองคุณนรินทร์อีกเช่นเคย ‘ตักออกนอกตัว’ ฉันทวนบทเรียนในใจ พร้อมกับที่คุณนรินทร์สาธิตท่าประกอบให้ดู แล้วคุณจิทัศน์ก็หัวเราะอีกตามเคย เขานี่รู้ทันไปเสียหมด แต่ความจริงเขาก็คุยสนุกดีนะ ฉันคุยกับเขาเพลินเลยล่ะ ทั้งเรื่องหนังสือ อ้อ เขาเคยอ่านงานเขียนของแม่ฉันด้วย แถมรู้อีกว่าตอนนี้แม่ฉันกำลังเป็นนักเขียน best seller แล้วก็เรื่องศิลปะ คุณจิทัศน์ เป็นคนที่สนใจศิลปะพอสมควร นั่นเลยทำให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้...แจ๊กกี้น่ะสิ

“คุณจิทัศน์คะถ้าสมมติว่าคุณเป็นศิลปินไส้แห้งอยู่ คุณชอบวาดรูปมาก แต่ไม่ค่อยได้เงินจากมัน แล้วอยู่ดีดี คุณก็ได้งานบริษัทที่มั่นคง คุณจะทำอย่างไรคะ”

“ก็มาทำงานบริษัทสิครับ ส่วนวาดรูป ถ้ามีเวลาว่างคงทำเล่นๆ” เขาตอบ นี่ถ้าแจ๊กกี้อยู่ เขาถูกด่าเปิงแน่

“แสดงว่าศิลปะสำหรับคุณคือการฆ่าเวลา” ฉันเลียนแบบแจ๊กกี้เปี๊ยบ
“ครับ” เขาตอบหน้าตาเฉย “ทุกวันนี้ที่ผมชอบ ก็เพราะมันทำให้ผมสบายใจ และบ่งบอกถึงรสนิยมที่ดี”
ให้ตายเถอะ...หวังว่าฉันคงไม่ได้เป็นพวกชอบศิลปะประเภทเดียวกับเขานะ ฉันชอบศิลปะจริงๆ ไม่ใช่เพื่ออวดรสนิยมของตัวเอง

ฉันเลยหุบปากไม่ถามเขาอีกดีกว่า...มันจะยิ่งแย่ลง ถ้าฟังไปฟังมาแล้วคิดว่าตัวเองกลายเป็นพวกเดียวกับคุณจิทัศน์

ฉันคุยกับเขาเพลิน พอเงยหน้าขึ้นไปอีกทีคุณนรินทร์ก็จ้องอยู่ แล้วทำท่าเอามือชี้ปากด้านซ้ายของตัวเอง เอ๋...เขาคันปากเหรอ แล้วมาบอกฉันทำไมล่ะ ทำไมไม่ให้สองสาวนั่นช่วยเกา นี่เขาจะให้ฉันปีนข้ามโต๊ะไปเกาให้เรอะ

แล้วคุณจิทัศน์ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดปากบนตักฉันขึ้นมาเช็ดมุมปากด้านขวาของฉันที่เปื้อนซุปครีมเห็ด

เอาอีกแล้ว...คนทั้งโต๊ะหันมามอง

“เอ่อขอบคุณค่ะ แต่ทีหลังบอกก็ได้ ฉันจะได้เช็ดเอง”

ผ่านไปอีกเปราะ จานต่อมาก็คือเมนคอร์ส เป็นเนื้ออะไรสักอย่าง เหมือนเดิมฉันหันไปมองคุณนรินทร์ แต่คราวนี้เขาไม่สนใจฉันแล้ว ดีเหมือนกัน เพราะฉันไม่อยากได้ยินไอ้เสียงหัวเราะ หึหึ ของคุณจิทัศน์อีก ความจริงมารยาทดินเนอร์ก็ไม่ยากอะไรสักหน่อย ค่อยยังชั่วที่ผ่านมาถึงจานสุดท้ายได้อย่างปลอดภัย ฉันเลยกินๆๆๆๆ สลับกับคุยกับคุณจิทัศน์อย่างสนุกสนาน เขาก็ออกจะมีอารมณ์ขัน เข้าใจละ ทำไมคุณถวิกาถึงหันไปซบอกเขา แต่เอ...เลิกกันทำไมน่ะ

ระหว่างที่คุยฉันก็ได้ยินที่สองสาวคุยอย่างอ่อนหวานกับคุณนรินทร์ทุกอย่าง แต่เขาก็ตอบเพียงว่า ครับ ครับ ทำนองนั้นครับ แค่นั้นเอง

ฉันเลยรู้สึกเลี่ยนอยากจะอาเจียนให้รู้แล้วรู้แรดไป พอดีกับที่คุณจิทัศน์พูดอะไรตลกๆขึ้นมาสักอย่าง ฉันเลยหัวเราะ ทำเอาเนื้อชิ้นใหญ่ที่กำลังจะกลืนติดคอเสียนี่

“อ๊อก!…อุ๊บส์....นะ...เนื้อ...เนื้อติด...น้ำ....น้ำ....” โว้ยให้ตายสิ นางเอกขี่ม้าตกตอนจบหรือยังไงกัน แล้วไอ้เนื้อไม่รักดีนี่ทำไมไม่ยอมออกสักทีล่ะ ฉันเลยควานหาน้ำออกวุ่นไป แล้วใครมาทุบหลังฉันเข้าล่ะเนี่ย

อ๊อก! ลงแล้ว! ฮูเร้ เนื้อลงคอแล้ว ฮ่า! แล้วฉันก็รีบกระดกน้ำอึกใหญ่ ไม่พอ ไวน์ขาว ไวน์แดง อะไรฉันก็ซัดจนเกลี้ยง พอทุกอย่างสงบ ก็มีแต่เสียงคุณจิทัศน์ที่ดังขึ้น

“ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคุณสิดี”

ฉันนิ่ง สัมผัสได้ถึงสายตาคนทั้งโต๊ะ และที่ร้ายแรงหน่อยก็สายตาคนตรงข้ามนี่แหละ

โชคดีที่พิธีกรบนเวทีประกาศอะไรขึ้นมา เลยเบี่ยงเบนความสนใจทุกคนออกไปจากตัวฉันได้

“ตอนนี้ทุกท่านคงจะอยากทานเค้กวันเกิดเป็นของหวานกันแล้วสินะครับ เอาล่ะครับ ขอให้ทุกท่านร้องเพลงวันเกิด

ให้กับท่านประธานบริษัทนราธร คุณนรินทร์ นราธรด้วยครับ อ้อแล้วขอเชิญคุณนรินทร์ขึ้นมาตัดเค้กบนนี้ด้วยครับ”
จากนั้นทุกคนจึงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์พร้อมกัน แล้วเขาก็ลุกออกจากโต๊ะโดยมีสองสาวเชียร์อย่างดี๊ด๊า คุณนรินทร์ทำท่าลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามทำให้เป็นปกติ เขาตัดเค้กเสร็จแล้ว จากนั้นก็กล่าวอะไรเล็กน้อย แล้วกลับมานั่งที่ ตอนนี้เค้กกำลังทยอยเสิร์ฟทีละชิ้น โอ้ววววววว ของหวาน ฉันชอบของหวานที่ซู้ดดดด

ขณะฉันกำลังกินเค้กอย่างเอร็ดอร่อย ก็พอดีกับที่ฟลอร์เต้นรำถูกเปิดขึ้น พิธีกรกล่าวให้เราร่วมอวยพรให้คุณนรินทร์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เพลงจังหวะวอลซ์จะถูกบรรเลงขึ้น

ฉันเคยเรียนตอน ม.6 น่า ตุ่ม แช้ป แช้ป ตุ่ม หด ยืด ยืด หด

“เชิญคุณนรินทร์ออกมาเปิดฟลอร์ด้วยครับ” แล้วก็มีเสียงเชียร์ดังขึ้น สองสาวที่ขนาบข้างเขารีบทำตัวสวยกันใหญ่จนฉันต้องอมยิ้มเอาไว้ แต่แล้วคุณนรินทร์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาโค้งให้แม่ของเขา คุณราชาวดีก็คล้องแขนลูกชายเดินออกไปเปิดฟลอร์ เล่นเอาแม่สองสาวทำหน้าเหี่ยวไปตามๆกัน จากนั้นก็มีหนุ่มสาวอีกหลายคู่ออกไปเต้นด้วยกัน รวมทั้งสองสาวตรงข้ามที่ถูกฝรั่งต่างชาติขอเต้นด้วย แล้วก็คุณนลินกำลังเต้นอยู่กับหนุ่มที่ไหนก็ไม่ทราบได้

“คุณสิดี ให้เกียรติผมหน่อยได้ไหม” คุณจิทัศน์พูด แล้วยื่นแขนมาให้ฉันเกาะ

“อย่าดีกว่าค่ะ ฉันไม่ค่อยคล่องน่ะค่ะ เดี๋ยวเหยียบเท้าคุณเปล่าๆ” ฉันรีบปฏิเสธ

“ผมยอมให้เหยียบครับ” ว่าแล้วฉันเลยยอมคล้องแขนเขาออกไป

เต้นกับคุณจิทัศน์ไปได้สักพัก ฉันก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ปวดฉี่จะแย่ ก็เมื่อกี้เล่นดื่มน้ำไปตั้ง 3 แก้ว

แต่พอฉันมาถึงหัวมุมห้องน้ำก็เห็นสองแม่ลูกนราธรกำลังคุยกันอยู่ เลยรีบหลบมุมเข้าไป

“ลูกต้องเลือก เดี๋ยวนี้ จะหนูสร้อยหรือหนูธิดาก็ได้ แต่ต้องเดี๋ยวนี้!” เสียงคุณราชาวดีสั่งเฉียบ

“ไม่ครับคุณแม่” เสียงคุณนรินทร์ปฏิเสธแข็งขัน

“ผมไม่ได้รักใครทั้งนั้น แล้วจะให้ผมแต่งงานกับพวกเธอได้ยังไงกัน”

“แม่นัดบอดให้ลูกกี่คนต่อกี่คนแล้ว ลูกก็ปฏิเสธหมด จะเอายังไงกันแน่ หรือลูกตัดใจจากแม่ถวิกาไม่ได้ ก็ดีนี่วันนี้เธอก็มางานของลูกไม่ใช่เหรอ ขอคืนดีกับเธอเสียสิ แต่แม่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าเอาหล่อนเป็นเมีย ก็ไม่ต้องมาเป็นลูกของแม่ แต่ถ้าลูกไม่เลือกใครสักคน แม่คงต้องขายบริษัทให้คุณจิทัศน์ไป ลูกก็รู้ตารันน่ะ เขาไม่กลับมาทำอย่างนี้แล้ว เขาลงหลักปกฐานวาดรูปอยู่เนเธอร์แลนด์แล้วลูกก็รู้นี่ ลูกอยากให้บริษัทของเราที่ก่อตั้งมาตั้งนานตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเหรอ ฮือ...นรินทร์ ลูกใจร้ายที่สุด”

“โถ่...คุณแม่ครับ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอกครับ เดี๋ยวรันต้องกลับมา ผมเชื่อ”

“ไม่! ถ้าลูกไม่หาสะใภ้มาให้แม่ได้ภายในอาทิตย์นี้ แม่คงจะขายบริษัทจริงๆ คุณพ่อของลูกก็เห็นด้วย นรินทร์อย่าคิดนะว่าแม่ไม่ทำจริง” แล้วคุณราชาวดีก็เดินก้าวฉับๆ ผ่านตัวฉันไป แต่เธอไม่เห็นฉันหรอก

ฮัดเช้ย! จมูกไม่รักดี จามออกมาทำม้าย!

“นั่นคุณใช่ไหมคุณสิดี” เขาเรียกฉัน

สมเป็นเจ้านายฉันจริงๆ จำเสียงจามฉันได้ด้วย ฉันเลยค่อยๆปรากฏตัวออกมา

“ค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาฟังนะคะ แค่จะมาเข้าห้องน้ำก็เลย...”

“คุณห้ามบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด” แล้วเขาก็เดินเข้างานไป ฉันที่อั้นฉี่มานานเลยได้ปลดปล่อยเสียที
จะว่าไป...สงสารคุณนรินทร์จัง...ทำไมแม่เขาต้องทำถึงขนาดนั้นด้วยนะ กลัวไม่มีคนสืบทอดกิจการอย่างนั้นหรือ

พอฉันกลับเข้างานมา คุณจิทัศน์ก็รีบคว้าตัวฉันไปเต้นต่อ จังหวะบีกิน 1-2-3 แตะ

“โอ๊ย!” แตะผิดที่น่ะเลยเหยียบเท้าเขา

“ขอโทษค่ะ” เอ...แล้วทำไมต้องขายบริษัทให้คุณจิทัศน์ด้วยเล่า คุณจิทัศน์นี่จะเอาทุกอย่างของคุณนรินทร์เลยเหรอ เขาไม่น่าเป็นคนอย่างนั้นเลยนะ

“ขอโทษนะครับ แต่ผมขอตัวเลขาผมหน่อย” คุณนรินทร์มาจากไหนไม่รู้ คว้าตัวฉันไปจากคุณจิทัศน์

“เชิญครับ” คุณจิทัศน์ตอบสบายๆ
ฉันเลยต้องมาเต้นกับคุณนรินทร์แทน

“นี่คุณ เต้นให้มันดีดีหน่อยสิ เต้นเป็นรึเปล่าเนี่ย” เขาว่าฉัน

“เป็นสิคะ คุณนั่นแหละเต้นผิดจังหวะ” ฉันแหวบ้าง

“แล้ว...เมื่อกี้คุณได้ยินอะไรบ้าง” เขากระซิบ

“ก็ทุกอย่างค่ะ แต่ฉันเข้าใจค่ะ ไม่บอกใครหรอก แต่คุณคะ หาผู้หญิงดีดีคนนึงสิ คนดีดีต้องมีแน่ค่ะ ฉันช่วยหาก็ได้” แล้วเขาก็เงียบ “แม่คุณจะขายจริงๆเหรอคะ คุณคงต้องรีบหาเสียแล้ว”

“เงียบเถอะน่า ผมต้องทำไรอย่างไรดีล่ะคุณสิดี” เขาพูดเสียงเศร้า

อยู่ดีดีคุณจิทัศน์มาจากไหนไม่รู้เดินมาคว้าแขนฉันเฉยเลย “จบเพลงแล้ว ขอคุณสิดีคืนให้ผมด้วย”

คุณนรินทร์จ้องหน้าคู่แข่งนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “ไม่!” คุณนรินทร์เกิดคลั่งอะไรขึ้นมาไม่รู้ กระชากฉันออกจากมือคุณจิทัศน์ โดยแรง

“ผมจะเต้นกับเลขาของผม” เขาพูดซะเสียงดังเชียว เกิดบ้าอะไรขึ้นมาล่ะ ตอนนี้ผู้คนเริ่มมองกันใหญ่แล้ว

“คุณนรินทร์คะ คนมองกันใหญ่แล้ว” จากนั้นไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง แม้เสียงผู้คนจะพูดกันแตกตื่นอย่างไร คุณนรินทร์ก็ไม่สนใจ เขาจูงมือฉันออกจากงานโดยเร็ว
“โอ๊ย! เป็นอะไรไปคะ ฉันเจ็บแขนค่ะ”

“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปส่งบ้าน!” เขาพูดเสียงโมโห ให้ทายนะ ฉันคงเป็นเหยื่ออธรรม คุณนรินทร์คงโกรธที่คุณจิทัศน์แย่งเขาทั้งแฟน ต่อไปอาจจะเป็นบริษัท แล้วพอฉันไปเต้นรำกับเขาคุณนรินทร์เลยโมโหไปใหญ่ เหมือนถูกแย่งเลขายังไงยังงั้นล่ะมั้ง แต่ฉันก็ไม่ได้มีค่าอะไรสักหน่อย

“นรินทร์คะ” ฉันกับคุณนรินทร์หยุดกึก มองสาวสวยร่างระหงตรงหน้า

คุณถวิกา....

คุณนรินทร์บีบแขนฉันแรงขึ้น แล้วพยายามพาฉันเดินผ่านหล่อนไป แต่คุณถวิกาไม่ยอม เธอขวางคุณนรินทร์ไว้

“ขอวิพูดอะไรกับคุณหน่อยได้ไหมคะ นะคะ” หล่อนขอร้อง ฉันเห็นแล้ว ยายทับทิมหลบอยู่ตรงเสาข้างหน้านั่นเอง

คุณนรินทร์ทำทีมองออกไปข้างนอก แล้วปล่อยมือจากแขนฉัน “ว่ามา ผมมีเวลาไม่มาก” เสียงเขาเหี้ยมเกรียมเชียว
“ขอวิคุยส่วนตัวได้ไหมคะ”

“ไม่จำเป็น เธอคนนี้เป็นเลขาคนสนิทของผม เธอสามารถรู้ได้ทุกอย่าง” ฉันกลืนน้ำลายดังเอื๊อก อยากจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด

คุณถวิกายังคงวางท่าสง่างาม เธอสวยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สมเป็นรองนางสาวไทยจริงๆ

“ก็ได้ค่ะ นรินทร์คะ วิยังลืมคุณไม่ได้ แล้วคุณก็คงยังไม่ลืมวิเหมือนกัน แล้วเราจะทำร้ายจิตใจกันไปทำไมคะ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรือ” แล้วเธอก็น้ำตาคลอเบ้า

คุณนรินทร์ยังคงใจแข็งไม่มองเธอเช่นเดิม “ผมลืมคุณไปนานแล้ว ตั้งแต่วันที่คุณออกจากบริษัทผมไป ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ลาก่อน”

“ไม่จริง!” หล่อนค้านเสียงสูง “ถ้าคุณลืมวิ ทำไมคุณไม่มีใครใหม่ล่ะคะ แปลว่าคุณรักใครไม่ได้อีกแล้ว ยอมรับมาเถอะว่าคุณยังไม่ลืมวิ ต่อไปถ้าคุณยังไม่มีใคร วิ ก็จะตามคุณตลอดไป เพราะ...วิรักคุณ”

คุณนรินทร์ไม่ฟัง แต่ลากตัวฉันแล้วเดินไปขึ้นรถโดยเร็ว เขากัดฟันกรอด

“ทุกคนบังคับให้ผมต้องเลือกใครสักคนอย่างนั้นเหรอ”

จากนั้นฉันกับเขาก็เงียบมาตลอดทาง บรรยากาศอึมครึมสุดๆ ฉันสงสารเจ้านายจริงๆ แต่จะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ เขายังลืมคุณถวิกาไม่ได้จริงหรือเปล่า

แล้วรถก็มาจอดหน้าบ้านฉัน
“เอ่อ คุณอย่าพึ่งไปนะคะ ฉันมีของจะให้ค่ะ” ฉันรีบกระวีกระวาดขึ้นไปหยิบรูปภาพข้างบน ไม่ได้สังเกตว่าแม่นั่งอยู่ที่ห้องอาหาร

พอลงมาคุณนรินทร์ก็ออกมายืนนอกรถ ฉันยื่นรูปภาพออกไป
“นี่ค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ ยิ้มเข้าไว้ เดี๋ยวเรื่องร้ายๆก็ผ่านไปเองแหละค่ะ” เขารับภาพไปอย่างงงๆ พูดพึมพำว่าขอบใจ

“เอาไปติดไว้ในห้องทำงานสิคะ ห้องจะน่าอยู่มากขึ้นอีก”

คราวนี้เขายิ้มจางๆ แล้วฉันก็นึกอะไรออก “คุณคะ ขอฉันถามอะไรหน่อยสิคะ”

เขาเงียบไปนิดหนึ่ง “ถามมาสิ”

“ถ้าสมมติว่าคุณป็นศิลปินไส้แห้งอยู่ คุณชอบวาดรูปมาก แต่ไม่ค่อยได้เงินจากมัน แล้วอยู่ดีดีคุณก็ได้งานบริษัทที่มั่นคง คุณจะทำอย่างไรคะ”

เขามองฉันงงๆ ประมาณว่าถามอะไรเนี่ย “ผมก็ต้องกลับมาทำงานที่มั่นคงน่ะซิ”

ฉันอึ้ง “แสดงว่าศิลปะสำหรับคุณเป็นเพียงการฆ่าเวลาเหรอคะ”

เขาดูประหลาดใจในคำถามมากขึ้น

“จะให้ผมตอบอย่างไรดีล่ะ ผมไม่ได้สนใจศิลปะเท่าไรหรอก แต่ถ้าผมชอบอะไรมากๆ สมมติว่าถ้าเป็นศิลปะ ผมคงไม่คิดว่ามันเป็นการฆ่าเวลา แต่คนเราต้องกินต้องใช้ ผมเลยกลับมาทำงานที่มั่นคง ถ้าพอมีเวลาว่างผมคงหาโอกาสอยู่กับมัน อย่าคิดว่าถ้าเราทำอะไรเป็นงานอดิเรกแล้วสิ่งนั้นคือการฆ่าเวลาสิ มันคือความสุขต่างหาก” แล้วเขาก็เริ่มหาว

“คุณถามอะไรเนี่ย ผมไปล่ะนะ เรื่องวันนี้อย่าบอกใครล่ะ” แล้วเขาก็ขึ้นรถไป

“เดี๋ยวค่ะคุณ แล้วคุณจะหาโอกาสเมื่อไหร่ล่ะคะ โอกาสที่ว่างน่ะค่ะ”

“ก็ทุกทีเมื่อว่างน่ะซิ เสาร์ อาทิตย์ คุณสิดี คุณนี่ยังไง ผมไปล่ะ” แล้วเขาก็ขึ้นรถขับออกไป

ฉันมองตามรถหรูคันใหญ่ที่จากไป...ฉันเป็นคนอย่างเขานี่นา! ไม่ใช่คนอย่างคุณจิทัศน์สักหน่อย คนเราต้องกินต้องใช้ และที่สำคัญ มันคือความสุข ไม่ใช่การฆ่าเวลา หาโอกาสอยู่กับศิลปะ ทุกเสาร์อาทิตย์!!!! ฉันได้คำตอบแล้ว!!!! คุณนรินทร์ขอให้เรื่องร้ายๆของคุณผ่านไปทีเถอะ!!!

ฉันเลยเดินยิ้มโล่งใจเข้าบ้าน แต่พอฉันกลับเข้ามา ฉันรู้สึกราวกับว่าเรื่องร้ายๆกำลังเกิดขึ้นกับฉัน บรรยากาศในบ้านออกจะพิกล แม่นั่งสะอื้นอยู่ที่ห้องทานข้าว เกิดอะไรขึ้นหรือ

“แม่คะ...” สิ้นเสียงฉัน แม่หันมาตาบวม น้ำตานองหน้า

“สิดี...แม่ถูกฟ้อง เขาหาว่าแม่ไปก็อปปี้งานคนอื่น”









ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2555, 23:27:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2555, 23:27:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 2053





<< ก่อนเวลา   ซุบซิบ >>
konhin 15 เม.ย. 2555, 04:42:56 น.
โห ลงท้ายได้แรงมากๆ เรื่องก๊อปเนี่ยเรื่องใหญ่เลย


goldensun 15 เม.ย. 2555, 07:19:43 น.
ไม่น่าที่จะต้องกลัวนะคะ เรื่องก๊อปปี้ ของอย่างนี้พิสูจน์ได้ คุณนรินทร์สิ จะหาทางออกยังไง สิดีจะต้องเป็นตัวช่วยรัึ เปล่า


ling 15 เม.ย. 2555, 11:03:15 น.
สงสัยงานนี้สิดีต้องเป็นตัวช่วยอีกแน่เลย อิอิ


pattisa 15 เม.ย. 2555, 14:57:51 น.
เเจ้กกี้พี่ของนรินทร์ป่ะเนี่ย :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account