ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 11 เอาคืน

ค่ำคืนสุดท้ายของการท่องเที่ยวดำเนินไปแบบเรียบง่าย สันทนาการหลังมื้ออาหารค่ำเป็นเพียงการพูดคุยของพวกผู้ใหญ่ โดยมีสองเด็กน้อยวิ่งเล่นไปมาระหว่างรอเวลาเข้านอนอยู่รอบๆ จนผ่านไปได้พักใหญ่ นางบัวจึงเอ่ยขอตัวพาพวกสองเด็กน้อยแยกไปนอนเมื่อเห็นว่าพวกแกเริ่มจะตาปรอย เป็นสัญญาณว่าง่วงนอน ณิชญาฎาคิดจะขยับลุกขอตัวตาม ทว่านางกลับพูดขัดขึ้นมาเสียก่อนว่าให้เธออยู่ร่วมวงสนทนาต่อ และรับดูแลพาเด็กๆเข้านอนเอง วรรณรสารีบเอ่ยสนับสนุนเชิงคะยั้นคะยอจนเธอไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นวงพูดคุยจึงยังดำเนินต่อไปโดยมีหนุ่มสาวทั้งห้าคนนั่งล้อมวงกันอยู่ตรงชานเรือนนั่นเอง

บรรยากาศของการสนทนายังคงคล้ายเดิมดังที่เป็นมาตลอดสองวัน โดยมีสองคุณหมอหนุ่มสาว ที่แทบจะเรียกว่าผูกขาดการสนทนา รวมๆ แล้วดูเหมือนจะพูดจาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันได้มากขึ้นกว่าเมื่อแรกด้วยซ้ำ อาจจะมีพูดจาจิกกัดเหน็บแนมกันบ้างแต่ก็ไม่นับว่าเป็นประเด็น แถมยังคอยเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ร่วมสนทนาได้เป็นระลอกๆ ส่วนภูวิชกับณิชญาฎานั้นเลือกที่จะเป็นผู้ฟังเสียส่วนใหญ่ จะพูดบ้างก็ต่อเมื่อมีใครสักคนตั้งคำถาม ซึ่งทั้งสองก็จะตอบแบบถนอมถ้อยถนอมคำ เรียกว่าถามคำตอบคำก็คงไม่ผิด ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่คนพูดน้อยมักจะตกเป็นเป้าของการซักถาม และคำถามในบางช่วงก็สร้างความอึดอัดไม่ให้กับเขาและเธออยู่ไม่น้อย

“ได้ยินว่าคุณแพรไปอยู่อเมริกามาหลายปี เป็นไงบ้างคะ กลับมาคราวนี้บ้านเมืองเราเปลี่ยนแปลงไปเยอะไหม”

วรรณรสาเห็นว่าณิชญาฎานิ่งฟังอยู่นาน จึงพยายามดึงเธอให้เข้ามามีส่วนร่วมในวงสนทนา ด้วยเกรงว่านานไป แล้วเธอจะเบื่อที่ต้องเป็นฝ่ายนั่งฟังอยู่ถ่ายเดียว ด้านเจ้าตัวคนถูกตั้งคำถามที่เอาแต่ฟังแบบผ่านๆ เมื่อถูกโยนคำถามใส่แบบตรงๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว คำตอบที่ให้จึงติดจะตะกุกตะกัก เพราะความที่ตั้งตัวไม่ทัน

“คะ! อ๋อ... ค่ะ ก็... เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน”

“แล้วปรับตัวได้หรือยังคะ ที่แน่ๆ รสาว่าแรกๆ คุณแพรต้องงงเรื่องถนนหนทางแหงๆ” วรรณรสาตั้งคำถามต่อแถมสรุปให้เสร็จสรรพ ใบหน้าเล็กๆ เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มสดใส

“ช่วงแรกๆ ก็มีบ้างค่ะ แต่พอชินแล้วก็โอเค” ณิชญาฎาตอบไปตามตรง

“แล้วคุณแพรไปทำอะไรที่เมืองนอกเหรอคะ ไปเรียนหรือว่าไปทำงาน” คุณหมอสาวตั้งป้อมซักถามราวสำนักทะเบียนราษฏร์ก็ไม่ปาน

“แพรได้ทุนไปเรียนต่อค่ะ แต่พอเรียนจบก็มีบริษัทมาเสนองานพร้อมกับชดใช้ทุนให้ เลยตัดสินใจทำงานต่อไปเลยน่ะค่ะ”

“โอ้โห แบบนี้ก็แปลว่าคุณแพรต้องเก่งมากๆ เลยสิคะ เท่ห์สุดๆ ไปเลยค่ะ ว่าแต่คุณแพรทั้งสวย ทั้งเก่งแบบนี้ มีหนุ่มๆ ที่ไหนมาขายขนมจีบบ้างหรือเปล่าคะ”

แม้จะรู้เรื่องเบื้องลึกระหว่างณิชญาฎากับภูวิชอยู่ก่อนแล้ว แต่วรรณรสาก็ยังจงใจตั้งคำถามนี้เพื่อจับสังเกตปฏิกิริยาของณิชญาฎาว่าจะตอบอย่างไร ทำเอาทั้งภูวิชและนัทธีธรต่างลุ้นรอฟังคำตอบตามไปด้วย

“ก็มีบ้างค่ะ แต่แพรเองก็ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร ชีวิตส่วนใหญ่ก็จะอยู่กับงาน กับพวกเด็กๆ มากกว่าค่ะ”

“คุณแพรตอบแบบนี้ หนุ่มๆ มาได้ยินคำตอบแบบนี้มีหวังคงบ่นเสียดายไปตามๆ กัน” วรรณรสาสรุปพลางหัวเราะไม่วายปรายสายตาไปมองภูวิชที่เลือกเป็นฝ่ายนั่งฟังและยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบเป็นระยะๆ

“ประทานโทษนะครับ คุณเล่นยิงคำถามเป็นชุดแบบนี้ พอดีน้องแพรเธอตกใจแย่ ตกลงว่าคุณเป็นหมอหรือว่าเป็นนักข่าวกันแน่ครับนี่”

“อ๊ะ! นี่คุณหาว่าฉันถามซอกแซกอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่านะครับเปล่า แหม... คิดไปโน่นเลย ใครเขาจะไปกล้าว่าคุณแบบนั้นกันล่ะครับ ผมแค่เห็นว่าคำถามมันหลายหลายข้อ เกรงว่าน้องแพรเธอจะสับสนว่าจริงๆ แค่นั้นเอง” นัทธีธรตอบแบบเฉไฉ

“ไม่ต้องมาพูดเลย จะหลอกด่าฉันก็บอกมาเหอะ” วรรณรสาทำหน้างอใส่คุณหมอหนุ่มรุ่นพี่ เหลือบตาไปมองณิชญาฎาเหมือนหาตัวช่วย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สนุกดีออก ถ้าคุณหมอไม่ถาม แพรเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรเหมือนกัน” ณิชญาฎาออกตัวแทน คุณหมอสาวร่างเล็กจึงยิ้มออกหันมามองอีกฝ่ายราวกับจะร้องบอกว่า ‘เห็นไหมล่ะ’

“รสาขอโทษด้วยนะคะ ถ้าถามอะไรละลาบละล้วงจนเกินไป”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แพรไม่ได้คิดอะไร”

“องุ่นนี่หวานดีนะคุณ ลองชิมดูสิ” นัทธีธรยื่นองุ่นสีม่วงเข้ม ไปให้วรรณรสาจนเกือบจะถึงปาก เป็นการคั่นการสนทนา

“ฉันกินเองได้ ไม่ต้องป้อนหรอกน่ะ” แม้วาจาจะต่อต้าน แต่วรรณรสาก็รับองุ่นมาใส่ปากแบบเขินๆ

“คุยกันไปถึงไหนแล้วครับ” พฤทธิ์ที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่อสักครู่ก่อนหน้า เอ่ยถามในทันทีที่กลับเข้ามานั่งประจำที่ในวงสนทนาดังเดิม

“ไม่ถึงไหนหรอกค่ะ ว่าแต่คุณพีทเถอะ ทำไมไปเข้าห้องน้ำนานจัง นึกว่าแอบไปโทรศัพท์หาสาวๆ เสียแล้ว”

พฤทธิ์หัวเราะหึๆ กับการแซวเล่นอย่างถือสนิทของวรรณรสา ตลอดวันที่ผ่านมาเขาและเธอได้มีโอกาสพูดคุยสนุกสนานกันพอสมควร คงเพราะทั้งสองคนต่างมีบุคลิกที่เข้ากับคนง่ายเลยทำให้คุ้นเคยกันได้ไม่ยาก

“เอ... อาหารคืนนี้นี่ท่าทางจะมีส่วนผสมพิเศษนะนี่ ปกติเวลาผมคุยกับคุณหมอไม่เห็นจะค่อยยอมตอบ แต่คืนนี้พูดคล่องเชียว” นัทธีธรเกิดอาการคันปากอยากแซวชึ้นมาเสียเฉยๆ

“นี่! ตกลงคุณจะกัดฉันไม่เลิกใช่ไหม” วรรณรสาหันมาทำตาขุ่นใส่คนแซว

“โธ่! คุณหมอล่ะก็ ผมก็แค่แซวเล่น ไหงไม่ยอมรับมุกเอาเสียเลย” นัทธีธรรีบแก้ตัวพัลวัน

“เชอะ! ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว” คุณหมอสาวค้อนควับเข้าให้ แล้วหันกลับไปหาเรื่องคุยกับพฤทธิ์ต่อ “ว่าไงคะคุณพีท ตกลงแอบไปโทรหาสาวที่ไหนมา” อาการเมินใส่ของวรรณรสาทำเอานัทธีธรขันจนอดไม่ได้ที่จะแกล้งบ่นตอบ

“เฮ้อ! รู้งี้ไม่ชวนมาหรอก เอะอะก็ว่า เอะอะก็ทำตาขุ่นใส่ เอ้า! ตอบเสียทีสิเจ้าพีท ขืนตอบช้าเดี๋ยวแม่เจ้าประคุณเธอจะหันมาทำตาขุ่นใส่พี่เอาอีก”

“อ้าว! ผมไปทำอะไรให้ละครับพี่นัท ไหงมาลงที่ผมเสียอย่างนั้น” แม้แต่พฤทธิ์ที่เพิ่งจะเดินกลับเข้ามาร่วมวงยังอดไม่ได้ที่จะขันไปกับกับอาการพ่อแง่แม่งอนของสองคุณหมอ

“ไม่รู้ล่ะ รีบตอบๆ ไปเสีย หรือว่า.... แกไปโทรหาสาวมาจริงๆ ถึงได้บ่ายเบี่ยงคิดนานอยู่แบบนี้”

“เฮ้อ! พี่ละก็ ทำเป็นพูดเล่นไปได้ อย่างผมนี่นะ จะโทรหาสาว โทรหาแม่ละไม่ว่า ว่าแต่พี่ภูเถอะครับ ทำไมเอาแต่นั่งเงียบ ไม่ยอมคุยอะไรกับใครเขาเลย” พฤทธิ์ตอบแบบขอไปที แล้วหันไปหาภูวิชแทน

“ก็... ไม่รู้จะคุยอะไรนี่หว่า แค่ฟังพวกแกต่อปากต่อคำกันก็จะแย่อยู่แล้วขืนร่วมวงคุยด้วยมีหวังเข้าเนื้อ” ภูวิชตอบ

“ดูเหมือนคุณภูจะเป็นคนพูดน้อยนะคะ” วรรณรสาหันกลับมาตั้งข้อสังเกตเอากับภูวิชแทน

“เจ้าภูมันไม่ใช่คนช่างพูดหรอกครับคุณหมอ ถนัดเก็บข้อมูลเสียละมากกกว่า จริงไหมวะเพื่อน” ตอบแทนเพื่อนแล้วหันไปยักคิ้วแพล่บ เป็นอันว่ารู้กัน

“ถึงขนาดเก็บข้อมูลเลยเหรอคะ ถ้างั้นก็ต้องระวังตัวแล้วสิ เกิดเผลอพูดอะไรผิดไป มีหวังได้ถูกคุณภูเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไปฟ้องศาลแหงๆ” วรรณรสาบอกติดตลก

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ใครจะใจร้ายกับคนน่ารักๆ อย่างคุณหมอได้ แต่ถ้าเป็นไอ้เจ้านัทละก็ไม่แน่” จู่ๆ ภูวิชก็โยนเผือกร้อนในมือนัทธีธรเสียเฉยๆ

“อ้าวๆ ไอ้เพื่อนทรยศ ไหงมาหักหลังกันกลางคัน ” นัทธีธรโวยลั่น

“ก็หรือไม่จริง ปากอย่างแก พูดจาอะไรออกมาทีมันน่าเก็บไปฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทเสียให้เข็ด” เจ้าของบ้านออกแนวต่อปากต่อคำ

“ผมว่าเรามาเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่าไหมครับ หรือไม่งั้นถ้าจะวางมวยกัน เดี๋ยวผมเสียสละกรรมการห้ามมวยให้” พฤทธิ์เปลี่ยนเด็นพูดคุยได้อย่างน่ารัก

“แกแหละตัวดี เจ้าพีท หนอยริจะเป็นกรรมการห้ามมวย ไหน แกยังไม่ได้ตอบพวกพี่เลยนะเว้ยเจ้าพีท ว่าเมื่อกี้แอบไปโทรธหาใครมา” นัทธีธรหันกลับมาเล่นงานพฤทธิ์แทน ทำเจ้าตัวปฏิเสธตั้งรับแทบไม่ทัน

“เอ๋า.. ไหงวกกลับมาหาผมซะงั้น”

“หนอย ถามเข้าหน่อยทำเป็นหน้าแดงเถือก แบบนี้แสดงว่าต้องมีมูล”

“มูลเมินอะไรกันละครับ โสดทั้งแท่งอย่างผม จะไปโทรหาใครได้ล่ะครับพี่นัทก็”

“นั่นสิคะ ชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว” วรรณรสาเข้ามาช่วยห้ามสงครามน้ำลาย แล้วหันไปพูดกับณิชญาฎาต่อ

“แล้วนี่คุณแพรจะกลับไปที่โน่นอีกหรือเปล่าคะ หรือว่าวางแผนจะอยู่เมืองไทยเลย”

“คงจะอยู่แค่งานเสร็จน่ะค่ะ อีกสักพักคงต้องกลับไป”

“น่าเสียดายแทนประเทศชาติจังนะคะ คนดีๆ เก่งๆ หนีไปทำงานเมืองนอกเสียหมด แล้วอีกนานไหมคะกว่างานจะเสร็จ”

“ก็คงอีกสักพักนะค่ะ น่าจะราวๆ สักปีหนึ่งเห็นจะได้”

“ปีเดียวเองเหรอคะ แบบนี้มิต้องเร่งมือทำงานกันแย่เลยเหรอคะ”

“เอาเรื่องอยู่เหมือนกันล่ะค่ะ แต่เมื่อรับหน้าที่มาแล้ว ยังไง ก็ต้องทำไปตามแผน มันเป็นความรับผิดชอบของเรานี่คะ จริงไหม”

“พี่ว่าไม่เห็นจะยากเลย ลาออกแล้วก็อยู่มันเสียที่นี่ แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง ตอนนี้ธุรกิจอสังหากำลังบูม เก่งๆ แบบแพร ขี้คร้านบริษัทยักษ์ใหญ่จะวิ่งไล่ตามกันให้ควั่ก” นัทธีธรเข้ามาเสริมแทนภูวิชที่กำลังนั่งฟัง เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ

“ทำแบบนั้นคงไม่ได้หรอกค่ะ แพรเองยังติดสัญญาต้องอยู่กับบริษัทอีกหลายปี ถ้าจะว่าไปแล้ว บริษัทนี้ก็ถือว่าดีและมั่นคงมาก ถ้าจะลาออกคงต้องคิดนานหน่อย”

“ก็จริงนะ ว่าไงวะภู สนใจจะจ้างน้องเขาบ้างหรือเปล่า” คุณหมอหนุ่มช่างเจรจาเปลี่ยนโหมดมาเป็นขาชง โยนกลองส่งให้เพื่อนรักรับช่วง

“แกก็พูดไปเรื่อย กิจการเล็กๆ ของฉันจะไปเอาเงินที่ไหนมาจ้างน้องเขาแข่งกับบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดนั้นวะ” ภูวิช ส่งเสียงหึๆ ในลำคอ ก่อนจะบอกอย่างถ่อมตัว น้ำเสียงเจือความน้อยใจเล็กๆ

“ของแบบนี้มันก็ไม่แน่นะเพื่อน บางทีน้องแพรอาจจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยอมมาช่วยเหลืองานแกก็ได้ จริงไหมครับน้องแพร”

นัทธีธรชงต่ออย่างไม่ยอมแพ้ ภูวิชหันมามองหน้าณิชญาฎา แอบหวังอยู่ในใจล็กๆ ว่าจะได้ยินคำตอบดีๆ แต่เจ้าหล่อนกลับเอาแค่ยิ้มน้อยๆ แทนคำตอบ สุดท้ายเลยเอ่ยขอตัวขึ้นมาเสียดื้อๆ

“ดึกแล้ว ทุกคนคงไม่ว่านะคะ ถ้าแพรจะ ขอตัวไปนอนก่อน”

“ตายจริงมัวแต่คุยเพลิน เชิญเลยค่ะคุณแพร รสาก็ว่าจะขอตัวไปนอนอยู่เหมือนกัน สงสัยวันนี้จะใช้พลังงานไปเยอะ ชักจะเพลีย งั้นเราไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ Good night นะคะทุกคน” วรรณรสาลุกขึ้นแล้วคล้องแขนณิชญาฎา บอกลาทุกคน ก่อนจะเดินกลับเข้าตัวเรือนไปหลังจากนั้น

สามหนุ่มมองตามร่างทั้งสองด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ในสมองของแต่ละคนต่างก็มีเรื่องราวให้ครุ่นคิดแตกต่างกันออกไป นัทธีธรกำลังอึ้งกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณหมอสาวที่จู่ๆ ก็ตัดบทการสนทนาแล้วพาณิชญาฎาลุกเดินหายกลับเข้าห้องนอนไป ส่วนพฤทธิ์นั้นใจของเขากำลังประหวัดไปถึงหญิงสาวที่มิได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ภาพของเธอที่ติดอยู่ในหัวเขาหาใช่ภาพของเลขาสาวผู้วางเฉย ทว่ากลับเป็นนักร้องสาว เจ้าของลีลาอันเล่าร้อนยามวาดลวดลายอยู่บนเวทีคนนั้น น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีความรู้สึกกับเธอดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้เลยT

และสำหรับภูวิชแล้ว คำตอบที่ได้ยินจากปากของณิชญาฎาเมื่อสักครู่ ถือเป็นการบอกอย่างเป็นทางการว่า เธอจะอยู่ที่เมืองไทยนี่อีกราวๆ หนึ่งปีเท่านั้น เท่ากับว่าเขาเองก็มีเวลาหนึ่งปีที่จะโน้มน้าวจิตใจเธอเช่นกัน และแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่มั่นใจนัก แต่ก็ต้องพยายามดูกันสักตั้ง หากว่าเขาทำสำเร็จ แน่นอนที่สุดว่าชีวิตของเขาจะต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แท้จริงแล้วเขาเองก็ยังไม่ใคร่จะแน่ใจ และรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม ทว่าเมื่อคิดถึงบุตรทั้งสองที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว อย่างไรเสียเขาเองก็ต้องรับผิดชอบ

บนความรับผิดชอบนั้นบัดนี้ได้มีสิ่งหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบที่ภูวิชไม่ทันได้สังเกต สิ่งนั้นคือสายใยแห่งความผูกพัน ที่นานวันยิ่งรัดร้อยจิตใจของเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ในบางครั้งยามที่เขาเผลอคิดถึงเรื่องที่จะต้องสูญเสียเธอและลูกไปอีกครั้ง อาการอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกก็พลันจู่โจมอย่างน่าใจหาย ภูวิชตระหนักได้ทันทีว่าเขาไม่อาจจะยอมรับมันได้ และจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

-----------------------------------------

ประตูอัตโนมัติของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เปิดออกพร้อมกับร่างเล็กๆ สองร่างที่วิ่งแข่งกันเข้ามาภายในห้างอย่างขาดความระวัง โดยมีเสียงร้องห้ามของมารดาไล่ตามหลังมาติดๆ ทว่าก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เมื่อพ่อหนูใบหม่อนวิ่งเร็วจี๋ชนิดลืมติดเบรกและไปปะทะกับร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังยืนพูดคุยอยู่กับใครบางคนเข้าจนตัวเองหงายหลังลงไปนั่งจำเบ้าหมดท่าอยู่กับพื้นอย่างไม่ตั้งใจ

แต่ถึงขนาดที่ว่าลงไปนั่งจุกจนหน้าเหยเกสองคิ้วขมวดผูกเป็นโบว์แบบนั้น ก็หาได้มีเสียงร้องเล็ดรอดออกมาจากปากของพ่อหนูน้อยแม้แต่แอะเดียว ยังความประหวาดใจมายังร่างสูงที่ถูกชน นึกนิยมในความของเด็กน้อยจนต้องเผยยิ้มออกมา ในทางกลับกันเสียงร้องวี๊ดว้ายดังลั่นจนเกินงามกลับดังมาจากหญิงสาวที่เป็นเพียงผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์กับคู่กรณีทั้งสอง ชวนให้คิดว่าเจ้าหล่อนเป็นคนที่ถูกชนเข้าเสียเอง

“เด็กที่ไหนกันนี่ บ้าจริงวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ใครปล่อยให้เด็กมาวิ่งเล่น เพ่นพ่านในห้างใหญ่โตแบบนี้กัน แล้วนี่ รปภ.หายไปไหนกันหมด”

วิมาดาผู้เป็นบุตรสาวของหนึ่งในผู้ถือหุ้น อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกประชาสัมพันธ์ของห้าง สรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งนี้ ถลันเข้ามาเกาะแขนของบุรุษร่างสูง พลางจีบปากจีบคอพูด สองตากวาดไปรอบๆ ราวกับต้องการจะเอาเรื่องกับใครสักคน ไม่เว้นแม้แต่ร่างเล็กที่ยังคงนั่งกองอยู่กับพื้น

“อย่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไปเลยครับ ผมไม่ได้เป็นไร เด็กเองก็ไม่ได้ตั้งใจ แกแค่วิ่งเล่นตามประสาเท่านั้นเอง” ร่างสูงตอบพลางเหลือบไปมองร่างเล็กที่ยังคงนั่งกองอยู่กับพื้น สายตาเปี่ยมไปด้วยแววปราณี

“ได้ยังไงกันล่ะคะคุณใหญ่ ห้างเราออกจะใหญ่โต ไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะคะ ไหน ขอวิดูหน่อย ไม่เป็นไรจริงๆ นะคะ” สาวสวยผู้โฉบเฉี่ยวละสายตาจากร่างเล็กหันมาสำรวจจนทั่วร่างของชายหนุ่ม ทำราวกับว่าเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงก็ไม่ปาน

“บอกแล้วไงครับว่า ผมไม่ได้เป็นอะไร แต่เป็นเด็กคนนั้นต่างหากล่ะครับที่น่าจะเจ็บ”

ภูมินทร์บอกพร้อมกับก้าวเข้าไปหาเด็กน้อย ทว่ายังไม่ทันจะถึงตัว ร่างบางของหญิงสาวในชุดลำลองสีสดใสก็จ้ำพรวดเข้ามาประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับสำรวจร่องรอยบาดเจ็บบนร่างพ่อตัวน้อย และนับตั้งแต่วินาทีแรกทุกกิริยาอาการของหญิงสาวก็ตกอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มเขาเอาแต่จ้องไปที่ร่างโปร่งบางนั้นแบบแทบจะไม่ยอมละสายตา และอาการนิ่งมองแบบนั้นก็หาได้เล็ดรอดไปจากสายตาของวิมาดา

“เป็นไงบ้างลูก เจ็บตรงไหนบ้าง แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่ง ขอโทษด้วยนะคะคุณ ลูกชายดิฉันแกซนไปหน่อย เลยวิ่งมาชนคุณเข้า คุณบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะ” หลังจากดูลูกชายแล้ว ณิชญาฎาค่อยหันไปถามไถ่กับชายหนุ่มคู่กรณีซึ่งยังคงยืนดูเหตุการณ์อยู่ ณ ที่นั้น

“ไม่หน่อยละมังคะคุณ ดูแลลูกยังไงไม่ทราบ ปล่อยให้วิ่งทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้” วิมาดาแทรกตอบ พร้อมกับต่อว่าขึ้นมาแทนเจ้าทุกข์ สองมือเกาะเกี่ยวแขนแสดงความเป็นเจ้าของร่างสูงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

“ไม่เอาน่าคุณวิ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย จะต่อว่าเด็กไปทำไมกัน” ภูมินทร์ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงออกจะหงุดหงิดไม่น้อย

“ก็แหม มาห้างใหญ่ๆ แบบนี้ คนเป็นพ่อแม่ก็ควรจะต้องคอยดูแลลูกสิคะ ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกมาวิ่งเล่น จนชนผู้ชนคนแบบนี้ ทำอย่างกับว่าห้างเป็นบ้านของตัวเองอย่างนั้นแหละ” วิมาดาต่อว่าฉอดๆ เกิดความรู้สึกไม่ถูกชะตากับณิชญาฎาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ดิฉันต้องขอโทษแทนลูกด้วยนะคะ นานๆ ดิฉันจะพาแกออกมาที่ห้างสักที แกเลยดีใจมากไปหน่อย” ณิชญาฎาเอ่ยขอโทษ หางเสียงสะบัดเล็กน้อย เกิดอาการไม่พอใจเล็กๆ ที่ถูกอีกฝ่ายต่อว่าอย่างไม่ใคร่จะมีเหตุผล

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่ลูกคุณเถอะ เป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมเห็นแกล้มลงไปนั่งอยู่ตั้งนาน ท่าทางคงจะจุก กำลังจะเข้าไปดู ก็พอดีว่าคุณเข้ามาเสียก่อน” ภูมินทร์อธิบาย สายตาแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใย ยังความไม่พอใจมาสู่วิมาดาเป็นที่ยิ่ง

“คงจะเจ็บนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ ที่เป็นห่วง” หญิงสาวตอบ พร้อมกับส่งสายตาขอบคุณ

ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเจรจากัน เสียงทักพลันดังมาจากหญิงสูงวัยที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาสมทบจากทางด้านหลัง

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณใหญ่ หรือว่ากำลังดูอะไรกันอยู่”

“มาแล้วหรือครับแม่เล็ก พอดีว่ามีอุบัติเหตุนิดหน่อย คือเจ้าตัวเล็กนี่แกวิ่งมาชนผมเข้า เราเลยหยุดพูดคุยกัน แต่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ” ภูมินทร์เอื้อมมือออกไปแตะแขน รับนางมายืนอยู่ข้างกาย

“งั้นหรือคะ” นางสำรวจไปตามร่างสูงของบุตรชายผู้เป็นลูกเลี้ยง แล้วหันไปมองร่างเล็กของเด็กน้อยอย่างเต็มตา “ตายจริงลูกเต้าเหล่าใครกันคะนี่ หน้าตาน่ารักเชียว”

“ลูกชายของคุณผู้หญิงคนนี้เธอครับ ใหญ่เองก็กำลังจะถามชื่อแกเหมือนกัน พอดีว่าแม่เล็กมาเสียก่อน”

“ไหน มาให้ยายมองหน้าให้ชัดๆ หน่อยสิลูก”

นางก้มตัวลงไปหาร่างเล็ก และนับแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าตาของพ่อหนูน้อยอย่างชัดๆ ความรู้สึกลุ่มรัก และถูกชะตาพลันบังเกิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“หน้าตาน่ารักจริงเชียว ไหนบอกยายสิลูกว่าชื่ออะไร”

“ชื่อใบหม่อน เป็นลูกแม่แพรครับ” พ่อหนูน้อยตอบคำถามพร้อมแนะนำตัวอย่างฉาดฉาน

“ฉลาดจริงพ่อคุณ ชื่อน่ารักสมตัวดีแท้ ลูกชายของหนูหรือจ๊ะ” นางบอกอย่างชื่นชมแล้วหันไปทางมารดาของเด็ก

“สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ตาหม่อนทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา” ณิชญาฎานบไหว้ แล้วเอ่ยคำขอโทษอีกครั้งบ่งบอกถึงความมีสัมมาคารวะของเจ้าตัว

“สวัสดีจ้ะ เอ...แม่หนูคนนี้ ป้าออกจะคุ้นหน้าหนูอยู่นะ ไม่แน่ใจว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า” นางรำพึงพยายามทบทวน ทว่านึกเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นใบหน้าแบบนี้จากที่ไหน

“คงไม่ใช่มังคะ เพราะดิฉันเพิ่งจะกลับมาจากเมืองนอกไม่นาน อีกอย่างดิฉันเองก็ไม่เคยพบท่านมาก่อน” ณิชญาฎาตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนๆ ไปยังสตรีผู้มากวัยทว่ายังคงเค้าความงามเมื่อวัยสาวไว้ไม่น้อย

“อ้อ... อย่างนั้นหรอกหรือ” นางบอกพลางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“เอ่อ... ดิฉันทำพวกท่านเสียเวลามามากแล้ว ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้วุ่นวาย ขอตัวก่อนนะคะ” ณิชญาฎาจัดแจงบอกลาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

“อ๊ะ! จริงสิ ลืมแนะนำตัวไปเลย นี่นามบัตรของผม เผื่อว่าวันหน้าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีก หรือถ้าคุณอะไรให้ช่วยก็ยินดีนะครับ”

“ภูมินทร์ เทพบริบาล” ณิชญาฎารับนามบัตรมาแล้วอ่านชื่อพร้อมนามสกุลของผู้ให้ สองคิ้วพลันขมวดมุ่น เผลอทวนนามสกุลขึ้นมาอย่างลอยๆ “เทพบริบาล”

“ครับ เทพบริบาล คือนามสกลุมของผมเอง มีอะไรหรือเปล่าครับ” ภูมินทร์ทวนให้ นึกประหลาดใจในสีหน้าและท่าทางของหญิงสาวอยู่เล็กน้อย

“คะ? อ๋อ... เปล่าหรอกค่ะ เปล่า ขอบคุณนะคะ”

ณิชญาฎาปฏิเสธ แล้วกลบเกลื่อนด้วยการก้มมองดูกระดาษแผ่นเล็กๆ ในมืออีกครั้ง ทั้งชื่อและนามสกุลของผู้เป็นเจ้าของระบุไว้อย่างชัดเจน หญิงสาวจ้องมองมันราวกับว่ากำลังพบเจอสิ่งประหลาด สมองกำลังคิดทบทวนอย่างวุ่นวาย สังหรณ์ใจบางอย่างร้องบอกกับเธอว่า ชายหนุ่มที่เธอเพิ่งได้เจอน่าจะมีความเกี่ยวพันกับภูวิชอย่างแน่นอน เพราะทั้งสองต่างก็มีชื่อขึ้นต้นว่าภู มิหนำซ้ำยังนามสกุลเดียวกันอีกต่างหาก

“คุณละครับชื่ออะไร” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังเงียบ ชายหนุ่มจึงเลือกจะเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง

“คะ! อ๋อ... ณิชญาฎา ค่ะ ณิชญาฎา พิริยะไพศาล ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คือพอดีว่าดิฉันมีธุระต้องรีบไปทำ ขอตัวไปก่อนนะคะ ไปลูกใบหม่อน กราบสวัสดีคุณลุงกับคุณยายเสียก่อนลูก เดี๋ยวเราจะได้ไปซื้อของกัน” แนะนำตัวเสร็จณิชญาฎาก็จัดแจงขอตัว

ใบหม่อนยกมือไหว้ประหลกๆ ตามคำบอกของมารดา แล้วหันไปจูงมือพากันเดินจากไปอย่างเร่งรีบ พ่อหนูน้อยไม่วายหันกลับมามองพร้อมกับส่งยิ้มน่ารัก สร้างความประทับใจแก่นางรำพึง พาให้นางต้องคอยมองส่งร่างเล็กจนกระทั่งเดินลับหายไปจากสายตา

ปฏิกิริยาของภูมินทร์ที่มองตามร่างของหญิงสาวซึ่งเดินห่างออกไป วิมาดาให้รู้สึกขัดหูขัดตายิ่งนัก หญิงสาวทำหน้าเหม็นเบื่อ แต่ก็พยายามสะกดความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราก็รีบไปกันเถอะค่ะ ช้านักเดี๋ยวคุณพ่อจะรอนาน” สาวสวยผู้โฉบเฉี่ยวบอกแล้วเกาะเกี่ยวแขนชายหนุ่ม เตรียมพาเดิน

“จริงสิผม เกือบลืมไปเลย แม่เล็กจะขึ้นไปด้วยหรือเปล่าครับ หรือจะไปเดินดูของก่อนก็ได้ เพราะผมคงไปไม่นาน”

“ตามสบายเถอะค่ะคุณใหญ่ เดี๋ยวแม่เดินดูอะไรนิดๆ หน่อยๆ แถวนี้แล้วค่อยไปรอที่ร้านกาแฟร้านเดิมดีกว่า”

“ถ้างั้น เดี๋ยวประชุมเสร็จแล้วจะรีบลงมานะครับ”

“ไปเถอะค่ะ แม่อยู่ได้ คุณใหญ่ไม่ต้องห่วง”

นางบอกแล้วหันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของซุปเปอร์มาร์เก็ต นึกติดใจกับความรู้สึกคุ้นเคยต่อสองแม่ลูกที่เกิดขึ้นกับนางอย่างกระทันหัน นางรู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาอย่างชนิดที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน มิหนำซ้ำภาพที่ร่างน้อยกำลังเดินลับหายไปก็ทำให้นางรู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างประหลาด นางไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สังหรณ์บางอย่างกำลังบอกกับนางว่า นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

-------------------------------------------

สายตาของภูมินทร์ยามจ้องมองร่างบอบบางของหญิงสาวคุณแม่ลูกหนึ่งคนนั้นชนิดไม่วางตานั้นยังคงติดตา และตรึงอยู่ในความคิดของวิมาดาตลอดเวลา ความริษยาเริ่มผุดขึ้นมาอย่างชัดแจ้งพร้อมกับความหวาดระแวง ว่าโอกาสที่เธอจะได้จับจองเป็นเจ้าของหัวใจชายหนุ่มจะค่อยๆ หดหายไปทีละน้อย หลายปีมาแล้วที่เธอเฝ้าแต่ตามติดเขาด้วยใจที่หมายปองในรัก ทว่ากลับไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เขาจะโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมคบหาดูใจกับเธอ แม้จะรู้ว่าไม่มีหวัง แต่สำหรับคนอย่างวิมาดาแล้ว เป็นที่รู้กันว่า ถ้าเธออยากได้อะไรแล้วไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะไม่ได้ ต่อให้ต้องใช้ความพยายามแค่ไหน ต้องทุ่มเทสักเท่าไหร่เธอก็ยินดีจะทำ

การประชุมจบลงพร้อมกับบทสรุปของเงื่อนไขที่ทำให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจ ภูมินทร์ลุกขึ้นยืนยื่นมือไปสัมผัสกับคู่สนทนาตามแบบสากลนิยมก่อนจะหันมาเอ่ยขอบคุณกับวิมาดาแล้วทำท่าว่าจะขอตัวกลับ ทว่าเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทาง ชิงตัดหน้าชวนเขาให้ไปหาอะไรดื่มฉลองกันก่อนกลับขึ้นมาเสียก่อน

“นะคะ คุณใหญ่ เราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปต่อกันทีหลัง นะคะๆ”

“คงไม่สะดวกหรอกครับ คุณก็เห็นอยู่ว่า วันนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว” ภูมินทร์ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลทว่าแข็งขันในที

“ไม่เห็นจะยากเลยนี่คะ ก็ให้คนรถพาคุณป้ากลับไปก่อน ส่วนคุณก็ไปกับวิแทน แล้วเดี๋ยวขากลับวิไปส่งคุณใหญ่ที่บ้านให้เอง นะคะ คุณใหญ่”

วิมาดาออกแนวตื้อ รั้งแขนชายหนุ่มมากอดด้วยกิริยาเว้าวอนออดอ้อนเต็มที่ มิหนำซ้ำยังหาทางออกให้กับเขาเสร็จสรรพ

“เอ... ยังไงดี ผมว่าเอาไว้วันหลังจะดีกว่า วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ เกรงใจแม่เล็กท่าน ผมเป็นคนชวนท่านออกมาแท้ๆ จะมาทิ้งกันไปดื้อๆ เสียแบบนี้มันคงจะไม่เหมาะ” ชายหนุ่มยืนกรานปฏิเสธ แต่ลึกๆ ก็ยังเกรงใจเพราะบิดาของหญิงสาวยังคงยืนร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย

“แหม จะเป็นไรไปละคะ บ้านช่องก็ไม่ได้อยู่ไกลเสียหน่อย ถ้าคุณใหญ่เป็นห่วง กลับถึงบ้านแล้ว ก็ให้แกโทรหาคุณก็ได้นี่นา จริงไหมคะคุณพ่อ” คนชวนเร่งรัดอย่างรู้จุด หาแนวร่วมสนับสนุนเพราะรู้ดีว่าบิดาของตนเป็นบุคคลที่ชายหนุ่มให้ความเกรงใจอยู่ไม่น้อย

“นั่นสิ คุณภูมินทร์ นานๆ ที คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” นายวิภาสรีบออกปากสำทับกับบุตรสาว ภูมินทร์ทำท่าหยุดคิดนิดหนึ่ง ทำท่าจะว่าจะปฏิเสธ

“แต่ว่า...”

“ไปเถอะนะคุณใหญ่ พอดีพักนี้ผมเองก็ยุ่งๆ คิดเสียว่าช่วยผม ไปเป็นเพื่อนทานข้าวกับยายวิแทนผมสักมื้อหนึ่งก็แล้วกัน” นายวิภาสคะยั้นคะยอต่อปิดช่องว่างในการปฏิเสธ

“อืม... ถ้างั้น ขอผมโทรหาน้องชายก่อนละกัน เผื่อว่าเขาว่าง จะได้ให้มารับแม่เล็กไปส่งบ้าน”

“ค่ะ งั้นวิขอตัวไปเก็บของก่อนนะคะ แป๊บเดียวค่ะเดี๋ยวมา” วิมาดายิ่มร่า หันไปสบสายตากับบิดาอย่างสมใจ

ภูมินทร์จัดแจงยกหูโทรหาน้องชายต่างมารดา แล้วกรอกเสียงบอกตามจำนงค์ จากนั้นจึงโทรไปบอกกับนางรำพึงอีกครั้ง ถึงกิจที่แทรกเข้ามากระทันหัน เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ

ไม่นานหลังจากนั้น ภูวิชจึงมาปรากฏตัวที่ห้างดัง เพื่อรอรับมารดากลับไปยังบ้านซึ่งเขาและมารดาอาศัยอยู่ร่วมกัน

“รอนานไหมครับแม่” ร่างสูงปรากฏตัวขึ้นในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ง่ายๆ อันเป็นการแต่งกายที่คนสนิทชิดเชื้อของชายหนุ่มมักจะเห็นจนเจนตา

“มาแล้วรึตาภู ไม่นานหรอกลูก แม่กำลังนั่งดูอะไรต่อมิอะไรไปเพลินๆ จะสั่งอะไรมาดื่มก่อนไหมลูก”

นางรำพึงบอกกับบุตรชาย พร้อมกับเหลือบตามองหาบริกร ทว่าก็ไม่ทันกับที่ภูวิชเลื่อนเก้าอี้แล้วทรุดกายลงนั่ง มือหนาถือวิสาสะหยิบแก้วชาเย็นของมารดาที่น้ำแข็งละลายไปมากแล้วขึ้นมาดูดดับกระหาย นางจึงได้แต่ส่ายหน้าในกิริยาง่ายๆ ของบุตรชายอย่างเอ็นดู

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ก็พอแล้ว แม่ล่ะครับหิวหรือเปล่า ภูพาแม่ไปทานข้าวก่อนกลับบ้านดีกว่าไหม”

“ไม่ต้องหรอกลูก แม่ยังไม่หิว เมื่อเช้าสั่งให้เด็กเตรียมเครื่องเคราสำหรับทำปูหลนเอาไว้ ตั้งใจว่าจะกลับไปทำไว้ให้ภูนั่นแหละ เห็นบ่นอยากกินมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรือเรา” นางแจงกับบุตรชาย แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่

“โอโห... ลาภปากแท้ๆ ภูรักแม่ที่สุดเลย” ภูวิชบอกส่งยิ้มกว้างทั้งปากและตา คว้ามือมารดามาจูบ ไม่เกรงสายตาคนมอง

“ทำมาเป็นประจบ ไม่ต้องมาเอาใจแม่เลย แม่รู้ทันเราหรอกน่ะ”

“ประจบที่ไหนกัน ภูรักแม่จริงๆ ต่างหาก ชาติก่อนภูต้องทำบุญมาดีมากแน่ๆ ชาตินี้เกิดมาถึงได้มีแม่แสนดีขนาดนี้ เพราะงี้แหละภูถึงไม่ยอมแต่งงาน เพราะขืนแต่งไปแล้วเกิดได้คนที่ดีไม่เท่าแม่ มีหวังได้เสียใจตาย”

ภูวิชย้ำบอกถึงสิ่งที่ฝังหัวเขามาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น ชายหนุ่มมีทัศนคติในการมองผู้หญิงโดยมักจะนำเอาเธอเหล่านั้นไปเปรียบกับนางผู้เป็นมารดาอยู่เสมอๆ

“มาทำเป็นพูดดี คิดจะมาหยอดลูกยอให้แม่ชื่นใจหรือไง โตจนเกือบจะแก่แล้วนะเราน่ะ นี่ถ้ายอมแต่งงานไปเสีย ป่านนี้คงจะมีหลานมาให้แม่ชื่นใจนานแล้ว”

นางรำพึงบ่นไปตามเรื่อง รู้ทั้งรู้ว่าต่อให้พูดไป ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของบุตรชายของนางได้ จู่ๆ ใจนางก็ไพล่คิดไปถึงดวงหน้าเล็กๆ ของเด็กน้อย ที่นางยังจำได้จนติดตาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“แม่ล่ะก็ ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาละครับ” ภูวิชทำเสียงออด บ่นงึมงำเมื่อมารดาเท้าความไปถึงเรื่องแต่งงาน ที่เขามักจะบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่ถูกถาม

“ก็แล้วใครละยะ ที่เริ่มก่อน แม่ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว เอ้อ! เมื่อกี้นี้นะ แม่บังเอิญไปเจอกับเด็กคนหนึ่งเข้า เด็กอะไรก็ไม่รู้หน้าตาน่ารักน่าชังไปหมด พูดจาหรือก็ฉะฉาน ท่าทางจะฉลาดเอาเรื่องเชียวล่ะลูก”

“เอ... ท่าทางจะน่ารักจริงๆ แฮะ ไม่งั้นแม่ของภูคงไม่เก็บรายละเอียดมาได้เยอะขนาดนี้หรอก” บุตรชายกล่าวเปรยๆ นึกขันในท่าทางติดอกติดใจของมารดาที่มีต่อคนที่นางไม่รู้จัก

“ลองแม่บอกว่าน่ารัก ก็ต้องน่ารักสิ หน้าตาดี ผิวพรรณงี้ดีไม่มีที่ติ พอแม่ถามว่าชื่ออะไร ก็ตอบแบบชัดถ้อยชัดคำเชียวว่าชื่อใบหม่อน เป็นลูกแม่แพร ท่าทางใจกล้าไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยนะลูก” นางเล่าอย่างตื่นเต้น สีหน้าแสดงออกว่าชื่นชม เมื่อยามนึกถึงกิริยาท่าทางของเด็กน้อย

“ว่าไงนะครับแม่ เด็กนั่นบอกว่าชื่ออะไร ลูกใครนะครับ” ภูวิชชะงักกึกกับชื่อที่ได้ยิน ในใจคิดว่าโลกอะไรมันจะแคบขนาดนั้น

“ชื่อใบหม่อน แม่ชื่อแพร เป็นไง ชื่อน่ารักทั้งแม่ทั้งลูกเลยใช่ไหมล่ะลูก” ผู้เป็นมารดาทวนย้ำกับบุตรชายอีกครั้ง

“หึ ครับ น่ารักดี แต่ถ้าใช่คนเดียวกันนี่โลกมันคงกลมดีแท้” ภูวิชแค่นเสียงหัวเราะหึๆ พาให้นางรำพึงเกิดอาการสงสัยขึ้นมาตงิดๆ

“ว่าไงนะ มีอะไรหรือเปล่าลูก แล้วทำไมต้องทำหน้าแปลกๆ แบบนั้นด้วย”

“อ๋อ... เปล่าหรอกครับ เพียงแต่คิดว่ามันแปลกดี เพื่อนภูคนหนึ่งก็มีลูกชื่อใบหม่อนเหมือนกัน แต่รายนั้นเขาลูกแฝด คนหนึ่งชื่อตัวไหม ส่วนอีกคนชื่อใบหม่อน สงสัยชื่อนี้กำลังเป็นที่นิยมนะครับแม่ ใครๆ เลยขยันเอามาตั้งเป็นชื่อลูกกันยกใหญ่” ภูวิชกลบเกลื่อนด้วยคำพูดติดตลก พร้อมกับอธิบายกับมารดาด้วยท่าทางอันเป็นปกติ

“พูดอะไร เซี้ยวจริงลูกคนนี้ ไม่เอาล่ะแม่ว่าเรากลับบ้านกันดีกว่า ชักช้าเดี๋ยวจะรถติด”

ภูวิชจัดแจงลุกขึ้นแล้วประคองนางพาเดินออกจากร้านตรงไปยังลานจอดรถหลังจบคำมารดา ในใจคิดถึงสองแม่ลูกที่มารดาเพิ่งจะเอ่ยถึง หากทั้งสองคนคือณิชญาฎากับใบหม่อนบุตรชายของเขาจริงๆ โลกนี้คงจะทั้งกลมและแคบอย่างว่า หรือไม่อาจเป็นเพราะชะตาลิขิตที่พาให้มารดาของเขาได้มีโอกาสมาพบกับหลานชายของท่านโดยไม่รู้ตัว ขนาดว่าไม่รู้จัก นางยังชื่นชมในตัวเด็กน้อยขนาดนี้ แล้วถ้าได้รู้ว่าเด็กชายตัวน้อยคนนั้นเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน จะยิ่งพาให้มารดาของเขายินดีสักปาน ภูวิชใคร่อยากจะรู้เสียจริง

-------------------------------------------

แสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่บนชั้นสองของบ้าน บอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องยังมิได้เข้านอน ประตูห้องซึ่งเชื่อมต่อกับระเบียงถูกดันออกพร้อมกับร่างของหญิงสูงวัยที่แทรกออกมาพร้อมแก้วเครื่องดื่มชนิดร้อน

“ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกหรือคะคุณหนู ป้าเห็นไฟยังเปิดอยู่ ก็เลยชงโกโก้ร้อนมาให้เผื่อจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น” นางส่งแก้วเครื่องดื่มให้แล้วก้าวไปยืนข้างๆ หญิงสาวที่ตรงริมระเบียง

“ขอบคุณค่ะ แล้วป้าบัวละคะ ทำไมยังไม่นอน”

“ก็ว่าจะอยู่หรอกค่ะ แต่พอดีเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องเสียก่อน มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลใจหรือปล่าคะ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่วันนี้แพรบังเอิญไปเจอใครบางคนมาเท่านั้นเอง” ณิชญาฎาบอกกับนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ใครกันคะ แล้วสำคัญขนาดที่ทำให้คุณของป้านอนไม่หลับเลยหรือ” นางถามแล้วหยุดรอฟังเพราะความที่ยังเดาเรื่องราวไม่ออก ณิชญาฎาจึงขยายความต่อ

“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะว่าสำคัญหรอกค่ะ เพราะจะว่าไปแล้วแพรเองก็ไม่ได้รู้จักอะไรพวกเขาหรอก เพิ่งจะเจอกันครั้งแรกด้วยซ้ำ”

“อ้าวไหงเป็นงั้น สรุปว่าเป็นใครกันละคะนั่น”

“แพรก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าให้เดาคิดว่าเขาคงต้องเป็นญาติกับคุณภูวิชของป้าแน่ๆ” ณิชญาฎาจงใจย้ำคำว่าของป้า เป็นการค่อนขอดเล็กๆ เพราะนึกถึงความสนิทที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างหญิงชราผู้เป็นผู้เลี้ยงและชายหนุ่มที่เธอกำลังพูดถึง

“ของป้าที่ไหนกันคะ คุณแพรละก็ พูดจาพาลเป็นเด็กๆ ไปได้” นางบัวยกมือตีแปะไปที่แขนเรียวเสลาอย่างอดใจไม่ไหว ทั้งเอ็นดูทั้งหมั่นไส้ในถ้อยคำถากถางเล็กๆ ของหญิงสาวที่ตนเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย

“จะไปรู้หรือคะ แพรก็เห็นป้าเอาแต่เข้าข้างเขาอยู่คนเดียว คอยดูนะ เสร็จงานเมื่อไหร่จะหนีกลับอเมริกาเสียให้เข็ด” ณิชญาฎาคลำแกขนป้อยๆ แค่ปากยังคงไม่เลิกค่อนขอด นางบัวได้แต่สายหน้าแล้ววกกลับมาเข้าเรื่อง

“ดูพูดเข้า เหลวไหลจริงๆ เชียว ว่าแต่คุณไปเจอญาติคุณภูที่ไหนหรือคะ”

“ที่ห้างค่ะ ตอนที่แพรพาใบหม่อนไปซื้อของที่ห้างด้วยกัน เมื่อตอนบ่ายยังไงล่ะคะ”

“อ้อ... แล้วยังไงต่อคะ มีอะไรทำไมคุณถึงต้องเก็บมานั่งคิดจนไม่หลับไม่นอนแบบนี้ หรือว่าพวกเขามาพูดอะไรให้คุณต้องลำบากใจ”

“เปล่าหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าแพรไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างเขาจะมีญาติหน้าตาท่าทางเป็นผู้ดีขนาดนั้น ก็เท่านั้นเอง”

“ทำไมคิดแบบนั้นละคะ ป้าว่าคุณภูเธอก็หน้าตาท่าทางดีออกจะตายไป” นางบัวโต้แย้ง ออกจะไม่เห็นด้วยกับความเห็นของณิชญาฎา

“เห็นไหม แพรนึกแล้วเชียวว่าป้าต้องพูดแบบนี้” ณิชญาฎาค่อนว่าอย่างรู้ทัน

“หรือว่าไม่จริงคะ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ กิริยา มารยาท คุณภูเธอออกจะดูสมบูรณ์แบบ นี่ถ้าลองเธอเจ้าชู้กว่านี้สักหน่อย ป้าว่ามีหวังสาวๆ ได้ตามติดเกรียว” นางบัวบอกอย่างชื่นชมในรูปลักษณ์ของชายหนุ่ม

“ใครจะไปรู้คะ ลับหลังป้าเขาอาจจะเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ก็ได้” เสียงของหญิงสาวออกจะรวนๆ เริ่มหาเหตุผลมาคัดง้าง ผู้มากวัยกว่าฟังแล้วได้แต่นึกขันในความดื้อรั้นในตัวของหญิงสาว

“ป้าน่ะไม่เดือดร้อนหรอกค่ะ ถ้าเธอจะเป็นจริงๆ แต่กับใครบางคนแถวนี้ละก็ไม่แน่”

“ตกลงว่าป้าจะเข้าข้างเขาจริงๆ ใช่ไหมคะ” ณิชญาฎาออกอาการงอน กระแสเสียงปรากฎวี่แววว่าขัดใจ

“อาการแบบนี้ แสดงว่าป้าพูดถูกใช่ไหมละคะ ป้ารู้นะว่าจริงๆ แล้วคุณหนูเองก็รัก และเริ่มจะใจอ่อนกับเขาไม่น้อยแล้ว”

“เอาอะไรมาพูดกันคะป้า แพรไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย” ณิชญาฎาบ่ายเบี่ยง ปฏิเสธพลางหลบสายตา

“อย่าปิดป้าเลยค่ะ ป้าน่ะแก่แล้ว ผ่านโลกมาก็เยอะ อย่าลืมสิคะ ว่าป้าเลี้ยงคุณหนูมากับมือ แค่นี้มีหรือป้าจะดูไม่ออก”

“ป้า...” ร่างบางกระแทกเสียงด้วยความขัดใจ

“คุณหนู... ลองคิดดูให้ดีๆ สิคะ ลำพังเราที่เป็นผู้ใหญ่น่ะคงไม่เท่าไหร่หรอก แต่คุณหนูเล็กๆ ทั้งสองล่ะคะ เธอทำผิดอะไร ทำไมถึงต้องมารับรู้ รับผลกับเรื่องของผู้ใหญ่อย่างเราๆ ด้วย จริงอยู่ว่าที่ผ่านมาคุณหนูต้องดูแลพวกเธอมาตามลำพัง แต่นั่นเป็นเพราะว่าคุณภูเธอไม่รู้เรื่อง แล้วตอนนี้พอเธอรู้แล้ว ก็ไม่ได้ดูดายนิ่งเฉยอะไรนี่คะ” มืออวบหนาของพี่เลี้ยงผู้มากวัยยกมือขึ้นแตะบนแขนเรียวเสลาอย่างต้องการปลอบประโลม พร้อมกับหยิบยกเอาเหตุผลเรื่องบุตรทั้งสองของหญิงสาวขึ้นมาประกอบ

“ไม่ได้นิ่งดูดาย แต่คิดจะแย่งลูกไปจากแพร นี่เหรอคะ คนดีของป้า” ณิชญาฎาบอกเพราะความน้อยใจบวกกับอคติที่ติดตกตะกอนอยู่ภายในใจเธอมาเนิ่นนาน

“เธอบอกหรือคะ ว่าจะแย่ง เท่าที่ป้าเห็น เธอพยายามจะดูแลทั้งคุณ และคุณหนูทั้งสองนะคะ”

“แกล้งทำละสิไม่ว่า ตกลงนี่เขาจ้างให้ป้ามาพูดกับแพรหรือไงคะ ถึงได้ลงทุนมาเกลี้ยกล่อมแพรเสียขนานใหญ่แบบนี้”

“เฮ้อ! ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ กลับมาเรื่องที่เราคุยค้างกันไว้ดีกว่า ตกลงว่าคุณหนูไปเจอญาติของคุณภูเธอ แล้วมันยังไงกันคะ”

“ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ เพียงแต่ดูท่าว่าเขาจะสนใจแพรจนเกินเหตุ ก็เท่านั้น”

หญิงสาวเชิดหน้าบอกด้วยความมั่นใจที่มาพร้อมกับความสะใจเล็กๆ ครั้นนึกถึงแผนการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเพียงแต่ลองคิดออกมาเล่นๆ ทว่ายามนี้ความรู้สึกท้าทายและอยากเอาชนะกลับผุดขึ้นมาอย่างเด่นชัดจนหญิงสาวนึกอยากจะทำมันขึ้นมาจริงๆ เสียอย่างนั้น

“สนใจ!”

“ใช่ค่ะ สนใจ ก็เขาเล่นเอาแต่จ้องแพรแบบไม่วางตา มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นอยู่หรอกนะคะ” ณิชญาฎาตอบ เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ อาการร่าเริงอย่างผิดสังเกตของเธอ สร้างความวิตกให้กับนางบัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ป้าว่าอย่าทำให้เรื่องมันยุ่งไปกว่านี้เลยนะคะคุณหนู” นางบัวถึงกับออกปากห้ามปราม เกรงว่าเรื่องราวจะไปไกลเกินกว่าการควบคุม

“ยุ่งอะไรกันล่ะคะ แพรว่าน่าสนุกดีออก อีกอย่าง แพรไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มสักหน่อย” หญิงสาวบอกอย่างดื้อดึง

“แค่มองตาป้าก็รู้แล้วว่าคุณกำลังคิดอะไร เชื่อป้าเถอะนะคะ เรื่องมันยังไม่เกิด ก็อย่าปล่อยให้มันเกิด ของแบบนี้ มีแต่เราฝ่ายหญิงที่จะเป็นฝ่ายเสียหาย”

“เสียหาย? เสียหายอะไรกัน แพรยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะคะ ป้าคิดมากไปหรือเปล่า”

“คุณแพรละก็ ที่ป้าพูด ก็เพราะว่าป้าห่วง”

“อย่าห่วงไปเลยค่ะป้า แพรโตแล้ว รู้ดีว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ”

“รู้จริงก็ดีสิคะ ป้าว่าอารมณ์นี้ คุณแค่อยากจะเอาชนะ แล้วก็แกล้งคุณภูเธอเท่านั้นเอง”

“ใครว่าละคะ แพรอาจจะสนใจผู้ชายคนนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ ใครจะรู้”

“เฮ้อ! เอาเถอะค่ะ ต่อให้ป้าพูดให้ตาย คุณก็คงไม่ยอมฟังหรอก แต่จะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงคุณหนูเล็กๆ เธอไว้นะคะ อย่าให้พวกเธอต้องมาสับสนเพราะความเจ้าแง่แสนงอนของคุณแม่เธอเลย”

“ป้าล่ะก็ แพรไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

“ไม่รู้ล่ะค่ะ ป้าแค่จะเตือนไว้”

“เอาเถอะค่ะ แพรรู้ว่าป้าหวังดี เอาเป็นว่า แพรจะจำไว้นะคะ ดึกมากแล้วแพรชักง่วง เราเข้านอนกันเถอะนะคะ”

ณิชญาฎาส่งนางบัวกลับเข้าห้องพัก แล้วตัวเธอก็กลับมายังห้องของตน แต่ไม่ว่าจะพยายามข่มตาสักเท่าไหร่ เธอก็ยังนอนไม่หลับ ดูเหมือนว่าคำพูดของนางผู้เป็นพี่เลี้ยงจะยังคงก้องอยู่ในโสต จนอดไม่ได้ที่จะเก็บเอามาคิด แต่ถึงกระนั้น คนเราในยามโกรธอารมณ์จึงมักจะอยู่เหนือเหตุผลเสมอ เมื่อความรู้สึกท้าทายและอยากจะเอาชนะเข้าครอบงำ ณิชญาฎาก็มักจะเลือกทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับใจตนเสมอ โดยลืมนึกไปว่าสิ่งที่ได้เลือกกระทำลงไปนั้นอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของตนเองโดยตรง

‘อคติไม่เคยก่อประโยชน์ให้กับผู้ใด และเมื่อมีอคติเกิดขึ้นในใจแล้วก็เป็นเรื่องยาก ที่จะแก้ไขให้ใขกลับมาใสไร้รอยขุ่น เปรียบไปก็เหมือนกับแก้วบางใบสวย หากปล่อยให้มีรอยร้าวเสียแล้ว หนทางเดียวที่จะทำให้กลับคืนเป็นเนื้อเดิมได้ เห็นจะมีแต่ต้องนำมาหลอมรวมใหม่เท่านั้น’

-----------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2555, 01:23:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 เม.ย. 2555, 01:23:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1593





<< ตอนที่ 10 ความจริงที่ไม่อาจยอมรับ   ตอนที่ 12 เล่ห์มนุษย์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account