ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy
ตอน: ซุบซิบ
ตอนที่ 17
“อะไรนะคะ!” ฉันถามเสียงสูง
“งาน best seller ของแม่น่ะสิ เมื่อวานแม่ไปที่บริษัท บ.ก. บอกแม่ว่าเจ้าของหนังสือเรื่องหนึ่งเขาส่งทนายมาขู่ว่าจะฟ้องแม่ เพราะเนื้อหาในหนังสือของแม่ไปเหมือนกับของเขา แล้วเขาบอกว่าหนังสือเขาน่ะพิมพ์ออกมาก่อนตั้งนานแล้ว เขาบอกให้เตรียมตัวหาทนายมาได้เลย เขาฟ้องแน่ๆ” แล้วแม่ก็ร้องไห้ใหญ่
มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นนี่ แม่เนี่ยนะ แม่ที่สร้างสรรค์ผลงาน master piece จนได้รับการตีพิมพ์ 3-4 ครั้ง ในที่สุดก็เป็นหนังสือ best seller แม่ที่ไม่มีทางจะลอกงานใครอยู่แล้ว แม่ของฉันเนี่ยนะ!!!!
“ใจเย็นๆก่อนนะคะแม่ แล้วเราไม่ได้ทำจริงนี่คะ พอจะมีหนทางสู้บ้างไหมคะ”
แม่สะอื้นฮักๆ อยู่พักใหญ่ “แม่ต้องจ้างทนายมือดีสักคน แต่คงต้องใช้เงินมากนี่ล่ะสำคัญ แม่จะไปหาเงินมาจากไหนกัน”
“เงินเหรอคะ...หนูก็ยังไม่มีเงินเก็บเสียด้วย โถ่ แม่คะ ทำไมเราโชคร้ายอย่างนี้”
“นั่นสิลูก แม่บริสุทธ์แท้ๆ นี่เกิดแม่แพ้คดี เขาคงเรียกค่าเสียหายแพงน่าดู แม่ไม่มีปัญญาใช้แน่ๆ”
โถ่...ฉันเข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรกัน แต่ต้องมีทางออกบ้างสิ
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องเงินกับทนายเดี๋ยวหนูจัดการเอง แม่เตรียมหลักฐานให้พร้อมเถอะค่ะ” แล้วฉันก็เช็ดน้ำตาให้แม่ จากนั้นก็พาขึ้นนอน
“คืนนี้แม่หลับให้สบายก่อนนะคะ หนูคิดว่าเราพอมีทางค่ะ” แล้วฉันก็ผละออกไป
ตอนนี้ถ้าเทียบระหว่างฉันกับคุณนรินทร์ คงพูดได้ยากว่าใครมีความทุกข์มากกว่ากัน
เช้าวันต่อมา แม่หยุดร้องไห้อย่างถาวร แต่รีบตื่นเช้ามาทอดไข่ดาว เบคอน ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟ ตั้งสำรับตอนเช้า ทำเอาฉันงง เพราะเรา 2 คนแม่ลูกไม่เคยกิน American breakfast ฉันตื่นลงมาอย่างสลึมสลือ เพราะคิดหาวิธีช่วยแม่เสียดึกดื่น แต่ภาพที่เห็นก็อย่างที่บอก...แม่อยู่ในชุดทำงาน เตรียมอาหารให้ฉันเสร็จ ก็ดื่มกาแฟรวดเดียวหมดแก้ว
“แม่ไปล่ะ แม่ต้องเข้มแข็ง” แล้วแม่ก็ออกจากบ้านไป
ฉันงงเล็กน้อยแต่ก็...เยี่ยมไปเลยค่ะแม่ ถ้าเราอ่อนแอ ทุกอย่างก็จบ หนูก็จะหาทางช่วยแม่ให้ถึงที่สุดเลยค่ะ จากนั้นฉันก็ทานอาหารเช้า แล้วรีบไปทำงาน วันนี้วันศุกร์ ฉันเลยเจอคุณนรินทร์ที่ BTS เราทักทายกันตามปกติ แต่จากนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เพราะฉันก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง แล้วเขาก็เช่นกัน
พอถึงที่ทำงาน เมื่อเรา 2 คน เดินเข้าไปในออฟฟิศ พนักงานที่เกาะกลุ่มคุยกันอยู่ก็แตกกระเจิง แล้วมองเรา 2 คนแปลกๆ แต่ฉันกับคุณนรินทร์ก็ไม่ได้สะกิดใจอะไร เรา 2 คนจึงนั่งประจำที่ทำงานของตัวเองโดยปกติ
ฉันเริ่มตั้งต้นเปิดดูหมายกำหนดการของวันนี้ มีประชุม 2 ครั้ง คือตอนบ่ายโมงนอกสถานที่และบ่าย 3 ที่บริษัทตัวเอง ส่วนช่วงเช้าฝ่ายโฆษณากับฝ่ายการบัญชี นัดส่งเอกสารให้อนุมัติ และตอนนี้ฉันก็ต้องพิมพ์เอกสาร 2- 3 ฉบับ
สักพักก็มีโทรศัพท์ประดังเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการขอนัดประชุม การเลื่อนนัด นัดเจรจาธุรกิจ หรือบริษัทการเงินต่างๆทวงหนี้ตามกำหนด
ขณะที่ฉันติดสายขอเลื่อนการส่งคืนเงินต้นกับเงินดอกให้ธนาคารรายใหญ่ พนักงานฝ่ายขายก็เข็นเอกสารกองเท่าภูเขาเข้ามา
“คุณสิดี ผมขอพบท่านประธานด้วยครับ”
ฉันพยักหน้าให้ แล้วพูดกับคนในโทรศัพท์ “สักครู่นะคะ” จากนั้นกดปุ่มแดงต่อสายภายในหาเจ้านาย
“ฝ่ายขายมาแล้วค่ะ”
“เชิญเข้ามา”
“เข้าไปได้เลยค่ะ เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องอะไรนะคะ” ฉันหันไปบอกฝ่ายขายก่อนจะกดปุ่มเข้าไปคุยกับสายปกติ
“เราจะรีบทำตามอย่างแน่นอนค่ะ แต่คงต้องส่งเรื่องไปที่ฝ่ายบัญชีก่อน แค่นี้ก่อนนะคะ มีอีกสายเข้ามาค่ะ” ฉันพูดอย่างรวดเร็วแล้วกดรับสายซ้อนที่เข้ามาใหม่
“สวัสดีค่ะบริษัทนราธรค่ะ” ฉันพูดอย่างอัตโนมัติ แต่สายตามองจอคอมพิวเตอร์ ส่วนมือก็กดแป้นพิมพ์ไม่หยุด ตอนนี้หลังจากที่ทำงานที่นี่มาได้เกือบครึ่งปี ฉันเริ่มมีความสามรถพิเศษคือแยกประสาทสัมผัสออกได้หลายส่วน และไม่เอาเรื่องที่คุยในโทรศัพท์ หรือเรื่องที่คิดอยู่ใส่ลงไปในเอกสารได้แล้ว
ตอนนี้งานยุ่งและรัดตัวเหลือเกินจนฉันไม่มีเวลามาคิดช่วยหาทางให้แม่ ฉันต้องหาเงินสักก้อนให้ได้ก่อนแหละน่า แต่จะยืมเงินจากใครได้ล่ะ หนูเล็ก! ถ้าเป็นหนูเล็กน่าจะช่วยฉันได้บ้าง เธอทำธุรกิจของตัวเองน่าจะมีเงินเก็บพอตัวอยู่ เย็นนี้ถ้าไม่ติดอะไรฉันจะไปหาเธอให้ได้
“ขอโทษนะครับท่านประธานอยู่ที่ห้องไหนครับ” ฉันหันไปมองตามเสียง เห็นชายวัยกลางคนแต่งตัวในเสื้อเชิ้ตมอๆ กางเกงแสล็คตัวเก่า และหมวกแก๊ป มือขวาถือกล่องเครื่องมือ พร้อมหอบหิ้วกรอบรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
“ห้องนี้ค่ะ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” เนื่องจากการแต่งตัวอย่างนี้คงไมได้เจรจาธุรกิจเป็นแน่
“ท่านประธานนัดผมให้มาติดตั้งรูปภาพน่ะครับ” เขาตอบแล้วยิ้ม ใบหน้าที่คล้ำแดดและรอยย่น แสดงให้เห็นว่ากรำงานมาหนัก
หา?...นัดมาทำอะไรนะ แล้วฉันก็ร้องอ๋อ “ภาพดอกทิวลิปเหรอคะ”
“ครับ ท่านสั่งให้ผมใส่กรอบรูปเมื่อคืนนี้แล้วนัดให้มาติดผนังวันนี้น่ะครับ”
“สักครู่นะคะ” แล้วฉันก็ต่อสายตรงเข้าไปหาคุณนรินทร์ “คุณคะ ช่างมาติดตั้งภาพแล้วค่ะ”
“มาแล้วเหรอ อนุญาตให้เขาเข้ามาได้เลย แล้วนี่คุณสิดี คุณส่งคืนเอกสารของฝ่ายขายให้คุณบวรด้วยล่ะ” แล้วเขาก็วางสายไป
“เข้าไปได้เลยค่ะ” ฉันบอกคุณช่าง แล้วเขาก็หอบหิ้วสำภาระเดินเข้าไป จังหวะเดียวกับที่บวรฝ่ายขายเดินออกมา พร้อมเอกสาร 5-6 แฟ้มได้ล่ะมั้ง สูงท่วมหัวเชียว ทั้งคุณช่างและบวร เลยหลบซ้ายหลีกขวา เดินชนกันอยู่ได้ ก่อนจะตกลงหาช่องทางที่ถูกต้องเดินกันคนละด้าน แต่โชคร้าย เจ้ากรรมที่ พิณฝ่ายบัญชีซึ่งขี้วีนที่สุด เดินควงเอกสารมาอย่างสบายอารมณ์แฟ้มเดียว ชนเข้ากับบวรที่มองไม่เห็นทางเนื่องจากแฟ้มเอกสารบังหมด
“ว้าย!” พิณร้องลั่นล้มลงไปกองกับเอกสารของเธอและของบวรบางส่วน ฉันจะรีบลุกขึ้นไปช่วยแล้ว แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก เลยปล่อยให้บวรโดนยายพิณบ่นเละไปคนเดียว
“สวัสดีค่ะบริษัทนราธรค่ะ”
“นั่นวัดบวรเหรอคะ” เสียงหญิงแก่ดังมาตามสาย
“เอ่อไม่ใช่ค่ะ บริษัทนราธรค่ะ”
“อ้อ งั้นขอสายเจ้าอาวาสด้วยจ้ะแม่หนู เดี๋ยวนี้เข้าให้สีการับโทรศัพท์ในห้องเจ้าอาววาสแล้วเหรอ”
“เอ่อ..คุณยายคงโทรผิดแล้วล่ะค่ะ แค่นี้นะคะ” ให้ตายสิ นอกจากจะโทรมาผิดแล้วยังหูไม่ดีอีกต่างหาก แล้วฉันก็รีบวางไป พอดีกับที่พิณฉะนายบวรเสียเละก่อนที่เธอจะยิ้มให้ฉันแล้วเดินเข้าไปส่งเอกสาร
โทรศัพท์ดังอีก “ขอสายคุณวินด้วยค่ะ” เสียงเด็กสาวพูดขึ้น
“ที่นี่หน้าห้องคุณนรินทร์ค่ะ สงสัยคงโทรผิดแล้วล่ะค่ะ” ให้ตายสิ ฉันไม่ใช่ชุมสายโทรศัพท์นะยะ
“ไม่ผิดย่ะ วินเขาให้เบอร์นี้มากับฉัน หล่อนแอบเขาไว้ล่ะสิ” โอ๊ยแม่เจ้าพระคุณรุนช่อง
อยากจะต่อปากต่อคำเหมือนกันแต่คุณนรินทร์สั่งไว้ว่าให้พูดดีกับทุกคน
“คุณโทรผิดจริงๆค่ะ ลองโทรเข้าจอสอร้อยให้หาให้สิคะ” แล้วฉันก็วางไป นี่มันขัดขวางการทำงานกันชัดๆ
โทรศัพท์ดังอีกแล้ว ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่อาจจะเป็นเรื่องงานจริงๆ
“ลูกพี่ เราคงต้องเปลี่ยนแผน ไอ้นั่นมันรู้ตัวแอบหนีไปเขมรแล้ว” เสียงพี่เหี้ยมที่ไหนไม่รู้โทรเข้ามา
“นี่พี่ ถ้าไม่อยากให้ตำรวจจับก็โทรให้ถูกเบอร์หน่อย!” แล้วฉันก็กระแทกโทรศัพท์โครม เลิกสนใจกับโทรศัพท์บ้าบอแล้วนั่งพิมพ์งานต่อไป แต่ไม่วาย โทรศัพท์ดังอีกแล้ว พร้อมกับที่คุณช่างเดินขนของออกมาแล้วยิ้มให้ฉันก่อนจะเดินจากไป
“นี่ถ้าคิดว่าจะโทรถูกนะ ฉันขอบอกว่าคุณโทรผิด!” ฉันตะคอกใส่โทรศัพท์ เรื่องของแม่ยังทำให้ฉันอารมณ์เสียไม่พอใช่ไหม
“คุณสิดี ผมคงไม่ได้โทรผิดใช่ไหม” ว้าย! นี่มันเสียงคุณนรินทร์นี่นา ฉันโมโหจนลืมสังเกตว่าเสียงโทรศัพท์อันนี้มันเป็นเสียงภายใน
ฉันรีบเปลี่ยนอารมณ์ทันที
“เอ่อ...ถูกค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โทรหาบวรฝ่ายขายบอกว่าเขาหยิบแฟ้มของคุณพิณผิดไป แล้วให้รีบเอามาเปลี่ยนด้วย” แล้วเขาก็วางโทรศัพท์ไป ซวยแล้วทรัพย์สิดีเอ๋ย
ฉันไม่รีรอรีบโทรหาบวรแล้วพิมพ์งานต่อทันที ไม่นานบวรก็มาเขาหยุดยืนหน้าห้องสักครู่แล้วเอามือปาดเหงื่อทำใจ ก่อนจะเดินเข้าไป ฉันรู้ เขาไม่ได้กลัวคุณนรินทร์หรอก กลัวยายพิณจอมโวยต่างหาก จากนั้นทุกอย่างก็ราบรื่น เมื่อบวรและพิณเดินเถียงกันออกมาจากห้องท่านประธาน ฉันรับโทรศัพท์อีกแค่ครั้งสองครั้งก่อนจะส่งสายตรงให้คุณนรินทร์ พิมพ์งานที่เหลือ พอเที่ยงตรงภารกิจช่วงเช้าก็เสร็จทุกอย่าง
ฉันมองนาฬิกาด้วยความเพลีย เมื่อคืนฉันคิดเรื่องแม่จนดึกเลยไม่ค่อยได้นอน แถมยังตื่นเช้าอีก ขอฉันหลับตาสักครู่ละกันนะ ขอแค่ 5 นาทีแล้วฉันจะไปกินข้าว แล้วเตรียมตัวประชุมช่วงบ่าย...คร่อก
“สิดี!!ตื่น!!!” นั่นใครมาทำอะไรน่ะ แล้วฉันก็ตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือ มองนลินที่ปลุกฉัน แล้วเช็ดน้ำลายมุมปาก
“นี่มันเที่ยงครึ่งแล้วนะ เธอยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย แล้วกรนดังออกลั่นไป”
หา!!!! เที่ยงครึ่งแล้วเรอะ!!! ฉันลุกพรวดพราด
“คุณนรินทร์ล่ะ ออกมาหรือยัง ตายแล้วๆๆๆๆ” ฉันโวยวาย ก็เราต้องไปประชุมข้างนอกกันตอนบ่ายโมงน่ะสิ
“ยังไม่ออกมาเหมือนกัน ตอนบ่ายเธอต้องรีบไปไหนเหรอ” นลินถาม แต่ฉันคงไม่ได้ยินและไม่สนใจ ฉันรีบผลักประตูเข้าห้องคุณนรินทร์ไปอย่างรวดเร็ว
“คุณคะ!!!เที่ยงครึ่งแล้วค่ะ!!!” ฉันตะโกนลั่นไม่ทันสังเกตว่าเขาก็หลับอยู่เหมือนกัน คุณนรินทร์ก้มหน้าหลับลงไปกับโต๊ะ กองเอกสารยังคงวางเกลื่อนกลาด จอคอมพิวเตอร์ก็เปิดค้างไว้ ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงสับสน แต่มีเพียงสิ่งเดียวในห้องที่ดูสงบสุข ภาพทุงดอกทิวลิปวาดด้วยสีน้ำมันของแจ๊กกี้ที่ติดตั้งอยู่ข้างหลังเขานั่นเอง ฉันบอกแล้ว รูปภาพทำให้ห้องนี่น่าอยู่มากขึ้น
เขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นเหมือนฉันเปี๊ยบ เพียงแต่ไม่กรนและไม่น้ำลายเยิ้ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง สูทถอดออกและเนคไทถูกปลดอย่างหลวมๆที่คอ สภาพเขาตอนนี้ดูจะไม่พร้อมประชุมเอาเสียเลย เขาจ้องฉันอย่างงงๆ
ฉันพูดเตือนสติเขาอีกที “เที่ยงครึ่งแล้วค่ะ”
เขาทำหน้าตกใจแล้วรีบลุกพรวดควานหาเอกสารที่ต้องใช้ “ทำไมคุณไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้!!!”
ฉันรีบเข้าไปช่วยเขาเตรียมเอกสาร “คือ...ฉันก็เผลอหลับเหมือนกันค่ะ”
พอเตรียมเอกสารเสร็จ เขาก็รีบไปยืนส่องกระจกบานใหญ่หวีผม “คุณช่วยหยิบสูทให้ผมหน่อย” ฉันเลยรีบไปหยิบมาใส่ให้เขา แต่เขายังคงสาละวนหวีผมยุ่งๆอยู่นั่นแหละ มันดูไม่เป็นทรงเอาเสียเลย ฉันเห็นว่าจะช้าไปใหญ่เลยเข้าไปจัดเนคไทที่คอให้ พอดีกับที่พนักงานคนไหนไม่รู้เปิดประตูเข้ามาส่งเอกสาร แล้วยืนค้างอยู่ตรงนั้นมองเราสองคนที่กำลังช่วยแต่งตัวกันอยู่
“เอ่อ...ดิฉันไม่ได้จะมารบกวนนะคะ” หล่อนพูดแล้วรีบวางเอกสารไว้บนตะก่อนจะรีบเผ่นออกมาจากห้อง ฉันและคุณนรินทร์มองกันอย่างงงๆ แล้วเราก็ช่วยกันคว้ากองเอกสารก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกออฟฟิศไป ฉันสังเกตว่าตอนเรา 2 คน ออกจากห้องคุณนรินทร์พวกพนักงานที่จับกลุ่มคุยอยู่ก็แตกกระเจิง ก่อนจะซุบซิบมองเรา 2 คนเหมือนเมื่อเช้า คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“ผมคิดเรื่องเมื่อคืนจนดึกน่ะเลยไม่ค่อยนอน ตอนเช้าก็ตื่นเร็วอีก” เขาอธิบายอย่างหอบๆในรถ
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ตอนเช้าดันตื่นเร็วเสียด้วยเลยเผลอหลับไป ขอโทษนะคะ”
แล้วเขาก็จ้องฉัน “คุณคิดเรื่องผมเหรอเมื่อคืนน่ะ”
“อ๋อเปล่าค่ะ เอ่อ คุณคงยังไม่ทราบสินะคะ แม่ฉันโดนฟ้องเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์น่ะค่ะ”
ฉันอธิบายอะไรไม่ได้มาก รถก็มาจอดเทียบที่ที่เราต้องเข้าประชุมแล้ว
ภารกิจช่วงบ่ายผ่านไปด้วยดี เสียก็แต่ท้องดันร้องหิวข้าวกลางวันตอนประชุมนอกสถานที่แต่ค่อยยังชั่วหน่อยพอประชุมเสร็จคุณนรินทร์ดันหายตัวไป กลับมาอีกทีพร้อมนมกับขนมปังจาก เซเว่น...เขาก็แอบใจดีนะเนี่ยและที่สำคัญฉันเผลอหลับแล้วกรนเสียงดังตอนประชุมที่บริษัทตัวเอง น่าขายหน้าชะมัด คุณนรินทร์เทศน์ฉันใหญ่ โถ่...ฉันก็ไม่ได้อยากกรนเสียหน่อย แต่ใครมันจะรู้ตัวล่ะ!!!!
พอเลิกงานฉันรีบเก็บของล่ำลาเจ้านายแล้วบึ่งไปหาหนูเล็กทันที
“รอด้วยค่ะ!!!!” ฉันวิ่งกระหืดกระหอบไปที่ลิฟท์ที่กำลังจะปิด
คนในลิฟท์มองฉันแล้วซุบซิบกันแปลกๆ
“ขอบโทษค่ะ” แล้วฉันก็รีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟท์ที่คนอยู่เต็ม
“คุณสิดี ยินดีด้วยนะคะ ที่ได้เลื่อนขั้นแล้ว” เสียงพนักงานสาวที่ยืนติดกับฉันพูดขึ้น
“เลื่อนขั้นอะไรเหรอคะ” ฉันถามงงๆ
“ก็เลื่อนจากเลขาหน้าห้องไปเป็นเลขาในใจยังไงล่ะคะ” แล้วทั้งลิฟท์ก็หัวเราะคิกคักพร้อมกัน
เอ่อ...อะไรเหรอ ไม่เห็นตลกเลย มุขฝืดจัง “ในใจใครเหรอคะ”
“แหม...ก็ในใจท่านประธานไงล่ะคะ” แล้วลิฟท์ก็เปิดออก ทุกคนรีบกรูกันออกไป ปล่อยให้ฉันยืนงงอยู่ในลิฟท์คนเดียว อ๋อ ที่ทุกคนคอยซุบซิบกันทั้งเช้า กลางวัน เย็น ก็คือเรื่องของฉันกับคุณนรินทร์หรอกเหรอ...แย่แล้วพี่น้อง เข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่า
แต่อย่าพึ่งเอาเรื่องนี้มาหนักใจดีกว่านะ เพราะมันไม่มีอะไรสักหน่อย เรื่องแม่ฉันสำคัญกว่า
ที่ห้องเสื้อของหนูเล็ก
“อะไรนะ!!! ถูกฟ้องว่าละเมิดลิขสิทธิ์ ตายๆ ฉันรู้สิดี คุณแม่เธอน่ะไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ ฉันก็พอมีเงินให้ยืมอยู่หรอกนะ แต่คงมากไม่ได้ เพราะฉันเพิ่งสั่งผ้าล็อตใหม่มาเต็มเลย เดี๋ยวก็ต้องจ่ายอีกแล้ว แล้วทีนี้จะทำไงดีล่ะ”
หนูเล็กพูดเป็นเดือดเป็นร้อนแทน “ฉันพอรู้จักทนายฝีมือดีอยู่บ้างนะ แต่ค่าใช้จ่ายคงสูงมากเลยล่ะ เงินที่ฉันให้เธอคงไม่พอหรอก”
“โถ่....ทำไงดีล่ะหนูเล็ก”
หนูเล็กทำท่าคิดหนัก ก่อนจะเบิกตาโตแบบนึกอะไรดีดีขึ้นมาได้ “นี่...ทำไมเธอไม่ลองคุยกับคุณนรินทร์ดูล่ะ เขาน่ะออกจะมีเงินเหลือเฟือ” หนูเล็กเสนอ
“หวาย...อย่าดีกว่า เขาใจดีก็จริงนะ แต่เรื่องอย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นหนี้บุญคุณกันหัวโตพอดี”
หนูเล็กเท้าสะเอว “ระหว่างยอมเป็นหนี้บุญคุณหัวโตกับแม่เธอถูกฟ้องจนหัวโต จะเลือกแบบไหน”
ฉันสะอึก หนูเล็กพูดถูก แต่ให้ฉันไปขอความช่วยเหลือจากเขาเนี่ยนะ ยิ่งเขาชอบว่าว่าฉันเป็นพวกเห็นแก่เงิน สร้างความวุ่นวายให้เขา แถมวันนี้ยังกรนในที่ประชุมอีก เขาจะช่วยฉันง่ายๆเหรอ
“อะไรนะคะ!” ฉันถามเสียงสูง
“งาน best seller ของแม่น่ะสิ เมื่อวานแม่ไปที่บริษัท บ.ก. บอกแม่ว่าเจ้าของหนังสือเรื่องหนึ่งเขาส่งทนายมาขู่ว่าจะฟ้องแม่ เพราะเนื้อหาในหนังสือของแม่ไปเหมือนกับของเขา แล้วเขาบอกว่าหนังสือเขาน่ะพิมพ์ออกมาก่อนตั้งนานแล้ว เขาบอกให้เตรียมตัวหาทนายมาได้เลย เขาฟ้องแน่ๆ” แล้วแม่ก็ร้องไห้ใหญ่
มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นนี่ แม่เนี่ยนะ แม่ที่สร้างสรรค์ผลงาน master piece จนได้รับการตีพิมพ์ 3-4 ครั้ง ในที่สุดก็เป็นหนังสือ best seller แม่ที่ไม่มีทางจะลอกงานใครอยู่แล้ว แม่ของฉันเนี่ยนะ!!!!
“ใจเย็นๆก่อนนะคะแม่ แล้วเราไม่ได้ทำจริงนี่คะ พอจะมีหนทางสู้บ้างไหมคะ”
แม่สะอื้นฮักๆ อยู่พักใหญ่ “แม่ต้องจ้างทนายมือดีสักคน แต่คงต้องใช้เงินมากนี่ล่ะสำคัญ แม่จะไปหาเงินมาจากไหนกัน”
“เงินเหรอคะ...หนูก็ยังไม่มีเงินเก็บเสียด้วย โถ่ แม่คะ ทำไมเราโชคร้ายอย่างนี้”
“นั่นสิลูก แม่บริสุทธ์แท้ๆ นี่เกิดแม่แพ้คดี เขาคงเรียกค่าเสียหายแพงน่าดู แม่ไม่มีปัญญาใช้แน่ๆ”
โถ่...ฉันเข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรกัน แต่ต้องมีทางออกบ้างสิ
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องเงินกับทนายเดี๋ยวหนูจัดการเอง แม่เตรียมหลักฐานให้พร้อมเถอะค่ะ” แล้วฉันก็เช็ดน้ำตาให้แม่ จากนั้นก็พาขึ้นนอน
“คืนนี้แม่หลับให้สบายก่อนนะคะ หนูคิดว่าเราพอมีทางค่ะ” แล้วฉันก็ผละออกไป
ตอนนี้ถ้าเทียบระหว่างฉันกับคุณนรินทร์ คงพูดได้ยากว่าใครมีความทุกข์มากกว่ากัน
เช้าวันต่อมา แม่หยุดร้องไห้อย่างถาวร แต่รีบตื่นเช้ามาทอดไข่ดาว เบคอน ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟ ตั้งสำรับตอนเช้า ทำเอาฉันงง เพราะเรา 2 คนแม่ลูกไม่เคยกิน American breakfast ฉันตื่นลงมาอย่างสลึมสลือ เพราะคิดหาวิธีช่วยแม่เสียดึกดื่น แต่ภาพที่เห็นก็อย่างที่บอก...แม่อยู่ในชุดทำงาน เตรียมอาหารให้ฉันเสร็จ ก็ดื่มกาแฟรวดเดียวหมดแก้ว
“แม่ไปล่ะ แม่ต้องเข้มแข็ง” แล้วแม่ก็ออกจากบ้านไป
ฉันงงเล็กน้อยแต่ก็...เยี่ยมไปเลยค่ะแม่ ถ้าเราอ่อนแอ ทุกอย่างก็จบ หนูก็จะหาทางช่วยแม่ให้ถึงที่สุดเลยค่ะ จากนั้นฉันก็ทานอาหารเช้า แล้วรีบไปทำงาน วันนี้วันศุกร์ ฉันเลยเจอคุณนรินทร์ที่ BTS เราทักทายกันตามปกติ แต่จากนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เพราะฉันก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง แล้วเขาก็เช่นกัน
พอถึงที่ทำงาน เมื่อเรา 2 คน เดินเข้าไปในออฟฟิศ พนักงานที่เกาะกลุ่มคุยกันอยู่ก็แตกกระเจิง แล้วมองเรา 2 คนแปลกๆ แต่ฉันกับคุณนรินทร์ก็ไม่ได้สะกิดใจอะไร เรา 2 คนจึงนั่งประจำที่ทำงานของตัวเองโดยปกติ
ฉันเริ่มตั้งต้นเปิดดูหมายกำหนดการของวันนี้ มีประชุม 2 ครั้ง คือตอนบ่ายโมงนอกสถานที่และบ่าย 3 ที่บริษัทตัวเอง ส่วนช่วงเช้าฝ่ายโฆษณากับฝ่ายการบัญชี นัดส่งเอกสารให้อนุมัติ และตอนนี้ฉันก็ต้องพิมพ์เอกสาร 2- 3 ฉบับ
สักพักก็มีโทรศัพท์ประดังเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการขอนัดประชุม การเลื่อนนัด นัดเจรจาธุรกิจ หรือบริษัทการเงินต่างๆทวงหนี้ตามกำหนด
ขณะที่ฉันติดสายขอเลื่อนการส่งคืนเงินต้นกับเงินดอกให้ธนาคารรายใหญ่ พนักงานฝ่ายขายก็เข็นเอกสารกองเท่าภูเขาเข้ามา
“คุณสิดี ผมขอพบท่านประธานด้วยครับ”
ฉันพยักหน้าให้ แล้วพูดกับคนในโทรศัพท์ “สักครู่นะคะ” จากนั้นกดปุ่มแดงต่อสายภายในหาเจ้านาย
“ฝ่ายขายมาแล้วค่ะ”
“เชิญเข้ามา”
“เข้าไปได้เลยค่ะ เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องอะไรนะคะ” ฉันหันไปบอกฝ่ายขายก่อนจะกดปุ่มเข้าไปคุยกับสายปกติ
“เราจะรีบทำตามอย่างแน่นอนค่ะ แต่คงต้องส่งเรื่องไปที่ฝ่ายบัญชีก่อน แค่นี้ก่อนนะคะ มีอีกสายเข้ามาค่ะ” ฉันพูดอย่างรวดเร็วแล้วกดรับสายซ้อนที่เข้ามาใหม่
“สวัสดีค่ะบริษัทนราธรค่ะ” ฉันพูดอย่างอัตโนมัติ แต่สายตามองจอคอมพิวเตอร์ ส่วนมือก็กดแป้นพิมพ์ไม่หยุด ตอนนี้หลังจากที่ทำงานที่นี่มาได้เกือบครึ่งปี ฉันเริ่มมีความสามรถพิเศษคือแยกประสาทสัมผัสออกได้หลายส่วน และไม่เอาเรื่องที่คุยในโทรศัพท์ หรือเรื่องที่คิดอยู่ใส่ลงไปในเอกสารได้แล้ว
ตอนนี้งานยุ่งและรัดตัวเหลือเกินจนฉันไม่มีเวลามาคิดช่วยหาทางให้แม่ ฉันต้องหาเงินสักก้อนให้ได้ก่อนแหละน่า แต่จะยืมเงินจากใครได้ล่ะ หนูเล็ก! ถ้าเป็นหนูเล็กน่าจะช่วยฉันได้บ้าง เธอทำธุรกิจของตัวเองน่าจะมีเงินเก็บพอตัวอยู่ เย็นนี้ถ้าไม่ติดอะไรฉันจะไปหาเธอให้ได้
“ขอโทษนะครับท่านประธานอยู่ที่ห้องไหนครับ” ฉันหันไปมองตามเสียง เห็นชายวัยกลางคนแต่งตัวในเสื้อเชิ้ตมอๆ กางเกงแสล็คตัวเก่า และหมวกแก๊ป มือขวาถือกล่องเครื่องมือ พร้อมหอบหิ้วกรอบรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
“ห้องนี้ค่ะ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” เนื่องจากการแต่งตัวอย่างนี้คงไมได้เจรจาธุรกิจเป็นแน่
“ท่านประธานนัดผมให้มาติดตั้งรูปภาพน่ะครับ” เขาตอบแล้วยิ้ม ใบหน้าที่คล้ำแดดและรอยย่น แสดงให้เห็นว่ากรำงานมาหนัก
หา?...นัดมาทำอะไรนะ แล้วฉันก็ร้องอ๋อ “ภาพดอกทิวลิปเหรอคะ”
“ครับ ท่านสั่งให้ผมใส่กรอบรูปเมื่อคืนนี้แล้วนัดให้มาติดผนังวันนี้น่ะครับ”
“สักครู่นะคะ” แล้วฉันก็ต่อสายตรงเข้าไปหาคุณนรินทร์ “คุณคะ ช่างมาติดตั้งภาพแล้วค่ะ”
“มาแล้วเหรอ อนุญาตให้เขาเข้ามาได้เลย แล้วนี่คุณสิดี คุณส่งคืนเอกสารของฝ่ายขายให้คุณบวรด้วยล่ะ” แล้วเขาก็วางสายไป
“เข้าไปได้เลยค่ะ” ฉันบอกคุณช่าง แล้วเขาก็หอบหิ้วสำภาระเดินเข้าไป จังหวะเดียวกับที่บวรฝ่ายขายเดินออกมา พร้อมเอกสาร 5-6 แฟ้มได้ล่ะมั้ง สูงท่วมหัวเชียว ทั้งคุณช่างและบวร เลยหลบซ้ายหลีกขวา เดินชนกันอยู่ได้ ก่อนจะตกลงหาช่องทางที่ถูกต้องเดินกันคนละด้าน แต่โชคร้าย เจ้ากรรมที่ พิณฝ่ายบัญชีซึ่งขี้วีนที่สุด เดินควงเอกสารมาอย่างสบายอารมณ์แฟ้มเดียว ชนเข้ากับบวรที่มองไม่เห็นทางเนื่องจากแฟ้มเอกสารบังหมด
“ว้าย!” พิณร้องลั่นล้มลงไปกองกับเอกสารของเธอและของบวรบางส่วน ฉันจะรีบลุกขึ้นไปช่วยแล้ว แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก เลยปล่อยให้บวรโดนยายพิณบ่นเละไปคนเดียว
“สวัสดีค่ะบริษัทนราธรค่ะ”
“นั่นวัดบวรเหรอคะ” เสียงหญิงแก่ดังมาตามสาย
“เอ่อไม่ใช่ค่ะ บริษัทนราธรค่ะ”
“อ้อ งั้นขอสายเจ้าอาวาสด้วยจ้ะแม่หนู เดี๋ยวนี้เข้าให้สีการับโทรศัพท์ในห้องเจ้าอาววาสแล้วเหรอ”
“เอ่อ..คุณยายคงโทรผิดแล้วล่ะค่ะ แค่นี้นะคะ” ให้ตายสิ นอกจากจะโทรมาผิดแล้วยังหูไม่ดีอีกต่างหาก แล้วฉันก็รีบวางไป พอดีกับที่พิณฉะนายบวรเสียเละก่อนที่เธอจะยิ้มให้ฉันแล้วเดินเข้าไปส่งเอกสาร
โทรศัพท์ดังอีก “ขอสายคุณวินด้วยค่ะ” เสียงเด็กสาวพูดขึ้น
“ที่นี่หน้าห้องคุณนรินทร์ค่ะ สงสัยคงโทรผิดแล้วล่ะค่ะ” ให้ตายสิ ฉันไม่ใช่ชุมสายโทรศัพท์นะยะ
“ไม่ผิดย่ะ วินเขาให้เบอร์นี้มากับฉัน หล่อนแอบเขาไว้ล่ะสิ” โอ๊ยแม่เจ้าพระคุณรุนช่อง
อยากจะต่อปากต่อคำเหมือนกันแต่คุณนรินทร์สั่งไว้ว่าให้พูดดีกับทุกคน
“คุณโทรผิดจริงๆค่ะ ลองโทรเข้าจอสอร้อยให้หาให้สิคะ” แล้วฉันก็วางไป นี่มันขัดขวางการทำงานกันชัดๆ
โทรศัพท์ดังอีกแล้ว ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่อาจจะเป็นเรื่องงานจริงๆ
“ลูกพี่ เราคงต้องเปลี่ยนแผน ไอ้นั่นมันรู้ตัวแอบหนีไปเขมรแล้ว” เสียงพี่เหี้ยมที่ไหนไม่รู้โทรเข้ามา
“นี่พี่ ถ้าไม่อยากให้ตำรวจจับก็โทรให้ถูกเบอร์หน่อย!” แล้วฉันก็กระแทกโทรศัพท์โครม เลิกสนใจกับโทรศัพท์บ้าบอแล้วนั่งพิมพ์งานต่อไป แต่ไม่วาย โทรศัพท์ดังอีกแล้ว พร้อมกับที่คุณช่างเดินขนของออกมาแล้วยิ้มให้ฉันก่อนจะเดินจากไป
“นี่ถ้าคิดว่าจะโทรถูกนะ ฉันขอบอกว่าคุณโทรผิด!” ฉันตะคอกใส่โทรศัพท์ เรื่องของแม่ยังทำให้ฉันอารมณ์เสียไม่พอใช่ไหม
“คุณสิดี ผมคงไม่ได้โทรผิดใช่ไหม” ว้าย! นี่มันเสียงคุณนรินทร์นี่นา ฉันโมโหจนลืมสังเกตว่าเสียงโทรศัพท์อันนี้มันเป็นเสียงภายใน
ฉันรีบเปลี่ยนอารมณ์ทันที
“เอ่อ...ถูกค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โทรหาบวรฝ่ายขายบอกว่าเขาหยิบแฟ้มของคุณพิณผิดไป แล้วให้รีบเอามาเปลี่ยนด้วย” แล้วเขาก็วางโทรศัพท์ไป ซวยแล้วทรัพย์สิดีเอ๋ย
ฉันไม่รีรอรีบโทรหาบวรแล้วพิมพ์งานต่อทันที ไม่นานบวรก็มาเขาหยุดยืนหน้าห้องสักครู่แล้วเอามือปาดเหงื่อทำใจ ก่อนจะเดินเข้าไป ฉันรู้ เขาไม่ได้กลัวคุณนรินทร์หรอก กลัวยายพิณจอมโวยต่างหาก จากนั้นทุกอย่างก็ราบรื่น เมื่อบวรและพิณเดินเถียงกันออกมาจากห้องท่านประธาน ฉันรับโทรศัพท์อีกแค่ครั้งสองครั้งก่อนจะส่งสายตรงให้คุณนรินทร์ พิมพ์งานที่เหลือ พอเที่ยงตรงภารกิจช่วงเช้าก็เสร็จทุกอย่าง
ฉันมองนาฬิกาด้วยความเพลีย เมื่อคืนฉันคิดเรื่องแม่จนดึกเลยไม่ค่อยได้นอน แถมยังตื่นเช้าอีก ขอฉันหลับตาสักครู่ละกันนะ ขอแค่ 5 นาทีแล้วฉันจะไปกินข้าว แล้วเตรียมตัวประชุมช่วงบ่าย...คร่อก
“สิดี!!ตื่น!!!” นั่นใครมาทำอะไรน่ะ แล้วฉันก็ตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือ มองนลินที่ปลุกฉัน แล้วเช็ดน้ำลายมุมปาก
“นี่มันเที่ยงครึ่งแล้วนะ เธอยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย แล้วกรนดังออกลั่นไป”
หา!!!! เที่ยงครึ่งแล้วเรอะ!!! ฉันลุกพรวดพราด
“คุณนรินทร์ล่ะ ออกมาหรือยัง ตายแล้วๆๆๆๆ” ฉันโวยวาย ก็เราต้องไปประชุมข้างนอกกันตอนบ่ายโมงน่ะสิ
“ยังไม่ออกมาเหมือนกัน ตอนบ่ายเธอต้องรีบไปไหนเหรอ” นลินถาม แต่ฉันคงไม่ได้ยินและไม่สนใจ ฉันรีบผลักประตูเข้าห้องคุณนรินทร์ไปอย่างรวดเร็ว
“คุณคะ!!!เที่ยงครึ่งแล้วค่ะ!!!” ฉันตะโกนลั่นไม่ทันสังเกตว่าเขาก็หลับอยู่เหมือนกัน คุณนรินทร์ก้มหน้าหลับลงไปกับโต๊ะ กองเอกสารยังคงวางเกลื่อนกลาด จอคอมพิวเตอร์ก็เปิดค้างไว้ ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงสับสน แต่มีเพียงสิ่งเดียวในห้องที่ดูสงบสุข ภาพทุงดอกทิวลิปวาดด้วยสีน้ำมันของแจ๊กกี้ที่ติดตั้งอยู่ข้างหลังเขานั่นเอง ฉันบอกแล้ว รูปภาพทำให้ห้องนี่น่าอยู่มากขึ้น
เขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นเหมือนฉันเปี๊ยบ เพียงแต่ไม่กรนและไม่น้ำลายเยิ้ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง สูทถอดออกและเนคไทถูกปลดอย่างหลวมๆที่คอ สภาพเขาตอนนี้ดูจะไม่พร้อมประชุมเอาเสียเลย เขาจ้องฉันอย่างงงๆ
ฉันพูดเตือนสติเขาอีกที “เที่ยงครึ่งแล้วค่ะ”
เขาทำหน้าตกใจแล้วรีบลุกพรวดควานหาเอกสารที่ต้องใช้ “ทำไมคุณไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้!!!”
ฉันรีบเข้าไปช่วยเขาเตรียมเอกสาร “คือ...ฉันก็เผลอหลับเหมือนกันค่ะ”
พอเตรียมเอกสารเสร็จ เขาก็รีบไปยืนส่องกระจกบานใหญ่หวีผม “คุณช่วยหยิบสูทให้ผมหน่อย” ฉันเลยรีบไปหยิบมาใส่ให้เขา แต่เขายังคงสาละวนหวีผมยุ่งๆอยู่นั่นแหละ มันดูไม่เป็นทรงเอาเสียเลย ฉันเห็นว่าจะช้าไปใหญ่เลยเข้าไปจัดเนคไทที่คอให้ พอดีกับที่พนักงานคนไหนไม่รู้เปิดประตูเข้ามาส่งเอกสาร แล้วยืนค้างอยู่ตรงนั้นมองเราสองคนที่กำลังช่วยแต่งตัวกันอยู่
“เอ่อ...ดิฉันไม่ได้จะมารบกวนนะคะ” หล่อนพูดแล้วรีบวางเอกสารไว้บนตะก่อนจะรีบเผ่นออกมาจากห้อง ฉันและคุณนรินทร์มองกันอย่างงงๆ แล้วเราก็ช่วยกันคว้ากองเอกสารก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกออฟฟิศไป ฉันสังเกตว่าตอนเรา 2 คน ออกจากห้องคุณนรินทร์พวกพนักงานที่จับกลุ่มคุยอยู่ก็แตกกระเจิง ก่อนจะซุบซิบมองเรา 2 คนเหมือนเมื่อเช้า คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“ผมคิดเรื่องเมื่อคืนจนดึกน่ะเลยไม่ค่อยนอน ตอนเช้าก็ตื่นเร็วอีก” เขาอธิบายอย่างหอบๆในรถ
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ตอนเช้าดันตื่นเร็วเสียด้วยเลยเผลอหลับไป ขอโทษนะคะ”
แล้วเขาก็จ้องฉัน “คุณคิดเรื่องผมเหรอเมื่อคืนน่ะ”
“อ๋อเปล่าค่ะ เอ่อ คุณคงยังไม่ทราบสินะคะ แม่ฉันโดนฟ้องเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์น่ะค่ะ”
ฉันอธิบายอะไรไม่ได้มาก รถก็มาจอดเทียบที่ที่เราต้องเข้าประชุมแล้ว
ภารกิจช่วงบ่ายผ่านไปด้วยดี เสียก็แต่ท้องดันร้องหิวข้าวกลางวันตอนประชุมนอกสถานที่แต่ค่อยยังชั่วหน่อยพอประชุมเสร็จคุณนรินทร์ดันหายตัวไป กลับมาอีกทีพร้อมนมกับขนมปังจาก เซเว่น...เขาก็แอบใจดีนะเนี่ยและที่สำคัญฉันเผลอหลับแล้วกรนเสียงดังตอนประชุมที่บริษัทตัวเอง น่าขายหน้าชะมัด คุณนรินทร์เทศน์ฉันใหญ่ โถ่...ฉันก็ไม่ได้อยากกรนเสียหน่อย แต่ใครมันจะรู้ตัวล่ะ!!!!
พอเลิกงานฉันรีบเก็บของล่ำลาเจ้านายแล้วบึ่งไปหาหนูเล็กทันที
“รอด้วยค่ะ!!!!” ฉันวิ่งกระหืดกระหอบไปที่ลิฟท์ที่กำลังจะปิด
คนในลิฟท์มองฉันแล้วซุบซิบกันแปลกๆ
“ขอบโทษค่ะ” แล้วฉันก็รีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟท์ที่คนอยู่เต็ม
“คุณสิดี ยินดีด้วยนะคะ ที่ได้เลื่อนขั้นแล้ว” เสียงพนักงานสาวที่ยืนติดกับฉันพูดขึ้น
“เลื่อนขั้นอะไรเหรอคะ” ฉันถามงงๆ
“ก็เลื่อนจากเลขาหน้าห้องไปเป็นเลขาในใจยังไงล่ะคะ” แล้วทั้งลิฟท์ก็หัวเราะคิกคักพร้อมกัน
เอ่อ...อะไรเหรอ ไม่เห็นตลกเลย มุขฝืดจัง “ในใจใครเหรอคะ”
“แหม...ก็ในใจท่านประธานไงล่ะคะ” แล้วลิฟท์ก็เปิดออก ทุกคนรีบกรูกันออกไป ปล่อยให้ฉันยืนงงอยู่ในลิฟท์คนเดียว อ๋อ ที่ทุกคนคอยซุบซิบกันทั้งเช้า กลางวัน เย็น ก็คือเรื่องของฉันกับคุณนรินทร์หรอกเหรอ...แย่แล้วพี่น้อง เข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่า
แต่อย่าพึ่งเอาเรื่องนี้มาหนักใจดีกว่านะ เพราะมันไม่มีอะไรสักหน่อย เรื่องแม่ฉันสำคัญกว่า
ที่ห้องเสื้อของหนูเล็ก
“อะไรนะ!!! ถูกฟ้องว่าละเมิดลิขสิทธิ์ ตายๆ ฉันรู้สิดี คุณแม่เธอน่ะไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ ฉันก็พอมีเงินให้ยืมอยู่หรอกนะ แต่คงมากไม่ได้ เพราะฉันเพิ่งสั่งผ้าล็อตใหม่มาเต็มเลย เดี๋ยวก็ต้องจ่ายอีกแล้ว แล้วทีนี้จะทำไงดีล่ะ”
หนูเล็กพูดเป็นเดือดเป็นร้อนแทน “ฉันพอรู้จักทนายฝีมือดีอยู่บ้างนะ แต่ค่าใช้จ่ายคงสูงมากเลยล่ะ เงินที่ฉันให้เธอคงไม่พอหรอก”
“โถ่....ทำไงดีล่ะหนูเล็ก”
หนูเล็กทำท่าคิดหนัก ก่อนจะเบิกตาโตแบบนึกอะไรดีดีขึ้นมาได้ “นี่...ทำไมเธอไม่ลองคุยกับคุณนรินทร์ดูล่ะ เขาน่ะออกจะมีเงินเหลือเฟือ” หนูเล็กเสนอ
“หวาย...อย่าดีกว่า เขาใจดีก็จริงนะ แต่เรื่องอย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นหนี้บุญคุณกันหัวโตพอดี”
หนูเล็กเท้าสะเอว “ระหว่างยอมเป็นหนี้บุญคุณหัวโตกับแม่เธอถูกฟ้องจนหัวโต จะเลือกแบบไหน”
ฉันสะอึก หนูเล็กพูดถูก แต่ให้ฉันไปขอความช่วยเหลือจากเขาเนี่ยนะ ยิ่งเขาชอบว่าว่าฉันเป็นพวกเห็นแก่เงิน สร้างความวุ่นวายให้เขา แถมวันนี้ยังกรนในที่ประชุมอีก เขาจะช่วยฉันง่ายๆเหรอ
ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 เม.ย. 2555, 14:10:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 เม.ย. 2555, 14:10:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1791
<< ยุ่่งยาก | หนักใจ >> |
goldensun 15 เม.ย. 2555, 14:32:11 น.
เลขากับเจ้านาย ไม่แลกใจกับเรื่องที่โดนนินทา ก็วัยใกล้กันพอได้ อ่านตอนนี้รู้สัึกสิดีเก่ง แต่สายโทรศัพท์ไหงพันกันวุ่นขนาดนั้น
เลขากับเจ้านาย ไม่แลกใจกับเรื่องที่โดนนินทา ก็วัยใกล้กันพอได้ อ่านตอนนี้รู้สัึกสิดีเก่ง แต่สายโทรศัพท์ไหงพันกันวุ่นขนาดนั้น
Auuuu 15 เม.ย. 2555, 16:49:41 น.
อ่านแล้ววุ่นแทนเลย โทรศัพท์สายพันกันสุดยอดดดดด
อ่านแล้ววุ่นแทนเลย โทรศัพท์สายพันกันสุดยอดดดดด
konhin 15 เม.ย. 2555, 21:05:30 น.
น่าสงสาร วุ่นจริงๆ
น่าสงสาร วุ่นจริงๆ
agentaja 15 เม.ย. 2555, 23:43:07 น.
รอตอนต่อไปนะคะ
รอตอนต่อไปนะคะ
ling 16 เม.ย. 2555, 00:14:17 น.
น่าเห็นใจสิดีจริงๆ สู้ๆนะจ๊ะ
น่าเห็นใจสิดีจริงๆ สู้ๆนะจ๊ะ
gozilar 16 เม.ย. 2555, 05:46:45 น.
ตลกโทรศัพท์มาก
ตลกโทรศัพท์มาก
เนยแข็ง 19 เม.ย. 2555, 11:55:49 น.
“สักครู่นะคะ” แล้วฉันก็ต่อสายตรงเข้าไปหาคุณนรินทร์ “คุณคะ
ช่างมาติดตั้งภาพแล้วค่ะ”
อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกของเราคนเดียวหรือเปล่านะคะ
แต่เรารู้สึกว่า คุณคะ.. อ่ะ มันเหมือนภรรยาเรียกสามีเลย 5555++
(เคยแต่ใช้เรียกผู้หญิงด้วยกันที่เราไม่รู้จักชื่อ แต่ไม่เคยใช้เรียกผู้ชายอ่ะ)
“สักครู่นะคะ” แล้วฉันก็ต่อสายตรงเข้าไปหาคุณนรินทร์ “คุณคะ
ช่างมาติดตั้งภาพแล้วค่ะ”
อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกของเราคนเดียวหรือเปล่านะคะ
แต่เรารู้สึกว่า คุณคะ.. อ่ะ มันเหมือนภรรยาเรียกสามีเลย 5555++
(เคยแต่ใช้เรียกผู้หญิงด้วยกันที่เราไม่รู้จักชื่อ แต่ไม่เคยใช้เรียกผู้ชายอ่ะ)
ลายเส้น 20 เม.ย. 2555, 21:31:03 น.
ก็จริงนะคะคุณเนยแข็ง ฮ๋าๆๆๆ โอเค เดี๋ยวแก้ ขอบคุณค่า
ก็จริงนะคะคุณเนยแข็ง ฮ๋าๆๆๆ โอเค เดี๋ยวแก้ ขอบคุณค่า