ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 10 ความจริงที่ไม่อาจยอมรับ

ร่างหนาในชุดสูทสีเข้มภูมิฐานของบุรุษวัยกลางคนค่อนปลายนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งภายในไนท์คลับหรู ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่นับว่าเป็นจุดสังเกตอะไร ทว่ากลับมีสายตาคู่หนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางหมู่กำลังจ้องมองมายังร่างนั้นชนิดที่เรียกว่าตาไม่กระพริบ อิงฟ้าเพียงแต่ตั้งใจจะมาเที่ยวหาความสำราญยามราตรีกับผองเพื่อนของเธอตามปกติเท่านั้น หาได้มีเจตนาจะติดตามหาใคร แต่ให้บังเอิญสายตาไปปะทะเข้ากับร่างอันคุ้นตา และก็จำเขาได้ในทันทีที่สายตาปรับเข้ากับแสงสีซึ่งกำลังววูบไปวาบมาภายในสถานที่อโคจรแห่งนั้น ชายผู้นั้นนั่งดื่มไปตามลำพังโดยมิได้ข้องแวะกับผู้ใด สองตาจ้องมองนิ่งไปยังร่างงามล่อตา ที่กำลังวาดลวดลายอยู่บนเวทีด้วยแววตามาดหมาย อาการจ้องมองแบบนี้ หญิงสาวผู้ผ่านโลกมามากอย่างเธอมีหรือจะไม่รู้ถึงนัยของมัน และนั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อช่วงดึกของคืนวานที่ผ่านมา

หรือว่านักร้องสาวเจ้าของลีลาเร่าร้อนนาม ‘รุ่งรวี’ คนนั้น คือเป้าหมายรายใหม่ของบุรุษผู้มีอันจะกินซึ่งเป็นคนๆ เดียวกับที่อุปถัมภ์เธอในเวลานี้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง หญิงสาวที่ชื่อ ‘รินรตี’ คนนั้นเล่าเป็นใครกัน เพราะเท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่นายพัฒนาจะตั้งเป้าไปยังหญิงสาวรายใดพร้อมกันถึงสองคน และถึงแม้จะมีรายอื่นแทรกเข้ามาบ้างเป็นบางครั้ง ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะสร้างความรู้สึกหวั่นใจให้กับเธอได้ แต่นั่นไม่ใช่กับครั้งนี้

หญิงสาวพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดกลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มจากพฤติกรรมของนายพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน ตลอดสองปีที่ผ่านมาในหนึ่งสัปดาห์บุรุษผู้มากวัยจะมาค้างกับเธอเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าเกือบทุกวันก็ว่าได้ ทว่าทุกำวันนี้เขากลับแทบจะไม่มานอนค้างกับเธอเลย แม้ว่าการส่งเสียเลี้ยงดูหยิบยื่นเงินทองและสิ่งของต่างๆ จะยังคงดำเนินไปดังเดิมอย่างต่อเนื่อง แต่ความถี่ของการเจอหน้ากันของเขากับเธอ นับวันมันน้อยลงไปกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

และนั่นเป็นที่มาของความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด ที่สำคัญที่สุดคือหญิงสาวรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงปลอดภัยซึ่งนับวันมีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อนายพัฒนาเริ่มจะห่างหายจากเธอไปนานคราวละเป็นแรมเดือน ความเปลี่ยนแปลงที่ว่า มันทำให้เธอต้องกลับมาคิดทบทวน เพื่อหาสาเหตุต้นตอที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในอนาคตของตน อย่างน้อยถ้าได้รู้ตัวก่อน เธอยังอาจจะพอมีหนทางในการป้องกัน หรือสร้างทางเลือกใหม่ให้กับตนเองได้อย่างทันท่วงที

ร่างอวบอัดภายใต้ชุดนอนซึ่งโปร่งบางเสียจนมองเห็นทะลุไปถึงเนื้อหนังในร่มผ้า ออกมายืนรับลมนิ่งนานอยู่ตรงริมระเบียงบนตึกสูงอันเป็นที่ตั้งของห้องพักสุดหรู หากเป็นแค่การใช้เวลาชั่วครู่ก็คงจะไปแปลกอะไร คงเป็นเหมือนการทัศนาบรรยากาศยามเช้าของเขานเมืองกรุงเทพฯ ไปตามปกติ ทว่าการยืนเฉยแบบนั้นบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอย่างยิ่งยวด ร่างหนาของชายหนุ่มทาบซ้อนเข้ามาทางด้านหลังและโอบรัดเอวบางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง หญิงสาวเบือนหน้าหันกลับไปมองยังร่างสูงอันคุ้นเคยที่ตนพากลับมานอนกกกอดตลอดคืนค่ำคืนวานที่ผ่านมา ส่งสายตาหวานเชื่อมเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนไปให้พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“มีอะไรน่าสนใจหรือครับพี่อิงค์ เห็นยืนดูอยู่นานจนนึกว่าลืมกิตไปเสียแล้ว” เสียงงึมงำดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่จมูกโด่งของชายหนุ่มไล่ซุกไซร้แทะเล็ม เก็บเกี่ยวความหอมหวานจากซอกคอขาวเนียนของเจ้าของร่างเย้ายวน

“ดูพูดเข้า อย่างพี่จะลืมกิตไปได้ยังไงกันละจ๊ะ พี่แค่ออกมาชมวิวตอนเช้าแค่นั้นเอง” หญิงสาวตอบเสียงกระเส่า เคลิบเคลิ้มไปตามแรงสัมผัสปลุกเร้า

“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิครับ กิตถึงได้ถาม ว่าข้างล่างนั่นมีอะไรให้น่าสนใจพี่ถึงยืนจ้องเสียขนาดนั้น” คนรุกไล่ตอบทั้งที่ยังไม่ยอมหยุดรุกรานซอกคอเนียนผ่องลุกลามไปยังเนินอกสร้างที่เจ้าตัวหันกลับมารับสัมผัสท้าทายอย่างเต็มใจ

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พี่อยากสูดอากาศ รับลมตอนเช้าบ้างก็เท่านั้น แล้วกิตล่ะจ๊ะ รีบตื่นมาทำไม” ดวงหน้าสวยหลับตาพริ้มมือเท้าอ่อน อกใจไหววาบไปหมด เอ่ยถามแผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้อโบย

“ก็กิตเหงานี่นา พี่อิงค์เล่นทิ้งให้ผมนอนหง่าวอยู่คนเดียวตั้งเป็นนานสองนานแบบนั้น กิตก็เลยทนไม่ไหวต้องลุกออกมาดูน่ะสิ”

“แหม... พูดเกินไปนะเรา พี่เพิ่งจะออกมาแค่แป๊บเดียวเอง ”

“ก็...จะไปรู้หรือ พี่อิงค์อาจจะกำลังคิดถึงเจ้าแก่นั่นอยู่ก็ได้ กิตรู้ดีว่าตัวองเป็นแค่ผู้ชายชั่วคราว ถึงตัวพี่จะอยู่กับกิต ต่อให้กิตนอนกอดพี่อยู่ข้างๆ แต่ในใจของพี่ก็ยังมีเจ้าแก่นั่นอยู่ตลอดเวลา” กิตติพันธ์พร่ำบ่นอย่างน้อยใจ

“อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะ กิตก็รู้นี่นาว่ากิตสำคัญสำหรับพี่แค่ไหน มายืนบ่นกระปอดกระแปดแบบนี้ ดูเหมือนกิตเลยนะ”

อิงฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม นัยน์ตาหวานส่อแววเว้าวอนเสียจนคนจ้องแทบละลาย

“ไม่เอานะจ๊ะคนดี เช้าๆ แบบนี้ มัวแต่มายืนตัดพ้อต่อว่ากัน บรรยากาศดีๆ จะพานเสียเปล่าๆ ว่าแต่ว่า กิตหิวหรือยังจ๊ะ เดี๋ยวพี่อิงค์ไปทำอาหารเช้าให้เอาไหม หรือว่าจะสั่งจากร้านข้างล่างก็ได้นะ ถ้ากิตเบื่อฝีมือพี่อิงค์แล้ว”

“ใครจะเบื่อฝีมือพี่อิงค์ได้ละครับ กิตชอบรสมือพี่จะตายไป แต่ว่า...จะหิวดีไหมหนอ? อาหารน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ กิตเริ่มจะหิวอย่างอื่นมากกว่าแล้วสิ”

หนุ่มรุ่นน้องเจ้าของใบหน้าคมจงใจตอบคำถามแบบส่อให้คิดไปในทิศทางของอารมณ์ความต้องการยังเบื้องต่ำ มือไม้กลับมาซุกซน รุกไล่หนักกว่าเดิม

“แน้! กิตนี่ สว่างโล่ขนาดนี้แล้ว ยังจะมัวมาคิดเรื่องแบบนี้อีก” สาวสวยแสร้งตัดพ้ออย่างมีจริต

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย

มือบางตีแปะลงบนอกหนาก่อนจะเอื้อมขึ้นโอบกอดรอบคอของชายหนุ่ม รอรับการจู่โจมจากริมฝีปากหยักได้รูป สวย ที่กำลังลุกไล่ด้วยคลื่นอารมณ์อันร้อนระอุโหมแรงจากภายในอย่างเต็มที่ ต่างโอบประคองพากันและกันกลับเข้าไปยังห้องด้านใน ปล่อยใจปล่อยกายไปตามการเรียกร้องของธรรมชาติที่ลุกฮือขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ

-----------------------------------------

ร่างระโหงสูงโปร่งราวนางแบบในชุดผ้าป่านสีครีมก้าวออกมาจากเรือนพักด้วยใบหน้าอันเป็นปกติ มีแต่เพียงดวงตาเท่านั้นที่ออกสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ซึ่งหากไม่สังเกตุอย่างจริงจังแล้วก็คงดูไม่ออก หญิงสาวจูงมือบุตรตัวน้อยผู้ร่าเริงทั้งสองคนออกมายังโต๊ะอาหาร ซึ่งถูกย้ายมาตั้งไว้บนชานระเบียงเพื่อให้คณะท่องเที่ยวได้รับประทานอาหารเช้า พร้อมกับรับอากาศบริสุทธิ์ในเช้าวันแรกของการเดินทางอย่างเต็มที่

หญิงสาวหลบตาหนุ่มเจ้าของบ้านอย่างจงใจ แต่กลับส่งยิ้มน้อยๆ เป็นการทักทายสมาชิกคนอื่นๆ ก่อนจะเอ่ยคำว่าอรุณสวัสดิ์ด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบดุจเดียวกับสีหน้าเมื่อแรก สองเด็กน้อยยิ้มร่า พากันวิ่งเข้ามาสวมกอดภูวิชอย่างสนิทชิดเชื้อ ปากก็ร้องบอกอรุณสวัสดิ์สร้างบรรยากาศครึกครื้นในยามเช้าจนเสียงดังลั่นชานเรือน

ภูวิชอ้าแขนรับ กอดรัดฟัดเหวี่ยงเจ้าตัวน้อยทั้งสอง สายตากลับมองเลยไปยังหญิงสาวที่กำลังก้าวย่างช้าๆ อย่างจับสังเกต เขารับรู้ได้โดยสัญชาติญาณ ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากการแสดงออกทั้งสีหน้าและแววตานั้น มีร่องรอยของความกังวลปะปนอยู่ เช่นเดียวกับคุณหมอสาวเจ้าของร่างเล็กที่จับตามองณิชญาฎามาตั้งแต่แรกปรากฎตัว ความคิดที่อยู่ภายในนั้นแตกต่าง ภูวิชจ้องมองเธอด้วยความห่วงใยและเป็นกังวลในการตัดสินใจของเธอ ในขณะที่วรรณรสาจ้องมองเพียงเพราะความสงสัยตามประสาคนนอกที่บังเอิญผ่านมารับรู้ในบางเหตุการณ์เท่านั้น

“เป็นยังไงบ้างครับน้องแพร หลับสบายหรือเปล่า”

แทนที่คนตั้งคำถามจะเป็นภูวิช แต่กลับกลายเป็นนัทธีธรผู้เพื่อนที่ส่งเสียงทักทายทำหน้าที่แทนเจ้าของบ้านได้อย่างแนบเนียนหน้าตาเฉย

“เอ้อ! คนเรานี่ก็แปลกนะ แทนที่จะให้เจ้าของบ้านเขาเป็นคนถาม กลับไปชิงทำหน้าที่แทนเสียอย่างนั้น ทำอย่างกับว่าเป็นบ้านของเองอย่างนั้นแหละ”

วรรณรสาค่อนว่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ค้อนวงสวยถูกส่งไปยังคุณหมอหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งข้างอยู่เนืองๆ เป็นค่าหมั่นไส้ที่เขาขยันส่งสายตาเผยความในใจมาบอกกับเธออย่างชัดแจ้ง จนเธอต้องพยายามสะกดอาการเขินเอาไว้อย่างยากเย็น หลายต่อหลายครั้ง

“ก็ตัวมันเอาแต่นั่งมอง ไม่ยอมอ้าปากถามสักที ผมรำคาญก็เลยทำหน้าที่แทนมันเสียเลย จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป เถอะน่า... คุณ บ้านเจ้าภูก็เหมือนกับบ้านผมนั่นล่ะ จริงไหมวะเพื่อน”

นัทธีธรตอบกลับคุณหมอสาว หันไปพยักเพยิดกับเพื่อนรักผู้เป็นเจ้าของสถานที่ ซึ่งเจ้าตัวส่งยิ้มกลับมาเป็นคำตอบว่ายอมรับ ก่อนจะหันไปเจรจากับณิชญาฎาเองโดยตรง ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้งน้อยๆ เพราะถูกตั้งคำถามอย่างไม่ทันตั้งตัว

“เป็นไงบ้างแพร ชอบที่นี่หรือเปล่า”

“ก็... ก็ดีค่ะ” คนถูกถามตอบกลับเสียงเบา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมมองหน้าเขาอยู่ดี

“แค่ก็ดีเองเหรอแพร? แต่พีทว่ามันสวยมากเลยนะ ถามสบายมากๆ อีกต่างหาก เห็นทีคราวหน้าต้องขอให้พี่ภูพามาบ่อยๆ เสียแล้ว ว่าไหมครับป้าบัว”

พฤทธิ์ออกความเห็นแทรกขึ้นมาเนื่องจากกิริยาอาการในการตอบคำถามของหญิงสาว ดูจะไม่ค่อยเอื้อต่อบรรยากาศในการท่องเที่ยวเอาเสียเลย นับแต่เริ่มการเดินทางเขาให้เกิดรู้สึกเห็นใจและหนักใจแทนภูวิชเสียยิ่งนัก เพราะไม่ว่าชายหนุ่มรุ่นพี่ของเขาคนนี้จะพูดหรือทำอะไร ก็ล้วนแต่จะขัดหูขัดตาและขัดใจณิชญาฎาไปเสียหมด แม้ว่าที่ผ่านมาตัวเขามักจะเข้าข้างหญิงสาวอยู่เสมอ ทว่าคราวนี้จู่ๆ เขาก็เกิดอยากเปลี่ยนข้างขึ้นมาเสียเฉยๆ ดังนั้นหนุ่มอารมณ์ดีจึงตัดสินใจอาสาเป็นหน่วยเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับคนทั้งสอง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ใครขอร้อง หรือเอ่ยปากอนุญาติ

นางบัวที่กำลังสาละวนกับการตักอาหารใส่จานให้เด็กน้อยทั้งสองคน ได้ยินพฤทธิ์เอ่ยชื่อนางเป็นเชิงหาเสียงสนับสนุนแล้วก็ได้แต่ส่งยิ้มให้เป็นคำตอบ สองตาไม่วายชำเลืองสำรวจสีหน้าท่าทางของเจ้านายสาว ที่เช้านี้ออกจะดูพูดน้อย ถนอมถ้อยถนอมคำจนน่าแปลกใจ

“ได้สิ! อยากมาเมื่อไหร่ก็บอก ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ” ภูวิชบอกทั้งที่ตายังจ้องมองไปที่ณิชญาฎาไม่เปลี่ยนราวกับจะส่งคำอนุญาตไปยังเธอ

“ขอบคุณครับพี่ภู บรรยากาศดี ธรรมชาติสุดขั้วขนาดนี้ รับรองผมไม่พลาดมาใช้บริการแน่ ว่าแต่ว่าวันนี้มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหนบ้างครับ”

หนุ่มหน้าตาอินเทรนด์ยิ้มรับหน้าระรื่น ออกจะร่าเริงเกินเหตุไปด้วยซ้ำในสายตาของณิชญาฎาจนหญิงสาวอดใจไว้ไม่ไหวหันมาเขวี้ยงค้อนใส่เข้าให้วงโต แต่ชายหนุ่มก็หาได้ใส่ใจ เปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องโปรแกรมเที่ยวด้วยหวังจะช่วยดึงบรรยากาศของการท่องเที่ยวให้ครึกครื้นอย่างที่ควรจะเป็น

“หลังมื้อเช้าจะเป็นการพาเที่ยวชมไร่องุ่น อยู่ห่างจากที่นี่ไม่เท่าไหร่หรอก บรรยากาศดี มีการสาธิตวิธีผลิตไวน์ด้วย เสร็จแล้วเราจะทานอาหารกลางวันกันที่นั่นเลย พอตกบ่ายค่อยพาเด็กๆ กลับลงมาเล่นน้ำกันที่ธารน้ำตกกันที่ท้ายไร่ น้ำตกไม่ใหญ่มากแต่ก็น้ำเยอะพอดู โปรแกรมง่ายๆ แต่รับรองได้ว่าสนุกแน่นอน”

หนุ่มเจ้าของบ้านร่ายโปรแกรมที่วางไว้ มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ทุกคนต้องเหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไป

“น่าสนุกดีนะครับ แบบนี้รับรองว่าถูกใจเจ้าสองแสบแน่ๆ โดยเฉพาะโปรแกรมสุดท้าย ว่าไงเด็กๆ พร้อมลุยหรือยัง” พฤทธิ์บอกอย่างนึกสนุกตามไปด้วยจริงๆ สุดท้ายหันไปกระตุ้นสองเด็กน้อยให้ยิ่งตื่นเต้นกับช่วงเวลาของความสนุกมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับว่าพร้อมแล้วจากเด็กทั้งคู่ด้วยความกระตือรือล้น

ภูวิชยิ้มรับ แล้วจึงพูดต่อ “พี่สั่งให้ป้าละม้ายแกเตรียมอาหารเย็นไว้รอเราแล้ว เสร็จจากเที่ยวน้ำตกจะได้กลับมากินข้าวกินปลา แล้วค่อยแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย”

“โอ้โฮ! อะไรจะวางแผนเอาไว้เสร็จสรรพขนาดนี้ เห็นทีจะมีคนให้พี่ภูพามาเที่ยวบ่อยๆ เสียละมั้ง”

“เฮ้ย! วางผงวางแผนอะไรกัน บ้านนี้ไม่ค่อยจะได้ต้อนรับใครสักเท่าไหร่หรอก อีกอย่างแถวนี้มันก็ใช่ว่าจะมีอะไรมากมาย ใครไปใครมา ก็เที่ยวกันแบบนี้ทั้งนั้น พี่แค่เลือกสถานที่ๆ มันไม่ไกล พวกเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากเท่านั้นเอง”

“ก็นั่นแหละครับ แล้วนี่เราจะออกกันสักกี่โมงดีครับ” พฤทธิ์หันมาถามกำหนดการอย่างง่ายๆ เสียงออกจะตื่นเต้นราวกับย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

“สิบโมงเช้าน่าจะกำลังเหมาะ ไปถึงไร่ เดินดูอะไรต่อมิอะไรสักพัก แล้วค่อยพักทานกลางวัน ถึงตอนนั้น พวกเด็กๆ คงจะหิวพอดี ที่โน่นเขามีไวน์ให้ชิมด้วยนะ ลองแล้วอาจจะติดใจ ซื้อติดมือกลับไปฝากพ่อนายบ้างก็ได้” คราวนี้ภูวิชบอกพร้อมลงรายละเอียด

“ดีเลยครับ สนับสนุนไวน์นอกมาเยอะแล้ว คราวนี้ลองอุดหนุนของไทยดูบ้าง แค่ฟังก็สนุกแล้วนะครับพี่ภู ว่าไหมแพร” พฤทธิ์หันมาทำหน้าพยักเพยิดกับเพื่อสาวที่คล้ายว่าจะฟังแค่ผ่านๆ ไม่ได้ติดตามการสนทนาอย่างจริงจัง แต่ก็พยักหน้ารับแล้วหันกลับไปสนใจการรับประทานอาหารของบุตรทั้งสองของตนต่อ

คุณหมอสาวนั่งรับประทานอาหารเช้าไปพลางรับฟังการสนทนาไปพลางอย่างตั้งอกตั้งใจ นัทธีธรซึ่งเอาแต่นั่งมองหน้าเธอมาตั้งแต่เริ่ม อดใจไม่ไหวเบี่ยงตัวเข้าใกล้แล้วกระซิบถามเป็นเชิงกระเซ้าคนนั่งข้างๆ แบบตั้งใจให้ได้ยินกันแค่สองคน

“อะไรจะตั้งใจฟังขนาดนั้นครับคุณหมอ”

“อ๊ะ! คะ? อะไรนะคะ” วรรณรสาสะดุ้ง เบือนหน้ากลับไปถามอย่างตกใจ

“ผมถามว่า ทำไมตั้งใจฟังขนาดนั้น ถ้าอยากรู้อะไรถามผมก็ได้นะครับ รับรองเลยว่าผมตอบคุณหมอได้ทุกเรื่องแน่นอน” คุณหมอหนุ่มเอ่ยถาม หลิ่วตาล้อเลียน การกระกระเซ้าในระยะประชิดตัวแบบนี้ เป็นใครๆ ก็ต้องเขิน ทำเอาหญิงสาวเกิดอาการอายจนหน้าแดงเถือก

“เปล่านะคะ รสาไม่ได้อยากรู้อะไรสักหน่อย” วรรณรสาปฏิเสธพัลวัน ดวงหน้าเล็กยังแดงไม่เลิกเพราะความเขินอันเกิดจากอีกฝ่ายที่รู้ทัน

“อย่าปฏิเสธเลย บอกแล้วไงว่าผมดูออก น่า!มามะ กระซิบถามก็ได้ รับรองเลยว่าถ้ารู้ผมจะบอกแบบหมดเปลือก” นัทธีธรคะยั้นคะยอถาม โมเมถือสนิทเอียงหูรับการกระซิบ แถมทำหน้าตาทะเล้นชวนให้หมั่นไส้

“นี่คุณ... ตกลงจะไม่เลิกแซวใช่ไหม บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ” หญิงสาวทำตาโตเบิกกว้าง แค่นเสียงดุใส่ แต่แทนที่จะน่ากลัว เสียงใสๆ กลับกลายเป็นน่ารักสำหรับนัทธีธรไปเสียได้

“รสาอิ่มแล้ว ขอตัวไปเดินเล่นก่อนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอตัวพร้อมกับลุกขึ้นก้าวออกจากโต๊ะ ก่อนไปยังไม่ลืมแจกจ่ายยิ้มสดใสให้กับทุกคน ครั้นมาถึงใบหน้าทะเล้นหญิงสาวกลับแยกเขี้ยวเป็นเชิงข่มขู่ใส่คุณหมอหนุ่มเสียอย่างนั้น

“แน่ะ! มีเขิน เดี๋ยวก่อนสิครับคุณหมอ รอผมด้วย”

นัทธีธรยักคิ้วแพร่บให้เพื่อนรัก ก่อนจะลุกพรวดออกวิ่งตามคุณหมอคนงามไปติดๆ ถ้าไม่เห็นกับตาคงไม่เชื่อ ใครเลยจะคิดว่า คุณหมอรูปหล่อที่สาวๆ ต่างพากันคลั่งไคล้ทั่วบ้านทั่วเมือง จะต้องมาวิ่งตามแม่สาวร่างน้อย ต้อยๆ ดังเช่นเวลานี้

---------------------------------

หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีสดใสกับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีน้ำเงินเข้มมัวแต่เดินจ้ำอ้าวหนีคนที่กำลังไล่ตามมาติดๆ เพราะความรีบทำให้ขาดความระมัดระวัง จนเป็นเหตุให้เหยียบลงไปบนพื้นหญ้าซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้าง แล้วร่างกะทัดรัดของเธอก็ให้ต้องหงายหลังลงไปนอนแผ่อยู่กับพื้นหญ้าเพราะความลื่น ปิดท้ายด้วยเสียงร้องโอดโอยแผ่วโหยของเจ้าตัวที่กำลังจุกจนร้องแทบไม่ออก

“โอย...” วรรณรสาขยับร่างพลางส่งเสียงคลาง จนคนที่เพิ่งจะเดินตามมาทันกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

“เป็นไงบ้างคุณ ก็บอกแล้วว่าอย่ารีบ แบบนี้เขาเรียกว่า ไม่สวยแล้วยังซุ่มซ่ามรู้ไหม”

“เงียบไปเลยนะ คนเจ็บจะแย่ ยังจะมาซ้ำเติมอยู่ได้ หุบปากไปเลย” คนเจ็บตัวกระแทกเสียงใส่ ทั้งโกรธทั้งอายปานกัน

“แน่ะ! ยังจะทำเก่ง ลุกไหวหรือเปล่าคุณ มา! ผมช่วย?” นัทธีธร พูดเสียงกลั้วหัวเราะ พลางส่งมือให้คนซุ่มซ่ามเกาะ

“ไม่ต้อง ฉันลุกเองได้” เจ้าของร่างเล็กปฏิเสธทันควัน จากนั้นจึงพยายามยันกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่เพราะความชื้นแฉะของพื้นหญ้าทำให้ยากจะทรงตัว

“ดื้อจริง เร็วๆ เข้ารีบลุกขึ้นมา พื้นแฉะขนาดนี้ มีปลิงหรือปล่าก็ไม่รู้”

คุณหมอหนุ่มหน้าทะเล้นพูดไปเรื่อยเปื่อยแต่ได้ผลชะงัด เมื่อร่างเล็กรีบคว้ามือหนาแล้วดีดตัวผึงลุกขึ้นยืนในทันที พาให้คนช่วยเกือบจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอีกระลอกแต่เพราะไม่กล้าจึงได้แต่พยายามกักเก็บรอยขันบนหน้าหล่อๆ ไว้เต็มกลั้น

“ขำไปเถอะ ไม่ถึงคราวตัวเองบ้างก็แล้วไป เชอะ! ถอยไปเลย” แม่สาวร่างเล็กทำเสียงกระเง้ากระงอด ก้มปัดรอยเปรอะเปื้อนที่ติดอยู่ตามเนื้อตามตัว ค้อนควัก ขับไล่ไสส่งอย่างพาลพาโล

“เฮ้อ! เกเรเป็นเด็กๆ ไปได้นะคุณ” หมอหนุ่มเดินตามล้อมหน้าล้อมหลัง ตอแยไม่เลิกลา

“นี่คุณ หยุดตามฉันเสียที จนหกล้มไปรอบหนึ่งแล้วยังไม่ยอมเลิกตาม ฉันเวียนหัวจะแย่อยู่แล้วนะ”

“อะไรกันเรายังไม่ทันได้แต่งงานกันเลยนะ เวียนหัวเสียแล้วเหรอ หรือว่าเป็นปลากัด ถึงได้ตั้งท้องเร็วนัก”

“จะบ้าเหรอ ดูพูดเข้า เดี๋ยวแม่ตบปากฉีกเลยนี่”

“เอ๋า... ดุจริง! ไปกินน้ำตาลมาหรือไงคุณ ขู่ฟ่อๆ เป็นงูไปได้” นัทธีธรต่อล้อต่อเถียงสนุกสนาน สีหน้าสีตาบอกชัดว่าอารมณ์ดีนักหนา

“เดี๋ยวเถอะนะ ถ้ายังไม่ยอมหยุดพูดละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” วรรณรสายังไม่เลิกขู่ ทั้งที่รู้ว่าขู่ไปไม่เป็นผล

“อ้ะๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ขู่เสียจริง! ว่าแต่ไหนลองเล่ามาให้ผมฟังหน่อยสิ ว่าคุณแอบไปรู้อะไรมา” หนุ่มหน้าทะเล้น ทำท่ากระลิ้มกระเหรี่ย ก้าวเข้ามาใกล้ พลางตะล่อมถาม

“อย่างฉันเนี่ยนะ จะไปรู้อะไรมา บอกไม่รู้ก็ไม่รู้สิ พูดไม่รู้เรื่อง เมาค้างหรือไงคุณ”

หญิงสาวให้ขัดใจนักที่คุณหมอหนุ่มรุ่นพี่ไม่ยอมเลิกตอแย มิหน้ำซ้ำยังไม่ยอมลืมเรื่องเมื่อก่อนหน้า กลับเดินล้อมหน้าล้อมหลังคอยหว่านล้อมตะล่อมถาม

“น่านะ บอกหน่อย ยิ่งคุณไม่ยอมบอกแบบนี้ ผมยิ่งอยากรู้ ใกล้จะระเบิดแล้วเนี่ย”

“เพิ่งจะรู้นะคะ ว่าอย่างคุณก็ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน”

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องของใคร แล้วถ้าจะให้เดา ผมว่าคราวนี้คงไม่พ้นเป็นเรื่องของเพื่อนผมแน่ ใช่ไหมล่ะครับ”

“สู่รู้ดีนัก”

“อีหร่อบนี้แปลว่าใช่ ไม่ยักรู้นะครับว่าคุณหมอก็สนใจเรื่องของคนอื่นกับเขาเหมือนกัน” หมอหนุ่มสรุปความตามที่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ยังไม่วายปากไว เผลอว่าหญิงสาวเข้าให้

“นี่...คุณหาว่าฉันยุ่งเรื่องชาวบ้านเหรอ?” วรรณรสาหน้าตึง ต่อว่าพร้อมกับถลึงตาใส่คนปากเสีย

“อ้าว... อย่าเพิ่งร้อนตัวสิคุณ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยสักคำ ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ไม่แน่นะบางทีผมอาจช่วยไขข้อสงสัยให้กับคุณหมอได้ ก็ได้”

นัทธีธรรีบกลบเกลื่อน แกล้งหยิบยกเงื่อนไขขึ้นมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนให้กับหญิงสาว

“เบื่อจริงๆ พวกแสนรู้เนี่ย” ร่างเล็กส่งค้อนจนหน้าคว่ำ พูดลอยๆ เปรียบเทียบชายหนุ่มเป็นเจ้าตัวแสนรู้ไปเสียฉิบ

“น่านะ บอกหน่อย ผมอยากรู้จริงๆ นะนี่!”

“ก็ได้ บอกก็ได้ น่ารำคาญจริง ฉันก็แค่เห็นคุณแพรเธอเดินออกมาจากห้องของคุณภูวิชเมื่อตอนเช้ามืด ก็เลยคิดว่าสองคนนั้นคงกำลังปิ๊งกัน แต่ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมเช้านี้คุณแพรเธอทำท่าหมางเมินแปลกๆ มันก็แค่นั้นแหละ” ร่างเล็กบ่นกระปอดกระแปด ตบท้ายด้วยการบอกเล่าในสิ่งที่ตนประสบเมื่อช่วงค่อนรุ่ง

“นี่นะ แค่นั้นของคุณ” นัทธีธรร้องเสียงหลง เผลอตะเบ็งออกมาเสียดังลั่น

“ก็แค่นั้นน่ะสิ จะแค่ไหนกันเล่า แล้วก็หยุดตะโกนเสียที หูฉันจะแตกอยู่แล้ว” วรรณรสายกมือขึ้นอุดหูประกอบ สนับสนุนวาจาของตน

“ตายละหว่า ไหงจับพลัดจับผลูเป็นแบบนั้นไปได้ หรือว่าเจ้าภูมันเผลอไปทำอะไรน้องแพรเธอเข้าให้อีกแล้ว ก็ไม่รู้ รู้อย่างนี้ลากมันเข้าห้องนอนเสียแต่แรกก็ดีหรอก เฮ้อ!”

นัทธีธรบ่นพึมพำกับตนเองเสียงดัง เกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“ทีนี้ถึงตาคุณแล้ว ไหนว่าว่าจะเล่าให้หมดเปลือกเลยไง”

พอได้ทีคุณหมอสาวก็เริ่มทวงสัญญายิก ปราศจากท่าทางกระเง้ากระงอด ดูน่ารักน่าชังจนคนฟังอดไม่ได้ที่จะแกล้งถ่วงเวลาของการเล่าเอาไว้ก่อน

“ก็แล้วจะให้เล่าเรื่องอะไรล่ะครับ... คุณผู้หญิง”

“นี่คุณ คิดจะเบี้ยวกันหรือไง ก็เรื่องคุณแพรกับคุณภูไง มีอะไรมากกว่าที่เห็นใช่หรือเปล่า” วรรณรสาออกอาการหงุดหงิด ยกเท้ากระแทกพื้นอย่างขัดใจ เมื่อนัทธีธรเริ่มจะเฉไฉ

“ก็.. มันเห็นมีอะไรนี่” นัทธีธรตอบเลี่ยงๆ อึกอักเล็กน้อย ยกมือหนาลูบต้นคออย่างมีพิรุธ

“ไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยง บอกมาเสียดีๆ ทีฉันยังบอกคุณเลยว่าไปเห็นอะไรมา” หญิงสาวบอกอย่างรู้ทัน

หมอหนุ่มหยุดนิ่งไปชั่วครู่ พยายามคิดหาคำพูดที่จะไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหายมาใช้ในการเล่าเรื่อง

“ก็... ไม่มีอะไรมากหรอก แค่สองคนนั้นเขาเคยมีเรื่องกุ๊กกิ๊กกันมาก่อน”

คำบอกเล่าส่งผลให้ร่างเล็กมีสีหน้าฉงน ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยกึ่งงงๆ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“เรื่องกุ๊กกิ๊ก กุ๊กกิ๊กยังไง แล้วทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ถึงได้ต้องทำท่าทางห่างเหินกันอย่างกับคนแปลกหน้าแบบนั้น” วรรณรสายิงคำถามใส่จนนัทธีธรนึกทึ่งในความช่างสงสัยของเจ้าหล่อนขึ้นมาจริงๆ

“โอ้โห! ช่างสังเกตเหมือนกันนะนี่คุณ”

“อ๊ะ! แน่นอนอยู่แล้ว ก็ฉันเป็นหมอจิตเวชนี่นา นี่! ไม่ต้องมาทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเลย สรุปว่าสองคนนั้นเขากุ๊กกิ๊กกันแบบไหน เล่ามาให้หมดเลยนะ” วรรณรสาลอยหน้าลอยตาตอบชวนให้เอ็นดูมากกว่าจะน่าหมั่นไส้

“เอ... กุ๊กกิ๊กแบบไหนเหรอ? จะว่าไปแล้วผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขากุ๊กกิ๊กกันแบบไหน อีท่าไร มารู้ตัวอีกที ก็มีเด็กสองคนนั่นออกมาวิ่งเล่นปาเข้าไปห้าขวบแล้ว”

นัทธีธรเฉลยด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ ราวกับเป็นเรื่องขำขันธรรมดา แต่มิใช่กับแม่สาวช่างสงสัยตรงหน้า

“อะไรนะ? นี่หมายความว่าคุณภูเป็นพ่อของน้องตัวไหมกับน้องใบหม่อนอย่างนั้นเหรอ?”

“แม่นแล้ว!!!” นัทธีธรตอบ ยักคิ้วแพร่บตามสไตล์ถนัดของตน

“นี่คุณ! มันไม่ตลกเลยนะ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดน่ะ”

วรรณรสายังคงสงสัยไม่เลิก สุดท้ายคุณหมอหนุ่มจึงต้องยืนยันด้วยการบอกถึงข้อพิสูจน์ที่ตนได้ถือวิสาสะ กระทำลงไปโดยมิได้ขออนุญาตจากหญิงสาวคู่กรณีของเพื่อนรักล่วงหน้า

“จะผิดได้ไง ในเมื่อผมเป็นคนแอบเลือดของเจ้าภูกับใบหม่อนไปตรวจ แล้วก็รับผลกลับมาด้วยมือของผมเองเลย”

“นี่ถึงขั้นแอบตรวจดีเอ็นเอ กันเลยเหรอ” วรรณรสาทำหน้าตื่นราวกับได้เจอกับเรื่องมหัศจรรย์พันลึกก็ไม่ปาน

“ก็แหงแหละ ไอ้ท่าทางปั้นปึ่งของคุณเธอในตอนนี้น่ะไม่ได้เพิ่งจะมาเป็นหรอกนะคุณ ขนาดตอนท้องน้องแพรเธอยังไม่ยอมบอกไอ้ภูมันเลย แถมตอนกลับมาเจอกันยังกีดกันไม่ให้พวกเด็กๆ รู้อีกว่าเจ้าภูเป็นพ่อ คุณคิดหรือว่าเธอจะยอมให้ตรวจแต่โดยดี” นัทธีธรขยายความ

“ถึงว่าสิ เด็กสองคนนั่นดูๆ ไปก็ออกจะคล้ายๆ คุณภูอยู่”

“ไม่คล้ายล่ะ เหมือนเลยต่างหาก”

จิตแพทย์สาวร่างเล็กพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับทราบ ในใจคิดเห็นคล้อยตามไปแล้วเกินกว่าครึ่ง

“แล้วคุณแพรเธอมีเหตุผลอะไร ทำไมถึงไม่ยอมบอกให้พ่อของเด็กรู้ว่าเธอท้อง”

วรรณรสาก้าวข้ามจากความสงสัยข้อหนึ่งไปสู่อีกหัวข้อหนึ่งได้โดยไม่สะดุด ทว่าคนตอบกลับไม่ตอบ เอ่ยตัดบทเพราะเห็นว่าใช้เวลาอยู่ตรงนี่มาเนิ่นนานพอสมควรแล้ว

“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ เรื่องมันยาวจะให้เล่าตอนนี้คงไม่เหมาะ เอาไว้ว่างๆ ผมค่อยเล่าให้คุณฟังดีกว่า ตอนนี้ผมว่าคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหม ดูสิ! เลอะไปหมดแล้ว มัวแต่อยากรู้เรื่องของคนอื่นจนลืมเรื่องของตัวเองไปเลย” สุดท้ายนัทธีธรก็ยังเหมือนเดิม ยังคงปากไวเอ่ยแซวหญิงสาว ไม่เกรงเลยสักนิดว่าคนฟังฟังแล้วจะเคือง

“นี่คุณ! คุณหลอกด่าฉันเหรอ” วรรณรสาสวนกลับเสียงแข็งแต่สีหน้ากลับไม่ได้จริงจังไปตามน้ำเสียง

“เปล่าๆ ผมแค่จะเตือนให้คุณไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแค่นั้นเอง คุณล่ะก็คิดมากไปได้” นัทธีธรหัวเราะรื่นแก้ตัวไปได้อย่างน้ำขุ่นๆ จนหญิงสาวอดใจไม่ไหวส่งค้อนตามไปให้เพราะความที่หมั่นไส้เสียเต็มประดา

“กะล่อนนักนะ หลีกไปเลยไป คนจะเดิน เกะกะขวางทางอยู่ได้ อ้อ! แล้วก็เลิกตามฉันสักทีนะ รำคาญจะแย่อยู่แล้ว”

“เอ๊อ คุณนี่พาลจริงเชียว ไม่ให้ตามคุณแล้วจะให้ผมไปตามใครล่ะครับ คุณหมอคนสวย”

“อี๋คนบ้า น่ารำคาญ”

“อ้ะๆ ผมเลิกแหย่คุณก็ได้ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะได้ออกไปเที่ยวกัน”

ภาพที่หลายๆ คนบนชานระเบียงเห็นคือ ร่างเล็กของคุณหมอคนงามพยามเบี่ยงกายจะเดินหนีโดยมีร่างสูงของคุณหมอหนุ่มคอยเดินตามติด มองเผินๆ คล้ายกับว่านัทธีธรกำลังโอบประคองเจ้าหล่อนอยู่ ทว่าในความเป็นจริง เขามิได้แตะเนื้อโดนตัวแธอเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ต้องทำท่าเหมือนกำลังก้อร่อก้อติกเจ้าหล่อนอยู่แบบนี้ ก็เพราะเขาเกรงว่าเธอจะลื่นล้มหกคะเมนลงไปอีกรอบต่างหาก

-----------------------------------------------------

กิจกรรมการท่องเที่ยวดำเนินไปตามโปรแกรมซึ่งถูกวางไว้โดยชายหนุ่มผู้เป็นทั้งเจ้าของสถานที่ซึ่งให้การต้อนรับ คณะท่องเที่ยวจากรุงเทพฯ จนกระทั่งมาถึงรายการสุดท้ายเมื่อเวลาล่วงเข้าบ่ายแก่ของวัน ภูวิชนำทุกคนเดินลัดเลาะเข้าสู่ทางเดินเล็กๆ ที่แทรกอยู่ระหว่างดงไม้ ตลอดสองข้างทางเดินปกคลุมด้วยไม้นานาพรรณทอดแนวยาวไปจนถึงตัวน้ำตกซึ่งกินระยะทางเกือบครึ่งกิโลเมตร ตัวน้ำตกจัดว่ามีขนาดไม่สูง ด้านล่างเป็นแอ่งกว้าง แบ่งชั้นลดหลั่นสามารถรองรับน้ำจากด้านบน ซึ่งไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย ละอองน้ำปลิวกระจายไปตามลมที่พัดโบกอยู่ตลอดเวลา สร้างความสดชื่นแก่ผู้มาเยือนจนถ้วนหน้า

“น้ำตกนี่อยู่ในเขตไร่ของคุณหรือเปล่าคะคุณภู”

วรรณรสาซึ่งเดินตามมาทันเป็นคนแรก ถามขึ้นขณะก้มลงวักน้ำเย็นๆ ขึ้นลูบหน้าลูบตา เรียกความสดชื่นให้กับตนเอง หลังจากที่ได้ตะลอนเที่ยวมาเกือบจะทั้งวัน

“อ๋อ! เปล่าหรอกครับ น้ำตกนี่อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยาน แต่ขนาดมันเล็กก็เลยไม่ค่อยมีคนสนใจจะเข้ามาเที่ยวกันสักเท่าไหร่”

“มิน่าล่ะ ถึงได้มีแต่พวกเรา ดีเหมือนกันนะคะ เงียบสงบ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นน้ำตกส่วนตัวเลย”

ดวงหน้าใสระบายยิ้มร่าเริง พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ กวาดตามองไปรอบๆ ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสดชื่น นัทธีธรเดินตามมานั่งลงวักน้ำสำรวจความเย็นอยู่ด้านข้าง ออกปากถามเมื่อเห็นท่าทางอันตื่นเต้นของแม่สาวผู้เป็นขวัญใจ

“ตาวาวเป็นประกายเชียวนะครับคุณหมอ อยากเล่นน้ำละสิ”

“แหงล่ะ น้ำใสเย็นเจี๊ยบน่าเล่นขนาดนี้ ไม่ลงน้ำก็เสียเที่ยวแย่สิคุณ” วรรณรสาบอก หน้าใสๆ ยังเปื้อนยิ้มไม่คลาย

“ไม่ต้องบอกก็รู้ เพราะหน้าตาคุณมันฟ้อง แถมยังทำท่าทางเหมือนเด็กเจอของเล่นถูกใจยังไงยังงั้นเลย”

คุณหมอหนุ่มรุ่นพี่ส่งยิ้มนัยน์ตาพราย แสดงออกถึงความพึงใจอย่างชัดเจน จนคนถูกมองวางหน้าแทบไม่ถูก ดวงหน้าใสๆ ออกสีระเรื่อก่ำแดง ไม่อาจปกปิดอาการเขินของตนไว้ได้มิด แต่แก้เก้อด้วยการเฉไฉเบี่ยงสายตามองไปในธารน้ำแทนใบหน้าขาวๆ ของหนุ่มเจ้าของแววตาเจ้าชู้

“ไม่ต้องมาทำเป็นล้อเลียนเลย ว่าแต่เขา ตัวเองก็อยากเล่นเหมือนกันล่ะน่า”

“ลำพังตัวผมเองน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ อยากเล่นเป็นเพื่อนคุณหมอล่ะมากกว่า จะลงเลยก็ได้นะคุณ อากาศกำลังร้อนๆ แช่น้ำเย็นๆ คงสบายดีพึลึก”

ภูวิชมองดูอากัปกิริยาของคนทั้งสองแล้วให้ต้องอมยิ้ม นึกขันอยู่ไม่น้อยกับวีธีการจีบสาวชนิดเอาหัวชนฝาของนัทธีธร สุดท้ายก็เลือกที่จะเลี่ยงหลบไม่ขออยู่เป็นก้าง ส่งสายตาบอกไปยังเพื่อนรักอย่างรู้ใจ

“ตามสบายเลยเพื่อน เชิญเลยนะครับคุณหมอ เดี๋ยวผมขอตัวไปดูเจ้าตัวเล็กสองคนทางโน้นก่อน ท่าทางคงอยากเล่นน้ำเต็มแก่แล้วเหมือนกัน” พูดจบชายหนุ่มผู้นำทางกลับปลีกตัวห่างออกมาจากคนทั้งสองแล้วเดินตรงไปยังจุดที่ณิชญาฎากำลังยืนเพลิดเพลินกับการชมบรรยากาศและธรรมชาติรอบตัว

แสงแดดอ่อนรอดผ่านทิวไม้ลงมากระทบผิวน้ำในแอ่งด้านล่างของน้ำตกเกิดเป็นประกายวิบวับ ช่างเป็นทัศนียภาพของธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเสียจนหญิงสาวซึ่งกำลังยืนมองอดไม่ได้ที่จะนึกทึ่ง แม้ว่าภาพตรงหน้าจะไม่ได้สวยงามโดดเด่นเหมือนกับภาพถ่ายตามนิตยสารท่องเที่ยวต่างๆ ทว่าเสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้กลับอยู่ที่ความสงบร่มรื่นบวกกับเสียงของน้ำที่ไหลตกกระทบลงบนโขดหิน แม้ว่าตัวน้ำตกจะไม่ได้มีขนาดสูง ทว่าด้วยปริมาณน้ำที่ค่อนข้างมาก ก็สามารถทำให้เกิดเสียงอันหนักแน่น เมื่อผสานเข้ากับเสียงของสรรพสิ่งรอบๆ ตัว ก่อเกิดเสียงของธรรมชาติแห่งพงไพร ฟังแล้วชวนให้เคลิบเคลิ้มมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

เสียงหัวเราะกับท่าทางอันร่าเริงของสองเด็กน้อย บอกให้ณิชญาฎารู้ว่าพวกแกกำลังสนุกสนานตื่นเต้นกับสถานที่แห่งนี้เพียงไหน แม้เธอจะพยายามปั้นหน้า วางเฉยสักเพียงใดสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มไปกับภาพของความสุขตรงหน้า

“เห็นไหม พี่บอกแล้วว่าลูกๆ ต้องชอบ”

ภูวิชเปรยขึ้นลอยๆ หลังก้าวยืนขนาบยังด้านข้างของณิชญาฎา สองตาจับจ้องไปยังจุดเดียวกัน

ณิชญาฎารู้ดีว่าเขากำลังพูดอยู่กับเธอทว่าก็มิได้เอ่ยตอบ ลึกๆ แล้วในใจก็นึกขอบคุณเขาอยู่ไม่น้อย เพราะการชักชวนของเขา ลูกๆ ของเธอจึงมีโอกาสได้มาเที่ยวในสถานที่ดีๆ แบบนี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีคำพูดใดๆ แต่รอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้าสวยของณิชญาฎา ก็ชวนให้ตีความหมายได้ว่า กำแพงแห่งทิฐิในใจของเธอได้ลดระดับลงมาบ้างแล้ว

แม้ว่าท่าทีของหญิงสาวจะอ่อนลง แต่ก็ใช่ว่าหนทางจะง่ายดายอย่างที่ภูวิชคาดหวังเอาไว้ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็พอจะเข้าใจได้อยู่ มาตรการงอนง้อที่เขากำลังใช้ กับเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ไหนเลยจะสามารถทะลายกำแพงแห่งความกินแหนงแคลงใจที่สะสมมานานปีลงได้โดยง่าย เท่าที่เป็นอยู่เวลานี้ก็นับว่าดีขึ้นมากแล้ว เพราะถ้าเทียบกับตอนแรกๆ ยามที่หญิงสาวต้องพูดคุยกับเขา ปฏิกิริยาต่อต้าน ที่เคยมีถือว่าลดน้อยถอยลงไปอย่างเห็นได้ชัด

“เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน....” ภูวิชยังเพียรหาโอกาสต่อยอดจากที่สนทนากันค้างไว้เมื่อช่วงรุ่งสางของวัน

“ขอเวลาให้แพรได้คิดทบทวนอีกสักหน่อยเถอะนะคะ พี่ภูอย่าเพิ่งเร่งรัดเอาคำตอบอะไรจากแพรตอนนี้เลย บอกตรงๆ ว่าแพรเองก็ยังคิดไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไง”

“ไม่เห็นจะยากเลย ก็แค่ตอบตกลงให้โอกาสพี่ แล้วแพรก็คอยดูต่อไป แค่นั้นเอง”

“มันคงไม่ง่ายแบบนั้นหรอกค่ะ ถ้าพี่ลองมาเป็นแพร แล้วจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องมันก็ตัดสินใจยาก”

“แต่ว่า...”

“เอาไว้เราค่อยคุยกันวันหลังเถอะค่ะ แพรขอตัวไปดูลูกก่อนนะคะ”

“แพร...”

ร่างระโหงของณิชญาฎาละจากจุดที่ยืนอยู่ แล้วตรงไปสมทบกับนางบัวและสองเด็กน้อยกำลังจดๆ จ้องๆ ดูมวลน้ำที่ตกลงมาเป็นสายๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ ทั้งตัวไหมและใบหม่อนต่างกระโดดโลดเต้น โบกมือหยอยๆ เสียงเล็กๆ ช่วยกันตะโกนร้องเรียกมารดา จนเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณ

“แม่จ๋า มาตรงนี้เร็วๆ มาเล่นน้ำกัน” ใบหม่อนส่งเสียงเรียก ติดตามมาด้วยตัวไหมที่ช่วยสำทับ

“มาเร็วๆ สิจ๊ะแม่จ๋า”

“มาแล้วลูก มาแล้ว” ผู้เป็นมารดาตะโกนตอบพลางเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปใกล้

“แม่จ๋ามาตรงนี้”

“ใบหม่อนอย่ากระโดดแบบนั้นสิลูก เดี๋ยวลื่นหกล้ม”

“แม่จ๋าเล่นน้ำกับเราด้วยนะจ๊ะ” ตัวไหมคว้ามือมารดามาเกาะ ส่งทั้งเสียงและสายตาออดอ้อน พร้อมทั้งชักชวน

“จะไหวเหรอ น้ำเย็นออก เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกนะลูก” ณิชญาฎาย่อกายลงเจรจากับลูกน้อยทั้งสอง

“ไม่เป็นไรหรอก ใบหม่อนแข็งแรงแล้ว” ใบหม่อนให้คำยืนยัน พร้อมทั้งเขย่าแขนมารดาเป็นการอ้อนวอน โดยมีเสียงสนับสนุนจากแม่หนูน้อยตัวไหมอยู่ตลอดเวลา

“ใช่ๆ ลุงภูบอกว่าจะเล่นน้ำกับเราด้วยนะจ๊ะแม่จ๋า”

“เอ... แต่แม่ว่า...” ผู้เป็นมารดาทท่าอึกอัก

“นะจ๊ะแม่จ๋า แป๊บเดียวก็ได้นะ...” ใบหม่อนเริ่มต่อรอง โดยมีเสียงของตัวไหมคอยพูดเสริมอยู่ข้างๆ

“นะจ๊ะ นะจ๊ะ แม่จ๋า”

“อืม... ก็ได้ แต่ต้องแป๊บเดียวจริงๆ นะ เอ... จะให้เล่นนานเท่าไหร่ดีนะ แม่จ๋าจะได้จับเวลา แล้วพอบอกให้ขึ้นก็ต้องขึ้นนะลูก ก็ห้ามดื้อเด็ดขาดด้วย” สุดท้ายณิชญาฎาก็ไม่อาจท้านทานต่อลูกอ้อนของบุตรทั้งสอง ยินยอมให้

“เย้... ยายบัว ไปเปลี่ยนเสื้อฟ้ามาเล่นน้ำกัน” ใบหม่อนละจากมารดาหันไปทางนางบัวทันที

“ไม่ไหวมังคะ คุณหนูยายแก่แล้ว”

“เดี๋ยวผมดูพวกแกให้เองครับ ป้าไปนั่งพักรอบนฝั่งก่อนก็ได้” ภูวิชซึ่งก้าวตามณิชญาฎามาติดๆ ออกปากรับหน้าที่แทนนางบัว ซึ่งนางก็พยักหน้ารับโดยดี ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ค่ะๆ ฝากด้วยนะคะคุณ”

“แล้วแพรล่ะ ไม่ลงมาเล่นกับลูกเหรอ” ภูวิชเบนความสนใจไปยังณิชญาฎา

“ไม่ดีกว่าค่ะ แพรฝากดูพวกแกด้วยแล้วกัน”

“ไงเจ้าพีท สนใจจะลงเล่นน้ำด้วยหรือเปล่า”

“พี่ภูลงก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมตามไป”

“ตามใจ อย่าช้าละกัน ไปลูกไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน”

ภูวิชรับทอดสองเด็กน้อยจากมือนางบัว พากันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วกลับมาลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน โดยทุกสิ่งล้วนอยู่ในสายตาของณิชญาฎาโดยตลอด

“ดูเหมือนว่าพี่ภูจะเข้ากับพวกเด็กได้ดีมากเลยนะ โบราณเขาถึงได้ว่าไว้ สายเลือด ยังไงๆ ก็ตัดกันไม่ขาด”

“พีทอยากจะพูดอะไรกันแน่”

“พีทก็แค่อยากให้แพรเห็นในสิ่งที่พีทมองเห็น เด็กๆ ดูสนุกสนานร่าเริงเวลาที่อยู่กับพี่ภู”

“เด็กก็คือเด็ก สนุกสนานแป๊บๆ ไม่กี่วันก็ลืม”

“งั้นเรามารอดูกันต่อไปดีไหม ว่าระหว่างทฤษฎีของแพรกับพีท ทฤษฎีใครมันจะใช้ได้กับเรื่องนี้”

“ไม่ต้องมาพูดเลย อยากเล่นน้ำไม่ใช่เหรอ จะไปก็รีบไปสิ รำคาญ!”

ณิชญาฎาสะบัดหน้าเดินหนี เกิดอาการขัดใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คำพูดของพฤทธิ์ยังคงก้องอยู่ในโสต แม้ว่าใจจะต่อต้านสักปานใด แต่ภาพของความเป็นจริงที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ก็ทำใหญิงสาวจำต้องแอบยอมรับกับตนเองอยู่ในใจ สายน้ำตัดไม่ขาดฉันท์ใด สายเลือดที่โยงใยความเป็นพ่อลูก ย่อมตัดกันไม่ขาดฉันท์นั้น

--------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 เม.ย. 2555, 20:38:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2555, 12:11:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1546





<< ตอนที่ 9 ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง   ตอนที่ 11 เอาคืน >>
violette 18 เม.ย. 2555, 00:50:51 น.
แพรสู้ๆ สงสารพี่ภูนิดเดียว (อ่าว


นิลวนา 18 เม.ย. 2555, 12:06:41 น.
อ้าว... ลำเอียงเห็นๆ พี่ภูของเราน่าสงสารออกนะคะ 55555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account