บ่วงร้อยรัก
ชีวิตที่ถูกร้อยรัดไว้ด้วยหนี้บุญคุณและความแค้น หญิงสาวจะทำอย่างไร เมื่อบ่วงรักที่หล่อนเข้าใจ กลับกลายเป็นบ่วงมารที่ฆ่าหล่อนให้ตายทั้งเป็น
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บ่วงมาร ตอนที่ 4

ทักทายค่ะ (✿◠‿◠✿)
อากาศช่วงนี้ร้อนมากๆ เลย และคนเขียนก็พยายามทำให้เรื่องที่เขียนร้อนแรงขึ้น 55+
ถ้าอย่างไรช่วยแนะนำติ-ชมกันด้วยนะคะ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ

-------
คุณหมูอ้วน -- หนูสองจะสู้ตายหรือเปลี่ยนแผน ช่วยลุ้นด้วยนะคะ ><
คุณsiita -- พระเอกคือใครหนอ ^^ ทุกอย่างจะค่อยๆชัดเจนขึ้นค่ะ
คุณปอแก้ว -- มิ่งร้ายค่ะ แต่ดีกรีจะร้อนแรงกว่านี้หรือเปล่าช่วยติดตามด้วยนะคะ =3=
คุณเวียงแก้ว -- ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ ช่วยติดตามด้วยนะคะ *O*

https://www.facebook.com/profile.php?id=1224716796 <<< เฟสบุ๊คผู้เขียนเองค่ะแวะทักทายได้นะคะ

------

ตอนที่ 4

ตรีประดับมองดูเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก รอยแดงจากฝ่ามือที่มิ่งโมรีฝากไว้จางลงจนแทบไม่เหลือรอยให้เห็น อันที่จริงน้ำหนักมือคนอ่อนวัยกว่าที่ลงกับหล่อนนั้นเบากว่าที่คิด หญิงสาวเลยคลายกังวลเรื่องที่กลัวว่าจะเกิดรอยช้ำเพราะแค่แต่งหน้าให้จัดขึ้นอีกนิดก็กลบเกลื่อนทั้งหมดได้แล้ว ดังนั้น ทั้งที่โทรศัพท์ลางานกะทันหัน แถมตั้งใจนอนพักอยู่ที่บ้านตามคำแนะนำของของนางละออง หญิงสาวเลยเปลี่ยนใจแวะมาที่สถานีโทรทัศน์ในช่วงบ่ายโดยไม่ได้แต่งหน้า หญิงสาวแวะทักทายพนักงานต้อนรับที่มองตามอย่างสนใจเล็กน้อย ก่อนจะกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทอย่างละลินตาที่ทำงานในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ประจำรายการข่าวภาคค่ำของสถานี นัดออกมาทานมื้อเที่ยงที่หล่อนยังไม่ได้ฝากท้องไว้ที่ใด โดยบอกว่าระหว่างนั้นหล่อนจะรออีกฝ่ายอยู่ทีห้องแต่งตัวสำหรับผู้ประกาศข่าว แทนที่จะเตร็ดเตร่อยู่ในส่วนรับแขกของสถานี หญิงสาวแวะเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว จังหวะที่กำลังก้าวออกจากห้องน้ำนี่เอง เสียงพูดคุยจากด้านนอกก็หยุดตรีประดับไว้

“ เห็นหน้าคุณสองหรือเปล่าเธอ เหมือนโดนใครตบมาอย่างนั้นแหละ ”

ตรีประดับที่กำลังจะก้าวออกจากห้องน้ำชะงักมือที่จับลูกบิดประตูไว้แน่น แทบต้องกลั้นลมหายใจฟังเสียงพูดคุยลับหลัง ดวงหน้าหวานสงบเย็นมีเพียงแววตาเท่านั้นที่วูบไหว

“ อย่างคุณสองนี่นะโดนตบ ถ้าเป็นคุณอุ่นละก็ ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย ”

“ คุณเรือนอรุณน่ะเหรอ ”

“ จะใครซะอีกล่ะ สถานีนี้มีแค่อุ่นเดียวเท่านั่นแหละ ”

คนถูกพาดพิงขึ้นชื่อในเรื่อง วีน เหวี่ยง ไม่เป็นรองใคร แถมยังมีข่าวเสียหายมากมายให้เป็นหัวข้อสนทนาไม่เว้นแต่ละวันถูกยกขึ้นอ้าง เพราะทั้งที่เป็นตัวหลักในการนำเสนอข่าวแต่กลับตกเป็นข่าวเสียเอง จนหลายคนคิดว่าตำแหน่งนั่งหน้าจอที่คนถูกพูดถึงได้มา เกิดจากเส้นสายที่หล่อนมีในสถานี ลูกสาวของหุ้นส่วนใหญ่ ที่พักหลังมานี้ ' ข่าวคาว ' ของหล่อนกลายเป็นหัวข้อสนทนาติดอันดับเรื่องที่ทุกคนอยากรู้ การเปรียบเทียบระหว่างผู้ประกาศข่าวสาวน้ำดีซึ่งอ่านข่าวในช่วงเช้าอย่างตรีประดับ กับผู้ประกาศข่าวสาวช่างเอาแต่ใจซึ่งอ่านข่าวหลักในช่วงหัวค่ำอย่างเรือนอรุณจึงมีมาให้ได้ยินอยู่เสมอ

“ น้องสาวคุณสองเธอก็ร้าย”

“ ใคร? น้องสาวคุณสอง ” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนถามหูผึ่งแค่ไหน เพราะเสียงคนเล่ายามตอบกลับมาแจ่มใสผิดไปจากเดิม

“ ก็มิ่งโมรี ไฮโซสาวที่เปลี่ยนผู้ชายเร็วกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นไง ”

“ จริงเหรอ ! ” คนรอฟังทำเสียงตกใจ ประโยคต่อมาเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน “ คนละนามสกุลกันนี่ ”

“ เรื่องนี้ยาว เขาว่ากันว่า... ”

และแม้จะพยายามเงี่ยหูฟัง ‘ เขาเล่าว่า ’ ก็ไม่ได้ยินแม้แต่ถ้อยคำใดตามมา หญิงสาวเลยได้แต่ยืนนิ่ง รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา

“ คุณสองเธอดี จะโดนตบจริงหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าคนตบคงเจ็บเองด้วยล่ะ ”

ตรีประดับรอจนเสียงพูดเงียบหาย และมีเสียงปิดประตูดังกริ๊กตามหลัง ถึงได้กล้าเปิดประตูออกมาถอนหายใจยาวโล่งอก หญิงสาวพาตัวเองไปยังห้องแต่งตัวซึ่งจัดไว้สำหรับผู้ประกาศประจำสถานีโดยเฉพาะ เพื่อลงแป้งบนแก้มนวลเกลื่อนรอยช้ำที่ยังเหลืออยู่จนเนียนสนิท ก่อนนั่งนิ่งมองเงาตัวเองที่สะท้อนผ่านกระจก ท่าทีของหญิงสาวทำเอาคนที่ก้าวเข้ามาชะงักไป

“ คุณ...สองคะ ”

คนนั่งอยู่สะดุ้ง หญิงสาวหันมายิ้มให้เด็กสาวที่อยู่ในชุดฟอร์มของสถานี ก่อนจะเสเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าจำพวกแป้งและแปรงปัดลงกระเป๋าถือใบใหญ่ คลี่คลายบรรยากาศอึดอัดรอบตัว ด้วยการถามว่า

“ มีอะไรเหรอจ๊ะ ”

“ คุณลี่น่ะค่ะ ให้แป้งมาบอกว่าคงไปทานข้าวเที่ยงด้วยไม่ได้แล้ว ”

“ อ้าว…ทำไมล่ะจ๊ะ”

“ ทีมข่าวค่ำถูกเรียกประชุมด่วนค่ะ” คนเข้ามาส่งข่าวรีบบอก เมื่อมองเห็นความผิดหวังฉายผ่านใบหน้างาม “ เห็นว่าเนื้อข่าวที่จะนำเสนอมีปัญหาค่ะ คุณลี่เลยถูกตามตัวด่วน นี่แป้งก็เห็นส่งส่วยกันเข้าไปแล้ว คงประชุมกันยาวล่ะค่ะ ”

ยังไม่ทันได้ซักไซ้ถึงเรื่องที่เกิด ตรีประดับก็ต้องขอตัวรับโทรศัพท์ คนปลายสายเอ่ยคำขอโทษมาก่อน พร้อมรายงานว่าเพราะอะไรหล่อนถึงต้องเข้าประชุมด่วน

“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะหาอะไรกินด้านล่างแล้วกลับเลย ลี่ทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วง ดูแลตัวเองด้วย ”

หญิงสาวปิดโทรศัพท์วางลงบนโต๊ะ แล้วหันมายิ้มเขินๆ ให้กับคนที่รีรอฟังข่าวบอกว่า

“ มื้อเที่ยงกับลี่เป็นหมันแล้วล่ะ แป้งกินข้าวหรือยัง ไปกินข้าวด้วยกันไหม ? ”

คนถูกชวนยิ้มกว้าง ไม่บอกก็รู้ว่าหัวใจพองโตแค่ไหนเมื่อถูกให้ความสำคัญ ทีมงานสาวที่เคยยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าคนตรงหน้านิสัยดีอย่างนั้นอย่างนี้เลยยิ้มปลื้ม เอ่ยอย่างเสียดายนักหนาว่า

“ แป้งกินข้าวเที่ยงแล้วค่ะ กินอะไรไม่ลงอีกแล้ว ”

“ เสียดายจัง ” ผู้ประกาศสาวแสดงความผิดหวังรอบสอง ทำเอาคนมองรู้สึกผิดที่ไปด้วยไม่ได้ เด็กสาวติดงานช่วงบ่าย จะปลีกตัวแต่ละครั้งยังยากเย็นแสนเข็ญแค่หลบเข้าห้องน้ำหล่อนยังถูกดุ นับประสาอะไรถ้าจะลงไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กับผู้ประกาศข่าวชื่อดังอย่างตรีประดับ

“ หนูขอโทษนะคะ ”

“ ขอโทษอะไรล่ะแป้ง ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสักหน่อย เดี๋ยวฉันหิ้วท้องกลับไปกินที่บ้านดีกว่า อิ่มจังตังค์อยู่ครบดีด้วย ขอบใจแป้งมากนะที่อุตส่าห์มาบอก ”

คนถูกขอบอกขอบใจซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ้มจนตาหยี มองร่างโปร่งระหงก้าวออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างเพ้อฝัน คิดในใจว่า ถ้าหล่อนจะดำเนินรอยตามตรีประดับทุกย่างก้าว ยึดเอาเป็นต้นแบบที่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็คงได้กลายเป็นที่รักของคนทุกคนเหมือนอีกฝ่าย

“ ว้าย ! ”

คนยืนอยู่สะดุ้งสุดตัว เมื่อประตูที่ปิดไว้เปิดออกเต็มแรง ร่างโปร่งที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่ตรีประดับ หากเป็นผู้ประกาศข่าวสาวอีกคนที่ถูกเล่าลือไม่แพ้กัน เด็กสาวก้มหน้างุด นึกอยากตัวลีบเล็กลงเสียเดี๋ยวนั้น

“ ถ้ามีเวลายืนฝัน สู้เอาเวลาไปทำงานให้คุ้มเงินเดือนจะดีกว่านะ ”

นักแสดงสาวที่ผันตัวเองมาเป็นผู้ประกาศข่าวและทำหน้าที่พิธีกรประจำรายการต่างๆ เอ่ยราบเรียบ แต่คนฟังกลับหงอสั่นไปทั้งตัว ละล่ำละลักบอกว่า

“ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ หนูจะไปทำงานเดี๋ยวนี่แหละ…ค่ะ ”

เพราะมัวแต่ลนลานจะหลบออกไปตามคำสั่ง ทำให้เด็กสาวไม่ทันระวังชนเข้ากับชายหนุ่มที่กำลังเดินตามตรีประดับเข้ามา เด็กสาวเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าไม่ได้มีแค่ผู้ประกาศข่าวสาวเท่านั้น แต่ยังมีชายหนุ่มตัวสูง ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์มีรอยเปรอะฝุ่น ผมหยิกหยักศกสีน้ำตาลแกมแดงปล่อยยาวระต้นคอ คิ้วเข้มพาดเฉียงหนาเป็นปื้น ใต้ดวงตาคมมีไฝเม็ดเล็กประดับ ใบหน้าคล้ำเข้มสะอาดสะอ้านละมุนลง คนชนตัวสั่นงันงก เตรียมตัวรับเสียงตวาดจากคนที่ก้าวเข้าไปก่อนเต็มที่ ผิดกับคนถูกชนที่ค่อยๆ คลี่รอยยิ้มสว่างไสวส่งให้ ท่าทางขบขันไม่ถือสาของชายหนุ่มทำเอาเด็กสาวแทบลงไปกองกับพื้นด้วยความโล่งใจ

“ ขอโทษด้วย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ? ”

“ ไม่ค่ะไม่ ”

คนถูกมองรีบเงยหน้าขึ้นตอบแล้วก้มหลบ ยกมือขึ้นจับหัวใจที่เต้นโครมครามโดยอัตโนมัติ ขืนอยู่ต่ออาการที่ว่าคงยิ่งแย่ ร่างเล็กจึงรีบก้าวออกจากห้องด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หมายมั่นจะหาที่ระบายให้ได้

“ ทีมงานที่สถานีคุณ ตลกอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า ? ”

คนถูกเมินหันมาถามยิ้มๆ ดวงตาคมที่ยามปกติเป็นประกายกล้าทอแสงนุ่มนวล เรือนอรุณยักไหล่ก่อนตอบว่า

“ คงตลก เฉพาะเวลาเจอกับฉันมั้ง ขอบคุณค่ะ”

ท้ายประโยค หญิงสาวยื่นมือขอกล่องเครื่องสำอางคืนจากชายหนุ่มที่อาสาถือให้ ร่างโปร่งระหง เลือกที่นั่งสุดมุมห้องซึ่งเป็นพื้นที่ว่าง วางกระเป๋าใบใหญ่ที่หล่อนต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาเพื่อแยกของๆ หล่อนกับของๆ คนอื่นออกจากกัน เริ่มลงมือซับใบหน้าด้วยกระดาษสีขาวบางก่อนจะขยำทิ้งหมดการดูแลตัวเองแค่นั้น ผมซอยสั้นแนบศีรษะทุยสวยถูกหวีมือปัดลวกๆ ขณะที่คนก้าวตามมาเดินสำรวจรอบห้องแต่งตัวอย่างสนใจเป็นพิเศษ

“ ห้องนี้ดีแฮะ ”

แสงไฟสว่างทำให้ผิวเข้มๆ ของคนตามมากระจ่างขึ้นจนต้องเขยิบเข้าใกล้กระจกเพื่อสำรวจ ท่าทางคล้ายเด็กชายได้ของเล่นแปลกถูกใจ ทำเอาคนมองถอนหายใจเล็กน้อย

“ จะมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ? ”

“ คงต้องถามทางฝั่งนี้มากกว่า ว่าพอใจอยากให้เรา...เข้ามาอีกเมื่อไหร่ ”

คนถูกถามย้อนเสียงเยาะ มองปลายมือตัวเองที่ขยับโบกไปมาหน้ากระจกใส เรือนอรุณนิ่งไปนิด การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งน่ากลัว แต่การที่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลยย่อมน่ากลัวยิ่งกว่า

“ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถึงไม่พอใจแล้วจะทำอะไรได้ ”

“ ใจร้ายจังเลยนะคุณ ”

เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะ เห็นขันมากกว่าจะคิดเป็นจริงจัง หญิงสาวหรี่ตามองคนยืนอยู่ เสียดายเล็กน้อยที่ไม่ว่าจะปัจจุบันหรือในอนาคตข้างหน้าเขาและหล่อนจะต้องยืนอยู่กันคนละด้าน

“ อีกหน่อยคุณจะรู้ว่า ฉันใจร้ายได้มากกว่าที่คุณคิดอีก ”

เรือนอรุณว่าเฉยชา มองเงาด้านหลังของชายหนุ่มที่สะท้อนผ่านกระจกด้วยแววตาเฉยเมย หลายครั้งที่หล่อนพยายามเดาความคิดอีกฝ่ายเพื่อเอาใจ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามความคาดหวัง หล่อนอยากรู้นัก ใครกันที่จะจับผู้ชายที่เหมือนสายลมร้อนไว้ได้โดยไม่ต้องใช่บ่วงเล่ห์ใดๆ ใครกันที่จะถมทับหัวใจแห้งแล้งให้เย็นชื่นเช่นเดิม

เสียเวลาคิด... เรือนอรุณผลักกระเป๋าเครื่องสำอางไปอีกทาง ไม่ใช่หน้าที่ของหล่อนสักหน่อยที่ต้องมากังวลแทนคนที่...เพิ่งรู้จักกันเพียงผิวเผิน

“ มีคนลืมโทรศัพท์ไว้แน่ะ เด็กคนเมื่อกี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ อ๊ะ ! ”

คนพูดหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางขึ้นโชว์ แถมยังถือวิสาสะ ขยับนิ้วปลดล็อคหน้าจอสัมผัสทันที เรือนอรุณที่หันมองแต่ห้ามไม่ทันแทบกุมขมับ ละมือจากกล่องเครื่องสำอางที่ตั้งใจแค่วางแล้วไปต่อ ดุเสียงเขียว

“ นี่ อย่าเล่นสิ ”

หญิงสาวเอื้อมมือคว้า เมื่ออีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปหล่อนลงเครื่องอย่างขยันขันแข็ง ทว่า คนสูงที่กว่ามาก แค่ยืดสุดแขน ผู้ประกาศสาวก็คว้าลมเปล่า

“ รู้แล้วว่าของใคร”

คนพูดยิ้มนิดเดียว ด้วยรอยยิ้มที่เรือนอรุณต้องขมวดคิ้ว หากหล่อนยังไม่ทันเอ่ยอะไรประตูห้องแต่งตัวก็เปิดออก ตรีประดับที่ลืมโทรศัพท์ก้าวเข้ามาแล้วชะงัก เมื่อห้องแต่งตัวที่กลับมาไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่หล่อนคิด

“ คุณเจ้าของมาแล้ว ”

ชายหนุ่มทำเสียงล้อเลียน ดวงตาคมสีดำเข้มเป็นประกายวาววับ ชายหนุ่มสอดโทรศัพท์ที่เก็บได้ลงกระเป๋ากางเกงด้านหลัง นั่งหลังโก่งกอดอกมองคนก้าวเข้ามาด้วยแววตาพึงใจอยู่เงียบๆ ร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์คล้ายกันเพียงแต่สะอาดและสีสดกว่า เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่ ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่มั่นใจในตนเองนัก เรือนอรุณเมินหน้าไปอีกทาง ประกาศตัวชัดว่าหล่อนเป็นปฏิปักษ์กับตรีประดับ

“ สองลืมโทรศัพท์ไว้น่ะจ้ะ ไม่รู้ว่าอุ่นเห็นบ้างไหมจ๊ะ ? ”

ตรีประดับพยายามจดจ่ออยู่กับของที่หล่อนหา ทำเป็นไม่เห็นว่าถูกจับจ้องด้วยดวงตาคมของชายหนุ่มหนึ่งเดียวในห้องที่ไม่คุ้นหน้า และถ้าให้เดาจากการแต่งตัวก็น่าที่จะเป็นแค่ผู้ติดตามของเรือนอรุณมากกว่าอื่นใด

“ หมดหน้าที่คุณอุ่นแล้วล่ะครับ ที่เหลือผมจัดการเองได้ ”

คนนั่งฟังอยู่ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม น่าแปลกที่เขาแปลสายตาของตรีประดับได้แม้หล่อนจะพยายามเก็บสีหน้ามิดชิด คนถูกไล่อย่างจงใจ เงยหน้าขึ้นมองเหมือนฉุนจัด ขยับปากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย เดินผ่านตรีประดับไปเหมือนหล่อนเป็นอากาศธาตุ คนถูกทิ้งไว้เม้มริมฝีปากแน่น สำหรับหล่อนแล้วต่อให้ก้าวขึ้นมาเทียบเท่าเรือนอรุณเท่าไหร่ก็ยังดูต่ำต้อยในสายตาอีกฝ่ายอยู่ดี
เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่หวังจะได้ ตรีประดับตัดสินใจพึ่งตัวเองด้วยการหยิบโทรศัพท์ที่ขอยืมมาจากทีมงานขึ้นกด เสียงดนตรีที่ดังบอกตำแหน่ง ทำให้หญิงสาวต้องลดมือลงมองคนนั่งเฉยอย่างไม่พอใจ

“ ฉันขอโทรศัพท์ คืนด้วย ”

“ อยู่ด้านหลังแน่ะ นี่ไง ”

ชายหนุ่มตบปุปะที่สะโพก มองดวงหน้าหวานที่นิ่งอึ้งเพราะคาดไม่ถึง ริมฝีปากบางเม้มแน่น หากคนที่คิดว่าหล่อนคงไม่กล้าก้าวเข้าหา กลับก้าวเข้ามาใกล้ หยุดยืนอยู่ในระยะที่แค่เขาเอื้อมมือคว้า…ก็กอดหล่อนได้สบาย

มือขาวนวลแบออกตรงหน้า กลิ่นหอมของน้ำหอมยี่ห้อยอดนิยมโชยกรุ่น ผิดกันลิบกับกลิ่นหอมเย็นที่ชายหนุ่มเพียรระลึกถึง ครั้งหนึ่งเขาเคยลองพยายามตามหากลิ่นหอมชนิดนั้นแต่กลับไม่เคยพบว่าจะมีเครื่องหอมกลิ่นใดให้ความรู้สึกหวานชื่นราวกับต้องมนต์เช่นนั้นได้

“ ขอโทรศัพท์ฉันคืนด้วย ”

ตรีประดับย้ำอย่างอดทน ไม่รู้เลยว่ากลิ่นน้ำหอมที่หล่อนใส่ทำให้คนที่นั่งพิงหลังอยู่กับกระจกอดเปรียบเทียบกับใครอีกคนไม่ได้ ดวงตาคู่คมเลยเป็นประกายกร้าวขึ้นริมฝีปากบางแย้มเยาะ

“ ถ้าคุณไม่ให้ฉันคืนละก็...” เสียงหวานแข็งขึ้น เก็บความฉุนเฉียวไว้ใต้สีหน้าเรียบเฉย คนเก็บโทรศัพท์เครื่องบางไว้ ยิ้มหวาน ชูสองมือว่างเปล่าขึ้นท้าทาย
“ ก็หยิบสิ หรือจะเรียกยามก็ได้นะ ”

คนถูกบังคับให้หยิบเอง มองชายหนุ่มราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ และพอหล่อนก้าวเข้าหา ยื่นมือไปทางซ้ายเพื่อคว้าคืน คนตัวสูงก็เบนหลบไปทางขวา ไม่ว่าจะหันไปทางไหนคนนั่งอยู่มักเอียงตัวไปด้านตรงกันข้าม หยอกเย้าคนตามทวงเป็นที่สนุกสนาน ตรีประดับเคืองขุ่นกับท่าทีกวนโมโหไม่รู้กาลเทศะของชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพโกโรโกโสแต่ยังตั้งตนเหนือกว่า จนนึกอยากลงไม้ลงมือให้เจ็บ แต่เพราะภาพลักษณ์ของหล่อนไม่ใช่อย่างเรือนอรุณ ผู้ประกาศข่าวสาวจึงได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น พยายามที่จะคว้าของๆ หล่อนคืนอยู่อย่างนั้น

“ ว้าย ! ” ร่างโปร่งระหงถูกดึงปะทะอกกว้างด้วยมือข้างเดียวอย่างไม่ทันตั้งตัว คนที่ปลิวละลิ่วติดมือชายหนุ่มจนตกอยู่ในอ้อมกอดอุ่นร้องเสียงหลง ขณะที่คนนั่งอยู่รีบชูโทรศัพท์ขึ้นสูงฉีกยิ้มเต็มที่ ในขณะที่อีกมือหนึ่งรวบแขนที่เกร็งแน่นของหญิงสาวไว้ ประกาศอย่างมีชัยว่า

“ ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกันหน่อยนะคุณ ”

“ นี่ ! หยุดนะคุณ ! ”

“ เอ้า ! หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม ! แชะ ! ”

รูปที่ปรากฏทำเอาคนชูโทรศัพท์จนสุดแขนหัวเราะเสียงดังลั่น ตรีประดับอ้าปากค้าง รีบตะกุยตะกายคว้าโทรศัพท์คืนเพื่อพบว่าหน้าตาหล่อนถมึงทึงดูไม่ได้ แถมคนที่แกล้งให้ต้องถ่ายรูปร่วมยังไม่สนใจ เดินง่ายๆ ไปที่ประตู ทำท่าจะก้าวออกจากห้องเหมือนหมดความหมายที่จะอยู่ต่อแค่นั้น

“ อย่างน้อยคุณก็น่าจะขอโทษฉัน ที่ทำบ้าๆ แบบนี้ ”

ตรีประดับเอ่ยเสียงขุ่น เรียกให้คนตัวสูงหันกลับมามองด้วยรอยยิ้มประหลาด ดวงตาคมที่ทอดมองวาบขึ้นแล้วกลับเฉื่อยชาลงเช่นเดิม ตรีประดับขมวดคิ้วมองดวงหน้าเข้มด้วยผิวสีแทนคล้ำอย่างสะดุดใจ

“ นั่นถือเป็นคำขอโทษที่ดีที่สุดของผม รูปถ่ายที่ระลึก...ให้คุณตรีประดับ ”

ไม่มีรอยยิ้มเกลื่อนอยู่ในสีหน้า ชายหนุ่มออกจากห้องไปอย่างเฉยเมย ทิ้งให้ตรีประดับนิ่งงันกับรูปที่หล่อนไม่อยากได้แต่ได้มา

“ บ้าจริง ! ”

หญิงสาวกำมือแน่น คว้ากระเป๋าที่วางไว้ ตัดสินใจไล่ตามชายหนุ่มออกจากห้อง ทันได้เห็นแค่หลังไวๆ ก้าวเข้าไปในลิฟต์ตัวสุดท้าย ตรีประดับที่ตามมาไม่ทันมองหมายเลขชั้นที่เลื่อนลงอย่างรวดเร็ว มือเรียวรีบเอื้อมกดปุ่มไฟเรียกลิฟต์อีกตัวให้ขึ้นมารับ ยืนกระวนกระวายรอคอยด้วยใจจดจ่อ ขณะที่โทรศัพท์ในมือหล่อนดังขึ้น เบอร์ปลายทางที่ปรากฏทำให้ดวงหน้าหวานกระจ่างกระจายไปด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวกดรับสาย หากสายตายังมองหมายเลขชั้นที่หยุดนิ่งไม่ขยับไปไหนเพื่อจดจำไว้

“ ค่ะ เจอแล้วค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ แล้วพบกันนะคะ ”

ตรีประดับปิดท้ายการสนทนาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหวาน หญิงสาวมองรูปที่ถูกบันทึกตั้งเป็นหน้าจอเตรียมกดลบเมื่อคิดว่าภาพถ่ายของอีกฝ่ายอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดตามมา รอยยิ้มที่ฉายอยู่บนเครื่องหน้าคม มีผมหยักศกสีน้ำตาลแกมแดงปรกรก อะไรก็ไม่ร้ายเท่าดวงตาคมดุเจือรอยหวานระเรื่อยอย่างที่หล่อนไม่เคยพบมาก่อนจากใคร ที่ยั้งให้ตรีประดับค้างมือไว้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองลิฟต์ที่เปิดออก ก้าวเข้าไปอย่างเลื่อนลอย กว่าจะรู้ตัวหญิงสาวก็มาถึงชั้นสุดท้ายที่ลิฟต์หยุดนิ่ง ร่างโปร่งระหงก้าวออกมาพร้อมพ่นลมหายใจยาว สมเพชตัวเองที่ทำอะไรเหมือนเด็กเล่นหาของ ท่าทางเจ็บใจของหล่อนทำให้แม่บ้านที่ทำงานของตนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ มีอะไรหรือเปล่าคะคุณสอง ? ” คนถูกถามยิ้มฝืด กดเลื่อนรูปที่ถ่ายไว้ให้หายไป ก่อนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ เอ่อ...ป้า... ป้าเห็นผู้ชาย ตัวสูง สูงมากๆ ผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่าคะ ? ”

คนถูกถามนิ่งไปนิดเพื่อทบทวน เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่กว่าจะนึกขึ้นได้

“ เอ...ใช่คนที่ใส่เสื้อสีขาวหม่นๆ เหมือนไปคลุกฝุ่นที่ไหนมาหรือเปล่าคะ หน้าตาดีเหมือนพวกลูกครึ่งแขก มีไฝ เสน่ห์ใต้ตาตรงนี้ ถ้าใช่ล่ะก็ ป้าเห็นลงลิฟต์ไปกับคุณอุ่นเมื่อกี้นี้เองค่ะ ควงกันมาตั้งแต่เช้า สาวๆ ในสถานีซุบซิบกันเกรียวเชียวค่ะว่าเป็น คุณคนใหม่ ของคุณอุ่นเธอ ”

คนสูงวัยกว่าทำท่าจะเล่าถึง ‘ คุณคนใหม่ ’ ที่หมายถึงคนรักคนใหม่ของเรือนอรุณต่อ หากตรีประดับรู้สึกอายตัวเองเกินกว่าที่จะฟัง หญิงสาวเลยตัดบทด้วยการเอ่ยขอบคุณแล้วจากมา ผู้ประกาศข่าวสาวมองโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบในมืออีกครั้ง แววตาคู่สวยแวววาวขึ้นก่อนที่มือบางจะสอดเก็บโทรศัพท์เจ้าปัญหาลงกระเป๋าสะพายใบเล็กพร้อมรูปถ่ายที่หล่อนไม่เต็มใจจะถูกถ่าย

***

“ กลับช้าจังเลยนะนายอุ่น ”

เสียงใสที่ดังถาม ทำให้ชายหนุ่มที่เดินเอื่อยหลบตัวเองผ่านพุ่มไม้ใหญ่ตรงไปยังบ้านพักที่สร้างแยกไว้สำหรับคนงานชายโดยเฉพาะต้องหยุดฝีเท้าลงเพื่อขยับตัวมองหา มิ่งโมรีก้าวออกจากมุมลับตา แสงนวลของจันทร์กระจ่างเผยให้เห็นร่างผอมในชุดนอนบางเบาสีชมพู แขนประดับลายลูกไม้ขาว อุดรก้มหน้าหลบตา จึงมองเห็นแต่ว่าในมือหญิงสาวมีช่อดอกแก้วออกดอกขาวละมุนถือไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเป็นฝ่ายเดินนำคนสวนหนุ่มผ่านสวนด้านหลังเฉียดเรือนหลังเล็กที่เปิดไฟส่องสว่างบอกให้รู้ว่าตรีประดับกลับมาแล้วและคงกำลังทำธุระของหล่อนอยู่ข้างใน

“ วันนี้คุณสองมีงานที่สถานีครับ คุณนวลห่วงคุณสอง เลยสั่งให้ผมคอยอยู่รับใช้จนกว่างานจะเสร็จ ”

คนที่หายดีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากคุณแม่บ้านให้ออกไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก พยักหน้าคล้ายเข้าใจ หญิงสาวแตะมือลงบนดอกแก้วสีขาว ลูบไล้ปลายกลีบแผ่วเบาก่อนถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า

“ เพราะอย่างนั้น นายอุ่นก็เลยต้องอยู่กับคุณสองทั้งวัน ”

“ ผมมีหน้าที่รับใช้ทุกคนในกุลชาติครับ ถ้าเป็นคุณมิ่งผมเองก็ยินดีที่จะอยู่คอย ”

อุดรตอบสงบเสงี่ยม ดวงตายังหลุบต่ำ ชายหนุ่มมองการเคลื่อนไหวของมิ่งโมรีผ่านปลายเท้า ขณะที่สองมือประสานกันไว้ด้วยกิริยานอบน้อมเข้าหา มากกว่าจะตั้งตนกระด้างกระเดื่องอย่างที่ระยะหลังมานี้ ประณีตเริ่มแสดงออกชัดเจนว่าหล่อนถือข้างฝ่ายใด

“ ซื่อสัตย์จังเลยนะ คนสวนของกุลชาติ ”

คนถูกกระทบว่าไม่โต้ตอบ สายตายังทอดมองต่ำ ขณะที่มิ่งโมรีหมุนตัวกลับ ก้าวเข้าหาคนสวนหนุ่ม เปรยทีเล่นทีจริง ด้วยน้ำเสียงสดใส

“ ทั้งที่ฉันเป็นเจ้านายที่ทุกคนควรให้ความเคารพแท้ๆ ”

“ ผมต้องขอโทษด้วยครับ ถ้าทำให้คุณมิ่งไม่พอใจ ”

“ ขอโทษเหรอ ? ”

“ ครับผม ”

“ งั้นก็เงยหน้าขึ้นมองฉันสินายอุ่น ”

“ ผมว่า...นี่ก็ดึกมากแล้ว ”

ดวงหน้าฉาบเครื่องสำอางสีจัดทั้งที่เป็นยามกลางคืนของมิ่งโมรีปรากฏรอยยิ้มหวาน เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เพื่อเตือนย้ำด้วยน้ำเสียงสุภาพ แถมยังทำท่าจะขยับตัวไปอีกทางเพื่อคลายบรรยากาศร้อนรุ่มที่หญิงสาวก่อไว้ มิ่งโมรีที่รอจังหวะอยู่แล้วก็ก้าวเข้าขวาง เบียดตัวเองแนบชิดร่างกายกำยำของคนสวนหนุ่ม ทอดสะพานเชื้อเชิญทันที

“ คุณ...มิ่ง...”

เนื้อแนบเนื้อให้ความอบอุ่นจนเกือบร้อน อุดรเอื้อมมือคล้ายจะกอดรัดไว้ แต่แล้วในที่สุดก็ปล่อยให้ตกลงข้างตัว ยอมให้คนตัวเล็กกว่าเป็นฝ่ายแนบชิดโดยไม่ขัดขืน เนินอกเล็กที่ทาบลงกับอกอุ่นก่อเกิดความวาบหวามรัญจวน หากชายหนุ่มยังตั้งสติห้ามตัวเองไว้ กลิ่นหอมเย็นโชยกรุ่น อุดรเพิ่งรู้ว่ามาจากดอกแก้วที่มิ่งโมรีถืออยู่ในมือ จนอดไม่ได้สูดลมหายใจซึมซับความเย็นชื่นทั้งหมดผ่านปลายจมูก

“ ฉันต้องการนายนะนายอุ่น ”

มิ่งโมรีกระซิบแผ่ว มองคนที่ยังยืนเฉยไม่แตะต้องเนื้อตัวหล่อนอย่างตัดพ้อ กิริยาของหญิงสาวแม้จะดูกระด้างเอาแต่ใจไปบ้าง แต่เนื้อตัวที่ขยับเข้าชิดเลือนความรู้สึกแสนแปลกที่ก่อขึ้นในใจชายหนุ่มไปจนหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงแต่รอยปรารถนาดุจบ่วงหนามที่ชายหนุ่มจะไม่มีวันผลักไสให้ออกห่างจากตัวจนกว่าจะได้ทุกอย่างมาไว้ในมือ

“ ยิ่งเห็นนายอยู่กับคุณสอง คุยกับคุณสอง ไปไหนมาไหนกับคุณสอง รักและซื่อสัตย์เหมือนเด็กนิด ฉันก็ยิ่งต้องการนายมากขึ้น…มากขึ้น ”

“ ผมเป็นแค่คนสวน ” คนถูกลุกไล่ในระยะประชิด ข่มเสียงตอบ ขยับตัวหนีร่างกายรุ่มร้อนราวกับมีไข้ของมิ่งโมรีจนดูเหินห่าง

“ นายเป็นคนสวนที่ฉันต้องการมากต่างหาก และฉันคงทนไม่ได้ ถ้ารู้ว่านายกำลังหลงรักคุณสองเหมือนที่คนอื่นๆ รัก นายรักคุณสองหรือเปล่านายอุ่น ”

เสียงใสกังวานหวาน ไร้ถ้อยคำขัดหูอย่างที่คุยกับตรีประดับหรือนวลอนงค์ หากอุดรรู้... มิ่งโมรีมักใช้คำพูดเหล่านี้เป็นยาหอม โปรยปรายให้ผู้ชายทุกคนที่อยากก้าวสู่ ‘ บ่วง ’ ที่หล่อนวางไว้ เต็มใจที่จะถูกเกี่ยวรัดด้วย ‘ ราคะ’ คนที่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นใครสักคนที่มิ่งโมรีต้องการขยับตัวเองออกห่าง เสียงที่เอ่ยเรียบนิ่งยิ่งกว่าเดิม

“ ผมไม่…”

“ อย่าปฏิเสธฉันเลย ”

มิ่งโมรีเอื้อมมือแตะริมฝีปากบางแดงของคนสวนหนุ่ม หยุดคำพูดทั้งหมดไว้ที่ปลายมือร้อนผะผ่าวของหล่อน ซบหน้านิ่งอยู่กับอกกว้างเหมือนนกน้อยเปียกปอนฝนจนหนาวสั่น

“ ขอร้องนะนายอุ่น อย่าไปรักพี่สองเลย ”

“ คุณมิ่ง…”

เสียงทุ้มครางต่ำอยู่ในลำคอ เมื่อเสื้อคลุมตัวนอกของหญิงสาวเลื่อนหลุดลงด้วยฝีมือของหล่อนเอง มิ่งโมรีเผยสัดส่วนของร่างกายให้อุดรเห็น ภายใต้ชุดนอนบางเบาสีชมพูหวานตัดกับผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนกระจ่างท่ามกลางแสงจันทร์ไม่มีแม้แต่ความอายใดๆ ปิดซ่อน คนถูกเชื้อเชิญผ่านภาษากายเบือนสายตาหลบลงทันที

“ แค่นี้ยังไม่พอเหรอนายอุ่น ไม่เป็นไร...ฉันให้นายได้มากกว่านี้ ขอเพียงแค่นายอย่าไปรักคุณสองเท่านั้น ”

หญิงสาวแกล้งขยับสายเสื้อที่จวนเจียนหลุดให้ต่ำลง คนสวนหนุ่มหันขวับ ผวาเข้าคว้ามือเล็กผอมจับยึดไว้แน่น มิ่งโมรีเลิกคิ้วสูง ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายเสียใจยิ่งว่า

“ ทำไม ? รังเกียจฉันเหรอ ? ”

“ มันไม่เหมาะที่คุณจะทำแบบนี้ ”

คำตอบของชายหนุ่มทำให้มิ่งโมรีหัวเราะชอบใจ หญิงสาวก้มลงจูบมือหนาที่จับมือหล่อนอยู่ สัมผัสไล่ไปจนเกือบสุดปลายแขน ร่างผอมเดินหน้าเข้าหาอุดรที่ยืนนิ่งเป็นหิน เขย่งตัวขึ้นจนลมหายใจอุ่นรินรดอยู่แค่ต้นคอของอีกฝ่าย หญิงสาวหยุดตัวเองลงเพื่อแตะมือลงบนอกกว้างลูบไล้แผ่วเบาปลุกความต้องการในตัวของอุดรให้พรึงเพริด ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผ่านปลายคางที่รกรุงรังเต็มไปด้วยหนวดเครา ถามย้ำให้อุดรต้องตัดสินใจ

“ ถ้าไม่เหมาะ จะขยับถอยไปก็ได้นะ ”

แทนคำตอบ อุดรก้มสบตาหญิงสาว ที่อยู่ใกล้ในระยะลมหายใจสัมผัสถึง มิ่งโมรียิ้มกว้างเป็นฝ่ายคลอเคลียตัวเองอยู่กับอกอุ่นที่หายใจขึ้นลงคล้ายควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้อีกสืบไป หญิงสาวก้มหน้าซ่อนสายตา มือผอมถูกบีบไว้แน่น รับรู้ได้ถึงอาการตอบสนองที่หล่อนรอมานาน

“ ทำไมไม่ถอยไปล่ะนายอุ่น ”

“ ผมอยากแน่ใจ ว่าคุณมิ่งจะไม่เปลี่ยนใจ ”

“ ฉันไม่มีวันเปลี่ยนใจ...ไม่มีวัน ”

ทันทีที่ได้รับคำตอบ อุดรช้อนร่างเล็กผอมอุ้มไว้ในอ้อมกอด มิ่งโมรีคว้ากอดรอบลำคอคนสวนหนุ่มแน่น ซุกหน้าลงกับอกกว้าง ยอมให้คนตัวสูงอุ้มตรงไปยังบ้านพักคนงานที่กั้นไว้เป็นสัดส่วนเฉพาะห่างออกไป ผ่านต้นดอกแก้วที่ออกดอกชูช่อขาวประกาศตัวเองผ่านความมืดมิดของยามค่ำคืนถึงความใสสะอาดแห่งตน ตอนนี้เอง มิ่งโมรีถึงได้รู้ว่าดอกแก้วที่สู้อุตส่าห์เก็บมาจากตัวต้นหล่นหายไปจากมือ ใช่แล้ว ! มิ่งโมรีเก็บมาเพื่อย้ำเตือนใจ หล่อนไม่มีทางเป็นเช่นดอกแก้วพิสุทธิ์ ที่มีทั้งกลิ่นหอมและคุณค่าความงามอยู่ในตัว ตรีประดับต่างหากที่เป็นดอกแก้วประดับแจกันสูง แม้ตกลงเปื้อนโคลนดินก็ยังผุดผ่อง สดใส สิ่งสกปรกใดๆ ไม่อาจแผ้วพานแตะต้องได้

ท่ามกลางหมู่เมฆที่เคลื่อนตัวเข้าบังแสงจันทร์ สีหน้าของคนสวนหนุ่มถูกหลบเร้นภายใต้ความมืด เสียงฝีเท้าที่ก้าวย่างดังเป็นจังหวะมั่นคง มิ่งโมรีกอดรอบคอชายหนุ่มแน่น แทบจะกลืนหายเป็นเนื้อเดียวกับอีกฝ่าย เช่นเดียวกับเจ้าของอ้อมกอดที่รัดร่างเล็กผอมไว้ด้วยกิริยาเดียวกัน

“ ถึงแล้วครับ ”

เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว ดับความร้อนรุ่มเริ่มแรกด้วยการโน้มใบหน้าแตะปลายริมฝีปากข้างแก้มเย็นชืดที่ยังมีกลิ่นหอมจาง คนฝังจมูกชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสัมผัสทีได้รับดุจไร้ชีวิต อาการนิ่งไม่ไหวติ่งราวกับคนตัวเล็กกว่าหยุดหายใจไปแล้วทำให้คนเริ่มต้น ‘ รุก ’ขมวดคิ้วบ้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่มิ่งโมรีใช้มือดันใบหน้าชายหนุ่มให้ออกห่าง บ่ายเบี่ยงจากการลุกล้ำตามที่หล่อนร้องขอ...เพื่อต่อรอง

“ เดี๋ยวสิ… เข้าบ้านก่อน ”

ร่างสูงที่หยุดลงตรงหน้าบ้านหลังเล็กซึ่งแทบไม่มีอะไรประดับนอกจากม้านั่งที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ ทำตามคำขออย่างว่าง่าย คนสวนหนุ่มไม่แม้แต่จะเสียเวลาวางร่างผอมของมิ่งโมรีลงด้วยซ้ำ ตอนที่ผลักประตูห้องให้เปิดกว้างออก คนทั้งคู่แยกห่างจากกันก็เมื่อตอนที่อุดรวางหญิงสาวลงบนฟูกแข็งก่อนโถมตัวทับตามลงมา ท่ามกลางความเงียบที่แทบได้ยินเสียงหัวใจเต้น ลมหายใจของชายหนุ่มดังดุจเสือคำราม มิ่งโมรีสบดวงตาคมจ้าที่ก้มมองลงมาท่ามกลางแสงไฟวับแวมจากภายด้านนอก ก่อนพลิกตัวเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนอย่างเริงร่า กลับมามีชีวิตชีวาเช่นเดิมอย่างที่คนมองไม่แปลกใจที่จะได้เห็น เวลานี้...ต่อให้ไม่มีแสงไฟ พัดลม หรือแม้กระทั่งเตียงนอนหนานุ่ม มิ่งโมรีก็พร้อมจะก้าวไปสู่ดินแดนอันร้อนเร่า พร้อมเหยียบเท้าลงไปบนเศษแก้วที่เขาจะโปรยปรายให้หล่อนย่ำเหยียบสมใจ

หญิงสาวลุกขึ้นพิงตัวเองกับกำแพงหนา สัมผัสความเย็นที่แทรกผ่านผิวเนื้อ อุดรคืบคลานตามมา ชายหนุ่มถอดเสื้อยืดตัวนอกที่เหม็นกลิ่นคราบไคลออก มือหนาวางลงบนปลายเท้าเปลือยเปล่าของนายจ้างสาว ลูบไล้แผ่วเบาผ่านขึ้นมาจนถึงปลีน่องโลมเล้ากระตุ้นย้ำ ในขณะที่ร่างกำยำของชายหนุ่มกึ่งนั่งกึ่งคร่อมอยู่บนตัวมิ่งโมรี

“ ฉันต้องการความมั่นใจ ”

มือผอมเย็นเฉียบ หยุดการลุกล้ำของคนสวนหนุ่มไว้แค่นั้น ดวงตาสีนิลแท้ไหวระริกก่อนจะโรจน์ขึ้นด้วยความต้องการในใจ แทนคำตอบ มือหนาจับมือผอมมากุมไว้ก่อนก้มลงจูบผ่านความเยียบเย็นของมือเล็ก ประทับตราเป็นเจ้าของเนื้อตัวหล่อนด้วยการฝังรอยจูบไว้ทีท่อนแขน ก่อนเงยหน้าขึ้นถามคนที่นิ่งมองเสียงเหี้ยม

“ คุณมิ่งอยากได้อะไรหรือครับ ”

“ ฉันอยากให้คุณสองเป็นของนาย...ก่อนที่ฉันจะเป็นของนาย ! ”

***

โปรดติดตามตอนต่อไป



บุรีวาด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 เม.ย. 2555, 00:38:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 เม.ย. 2555, 00:40:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1499





<< บ่วงมาร ตอนที่ 3   บ่วงร้อยรัก ตอนที่ 5 ( เปลี่ยนชื่อ จากบ่วงมาร ค่ะ) >>
หมูอ้วน 22 เม.ย. 2555, 05:58:59 น.
นายอุ่น อย่าทำเชียวนะ


ปอแก้ว 22 เม.ย. 2555, 10:43:46 น.
คิดว่าผู้ชายที่มากับอรุณเรือนคือพระเอก...(เดาอ่ะค่ะ อิอิ)
ส่วนนายอุ่น...อย่าได้เชื่อคำยัยมิ่งเชียวนะ!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account