บ่วงร้อยรัก
ชีวิตที่ถูกร้อยรัดไว้ด้วยหนี้บุญคุณและความแค้น หญิงสาวจะทำอย่างไร เมื่อบ่วงรักที่หล่อนเข้าใจ กลับกลายเป็นบ่วงมารที่ฆ่าหล่อนให้ตายทั้งเป็น
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บ่วงมาร ตอนที่ 3

สงกรานต์สนุกกันไหมคะ ขอให้มีความสุขกันมากๆ นะคะ
--------
คุณหมูอ้วน -- โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^
คุณเวียงแก้ว -- ตรีประดับน่าสงสารค่ะ จะถูกมิ่งโมรีแกล้งอีกหรือเปล่าน้า ^^

--------


ตอนที่ 3

กระดาษแผ่นบางที่แนบมากับซองจดหมายสีฟ้าอ่อน ปรากฏข้อความที่ทำให้มิ่งโมรีต้องรวบกำไว้แน่น หญิงสาวสูดลมหายใจแรง ก่อนค่อยๆ พับจดหมายเก็บคืนสู่ซองด้วยสีหน้าปกติ มือผอมคว้าหยิบไฟแช็กที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือ แสงไฟวูบวาบสะท้อนอยู่ในดวงตาสีดำสนิท ซองจดหมายสีฟ้าในมือลุกไหม้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับความปรารถนาในจิตใจ มิ่งโมรีจ้องมองเศษขี้เถ้าสีดำในถาดที่ถูกส่งขึ้นมา ความลับจะยังคงเป็นความลับ สิ่งที่หล่อนหวังไว้จะต้องถูกทำให้เป็นจริง กุลชาติจะอยู่หรือไปต้องขึ้นอยู่กับตัวหล่อนเท่านั้น !

“ ได้เวลาใส่บาตรแล้วค่ะ ”

คนนั่งคอยเอ่ยเบาๆ ดวงตาจับอยู่ที่เศษขี้เถ้าแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนดวงหน้าขาวจะกลับเฉยชาเช่นเดิม มิ่งโมรียิ้มให้คนนั่งอยู่ ร่างผอมในชุดเสื้อนอนลายการ์ตูนผ้าเนื้อบางแบบเก่าเดินนำคนเก่าแก่ออกจากห้องนอนเล็ก อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็น ท้องฟ้าระเรื่อด้วยสีน้ำเงินแกมดำ หากคนเดินลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหนาวสั่น

“ ต้องทำบุญให้เยอะๆ ใช่ไหมคะ เวลาทำบาปจะได้รู้สึกว่าผิดน้อยลง ”

คนเดินตามไม่โต้ตอบ หากเลี่ยงออกไปหยิบถาดวางโถข้าวสวยซึ่งวางเตรียมไว้ขึ้นถือร่วมกับสำรับจัดเป็นชุดดอกบัวพับกลีบจนเห็นเกสรสีเหลืองสดถูกวางขนาบข้าง มิ่งโมรีถอนหายใจเฮือก ดวงหน้าเล็กเรียวแต่งแต้มสีสันฉูดฉาดแต่เช้าตรู่ค่อนไปทางเฉยชาเช่นกัน

“ คุณละอองใส่บาตรคนเดียวนะคะ มิ่งมันพวกบาปหนา ขอยืนดูอยู่เฉยๆ ดีกว่า ”

คนพูดไขว้แขนไปด้านหลัง ตั้งใจว่าพอพระสงฆ์ถูกนิมนต์มา หล่อนก็จะหลบไปทางสวนด้านหลังเสีย มิ่งโมรีอยากพบอุดร คนสวนหนุ่มที่หล่อนหมายมาดไว้ว่าจะใกล้ชิด

“ ดิฉันจะเปิดประตู ”

พูดไม่พูดเปล่า นางละอองยังส่งถาดที่ถือมาให้ มิ่งโมรีนิ่งไปนิด รับถาดที่จัดวางเครื่องคาวหวานสำหรับใส่บาตรมาไว้ในมืออย่างเสียมิได้ คนสูงวัยกว่าก้าวไปเปิดตูรั้ว แต่แล้วก็หยุดยืนกวักมือเรียกให้มิ่งโมรีเข้าไปหา ทำเอาหญิงสาวเกือบกระทืบเท้าเพราะขัดใจ ถ้าสายตาของนางละอองจะไม่มองมาราวกับบังคับให้หล่อนต้อง ‘ ทำ ’ เท่านั้น

“ มิ่งไม่ใส่บาตร บุญเบินอะไรมิ่งไม่ทำ ” คนเดินมาตามสายตา เอ่ยเสียงเข้ม เน้นชัดทุกถ้อยคำที่พูด

“ พระมาแล้วค่ะ ”

ร่างผอมของคุณแม่บ้านทรุดตัวลงนั่งก่อน ทำเอาคนยืนอยู่ต้องรีบถอดรองเท้านั่งลงตาม มือผอมยกถาดข้าวในมือขึ้นเทินศีรษะเพื่ออธิษฐานโดยอัตโนมัติ มิ่งโมรีเห็นแค่ปลายเท้าของพระภิกษุสามรูปซึ่งหยุดเดินตามเสียงขอนิมนต์ของนางละอองที่ถอยออกไปยืนด้านหลังทันทีอย่างจงใจ

“ คุณใส่ไปนะคะ ดิฉันจะไปตามคนที่คุณอยากพบแต่เช้ามาให้ ”

คนสูงวัยกว่าถอยห่างออกไปรวดเร็ว คนถูกทิ้งไว้เลยจำต้องใส่บาตรแทน ดวงหน้าที่แต่งไว้ฉูดฉาดเรียบนิ่ง เก็บซ่อนความในใจไว้มิดชิด อิริยาบถของหญิงสาวนุ่มนวลลง แม้กระทั่งกิริยาเอื้อมตัวหยิบอาหารวางลงบาตรก็ยังไร้ซึ่งอาการฮึดฮัดที่มีมาแต่เริ่มแรก สุดท้ายเมื่อก้มตัวรับศีลรับพรเสร็จ คนถูกตามก็มาถึง อุดรก้มหน้ามองพื้นหยุดรอห่างออกไปด้านหลังเล็กน้อย ปล่อยให้นางละอองขยับเข้ามาช่วยมิ่งโมรีถือของ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหญิงสาวกระแทกถาดทั้งถาดใส่คนสูงวัยกว่าจนเกือบล้ม ดีแต่ว่า ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ด้านหลังคว้าตัวไว้ได้ทัน นางละอองเลยไม่ต้องเสียหลักล้มลงไปจริงๆ

“ นายอุ่น ! ”

มิ่งโมรีพุ่งตัวเข้าหาคนสวนหนุ่ม ดวงตาเป็นประกายวับวาว อุดรปล่อยมือที่ประคองนางละอองไว้ เขาถอยหลังไปหลายก้าวเมื่อร่างเล็กผอมทำท่าจะเข้ามาเกาะแขน และเพราะชายหนุ่มทำตัวสุภาพนี่เอง ทำให้มิ่งโมรีตวัดสายตามองแม่บ้านเก่าแก่ที่ยืนอยู่ เอ่ยเสียงเย็นว่า

“ จะไปไหนก็ไปสิคะคุณละออง ยืนเกะกะอยู่ได้ ”

คนสูงวัยกว่าก้มหน้ารับคำ ดวงหน้าขาวเรียบเฉย ยอมทิ้งมิ่งโมรีไว้ให้อยู่ตามลำพังกับคนสวนหนุ่ม ที่พอพ้นสายตา หญิงสาวก็ทำท่าจะยึดอกกว้างของอีกฝ่ายอิงแอบเพื่อหาไออุ่น

“ คุณมิ่งมีอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ ”

“ ถ้าไม่มี ฉันเรียกหาไม่ได้เหรอ ”

เสียงสดใสทอดจังหวะหวาน มองอาการสงบเสงี่ยมของชายหนุ่มที่กอดแขนไว้ด้วยแววตาเป็นประกายกล้า มิ่งโมรีไม่ได้รุกเร้าอุดรอีก แต่เปลี่ยนเป็นก้าวนำอีกฝ่ายไปยังมุมหนึ่งของสวนที่ค่อนข้างลับสายตาผู้คน

“ กอดฉันหน่อยได้ไหมนายอุ่น ” มิ่งโมรีหันตัวกลับ หญิงสาวอ้าแขนกว้าง รอรับการตอบรับของคนสวนหนุ่ม อุดรอึกอัก ยืนนิ่งแข็งไม่ยอมขยับไปไหน มิ่งโมรีหัวเราะเบาๆ

“ ถ้านายไม่กอด ฉันกอดนายเองก็ได้ ”

ร่างเล็กผอมเบียดตัวเองเข้าหา ลมหายใจหล่อนปะทะอยู่ที่อกอุ่นกว้าง หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้อยู่กับคนที่ยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก

“ คราวนี้ฉันจะรัดนายอุ่น...แน่น...แน่น ”

“ ผม...ผมตัวเหม็น...คุณมิ่ง...อย่าทำอย่างนี้เลยครับ ”

คนสวนหนุ่มพยายามผลักใส ดันร่างเล็กผอมให้ออกห่าง หากมิ่งโมรีพยายามกอดอีกฝ่ายแน่นเข้า เสียงหัวเราะของหล่อนดังกังวานก้องสวน ทั้งเรียกร้อง เย้ายวน และเร่งรัดในสิ่งที่ปรารถนา

“ ทำไมล่ะ เรากอดกันอย่างนี้อุ่นดีออก ”

“ ผม...ผมว่ามันไม่ดี ”

“ ไม่ดี...ตรงไหนล่ะ ”

เสียงที่กระซิบอู้อี้อยู่กับอกสั่นเครือ ดวงหน้าหวานก้มต่ำอยู่แนบอก คนถูกรุกไล่ถอยหลังกรูด ทั้งที่ยังถูกรัดแน่น มิ่งโมรีที่โถมตัวเข้าหาไม่ทันระวังอยู่แล้ว หญิงสาวเลยถลาไปข้างหน้ากลายเป็นฝ่ายผลักอุดรล้มลง ร่างเล็กผอมทาบทับอยู่บนเนื้อตัวหนาแน่นของคนสวนหนุ่ม กลิ่นหอมเย็นคล้ายดอกไม้แรกผลิกรุ่นกำจาย และเพียงแค่ชั่วเวลาเดียว อุดรก็เลื่อนตัวเองเข้าหา เป็นฝ่ายดันให้มิ่งโมรีนอนราบลงกับพื้นหญ้า คร่อมตัวเองอยู่บนร่างเล็กผอม ยึดจับสองมือเล็กไว้ไม่ให้คนรุกไล่ขยับหนี ดวงตาคมที่ถูกซ่อนไว้จับอยู่ที่ริมฝีปากแดงที่แต่งแต้มสีจัดจนผิดธรรมชาติ ชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าหา ประทับรอยจูบผ่านความบางเบาของเนื้อผ้าเหนือเนินหน้าอกของผู้เป็นนายจ้างสาว ที่สะท้อนสะท้านดุจหวาดกลัว !

“ หมดเวลา ! ”

คนนอนอยู่ หัวเราะคิกคัก เมื่ออุดรทำท่าจะขยับใบหน้าขึ้นจูบริมฝีปากหล่อนเพื่อย้ำรอยอีกครั้งอย่างเคลิบเคลิ้ม หญิงสาวเบี่ยงใบหน้าหลบ ดึงแขนที่ถูกจับไว้ยึดไว้จนหลุด ดันร่างสูงไปอีกทาง มิ่งโมรีลุกขึ้นยืนเชื่องช้า มือผอมปัดเศษหญ้าที่ติดตามเสื้อผ้า ในขณะที่คนสวนหนุ่มทำสีหน้าเหมือนกำลังถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็น

“ ผมขอโทษครับ ! ผมขอโทษ ! คุณมิ่งจะไล่ผมออกก็ได้ครับ ผมยอมรับผิด ผมขอโทษ !”

อุดรคุกเข่าลงกับพื้นยกมือไหว้ปลก เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังทำสิ่งใดลงไป มิ่งโมรียื่นมือจับปลายคางของคนสวนหนุ่มให้เชิดมอง ดวงตาสีดำสนิทปรากฏรอยวูบไหว ก่อนที่เจ้าตัวจะแตะใบหน้าตัวเองลงเบาๆ ตรงข้างแก้มของอีกฝ่ายแล้วยืดตัวขึ้นตรงอย่างรวดเร็ว คนถูกหอมเหมือนลมผ่านก้มหน้านิ่ง แทบจะหมอบกราบกับพื้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของมิ่งโมรี หญิงสาวที่ยั่วเย้าหยอกเอินจนหนำใจแล้วก็ทำท่าจะผละไป

“ คราวหน้า...ถ้าอยากจะทำอะไรฉันก็ทำเลยนะนายอุ่น ฉันอนุญาต ! ”

อุดรรอจนร่างเล็กผอมก้าวหายไปจากสวน ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปตามทางทอดยาวเข้าสู่บ้านหลังใหญ่ คนจากไปทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมเย็นที่เหลียวหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ น้ำหอมกลิ่นสะอาดที่ไม่เหมาะสมจะติดอยู่บนผิวกายของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเหลวแหลกตั้งแต่เล็กจนโตเพราะได้เลือดแม่โสเภณีหล่อเลี้ยง ร่างสูงลุกขึ้นยืน เดินตัดผ่านซุ้มกุหลาบของเรือนหลังเล็ก แสงสลัวยามเช้าเริ่มกระจ่างชัดเช่นเดียวกับกลีบกุหลาบสีขาวที่บานสะพรั่ง มือเรียวคว้าหยิบปลายเล็บสวยสะอาด ดึงกระชากตัวดอกที่ชูช่อดุจเย้ยโดยไม่สนว่ามือจะถูกหนามแหลมบาดจนได้เลือด ยกดอกกุหลาบขึ้นสูดกลิ่นหอมหวาน ริมฝีปากบางแดงภายใต้หนวดเคราปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นเมื่อค่อยๆ บรรจงขยี้ดอกกุหลาบในมือจนแหลกเละ

“ คุณมิ่ง...ต้องเป็นของนายอุดรคนนี้เท่านั้น ! ”

***

นวลอนงค์ลืมตาโพลงท่ามกลางแสงสลัวของเช้าวันใหม่ ร่างโปร่งดันตัวเองลุกขึ้น เงาที่สะท้อนผ่านกระจกบอกถึงวัยที่ล่วงเลยแม้เจ้าตัวจะพยายามรักษาไว้อย่าง ดียิ่ง กระนั้นก็ยังปรากฏริ้วรอยของความอ่อนล้า นับจากมิ่งโมรีเข้ามาไม่เคยมีสักวันที่นางได้นอนหลับสนิท มีแต่ความทุกข์ร้อน รุนแรงคุกรุ่นอยู่ภายใน นวลอนงค์ถอยห่างออกจากห้องน้ำ ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำเย็นช่วยให้ใจนางสงบลงได้บ้าง มีแรงกำลังพอที่จะเดินตรงไปยังประตูห้องนอนที่เชื่อมต่อติดกันกับห้องของตรี ประดับ เปิดผลักเข้าไป เพื่อนั่งลงบนเตียงนอนกว้าง ก้มลงจูบหน้าผากกลมเกลี้ยงของบุตรสาวที่ยังหลับสนิทอย่างแสนรัก

“ แม่เหรอคะ ? เช้าแล้วเหรอคะ ? ”

“ ยังจ้ะ ฟ้าเพิ่งสางเท่านั้นเอง นอนต่อเถอะลูก ยังเหลือเวลาอีกนาน ”

คนที่รู้สึกตัวตื่นแค่ปรือตามอง เรียกชื่อมารดาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คว้ามือขาวไปจูบแรงๆ แล้ววางแนบดวงหน้าอยู่ชั่วครู่พร้อมหลับตาลงอีกครั้ง นวลอนงค์ลูบไล้ปอยผมสีน้ำตาลหยักยาว รอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทดีแล้วจึงปลดมือบางออก จัดแจงห่มผ้าผืนอุ่นให้ด้วยแววตาและการกระทำที่อ่อนโยน ถึงแม้พักหลังมานี้ทั้งนางและบุตรสาวจะมีเรื่องให้ขัดแย้งกันมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเกิดจากความรักไม่ใช่ความชัง และต่อให้นวลอนงค์ต้องสูญเสียทุกสิ่งที่มีค่าทั้งหมดในชีวิตไปเพียงเพื่อแลกกับการให้ตรีนนท์ และตรีประดับมีความสุข นางก็ยินดี

นวลอนงค์กระชับเสื้อคลุมตัวบาง มุ่งสู่บ้านหลังใหญ่ กุลชาติยังคงเงียบสงบ ตอนที่นางก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น...ทีละขั้น ความโอ่อ่าหรูหรา และกลิ่นอายของความทรงจำไม่แตกต่างจากเมื่อครั้งที่ได้เหยียบย่างเข้ามาเป็นครั้งแรก ทุกสัมผัสยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำจนทำให้นวลอนงค์อดใจไม่ไหว ต้องแตะมือลงบนข้าวของที่ตั้งวางเรียงไว้ด้วยแววตารำลึกถึง หลายชิ้น...นางและอรรถช่วยกันเลือกหาด้วยความสุข นั่น...ชุดเครื่องแก้วเจียระไนยสีแดงสดประดิษฐ์ลวดลายงดงามเป็นเถาไม้มีนกเขาเกาะคู่ งดงามเกินกว่าจะหยิบเอามาใช้ นางได้รับเป็นของขวัญเนื่องในวันแต่งงานพร้อมคำอวยพรให้ชีวิตคู่ราบรื่นเป็นสุข

จากฐานะง่อนแง่นเป็นเพียงลูกจ้างในโรงงานผลิตเครื่องแก้วเล็กๆ จนได้รับความไว้วางใจให้สืบทอดทุกอย่าง ความมุมานะบวกความอดทน แปรเปลี่ยนเป็นความมั่นคงในวันข้างหน้า กุลชาติเติบใหญ่ ก้าวยืนบนลำแข้งของตนเองอย่างผ่าเผย แตกแขนงสินทรัพย์ในมือด้วยธุรกิจในเครือมากมาย นางในวันนั้นยืนอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่อรรถด้วยหัวใจซื่อสัตย์ พร้อมเป็นช้างเท้าหลังคอยประคองช่วงเวลาผู้เป็นสามีสะดุดล้ม ทุกสิ่งที่พยามร่วมกันมาก็เพื่ออนาคตที่วาดหวังไว้ในวันข้างหน้า

แต่แล้ว...ทุกอย่างกลับพังทลาย เมื่อในช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างที่สุด อรรถกลับจูงมือเด็กหญิงคนหนึ่งเข้ามาพร้อมประวัติอันแสนเศร้า ชายหนุ่มขอร้องให้ทุกคนในกุลชาติให้ความรักที่เท่าเทียม และแม้ไม่รักและเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย แต่เมื่อเป็นคำฝากฝั่งของอรรถ นวลอนงค์จึงเชื่อมั่นหมดหัวใจ นางให้ความใส่ใจเด็กหญิงตัวน้อยเทียบเท่าตรีนนท์และตรีประดับ ละความคลางแคลงใจทั้งหมดเพื่อดูแลครอบครัวที่ถูกพันผูกไว้ด้วยความรัก จากวัน...กลายเป็นเดือน จากเดือน...กลายเป็นปี ทุกอย่างคงดำเนินไปตามครรลองที่ถูกกำหนด ถ้า...ความจริงจะไม่เปิดเผยในวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของตรีประดับ มิ่งโมรีเท่านั้นคือความรักทั้งหมดของผู้เป็นสามี เป็นยิ่งกว่าลมหายใจ เป็นทุกอย่างในชีวิตที่นางและลูกเป็นไม่ได้ ทุกอย่างผกผันรวดเร็วจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว

ยิ่งอรรถเย็นชา คนถูกทิ้งไว้กับข่าวร้ายยิ่งรู้สึกเหมือนถูกบีบให้ตายทั้งเป็น ยิ่งมิ่งโมรีได้ความรัก รอยแผลของคำว่า ‘ ครอบครัว’ ยิ่งปริร้าว คำรักที่เคยพร่ำบอก กลายเป็นคมมีดที่คอยเฉือนหัวใจนวลอนงค์ให้ขาดสะบั้น

“ คุณผู้หญิงลุกแต่เช้า ”

ความคิดคำนึงของนวลอนงค์สะดุดลงทันที ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเฉกเช่นตรีประดับมองร่างผอมเกร็งที่ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าชิงชัง นางละอองก็คือหนึ่งในคนที่เข้าข้างอรรถ ช่วยกันถีบหัวส่งนางและลูกออกจากบ้านหลังใหญ่ กีดกันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตรีประดับได้ดีเกินหน้าเกินตามิ่งโมรี แล้วอย่างนี้นางยังควรให้ความเคารพอีกอย่างนั้นหรือ

“ ผิดปกติหรือไง ? ”

“ เปล่าค่ะ ”

นางละอองให้คำตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ร่างผอมแต่แกร่งด้วยวัยที่ผ่าน ยืนสงบเสงี่ยมอยู่เกือบชิดขอบประตูที่ตัดตรงสู่ระเบียงยาวด้านนอกตัวบ้าน แสงแดดอ่อนยามอรุณรุ่งแทรกตัวลอดผ่านผ้าม่านผืนบาง เกิดเป็นละอองหมอกขาวเพราะอากาศชุ่มชื้นยามเช้า ไม่อาจเจือจางอารมณ์ขุ่นมัวที่เริ่มขึ้นได้

“ งั้นทีหลังก็อย่าสะเออะถาม อยู่กันมาขนาดนี้แล้วอย่าให้ต้องย้ำคิดย้ำทำกันบ่อยๆ ”

นวลอนงค์กระแทกเท้าก้าวลงจากบันได คิดในใจว่าเสียเวลาที่จะพูดจากับคนเก่าแก่ของบ้าน นางละอองก็คือนางละออง ถือหางรับใช้อรรถเพราะรักอย่างไม่ลืมหูลืมตา นวลอนงค์มองเมินร่างเล็กที่ยืนสงบ นางทำท่าจะเดินผ่านอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถ้าสายตาจะไม่ปะทะเข้ากับข้าวของในมือที่นางละอองถืออยู่

“ นั่นอะไร ? ”

“ ของใส่บาตรค่ะ ”

“ ใคร ? ” นวลอนงค์ถามรวดเร็ว ตรีประดับนั้นเหนื่อยหนักเกินกว่าจะถูกปลุกเช้าให้ลุกขึ้นมาทำอะไรแต่เช้า

ความหวังเดียวอันแสนริบหรี่ของนาง แน่นอนว่านวลอนงค์ต้องปกป้องจนลมหายใจสุดท้าย

“ คุณมิ่งค่ะ เธอออกไปใส่บาตรแต่เช้า ”

นางละอองทำท่าจะพูดต่อ หากกดปลายลิ้นตัวเองไว้ได้ทัน ไม่มีประโยชน์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวใดๆ ที่มิ่งโมรีทำให้นวลอนงค์ยิ่งขุ่นมัวในอารมณ์ หากคนได้ยินแต่แรกเริ่มไม่คิดเช่นนั้น มารดาตรีประดับกรีดเสียงหัวเราะหยันทันทีที่รู้ว่า ลูกเลี้ยงที่นางเกลียดตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อทำอะไร

“ มันไม่ร้อนรึไง ใกล้พระใกล้เจ้า ”

“ ดิฉัน...คิดว่า... ”

“ ไม่ร้อนหรอกค่ะ ”

คนถูกพูดถึงก้าวเข้ามายังอยู่ในชุดนอนที่คนมองยิ่งแกล้งหัวเราะเสียงดัง ลูกสาวคนดีของอรรถ ใส่ชุดนอนเก่าๆ คล้ายลืมกำพืดตัวเองไม่ได้ ต่อให้ทำตัวเป็นเพชร ค่าของมันก็ยังเป็นก้อนกรวดริมทางอยู่ดี

“ ออกไปไหว้พระ ไม่กลัวธรณีมันสูบแกลงไปหรือไง ”

“ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะคุณนวล ” มิ่งโมรีต่อว่าเสียงหวาน “ เวลากรวดน้ำที มิ่งก็คิดถึงคุณนวลกับครอบครัวที ไมได้รับหรือคะส่วนบุญที่มิ่งอุทิศให้ ”

“ อีบ้า ! ”

“ ตายจริง ”

คนถูกตวาดใส่รีบนั่งพับเพียบลงกับพื้น ยกมือพนมไหว้รอ นางละอองมองภาพนั้นอย่างตำหนิแต่มิ่งโมรีทำไม่รู้ชี้ ลอยหน้าถามซ้ำ

“ จะให้พรก็ไม่บอกกันล่วงหน้าเกือบตั้งรับไม่ทันแน่ะค่ะ ว่ามาสิคะ มิ่งรอฟัง ”

นวลอนงค์เม้มริมฝีปากแน่น มองดูดวงหน้าสะอาด ที่ขาดเครื่องสำอางลอยหน้าท้าทายด้วยแววตาชิงชัง ถึงอรรถจะล้มเจ็บ นอนหลับเหมือนคนไม่ได้สติ แต่ตัวแทนของผู้เป็นสามีกลับลุกขึ้นฆ่าหล่อนทั้งเป็นอย่างสนุกสนาน

“ อ้าว…” คนนั่งรอเรียบร้อยอยู่นาน ทำน้ำเสียงแกมเยาะสบดวงตาเจ็บแค้นของนวลอนงค์อย่างท้าทาย “ จะเอายังไงกันแน่คะ มิ่งเมื่อยแล้วนะ ชักช้าอย่างนี้นี่เองคุณพ่อถึงได้เบื่อ ต้องแอบไปหาแม่มิ่งบ่อยๆ ”

ทันทีที่มิ่งโมรีพูดจบ ร่างโปร่งของนวลอนงค์ก็ถลามาข้างหน้า นางคว้าของที่อยู่ใกล้มือสุดติดมาด้วย ร่างขอมิ่งโมรีถูกผลักให้นั่งลงตามเดิม ไม่มีใครรู้แรงอารมณ์ของนวลอนงค์ จนกระทั่ง เสียงห้ามของนางละอองดังขึ้น พร้อมๆ กับที่มิ่งโมรีรับรู้ถึงแรงกระแทกจากวัตถุที่นวลอนงค์คว้าติดมือมา วูบแรกคือชา ตามมาด้วยความเจ็บร้าวริมหน้าผาก หยดเลือดกลุ่มเล็กๆ ซึมผ่านไรผมไหลผ่านดวงหน้าสะอาดขาว ตกต้องลงพื้นจนเห็นสีแดงฉานบนระบายบนพื้นหินอ่อนสีนวล

“ อย่าค่ะ คุณนวล ! หยุดค่ะ อย่านะคะ พอแล้วค่ะ! ”

นางละอองถลาตัวลุกขึ้นห้าม กอดแขนทั้งสองข้างที่เงื้อง่า ตั้งท่าจะฟาดใส่มิ่งโมรีอีกรอบไว้ คนถูกห้ามยิ้มเย็น สะบัดตัวหนีจากการเกาะกุม ถามเสียงแหลมตอกย้ำเพื่อให้มิ่งโมรียิ่งเจ็บมากขึ้นว่า

“ เจ็บไหมล่ะ นี่มันยังไม่ได้ถึงครึ่งกับที่แกทำฉันและยัยสองเจ็บหรอกนะ ”

มือ เรียวโยนอาวุธในมือใส่มิ่งโมรี ที่ยืนนิ่งไม่ถอยไปไหน สันกรอบรูปใบเล็กที่ทำจากไม้เนื้อหนักทาสีทองก่อนสลักเป็นรอยหยักลวดลายกลีบ บัวปรากฏรอยเปื้อนเล็กๆ สีแดงหม่น เลือดจากศีรษะของมิ่งโมรีติดอยู่ตรงนั้น ย้ำชัดว่านางระบายความแค้นของตัวเองลงที่ใด !

“ คุณแม่ ! คุณแม่ทำอะไรคะ ! ” ตรีประดับที่ถลาเข้ามา ตรงเข้ากอดคนสูงวัยกว่าไว้แน่นมองดูมิ่งโมรีใช้มือแตะหยดเลือดที่ซึมชื้นด้วยความตกใจ

“ แม่กำลังสั่งสอนมันอยู่สอง ดูสิ ! เจ็บตัวอย่างนี้แล้วอยากรู้ว่ามันจะสำรอกคำด่าอะไรได้อีก ”

มิ่งโมรีมองร่างโปร่งระหงสวมกอดนวลอนงค์เนื้อตัวสั่นระริกด้วยแววตาเฉยเมย ร่างผอมขยับตัวลุกขึ้นยืน โดยมีนางละอองนิ่งมองราวกับกลั้นหายใจรอคอย

“ อย่านะคะคุณ ”

“ ถ้ามิ่งเชื่อฟังคุณละออง มิ่งก็เป็นเด็กดีเกินไปน่ะสิคะ ”

“ มิ่ง...มิ่งเจ็บ...เจ็บหรือเปล่า ? ”

ตรีประดับถามเสียงสั่น ทำท่าคล้ายจะเข้ามาดู แต่นวลอนงค์ยึดแขนบางไว้แน่น ขู่แกมบังคับให้คนอ่อนวัยกว่าอยู่เฉยๆ ส่วนตัวเองยิ้มหวานส่งให้ลูกเลี้ยงอย่างจงชัง

“ แค่นี้มันจะไปเจ็บอะไรยัยสอง หน้าอย่างมันด้านเสียจนชินแล้วล่ะ ”

มิ่งโมรีมองร่างโปร่งที่เอาตัวเข้ากางกั้นเพื่อยั้งอารมณ์ของมารดาไว้ มือผอมยกขึ้นกดรอยแผลที่ปลาบแปลบทุกครั้งที่ต้องแตะ ลิ่มเลือดที่เปรอะมือลงมาทำให้หล่อนเปิดรอยยิ้มกว้าง และทันที่ใครจะคาดคิด มิ่งโมรีตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าเคลือบเครื่องสำอางสีอ่อนของตรีประดับฉาดใหญ่

“ นี่เป็นคำตอบที่คุณนวลอยากรู้ไงคะ เจ็บไหมคะคุณสอง ? ”

“ แก ! นังมิ่ง ! แกตบลูกฉัน ! แก๊ ! ”

นวลอนงค์ตวาดลั่น สะบัดมือออกจากการเกาะกุมที่เลื่อนหลุดโดยง่ายของตรีประดับ อาการนิ่งตะลึงของบุตรสาวเปิดโอกาสให้คนสูงวัยกว่าผวาเข้าหาคนยืนอยู่ มือบางแต่แข็งแรงราวคีมเหล็กบีบลงบนลำคอผอมของมิ่งโมรี แรงโถมเข้าใส่ ผลักให้คนทั้งคู่ล้มลงไปด้วยกัน นางละอองรีบตรงเข้าห้าม เป็นเวลาเดียวกับที่อุดรถือกุหลาบกำใหญ่ก้าวเข้ามาพร้อมกับประณีตที่ทิ้งข้าวของในมือลงพื้นอย่างตกใจ

“ เร็ว ! ช่วยกันจับคุณผู้หญิงกับคุณมิ่งที ! ”

นางละอองร้องสั่ง แรงของนางสู้อารมณ์โกรธของนวลอนงค์ไม่ไหว ถูกสะบัดจนกระเด็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างเล็กแกร็นปะทะเข้ากับตรีประดับที่ยืนอยู่ คนสูงวัยกว่าตั้งท่าขอโทษ หากชะงักอยู่กับที่ ถอยตัวเองออกห่างจากหญิงสาว แววตาเล็กวาวจากตื่นตระหนกเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง มองร่างโปร่งของตรีประดับก้าวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างนวลอนงค์และมิ่งโมรี ที่ถูกจับแยกห่างจากกันด้วยอาการสงบ

“ ปล่อยฉัน ! ไม่ต้องมาจับ ”

อุดรปล่อยมือตามคำสั่ง คนสวนหนุ่มถอยห่างอย่างรู้หน้าที่ นวลอนงค์ขยับเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย ยืดตัวตรงมองร่างผอมที่ลูบคลำลำคอตัวงออยู่ในการประคับประคองของประณีตด้วย แววตาเหยียดหยาม

“ จำเอาไว้ ฉันฆ่าแกได้นังมิ่ง ”

“ ก็ทำไมไม่ฆ่าเสียเลยล่ะคะ ปล่อยให้รอดทำไม ” มิ่งโมรีโต้เสียงแหบ เพราะหายใจไม่ทันทำให้หล่อนสำลักอากาศจนต้องไอออกมา

“ อย่าเผลอก็แล้วกัน ฉันฆ่าแกแน่ นังเด็กเปรต ”

“ แม่คะ ! ”

ตรีประดับสุดจะทนฟัง หญิงสาวเรียกมารดาเสียงดัง แต่นวลอนงค์สะใจเกินกว่าจะฟังคำของลูกสาว นางกรีดเสียงหัวเราะแหลมจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากและผมกระเซิงของมิ่งโมรีผลักจน ศีรษะอีกฝ่ายหงายไปด้านหลัง ก่อนหันหลังกลับก้าวออกจากบ้านหลังใหญ่ไปด้วยอารมณ์ที่ดีเป็นพิเศษ ทิ้งตรีประดับให้ยืนกุมมือแน่น ตัดสินใจทำอะไรไม่ถูกอยู่เพียงลำพัง

“ พี่…พี่ขอ…ขอให้เลิกแล้วต่อกันแค่นี้นะมิ่ง ถือว่าเจ็บเท่ากันนะ ”

เสียงหวานจมหายไปในลำคอ ตรีประดับก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตาใคร ซีกแก้มด้านซ้ายขึ้นรอยนิ้วมือแดงครบถ้วนทุกนิ้ว หญิงสาวไม่ได้อ้อนวอน แต่รอคำตอบจากของน้องสาวคนเดียวด้วยใจจดจ่อ น่าแปลก ที่แม้จะโดนตบตีจนเกือบถึงขั้นหยุดลมหายใจ ทว่าดวงตาที่มองตรีประดับกลับไร้รอยเกรง คนถูกขอคำมั่นว่าจะไม่อาฆาตแค้นไม่ตอบคำถาม มิ่งโมรีเดินผ่านร่างโปร่งออกไปโดยไม่เอ่ยคำตอบใดเท่ากับยืนยันว่าหล่อนไม่มีวันยอมลงให้ คนที่ยังเหลืออยู่เลยได้แต่นิ่งอึ้ง อุดรเป็นคนแรกที่มีความเห็นว่ารอยช้ำบนใบหน้าของตรีประดับดูน่ากลัวเกินกว่า จะปล่อยไว้

“ ประณีตไปหยิบยามาทาให้คุณสอง ”

ประณีตผลุบหายออกไปตามคำสั่งรวดเร็ว นางละอองเลยหันมาเอ่ยกับหญิงสาวที่ยืนซึมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อยว่า

“ เช้านี้กินอะไรอ่อนๆ ดีกว่านะคะ ดิฉันจะเตรียมโจ๊กไว้ให้ แล้วก็ถ้าลางานได้ดิฉันอยากให้คุณลา ”

“ คุณละออง ฝากดูแลมิ่งด้วยนะคะ ”

คนสูงวัยกว่านิ่งไปนิด ก่อนพยักหน้ารับ ทำตามที่หญิงสาวด้วยการถอยหลังกลับไปเงียบๆ ตรีประดับถอนหายใจเหนื่อยอ่อน สีหน้าไม่ดีจนคนสวนหนุ่มที่ถูกทิ้งให้เก้กังอยู่กลางห้องต้องเอ่ยว่า

“ คุณสอง มาทางนี้เถอะครับ เดี๋ยวให้นิดทายาให้ ”

ชายหนุ่มค้อมตัวเดินนำด้วยกิริยาสุภาพ นำร่างโปร่งของตรีประดับไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งจัดไว้เป็นสัดส่วนสำหรับกลุ่มคนที่สนิทสนมเป็นพิเศษกับเจ้านายในกุลชาติ ด้านหน้าคือกระจกกว้าง เลื่อนเปิดปิดได้เพื่อออกสู่สวนตกแต่งด้านหลัง คนมีหน้าที่ดูแลทั้งสวน ควบทั้งตำแหน่งคนขับรถ เปิดบานกระจกให้กว้างออกเลื่อนเก้าอี้ออกมาวางตั้งให้ตรีประดับได้นั่งลมเย็นยามเช้าหอบกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกแก้วที่ชูช่อขาวพราวไปทั้งต้นมาด้วย สีหน้าคนก้าวเข้ามาค่อยแช่มชื่นขึ้น ดวงหน้าหวานแม้จะมีรอยแดงประทับหากเจ้าตัวทำเป็นไม่ใส่ใจ ร่างสูงถอยตัวเองอกห่าง แทบจะชิดกำแพงอีกด้าน สงบเงียบรอคอยให้ตรีประดับปรับอารมณ์ตนให้คงที่ อุดรบอกผ่านความรู้สึกทั้งหมดด้วยกิริยาว่าเขาวางหญิงสาวไว้ ณ.ที่ใด อยู่สูงและไกลเกินเอื้อมแค่ไหนสำหรับลูกสาวที่อรรถไม่รัก

“ ขอบใจนะนายอุ่น ”

ตรีประดับนั่งลงแช่มช้า หญิงสาวมองเหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ชั่วแวบเดียวร่างโปร่งก็สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น

“ คุณสองคะ อย่าร้องไห้เลยนะคะ หนูรักคุณสองนะคะ ”

มือเย็นเฉียบ หนาสากเพราะกรำงานตั้งแต่เยาว์วัยที่วางลง ทำให้คนที่ตั้งใจจะร้องไห้เงียบๆ หันมอง นอกจากประณีตแล้ว คนสวนหนุ่มที่มิ่งโมรีเพิ่งรับเข้ามาได้ไม่กี่เดือนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม และถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้มองมาทางนี้เลย หากเสียงสะอื้นของหล่อนก็คงดังให้ชายหนุ่มได้ยิน ตรีประดับยิ่งพรั่งพรูน้ำตา พยายามกลั้นสะอื้นบอกว่า

“ ขอบใจนะจ๊ะ นิดเอายาวางไว้ตรงนั้นแหละจ้ะ เดี๋ยวฉันจะทาเองได้ ”

ประณีตมองผู้เป็นนายด้วยแววตาสงสารยิ่งขึ้น เด็กสาวถือวิสาสะบีบมือเล็กบางที่วางพาดบนตักอย่างให้กำลังใจ ขณะที่อุดรที่นั่งไกลออกไปทอดตามองพื้น ท่าทางเฉยเสียทำให้คนร้องไห้เพราะแรงกดดันผ่อนคลายลง

“ หนูทาให้ดีกว่าค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ ? หายชาหรือยังคะ ”

เด็กสาวเริ่มลงมือทายาลงบนแก้มนวลเบามือ ตรีประดับยิ้มให้ก่อนแลเลยไปยังชายหนุ่มที่ยังนั่งก้มหน้าแต่คงรอฟังคำ ตอบอยู่เช่นกัน หญิงสาวที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยมจากลูกจ้างทั้งสองเลยเอ่ยเสียงอ่อนว่า

“ ฉันไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ก็แค่...เจ็บที่...ตรงนี้นิดหน่อย อีกเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ ” หญิงสาวลูบมือลงตรงกลางอก ทำเอาประณีตที่มองอยู่ยิ่งน้ำตาปริ่ม พูดอะไรไม่ออกได้แต่พึมพำเสียงเครือว่า

“ โธ่...คุณสอง ”

“ ว่าแต่ทำให้ตกใจหรือเปล่าจ๊ะ ? ขอโทษที่ทำให้ตกใจกันนะ คุณแม่ท่านออกจะเป็นคนอารมณ์ร้อน คุณมิ่งก็...อย่างที่เห็น ”

“ คุณสองอย่ากังวลเลยค่ะ หนูชินแล้ว อยู่ที่นี่มาตั้งปีกว่า ถ้าคุณมิ่งไม่อาละวาดสิคะแปลก ส่วนพี่อุ่นก็ชินแล้วใช่ไหมพี่ สามเดือนนี่ถ้าวันไหนไม่ออกศึกก็คงเหงาพิลึกล่ะค่ะ ”

เด็กสาวสูดจมูกพยายามพูดให้สนุก พยักเพยิดหาลูกคู่ที่สนิทสนมกันดี หากคนถูกกระทุ้งถามตอบแค่ว่า

“ ครับผม ”

“ ฉันออกจะเสียใจ ” ตรีประดับสูดลมหายใจลึกยาว น้ำเสียงค่อนข้างเบากว่าเดิม “ ที่ไม่มีความสามารถ ทำให้กุลชาติเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ คงเป็นเวรกรรมละมั้ง ตั้งแต่คุณพ่อล้มเจ็บครอบครัวเราก็ระส่ำระส่าย กิจการหลายอย่างถูกยึด บ้านหลังนี้กว่าจะยื้อไว้ได้ก็เกือบสุดกำลัง ”

“ หนูรู้มาว่า บริษัทผลิตชิ้นส่วนของเล่นที่คุณมิ่งเธอเข้าไปทำงานยังเหลืออยู่ ”

ไม่ว่าจะรู้จากไหนแต่คำถามของประณีตก็ทำให้ริมฝีปากบางของตรีประดับเกิดรอยยิ้มพึงใจขึ้นมาได้

“ อย่างที่บอกแหละจ้ะ เรายื้อกันไว้สุดชีวิต ก็...เท่าที่เราจะทำได้น่ะนะ ตอนนั้นคุณแม่ขายข้าวของในบ้านไปหลายชิ้น พี่หนึ่งถึงกับหยุดเรียนไปปีกว่า มิ่งเองก็พอจะช่วยบ้าง ”

“ ช่วยหรือคะ ? ”

ประณีตถามเสียงหลง แม้เด็กสาวจะอยู่ปลายเหตุการณ์แต่ก็ยังพอทันเห็นว่ามิ่งโมรีใช้จ่าย ฟุ่มเฟือย ข้าวของแต่ละชิ้นของหญิงสาวบอกจำนวนมูลค่าที่สูงลิบลิ่ว ผิดกับตรีประดับ ไม่เคยมีสักครั้งที่เด็กสาวจะได้เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ของอีกฝ่าย

“ ช่วยจ้ะ อย่างน้อยเธอก็ช่วยอยู่เฉยๆ ไม่ก่อเรื่องร้ายเหมือนทุกครั้ง ”

ดวงหน้าหวานแจ่มใสขึ้น ยามเอ่ยถึงคนเป็นน้องด้วยน้ำเสียงแกมหยอก คำพูดลับหลังในเชิงที่ไม่ค่อยได้ยินนักพลอยเรียกเสียงหัวเราะขำขันจากเด็ก สาวได้

“ เรามารู้ทีหลังว่าคุณพ่อยกหุ้นที่มีอยู่ในมือทั้งหมดให้มิ่ง เพราะมิ่งเป็นคนเดียวที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเราแต่ก็ผูกกันไว้ด้วยสายเลือด คุณแม่ไม่ชอบใจนักหรอก แต่สำหรับฉันแล้ว ถ้าคุณพ่อท่านวางใจ ฉันกับพี่หนึ่งก็วางใจ ”

ถึงไม่เล่าต่อ คนฟังก็รู้ดีว่า นวลอนงค์คุมแค้นแค่ไหนเมื่อสิ่งที่นางลงมือกอบกุมไว้พลัดหายไปทั้งที่อยู่ ต่อหน้า นานทีเดียว...กว่ารอยแผลซึ่งถูกกรีดซ้ำจะสมานกันเข้ากับความชิงชัง นวลอนงค์จึงพร่ำย้ำทุกครั้งที่มีโอกาส ว่าทุกอย่างคือแผนการของอรรถที่สร้างขึ้นมาเพื่อยกสมบัติชิ้นสุดท้ายให้กับ นังเด็กนอกคอกที่นางเกลียดแสนเกลียด บริษัทผลิตชิ้นส่วนของเล่นเล็กๆ นอกสายตา ที่กลายเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ถึงไม่ถูกยึดก็เหมือนถูกยึด เมื่อมิ่งโมรีได้ไว้ในครอบครอง ก่อนที่คนอ่อนวัยกว่าจะขายทอดตลาดทันทีที่อรรถล้มเจ็บนอนไม่ได้สติ นวลอนงค์เลยยิ่งแค้นลูกเลี้ยงที่นางไม่เต็มใจเลี้ยง ความร้อนรนในสิ่งที่ควรได้ปะทุอยู่ในอก เก็บสะสมไว้รอโอกาสทวงคืน กลายเป็นหนามแหลมที่ถูกลดน้ำพรวนดินให้เจริญเติบโต หยั่งรากลึกจนยากจะถอนทิ้ง

“ ขอโทษอีกครั้ง ที่ฉันพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ฟัง ทั้งสองคนถือเสียว่าฟังเสียงนกเสียงกาบ่นละกันนะ ”

“ หนูชอบฟังค่ะ ฟังแล้วก็เข้าใจอะไรขึ้นเยอะ ”

“ ขอบใจนะนิด ยังไงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉันขออย่าให้พูดออกไป กับมิ่งก็อยากให้ทำตัวกันตามปกติ รับใช้เธอเหมือนที่เคยทำ ฉันไม่อยากให้เราทั้งหมดแปลกแยก เพราะเท่าที่เป็นอยู่มันก็มากพอแล้ว ”

ประณีต สบตาคนสวนอย่างอึดอัด คันปากยิบๆ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจก่อนตอบรับ อุดรนั้นขรึมไปทีเดียว ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรเลย ตรีประดับจึงถือว่านั่นคือคำตอบจากคนสวนหนุ่ม หญิงสาวขอบอกขอบใจคนทั้งคู่อีกครั้ง ช่วยเด็กสาวเก็บเครื่องมือพยาบาลที่ขนออกมามากมายเพราะเจ้าตัวไม่รู้จะเลือก ใช้อันไหนมาทำให้ผู้เป็นนายหายเจ็บ ก่อนขอตัวกลับเรือนหลังเล็ก คล้อยหลังตรีประดับได้ประณีตก็บ่น เด็กสาวมีหน้าที่เตรียมอาหารเช้าแทนนางละอองที่คงประคบประหงมมิ่งโมรีอยู่ ด้านบน

“ บ้านร้อนเป็นไฟแต่เช้าเลยพี่อุ่น คนที่ทนอยู่บ้านหลังนี้ได้ถ้าไม่ประสาทก็เกือบบ้าล่ะ สงสารก็แต่คุณสองนี่แหละ เธอดี๊ดีจนน่าเห็นใจ กรรม…กำกันไม่ต้องแบเลย ”

“ กรรมคือผลจากการกระทำ ”

อุดร เอ่ยเสียงขรึม แววตาภายใต้คิ้วเข้มมีผมรุงรังเป็นประกายหยัน ชายหนุ่มเดินตามประณีตไปยังห้องครัว ในมือมีช่อกุหลาบซึ่งริบหนามเรียบร้อยแล้วถือติดมาด้วย เริ่มแรกชายหนุ่มตั้งใจตัดเพื่อให้เด็กสาวนำไปประดับห้องให้ตรีประดับ หวังสุดใจว่าสีสันของดอกไม้จะนำความสดชื่นมาให้หญิงสาวที่นับวันมีแต่จะถูก มิ่งโมรีคุกคามข่มเหง แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ความงดงามของกุหลาบเลย บรรยากาศยามเช้ายังแปรเปลี่ยนเป็นสีจัดอบอ้าวจนชวนให้หัวใจคนมองรุ่มร้อน ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจเข้าใจได้เช่นกัน

“ พี่อุ่นเคยได้ยินชื่อ อติราช ไหม ? ”

คนถูกถามดึงความคิดตัวเองกลับ ใบหน้าภายใต้หนวดเคราค่อนข้างเฉยจนประณีตจับอารมณ์ไม่ถูก คนอ่อนวัยรู้แต่ว่าทุกครั้งที่คุยกับอุดร ชายหนุ่มจะให้แต่คำปรึกษาที่ดีมากกลับมา ในบ้านที่เหลือกันอยู่แค่นี้ประณีตเลยเลือกคนสวนหนุ่มเป็นที่พึ่งพิงมากกว่า คุณแม่บ้านเก่าแก่อย่างนางละออง ที่พอคิดๆ ดูแล้ว หล่อนเองก็ชักแน่ใจว่าอีกฝ่ายลำเอียงรักมิ่งโมรีมากกว่าตรีประดับ

“ ไม่ ”

“ นั่นสินะ พี่เพิ่งเจข้าทำงานจะไปรู้อะไร ”

“ แล้วอยากให้รู้อะไร ”

“ เพราะไม่รู้ต่างหากล่ะ เลยอยาก รู้ ”

คนเด็ดผักบุ้ง เลือกเอาเฉพาะยอดและก้านอ่อน หรี่เสียงตัวเองลง ร่างเล็กบางเขยิบมาใกล้คนสวนหนุ่มที่ยังนั่งอยู่กับกองกุหลาบ

“ ฉันเคยได้ยินมาบ้างล่ะว่า จริงๆ แล้วกุลชาติเองก่อนหน้านี้ไม่ได้สะอาดนัก กว่าคุณอรรถจะรวยขึ้นมาได้ ท่านชี้นิ้วให้คนไปตายอยู่หลายคน พี่อุ่นจำข่าวที่ตระกูลดัง ฆ่าตัวตายยกตระกูลได้ไหมพี่ ”

ข่าวดังในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อหลายสิบปีก่อน...สร้างความสลดหดหู่ให้กับผู้คน ที่ได้รับรู้ หัวหน้าครอบครัวที่ตัดสินใจพาบุคคลที่ตนรักฆ่าตัวตายตามติดกันไป เพราะปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวในช่วงเศรษฐกิจดิ่งลงเหวกลายเป็นปมสำคัญ ปิดคดีที่เกิดขึ้นลงอย่างง่ายดาย

“ ทำไม ? ”

หางเสียงคนถามเจือรอยประหลาด ที่เจ้าตัวเก็บท่าทีไว้สนิทจนเด็กสาวไม่ทันเฉลียวใจ ได้แต่พาซื่อพยักหน้าหงึกหงัก เล่าต่อว่า

“ ก็วันที่คุณอรรถท่านตกบันไดลงมา ฉันกำลังทำความสะอาดอยู่ชั้นบน เลย ได้ยินเสียงท่านทะเลาะกับคุณผู้หญิงเรื่องของคนนามสกุล อติราช ดังมาก ฉันฟังไม่ถนัดหรอกนะพี่ แต่จับใจความได้ว่าคงไม่พ้นเรื่องเงิน ที่ทางอติราชฝากไว้แต่กุลชาติกลับยึดเอามาเป็นของตัวเองทั้งหมด จากนั้นก็...”

ประโยคท้าย เด็กสาวท้ายหรี่เสียงเบาลงจนเกือบเป็นกระซิบ ประณีตเหลียวซ้ายแลขวาอย่างไม่ไว้วางใจ หล่อนมาเห็นเหตุการณ์อีกครั้งก็เมื่ออรรถกลิ้งตกบันไดลงมาชั้นล่างแล้ว โดยมีนวลอนงค์ยืนกรีดกรีดร้องอยู่เหนือบันได

“ มันอาจเป็นคำแช่ง ของคนในตระกูลคนตายก็ได้นะพี่อุ่น อูย...ยิ่งพูดยิ่งขนลุก ”

“ คำแช่งงั้นเหรอ ? ”

คนฟังเรื่องผีสางแต่ไม่เชื่อสักนิด เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ดวงตาคมดุวาบยามเอ่ย

“ เมื่อวันก่อนพี่ยังอ่านข่าวคนในตระกูลที่ว่าย้ายบินกลับมาลงทุนร่วมธุรกิจ สถานีโทรทัศน์ในไทยอยู่เลย ถ้าแค้นจริงคงหาทางทำลายด้วยวิธีอื่นมากกว่า มานั่งสาปแช่งไปวันๆ แน่ ”

“ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เงินทองนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เลยนะพี่ ”

นวลอนงค์เคยว่าทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถึงเรื่องเงินกองกลางที่ควรเอามาใช้จ่าย แต่ถูกมิ่งโมรียึดเอาไปใช้ฟุ่มเฟือย ประณีตเองฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เรื่องของเจ้านายบางครั้งนินทาไปก็ไม่สนุกนัก ดีไม่ดีจะถูกไล่ออกเอาง่ายๆ หล่อนเลยกล้าพูดแสดงความคิดกับอุดรคนเดียวเท่านั้น

“ เงินซื้อได้ทุกอย่างแหละนิด ซื้อได้แม้กระทั่งลมหายใจ ! ”

***

โปรดติดตามตอนต่อไป



บุรีวาด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2555, 03:31:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2555, 14:49:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1858





<< บ่วงมาร ตอนที่ 2   บ่วงมาร ตอนที่ 4 >>
หมูอ้วน 16 เม.ย. 2555, 04:42:36 น.
หนูสองสู้ ๆ


siita 16 เม.ย. 2555, 12:50:18 น.
นายอุ่น อุดรไรนั่น พระเอกรึเปล่าหนอ เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากค่ะ รอนะคะ อยากอ่านต่อไวๆ จัง สนุกมาก


ปอแก้ว 16 เม.ย. 2555, 16:01:52 น.
สงสารคุณสอง. ยายมิ่งน่ะร้ายยยย


มุกมาดา 17 เม.ย. 2555, 08:55:58 น.
มิ่งเนี่ยเป็นผู้หญิงร้ายจริงๆ เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์ค่ะ เนื้อเรืองเข้มข้นมาก รอตอนต่อไปจ้ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account