ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: หนักใจ

ตอนที่ 18



สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แทนที่ฉันจะได้อ่านหนังสือหรือนอนดูทีวีอย่างสบายใจเหมือนปกติ ฉันกลับไม่มีความสุขเลยจนนิดเดียว เพราะเรื่องของแม่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เงินก็ไม่มีจ้างทนายดีดีสักคน แถมฝ่ายตรงข้ามก็ดูจะมีหลักฐานเอาผิดแม่ได้แยบยลกว่า ฉันทำได้แค่ปลอบแม่ไปเรื่อยๆและคิดหาหนทางอยู่ในใจ จะให้ฉันบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเจ้านายเนี่ยนะ

“แม่พอมีเงินเก็บบางส่วน พอจะไปยืมเพื่อนก็ได้บ้างนิดหน่อย รวมกับส่วนของหนูเล็ก ก็ยังไม่พออยู่ดี หลักฐานของแม่ก็อ่อนกว่าของฝ่ายนู้นมาก” แม่ได้แต่นั่งบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่ที่ครัว

“นี่ถ้าผลออกมา แม่แพ้คดีล่ะก็ ฝ่ายตรงข้ามคงเรียกค่าเสียหายเยอะทีเดียว เราคงต้องขายบ้านล่ะลุก”

ขายบ้าน!!!! ไม่มีทาง บ้านคือสมบัติชิ้นเดียวที่ฉันรักยิ่งกว่าชีวิต ที่นี่คือความทรงจำทั้งชีวิตของฉัน ร่องรอยอดีตของพ่อที่ฉันรัก จะให้ฉันขายบ้านนี้ ไม่มีวัน......

ฉันไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว ถึงคนอื่นจะว่าอย่างไร คุณนรินทร์จะทวงบุญคุณฉันท่วมหัวแค่ไหน ฉันก็ยอม

ดังนั้นวันจันทร์ของสัปดาห์ใหม่ ฉันจึงรีบตื่นเช้าไปดักรอเขาที่สถานีรถไฟฟ้า เป็นไงเป็นกัน ถึงเขาจะมีข้อต่อรอง ฉันก็ต้องยอมรับมัน ฉันยืนดื่มกาแฟรอเขาหน้าร้านหนังสือ บังเอิญสายตาก็เหลือบไปเห็นพาดหัวข่าวไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กจนไม่สะดุดตาของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง

‘ฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์นักเขียน best seller ’ แล้วก็เนื้อข่าวขยายความอีกนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่าให้ไปอ่านต่อที่หน้า 32 ให้ตายพี่น้อง!!!! ข่าวของแม่ฉันดังขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมไอ้ฝ่ายตรงข้ามถึงใจร้ายอย่างนี้นะ

“ลุงคะซื้อฉบับนึงค่ะ” ฉันยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นให้ลุงคนขาย แต่บังเอิญสายตาก็เหลือบไปเห็นพาดหัวข่าวคล้ายๆกันของหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น และอีกหลายฉบับ

ฉันมองคนรอบๆสถานีที่ทยอยกันมาอ่านพาดหัวข่าวเรื่อยๆ...ไม่ได้นะ!!!! ฉันไม่ยอมให้แม่ฉันเสียชื่อเสียงเด็ดขาด

“ลุงคะ หนูเหมาหนังสือพิมพ์ในร้านทุกฉบับค่ะ” ฉันบอกลุงแล้วโกยหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่แผงส่งให้ลุงที่ยืนรับอย่างพิศวง

“ขอโทษค่ะ แต่ดิฉันจะซื้อทุกฉบับ” ฉันพูดอย่างไม่กลัวเสียมารยาทกับชายที่ยืนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ แล้วฉันก็ดึงมันออกจากมือเขา เขาโวยวายเล็กน้อย แล้วยื้อยุดไม่ส่งหนังสือพิมพ์ให้ฉัน

“เอามาเดี๋ยวนี้นะ” ฉันก็ไม่ยอมให้ใครเข้าใจแม่ผิดๆหรอก

“ขอโทษด้วยครับ ขอโทษจริงๆครับ เธอไม่ซื้อแล้วล่ะครับ” เฮ้ๆ อยู่ดีดีคุณนรินทร์โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ เดินมาล็อกตัวฉัน ก่อนจะกล่าวขอโทษคนทั้งร้านแล้วลากฉันออกไปจากตรงนั้น

“ปล่อยฉันนะๆๆๆๆๆ ฉันบอกให้ปล๊อยยยยยยยย” ฉันไม่ยอมแพ้เขา ฉันทั้งโวยวายตะโกนลั่น และดิ้นสุดฤทธิ์

เขาลากฉันมาที่มุมอับมุมหนึ่ง พลางหอบแฮ่กๆ “ตัวหนักชะมัด” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะสยบฉันให้นิ่งอยู่ที่กำแพง

“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!!!!!” เขาเสียงดังใส่

“หนังสือพิมพ์พวกนั้นสิบ้า ลงข่าวเสียๆหายๆของแม่ฉันอย่างนั้นได้ยังไง แม่ไม่เคยก็อปงานใครเด็ดขาด คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคุณนรินทร์ฉันจะไปเหมามาให้หมด!!!!”

ฉันยังคงพยายามดิ้นอยู่ แต่ 2 มือแข็งแรงก็จับไหล่ทั้งสองข้างของฉันล็อกไว้

“คุณอาจจะห้ามคนทั้งสถานีอ่านข่าวของแม่คุณได้ แต่คุณห้ามคนทั้งประเทศรับรู้ไม่ได้หรอกนะ หนังสือพิมพ์มันส่งไปทั่วประเทศคุณเข้าใจไหม!!!!”

เขาตวาดเสียงดังกว่าเดิม...นั่นสิ เขาพูดถูก ฉันห้ามคนทั้งประเทศไม่ได้ ฉันเลยสงบ คอตกก้มมองพื้น หมดหวังไปเสียทุกอย่าง

“ถ้าแม่คุณไม่ผิดจริง เดี๋ยวคนทั้งประเทศก็รู้เอง” เขาพูดอย่างอ่อนโยน

“หมดหวังแล้วค่ะ เราไม่มีปัญญาจ้างทนาย” ฉันพูดเสียงเศร้าสร้อย แล้วเขาก็พยุงตัวฉันให้ลุกขึ้น

“เอาเถอะ ผมจะช่วยคุณเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น มือเขาที่สัมผัสแขนฉันก็อบอุ่น ฉันมองเขาอย่างตะลึง แต่เขาคงไม่ได้สนใจ เอาแต่จูงฉันเดินฉับๆ ขึ้นรถไฟฟ้าที่จอดเทียบชานชาลามุ่งหน้าไปทำงาน



ฉันเหมือนคนเสียสติ เอาแต่ถามเขาว่า ‘จริงหรือเปล่าคะ’ ตลอดทาง แล้วเราสองคนก็เข้ามาที่ออฟฟิศพร้อมกันอีกแล้ว คราวนี้หนักกว่าเดิมที่เขาจับแขนฉันไว้ด้วย พนักงานเริ่มซุบซิบกันเช่นเคย นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ครอบครัวฉันเสียหายทั้งแม่และลูก

“คุณคะ คุณทราบหรือเปล่าคะว่าพนักงานซุบซิบเรื่องอะไรกัน” ฉันกระซิบถามเขา

“รู้สิ” เขาตอบหน้าตาย แล้วพาฉันเดินเข้าห้องทำงานของเขาไป ปล่อยให้พวกพนักงานใส่สีตีไข่เรื่องให้วุ่นไปกว่าเดิม ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นกับคุณนรินทร์ ไม่มีวัน!!!

แล้วเขาก็จับฉันนั่งลงกับเก้าอี้นุ่มๆ เปิดตู้เย็นที่มุมห้อง แล้วยื่นโออิชิชาเขียวรสฮันนี่เลม่อนให้ฉัน “ ดื่มให้ใจเย็นก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน” ฉันเลยซัดโฮกแป๊ปเดียวหมดขวด อากาศข้างนอกที่ร้อนระอุปนเปกับความทุกข์ร้อนจากภายใน ค่อยๆดับลง จนหายไป

ฉันเงยหน้าจากขวดโออิชิมองคุณนรินทร์ ก็เห็นเขาจ้องฉันอยู่แล้วสบัดหน้ายิ้มๆ

“เราจะคุยกันเรื่องอะไรก่อนคะ” ฉันถาม

เขาแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “เรื่องไหนบ้างล่ะ”

ตานี่...ทำมายียวน “ก็เรื่องที่คุณจะช่วยฉัน กับเรื่องที่พนักงานซุบซิบน่ะสิคะ”

เขากระแอมเสียงดัง “ความจริงเราพูด 2 เรื่อง ควบเลยก็ได้นะ” แหมทำอย่างกับเป็นโรงหนังชั้นสอง

“เอ่อ...คุณทราบจริงๆเหรอคะ ว่าพนักงานซุบซิบกันเรื่องอะไร” ฉันกลัวอีตานี่จะรู้ไม่จริงล่ะซี่ เพราะถ้าเขารู้จริง คงไม่เดินจูงแขนฉันเข้าออฟฟิศพร้อมกันหรอกน่า ขามันเป็นพวกต้องการรักษาความเวอร์จิ้น แหวะ....อย่าให้ฉันรู้ทีหลังก็แล้วกันว่าเคยเสียตัวให้กับหญิงอื่นมาบ้างหรือเปล่า แต่เฮ้...เลิกว่าเขาในใจได้แล้ว เขาจะช่วยฉันนะ

“เรื่องของเรา 2 คนไงล่ะ ตั้งแต่วันงานแล้วล่ะคุณสิดี ที่ผมแย่งคุณมาเต้นรำนั่นแหละ” เขาพูดหน้าตาเฉย เหมือนเรื่องที่เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยลง เอ่อ...แต่เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องหน้าตาเฉยหรอกนะ

“คุณก็ทราบ เหรอคะ แล้วทำไมไม่ทำอะไรให้ทุกคนเข้าใจถูกสักทีล่ะคะ”

“แล้วทำไมเราไม่ทำให้เป็นเรื่องจริงเสียเลยล่ะ” เขาทำเอาฉันสะดุ้ง เกิดบ้าอะไรขึ้นมาล่ะ จะประชดชีวิตหรืออย่างไรกัน ระหว่างเราสองคนไม่เคยเกิดเรื่องพิศวาสขึ้นเลยสักนิดเดียว

“แหมคุณคะ มันก็คงเป็นเรื่องดีหรอกค่ะถ้าเกิดเรารักกัน แต่นี่คุณก็ไม่ค่อยชอบฉันเท่าไร แล้วฉันก็ไม่ได้...เอ่อ..ไม่ใช่ไม่ชอบนะคะ แต่ไหนว่าเราสองคนจะขึ้นคานไงล่ะคะ”

เขาหัวเราะเหมือนมันตลกนักหนา “ผมไม่เคยไม่ชอบคุณหรอกนะคุณสิดี แต่ผมต้องดุคุณบ้าง ส่วนเรื่องขึ้นคานก็ถูกต้องแล้ว เราสองคนไหนๆก็ไม่คิดจะแต่งงาน นี่ละประเด็น”

อะไรเของเขา...

แล้วเขาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน แล้วทำท่าจริงจัง แม้สายตาออกจะเป็นกังวลเล็กน้อย

“ผมต้องหาลูกสะใภ้ให้คุณแม่ คุณต้องหาเงินจ้างทนาย พนักงานคิดว่าเราคบกัน นี่ไงล่ะข้อสรุปของทุกอย่าง”

อะไรนะ เขาพูดอะไรออกมา ตอนนี้เขาหรือฉันกันแน่ที่กำลังเสียสติ...

“คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ สมองช้าจังนะ เราก็ก็แกล้งมาแต่งงานกันหลอกๆไงล่ะ ยังไงเราสองคนก็ไม่มีวันรักกันอยู่แล้ว ผมไม่ต้องขายบริษัท คุณแม่ได้สะใภ้ ผมให้เงินคุณเป็นการตอบแทน คุณก็ไม่เสียหายเรื่องที่พนักงานนินทากัน” แล้วเขาก็มองหาคำตอบในดวงตาของฉัน

ขอเปลี่ยนคำพูดที่บอกว่าเขาพูดกับฉันด้วยเสียงอบอุ่น มือที่จับแขนฉันก็อบอุ่น และที่เขาบอกว่าจะช่วยฉันเอง ทั้งหมดนั่น...หลอกลวงทั้งเพ!!!! เขาจะใช้ฉันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง จะใช้ฉันหลอกลวงทุกคนอย่างนั้นเหรอ เขาเคยให้เกียรติฉันบ้างหรือเปล่านั่น ตลอดเวลาที่เคยทำงานร่วมกัน เขาดูถูกฉันมาตลอดล่ะสิ ถ้าฉันไม่คิดจะแต่งงาน ถึงแค่แต่งหลอกๆ ก็ไม่มีวัน!!! ไม่มีวัน!!!

ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ แต่มันดูจะยากเหลือเกิน “คุณนรินทร์คะ ฉันคงไม่สิ้นคิดอย่างนั้นหรอกค่ะ” แล้วฉันก็กัดฟันกรอด ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วทำท่าเดินออกจากห้องของเขาไป

“ผมจะจ้างทนายและออกค่าทุกอย่างให้ เงินเดือนคุณผมเพิ่มให้อีก” เขาพูดเสียงดังอย่างรวดเร็ว

ฉันหยุดกึก “ทุกอย่างจะจบลงเมื่อน้องชายผมกลับมารับช่วงต่อ ผมจะถอนตัวจากประธานบริษัทย้ายไปอยู่เงียบๆที่คอนโด ส่วนคุณจะทำต่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ผมจะให้เงินก้อนใหญ่กับคุณ” เขาพูดต่ออย่างไม่ลดละ

ฉันสูดหายใจเข้า “งั้นฉันก็ถูกตราหน้าว่าถูกสามีทิ้งอย่างนั้นหรือคะ”

“เปล่า ถ้าคุณยังทำงานที่นี่ต่อ ผมก็จะปกปิดว่าเราย้ายไปอยู่ด้วยกัน เรายังคบกันอยู่”

“แล้วถ้าฉันไม่ทำต่อล่ะคะ” ดูเขาจะคิดเรื่องนี้มาอย่างแยบยลจริงๆ บ้าสิ้นดี...

“เรื่องของเราก็จะไม่มีใครรู้ แล้วผมจะส่งเงินเดือนให้คุณเหมือนเดิมทุกเดือน คุณพอใจรึเปล่า”

อะไรของเขากัน คิดว่าศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงอยู่ที่เงินเท่านั้นเหรอ

“คิดว่าไม่ค่ะ” แล้วฉันก็ทำท่าจะเปิดประตู

“ลองเก็บไปคิดดู ผมมีเวลาเหลืออีกเพียง 3 วัน ตอนนี้คุณแม่ทำสัญญากับบริษัทสิทราแล้ว เหลือเซ็นยินยอมเท่านั้น ถ้าคุณอยากให้บริษัทนี้เปลี่ยนเป็นของสิทรา รวมทั้งตัวคุณ ก็ลองเอาไปคิดดู”

ฉันเดินออกไปทำงานด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ไม่สนใจเสียงซุบซิบของคนทั้งบริษัท พราะในหัวมีแต่เรื่องข้อตกลงของคุณนรินทร์ที่ทำให้ฉันปวดใจ

เขาไม่เคยคิดจะช่วยฉันด้วยความบริสุทธิ์ใจเลยสินะ



มาช้าขอโทษค่ะ



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2555, 23:40:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2555, 23:41:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1732





<< ซุบซิบ   ตัดสินใจ >>
Auuuu 16 เม.ย. 2555, 23:50:46 น.
ไอ๊หย่ะะะะ พระเอกแบบว่า.. คิดได้ไงเนี่ยยยย
คุณแม่ก็แรงนะนั่น =="


konhin 17 เม.ย. 2555, 00:04:01 น.
อ้าว ไปว่าเขาอย่างงั้นได้ไง เค้าเรียก win-win


ling 17 เม.ย. 2555, 00:51:49 น.
สิดีสู้เค้า อย่างน้อยก็ยังมีทางออกนะ


goldensun 17 เม.ย. 2555, 09:01:05 น.
สิดีจะคิดยังไง ทางออกที่นรินทร์เสนอให้ ดูสวยที่สุดแล้ว ตอนนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account