ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 6 : หัวใจที่หล่นหาย

ร่างสูงก้าวลงจากรถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันโปรดแล้วเดินตรงเข้าไปภายในตึกสูงอันเป็นที่ตั้งของเพนท์เฮ้าส่วนตัวราคากว่าสิบล้าน ที่เจ้าตัวจัดเตรียมไว้สำหรับเป็นที่พักชั่วคราวยามที่ต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่น ห้องกว้างสีครีมสะอาดตาตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบเรียบๆ เพียงน้อยชิ้นทว่ากลับหรูดูมีสไตล์ ม่านสีเทาสลับดำเล่นลายบนเนื้อผ้าถูกรวบชายไว้หมดทุกด้านอย่างเป็นระเบียบ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผ้าที่สั่งทอมาเป็นพิเศษตามรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของห้อง สิ่งอำนวยความสะดวกถูกคัดสรรและจัดวางไว้อย่างครบครันและลงตัวจนคล้ายเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องมากกว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย ถัดไปเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่ถูกซ่อนอยู่หลังฉากกระจกพ่นทรายเป็นลวดลายแผ่นหนาสูงจดเพดาน

พีรพัฒน์ทิ้งร่างลงบนโซฟาตัวหนาซึ่งตั้งเด่นอยู่กลางห้องนั่งเล่น มิได้ตรงเข้าห้องนอนดังเคยทั้งที่ยามนี้เป็นเวลาที่เขาสมควรจะพักผ่อนมากกว่า ตาคมจ้องมองเพดานนิ่งราวกับจงใจปล่อยความคิดล่องลอยไปไกล กระทั่งเวลาผ่านไปได้พักใหญ่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ดึงเอาความคิดของเขากลับคืนจากภวังค์ จะมีสักกี่คนที่กล้าโทรหาเขาในยามดึกดื่นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่หนึ่งในบรรดาเพื่อนรัก ก็ต้องเป็นหนึ่งในสองบอดี้การ์ดคนสนิทของเขานั่นล่ะ

“ว่าไง” เสียงเข้มกรอกถามไปตามสาย ทั้งร่างยังคงนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม

“เราจัดการเก็บกวาดทุกอย่างหมดเรียบร้อยหมดแล้วครับนาย” คนทางปลายสายรายงานผลสั้นๆ อย่าง เป็นอันว่ารู้กันระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง

“ดี แล้วพรุ่งนี้ก็ช่วยนัดเจ้าสัวอลงกรณ์ให้ด้วย บอกว่าฉันมีเรื่องต้องเจรจา”

“ครับนาย” คนสนิทรับคำ จากนั้นจึงรายงานต่อไปอย่างคนที่เข้าใจและรู้ใจนายของตนเป็นอย่างดี “นายครับ เรื่องที่ให้ไปสืบเราพอจะได้เรื่องมาบ้าง แต่อาจจะยังไม่ละเอียดมากนัก เจ้านายอยากจะฟังเลยหรือเปล่าครับ”

“อ้อเหรอ พอดีฉันยังไมค่อยง่วง นายจะเล่ามาก็ได้” เจ้านายหนุ่มตอบกลับน้ำเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าภายในใจกลับกระตุกจนเจ้าตัวยังนึกประหลาดใจ

“ครับนาย เด็กคนนั้นเธอชื่อการะเกด อาศัยอยู่กับแม่ในบ้านเช่าเขตชุมชนหลังคอนโดฯ ของเจ้านายนี่เองครับ คนแถวนั้นบอกว่าเธอเป็นนักศึกษา เรียนสาขานาฏศิลป์ครับนาย” จิระรายงานไปตามข้อมูลที่ได้รับรายงานมาเพียงสั้นๆ

“เป็นนักศึกษาเหรอ!” พีรพัฒน์ฟังแล้วให้นึกฉงน เมื่อคู่กรณีซึ่งเขาตั้งข้อสงสัยเอาไว้ตอนแรกว่าน่าจะเป็นกลุ่มมิจฉาชีพหรือไม่ก็ต้องมีใครสักคนจ้างวานมาเพื่อลูบคมเขา กลับกลายเป็นเพียงเด็กนักเรียนธรรมดาๆ เท่านั้น

“ครับนาย มิหนำซ้ำพวกชาวบ้านยังยืนยันอีกว่า ตามปกติแล้วเธอจัดว่าเป็นเด็กดีทีเดียว เพราะนอกจากเรียนหนังสือแล้วเธอยังรับงานแสดงเพื่อหาเงินช่วยเหลือครอบครัวและส่งเสียตัวเองเรียนหนังสืออีกต่างหาก”

“ถ้างั้น... เธอมีเหตุผลอไร ทำไมถึงได้ทำแบบนั้น”

“ข้อนั้นผมกำลังให้คนของเราไปสืบเพิ่มเติมอยู่ครับ คิดว่าไม่นานคงได้เรื่อง ในเบื้องต้นผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่เกี่ยวกับประเด็นธุรกิจของเราหรอกครับนาย”

“รู้ได้ยังไง บางทีอาจมีใครสักคนจ้างหล่อนให้ทำอะไรแบบนั้นก็ได้”

“หรือไม่เธอก็อาจจะมีความจำเป็นอะไรบางอย่าง”

“จะมีอะไร นอกจากเรื่องเงิน” พีรพัฒน์เหยียดริมฝีปากออกอาการหยัน “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เอาเป็นว่านายไปพาตัวเด็กนั่นมารอฉันที่นี่ พรุ่งนี้ฉันจะสอบถามหล่อนด้วยตัวฉันเอง ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น”

“อ... อะไรนะครับนาย” จิระถึงกับชะงักค้าง ตั้งสติแทบไม่ทัน กับคำสั่งสายฟ้าแลบของเจ้านายตน

“ฉันบอกว่าให้พาตัวเด็กนั่นมาพบฉันที่นี่ ทำไม มีอะไรข้องใจงั้นหรือ”

“ม... ไม่มีครับเพียงแต่ว่าทำไมจู่ๆ”

“ก็ไม่เห็นมีอะไร ฉันแค่อยากรู้ อยากรู้ก็ต้องถาม”

“ดูเหมือนว่าเจ้านายจะสนใจเด็กคนนี้เป็นพิเศษนะครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มเอ่ยปากออกไปตรงๆ เพราะความที่ดูแลกันมานานทำให้เขากล้าพอที่จะท้วงผู้เป็นนาย เมื่อคิดว่าบางสิ่งอาจนำอันตรายมาสู่นายตน

“ก็ไม่มีหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่าเด็กคิดยังไง ถึงได้กล้ามาข่มขู่เรียกร้องค่าเสียหายกับคนอย่างฉัน” พูดไปแล้วพีรพัฒน์ก็ให้สงสัยในตัวเองนัก ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ติดใจกับเรื่องนี้นัก ครั้นเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่สบเข้ากับนัยน์ตาโศกคู่นั้น ความผิดปกติบางอย่างก็เข้าจู่โจมในใจเขาอีกระลอก และยากที่จะสลัดทิ้ง ดวงตากลมโตใสแจ๋วประหนึ่งลูกแก้วมีเงาบางอย่างทาบทับ กลบความสดใสลงไปอย่างน่าเสียดาย

“แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญมากกว่านะครับนาย เด็กนั่นไม่มีทางรู้เลยว่านายเป็นใคร ทำงานอะไร” คนพูดตัวหยุดคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ “ก่อนที่จะกระโดดให้รถชน ผมว่าเธอคงเลือกจากรุ่น แล้วก็ยี่ห้อรถ มากกว่า”

“จะบอกว่า ฉันโชคร้ายที่นั่งรถราคาแพงงั้นสิ!” เจ้านายหนุ่มตอบกลับยวนๆ ติดตลกมากกว่าจะจริงจัง

“นั่นก็เป็นไปได้ไม่ใข่หรือครับนาย ถ้าเลือกให้ระกระป๋องชน แล้วเธอจะเรียกร้องค่าเสียหายได้ยังไง”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน โดดให้รถหรูชน แต่กลับไม่ได้อะไรไปเลย แถมยังเจ็บตัวฟรี แปลว่าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้ ยายเด็กนั่นเลือกผิดเห็นๆ”

‘ผิดที่ไหนกันล่ะ ถูกคันเลยต่างหาก’ ตามความรู้สึกของจิระแล้ว พีรพัฒน์ดูจะให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆ นี้มากจนเกินปกติ แทนที่จะสั่งให้เพียงแค่ให้ตนไปเก็บกวาดเรื่องราวให้เรียบร้อยเหมือนปกติ กลับกลายเป็นว่าให้ไปสืบประวัติของเด็กคนสาวนั้นแทน มิหนำซ้ำ ตลอดสองวันที่ผ่านมา พีรพัฒน์เฝ้าถามหาความคืบหน้าของข้อมูลที่ให้ไปเสาะหาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ธรรมดาแล้วเคยมีที่ไหนกัน แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเลือกผิดคันได้อย่างไร

“หือ? นายว่าไงนะ” พีรพัฒน์ย้อนถามเพราะความที่ได้ยินไม่ถนัด จิระคงจะเผลอ นึกว่าตนกำลังคิดอยู่ในใจ แต่แท้จริงแล้วเขากำลังบ่นงึมงำๆ มันออกมาต่างหาก

“อ่ะ.. อะไรนะครับ อ๋อ! คือ ผมบอกว่าโชคดีที่เราหยุดรถได้ทัน ไม่งั้นเธอคงเจ็บตัวมากกว่านี้” เหมือนจะรู้ตัวว่าพลาดไปเสียแล้ว บอดี้การ์ดมาดนิ่งรีบปฏิเสธพัลวัน

“ก็ใช่น่ะสิ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เป็นไรมากน่ะ”

“ผมว่าแล้วก็ให้มันแล้วไป แบบนั้นมันจะไม่ดีกว่าหรือครับนาย อย่าไปถือสาหาความกับเธอเลย คิดเสียว่าปล่อยลูกนกลูกกาไปเถอะนะครับ”

จิระร้องขอต่อผู้เป็นนาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาจึงเกิดความรู้สึกสงสารในตัวเด็กสาวคนนั้นขึ้นมา ทั้งที่ก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเธอมาก่อน

“ปล่อยหรือไม่ปล่อยฉันเป็นคนตัดสิน นายไม่ต้องเข้ามายุ่ง ฉันสั่งอะไรก็ทำไปตามนั้น”

“ครับนาย” จิระรับคำเสียงอ่อย “ถ้างั้นผมขอถามคำถามนายสักข้อจะได้ไหมครับ”

คำขอลักษณะนี้ หากไม่ใช่จิระแล้ว เชื่อได้เลยว่าไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาคนไหนกล้าเอ่ยกับชายหนุ่มผู้เป็นนายคนนี้เป็นอันขาด ต่อให้เป็นรวีก็ตาม

“แปลกแฮะ! ทำไมวันนี้นายพูดเยอะจัง อ้ะ! อยากถามอะไรก็ถามมา”

“จริงๆ แล้วเจ้านายคิดยังไงกับเด็กคนนั้นหรือครับ” จิระเป็นคนพูดน้อย แต่ทุกครั้งที่พูด ก็มักจะมีหมัดเด็ดๆ ปล่อยออกมาให้คนฟังต้องสะดุ้งเสมอ

“ฉันจะคิดยังไง... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย”

“ผมแค่รู้สึกสงสาร บางทีเธออาจจะทำไปเพราะความจำเป็นบีบบังคับก็ได้นะครับนาย”

“ฉันถึงอยากรู้ไงว่ามันเพราะอะไร ถ้าไม่มีเงื่อนงำ ก็แล้วไป แต่ถ้ามี คนอย่างฉันไม่มีวันจะยอมปล่อยเธอไปงายๆ แน่ ฉันถึงได้ให้พวกนายไปสืบไง เอ... แต่พอมาคิดดูอีกที สืบไปก็เท่านั้น สู้เอาตัวมาสอบถามให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลยดีกว่า เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ฉันอยากเห็นเด็กนั่นมารอฉันอยู่ที่นี่ หวังว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

ลองถึงขนาดสั่งให้ตนไปเอาตัวเด็กคนนั้นมาแบบนี้ มีหวังได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ คิดแล้วจิระให้เกิดอาการปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที

“แต่ว่า มันจะดีหรือครับนาย เรื่องมันจะไม่บานปลายหรอกหรือครับ อีกอย่าง เรื่องนี้มัน....”

“ฉันสั่งยังไง นายก็ทำไปตามนั้นแหละ พูดมากจริง แค่นี้นะ ฉันจะไปนอนแล้ว แล้วก็อย่าลืมเสียล่ะ ฉันต้องเห็นเด็กนั่นที่นี่... พรุ่งนี้” พีรพัฒน์สรุปย้ำแล้วกดตัดสายทิ้ง ไม่อยากฟังคำคัดค้านใดๆ อีก ชายหนุ่มนึกย้อนถึงสิ่งที่ตนเพิ่งลั่นวาจาออกไป แม้แต่ตัวของเขาเองยังนึกไม่ถึงเลยว่าจะสั่งอะไรทำนองนั้นออกไปได้ แต่ครั้นมาคิดถึงว่าเขาจะได้เห็นนัยน์ตาโศกของเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง หัวใจก็พลันเต้นถี่ๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลจนเขาตัวเองยังประหลาดใจไม่ได้ ว่าเหตุอาการแปลกๆ แบบนี้จึงเกิดกับเขา



สองวันก่อน

เอี๊ยดดดดด....... ตุ้บ.......

เสียงเบรกดังลั่นไปทั่วทั้งถนนติดตามมาด้วยวัตถุขนาดใหญ่ตกลงบนพื้นบริเวณหน้ารถ รวีผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีรีบก้าวลงจากรถเพื่อมาดูเหตุการณ์ และได้พบกับร่างเล็กซึ่งนอนหมดสติอยู่กับพื้นเบื้องหน้า บอร์ดี้การ์ดหนุ่มรีบเดินเข้าไปสำรวจในระยะใกล้ มือหนายื่นไปอังตรงจมูกของร่างไร้สติแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“โชคดีจริงๆ เธอยังไม่ตาย คงแค่สลบไป!”

รวีหันไปบอกกับจิระที่ก้าวตามลงมาจากรถเพื่อดูเหตุการณ์ สองหนุ่มพูดจากันเพียงสองสามคำ ก่อนที่หนุ่มคนหลังตะปลีกตัวเดินลับหายกลับเข้าไปยังคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลัง บอดี้การ์ดร่างสูงกวาดตาสำรวจร่องรอยอาการบาดเจ็บไปตามเนื้อตัวของร่างที่ยังคงฟุบอยู่กับพื้น ความวิตกค่อยจางลงเมื่อพบว่ามีเพียงแค่รอยถลอกเล็กๆ น้อยๆ ตามแขนและขา ปราศจากวี่แววว่าศีรษะจะได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด หากแต่ที่หมดสติไปอาจเป็นเพราะศีรษะกระแทกพื้นก็เป็นได้ มิเช่นนั้นคนเจ็บคงไม่เอาแต่นอนหลับตานิ่งอยู่บนพื้นแบบนี้เป็นแน่

รวีตัดสินใจจับร่างเล็กพลิกขึ้น สิ่งที่รับรู้ตามมาคือ ร่างเล็กๆ ร่างนั้นหาใช่เด็กอย่างที่ตนเข้าใจเมื่อแรก หากแต่เป็นหญิงสาวร่างบอบบางจนดูเผินๆ แล้วคล้ายเด็ก

“คุณครับ คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า” รวีร้องเรียกหญิงสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล ชายหนุ่มตัดสินใจเดินกลับไปที่รถแล้วก้มลงไปเอ่ยอะไรบางอย่างกับคนซึ่งนั่งอยู่ภายใน จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมกดเรียกรถพยาบาล พลางชำเลืองมองไปยังร่างของหญิงสาวอีกครั้งจึงทันได้เห็นว่าร่างนั้นค่อยๆ ขยับตัวทีละน้อย มือที่กำลังกดเลขพลันหยุดลงชั่วคราว แล้วหันไปรายงานกับคนในรถทันที

“ดูเหมือนว่าจะฟื้นแล้วนะครับนาย”

“งั้นหรือ? ลองถามเขาดูซิ ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า” พีรพัฒน์บอกด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้รอยตระหนก สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่แฟ้มดังเดิม

ร่างเล็กซึ่งคู้ตัวนอนอยู่กับพื้นชั่วครู่ค่อยๆ ขยับลุกขึ้นจับแขนขาตัวเองอย่างสำรวจ อาการมึนงงยังคงปรากฏ เรื่องครั้งนี้ออกจะผิดพลาดไปเล็กน้อย ตรงที่เธอกะระยะพลาดทำให้ถูกรถชนเข้าจริงๆ ไม่ใช่แกล้งล้มอย่างที่ตั้งใจเมื่อแรก ครั้งตั้งสติได้ หญิงสาวก็เริ่มร้องโอดโอย และเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนรอบตัวปรากฏผู้คนมามุงดูเพิ่มขึ้น อันเป็นปกติวิสัยของคนทั่วไปที่มักชอบมุงดูเหตุการลักษณะนี้

“โอ๊ะ... โอ๊ย... โอย... เจ็บ...” การะเกดจงใจร้องเสียงดังขึ้นเมื่อปลายตาสังเกตุเห็นร่างของชายหนุ่มคนเดิมเดินย้อนกลับมาหาทางตนอีกครั้ง หญิงสาวพยายามประคองตัวลุกขึ้นยืน เสียงร้องยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จงใจแสดงท่าทางเจ็บปวดชนิดเกินจริงไปพอควร

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับคุณ” รวีเอ่ยถามขณะที่เดินเข้าไปใกล้

“โอย... เจ็บ เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย” การะเกดบอกพลางจับไปตามเนื้อตัวของตน

“งั้นไปโรงพยาบาลไหม เดี๋ยวผมเรียกรถพยาบาลให้”

“โรงพยาบาล!...” การะเกดอุทานออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “เอ่อ... ค่ะ.. ไป... ไม่ต้องดีกว่า... ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปเอง คุณแค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลทิ้งไว้ให้ฉันก็พอ” คนเจ็บบอกตะกุกตะกัก รวีขมวดคิ้วมุ่น พลางกวาดตาไปตามร่างกายคนเจ็บอีกครั้งอย่างสำรวจ

“แต่ผมว่าผมพาคุณไปหาหมอเองน่าจะดีกว่านะ ท่าทางคุณอาการไม่น้อยเลย” บอดี้การ์ดหนุ่มลองพูดหยั่งเชิง สายตามองตรงไปยังใบหน้าของหญิงสาวอย่างจับสังเกต

“บอกว่าไม่ต้องไง ฉันไปเองได้ คุณแค่จ่ายเงินมาก็พอแล้ว” การะเกดขึ้นเสียงสูง คาดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายอย่างที่เคยคิด

“แล้วมันเท่าไหร่เหรอ ที่คุณอยากให้เราจ่าย” พีรพัฒน์ลงมาจากรถตั้งแต่เมื่อไหร่รวีไม่ทันสังเกต มารู้ตัวอีกที เจ้าตัวก็มาออกปากถามคู่กรณีทางด้านหลังเสียแล้ว

เมื่อแรกพีรพัฒน์ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ตรงหน้า เขาแค่กำลังจะเปลี่ยนรถไปทำงานเท่านั้นเอง แต่ครั้นได้ยินเสียงถกเถียงกันระหว่างคนเจ็บกับคนของตนแล้ว อะไรบางอย่างกลับสั่งให้เขาเปลี่ยนเส้นทาง แทนที่จะมุ่งตรงไปยังรถสปอร์ตที่จิระขับมาจอดรอรับ เขากลับเดินตรงมายังจุดที่คนทั้งสองกำลังทุ่มเถียงกันอยู่ และได้ยินเสียงเล็กๆ ของหญิงสาวที่เริ่มจะออกแนวเกรี้ยวกราดใส่คนของเขาอย่างขัดใจอย่างถนัดถนี่ จึงออกโรงถามคำถามแทนระวี พร้อมกับสำรวจไปตามเนื้อตัวของหญิงสาวและได้ข้อสรุปว่าเธอน่าจะได้รับบาดเจ็บแต่เพียงเล็กน้อย หาใช่อาการสาหัสดังเจ้าตัวกำลังแสดงออก

การะเกดเหลียวมองตามเสียและเจอเข้ากับแววตาสำรวจตรวจตรา เธอจึงพยายามเบี่ยงตัวหลบอย่างคนมีพิรุธ เหตุนี้พีรพัฒน์จึงถึงบางอ้อและเริ่มจะเดาเรื่องราวได้ออก

“ว่าไง ผมถามว่าคุณอยากได้เท่าไหร่” พีรพัฒน์ถามย้ำ แววตาเริ่มจะซุกซนอย่างคนกำลังนึกสนุก

“แล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ เขาคนขับรถชนฉัน ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมาสิ” การะเกดรู้สึกขัดเคืองจนหน้าแดง แต่พยายามสะกดอารมณ์ไว้และตวัดตอบกลับไปเสียงขุ่น

“เขาคนที่คุณว่า เขาเป็นคนของผม ลูกน้องทำผิดขณะปฏิบัติงาน คนเป็นเจ้านายย่อมมีสิทธิ์ที่จะเจรจาแทน คราวนี้จะบอกมาได้หรือยังว่า คุณต้องการเท่าไหร่?” พีรพัฒน์ก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ร่างสูงของเขาข่มให้เธอดูตัวเล็กลงไปกว่าเดิมอีกถนัดใจ แววตาจริงจังปนดุของชายหนุ่มยามจ้องเธอ ดูแล้วน่าหวั่นเกรงเสียจนการะเกดเกิดอาการสะท้านขึ้นมาในใจอย่างช่วยไม่ได้

“ค... คนของคุณ ก็ได้ เขาขับรถชนฉัน งั้นคุณก็จ่ายแทนเขาละกัน”

“ก็บอกมาสิว่าเท่าไหร่”

“ส...แสนหนึ่ง ไม่ใช่สิ สองแสน ใช่แล้ว สองแสน จ่ายมาเดี๋ยวนี้เลย” จำนวนเงินที่หญิงสาวบอกทำเอาพีรพัฒน์เกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจพลางส่ายหน้า นึกระอาใจกับความไม่เข้าท่าของแม่สาวตรงหน้าเหลือกำลัง

“ยังจะมาทำเฉยอยู่อีก ไหนว่าจะจ่ายแทนลูกน้องไง อย่าบอกนะว่าไม่มีเงิน นั่งรถหรูซะขนาดนั้น” การะเกดนึกฉุนกับอาการเพิกเฉยของบุรุษร่างสูงตรงหน้า ไหนจะแววตาทะเล้น กับท่าทางกลั้นหัวเราะราวกับกำลังขบขันเสียเต็มประดา

“เฮ้อ! เนี่ยนะคนเรา คิดจะเรียกร้องอะไรก็ให้มันสมเหตุสมผลหน่อย แผลเล็กๆ แค่นี้น่ะนะ สองแสน น้อยๆ หน่อยเหอะ สองร้อยละพอว่า แต่ก็นะ เดี๋ยวจะหาว่าผมตืด เอาเป็นว่าผมให้คุณสองพัน คิดเสียว่าช่วยคนตกยาก” พีรพัฒน์บอกหน้ายิ้มๆ ไม่รู้เป็นไง จู่ๆ เขาก็นึกอยากจะต่อล้อต่อเถียงกับแม่สาวร่างเล็กคนนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ส...สองพัน จะบ้าเหรอ ขับรถชนคนโครมเบ้อเร่อ แล้วจ่ายแค่สองพัน ประสาทกลับรึเปล่า” ริมฝีปากบางเรื่อสีกุหลาบสั่นระริกด้วยความโกรธ หญิงสาวขึ้นเสียงดังจนเกือบจะเรียกได้ว่าตวาด “ไม่ต้องมาทำเป็นบ่ายเบี่ยงเลย จ่ายค่ารักษาพยาบาลมาเสียดีๆ บวกค่าทำขวัญของฉันมาด้วย ไม่งั้นฉันจะเอาเรื่องคุณให้ถึงที่สุด ไม่เชื่อก็คอยดู”

“เอาเรื่อง? เอาเรื่องใคร ผมเหรอ อย่างคุณเนี่ยนะจะมาเอาเรื่อง ไหนลองบอกมาหน่อยซิว่าคุณจะเอาเรื่องผมยังไง”

“ก็... ฉันก็จะแจ้งไปความไง ข้อหาขับรถชนคนแล้วไม่รับผิดชอบ” การะเกดเชิดหน้าบอกอย่างท้าทาย

“เหรอ? แล้วไงอีก”

“แล้วไง... แล้วฉันก็จะไปฟ้องศาล เรียกร้องค่าเสียหาย”

“อ๋อเหรอ... แล้วไงต่อ ผมชักเริ่มจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ ไหนลองเล่าต่อซิ” พีรพัฒน์จงใจจะกวนประสาทหญิงสาว ทั้งคำพูดคำจา ทั้งท่าทาง ล้วนแล้วแต่เป็นความแปลกใหม่ที่ระวีกับจิระเพิ่งจะเคยเห็นและรับรู้อย่างงงๆ

“นี่... คุณ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะ ไหนว่าจะยอมจ่ายค่าเสียหายแทนคนของคุณไง รีบๆ จ่ายมาสักทีสิ เสร็จแล้วฉันจะได้รีบไป หรือว่าคุณคิดจะโกง” การะเกดเชิดหน้าตะโกนต่อว่าปาวๆ แล้วจึงสังเกตเห็นว่าตัวเธอยืนประจันหน้ากับเขาจนเกือบชิด ร่างเล็กถอยกรูด ร้องบอกกับตัวเองในทันทีว่า ผู้ชายคนนี้ ‘น่ากลัว’

“เมื่อกี้คุณว่าไงนะ ใครคิดจะโกงคุณ อย่างผมน่ะหรือจะโกงคุณ ให้มันน้อยๆ หน่อยดีกว่ามั้ง” พีรพัฒน์ ถามเสียเย็นเยียบ ค่อยย่างเท้าเข้าไปใกล้ มองสบลงไปในดวงตากลมโตใสแจ๋วคู่นั้น แล้วสำรวจทั่วใบหน้านวลเนียนราวกับว่ากำลังเก็บทุกรายละเอียด จากสถานภาพของคนเจ็บที่กำลังเรียกร้องค่าเสียหาย การะเกดจึงกลับกลายมาเป็นคนถูกคุกคามเสียเอง

“นี่... คุณมองอะไร คิดจะทำอะไรน่ะ อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วยจริงๆ ด้วย”

พีรพัฒน์เหมือนจะได้สติ ตาคู่คมชะงักกึก เหลียวมองไปรอบๆ ตัว แล้วอมยิ้มเมื่อเห็นว่าบรรดาไทยมุงได้หายไปบางส่วนแล้ว คงเพราะฝีมือการเจรจาของสองบอดี้การ์ดนั่นเอง

“ตกลงว่าคุณจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ฉันรึเปล่า”

“จ่ายสิ คนอย่างผมพูดคำไหนคำนั้น” พีรพัฒน์ หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วควักหยิบแบงค์พันออกมามากว่าจะนวนที่บอกเอาไว้นิดหน่อย ก่อนจะยื่นให้กับหญิงสาวตรงหน้า

“นี่คุณ... ฉันบอกว่า...”

“ผมจ่ายให้คุณเท่านี้ก็ถือว่ามากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ รีบๆ รับไปซะ แล้วผมจะบอกอะไรให้นะ ต่อไปอย่าได้ใช้วิธีนี้กับใครอีก มันเชย แล้วก็ไม่ได้ผลหรอก เผลอๆ คุณนั่นแหละจะตายฟรี รู้เอาไว้เสียด้วย”

พีรพัฒน์ลงทุนออกปากสอน การะเกดฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออก นึกคำเถียงไม่ทัน

“อย่าบอกนะว่าไม่พอ ถ้างั้นเรามาตกลงกันใหม่ดีไหม เอาเป็นว่า คุณมีข้อเสนออะไรดีๆ ก็บอกผมมา ไม่แน่นะ ผมอาจจะรับไว้พิจารณา แล้วก็ยอมจ่ายตามที่คุณเรียกร้องก็ได้”

“ค... คุณ... คุณหมายความว่าไงน่ะ”

“ก็หมายความอย่างที่คุณกำลังคิดนั่นแหละ จะว่าไปแล้ว คุณก็... ดูโอเคนะ แปลกดี ผมชอบ”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้คนลามก หยาบคายที่สุด” การะเกดกรี๊ดลั่น หน้าแดงตัวสั่นโกรธจนถึงขีดสุด

“สองแสนเชียวนะคุณ เงินไม่ใช่น้อยๆ ถ้าอยากได้มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อยสิ จริงไหม” พีรพัฒน์จงใจก้มหน้าลงกระซิบ จนจมูกโด่งเฉียดแก้มนวลไปเพียงนิด ทำเอาใบหน้านวลของหญิงสาวแดงก่ำ โกรธจนอกแทบระเบิด

“อ๊ะ... ไอ้บ้า ถอยไปนะ ไอ้คนฉวยโอกาส” การะเกดขยับถอยห่าง ยกมือขึ้นปาดแก้ม ทั้งเช็ดทั้งถูเสียจนเป็นรอยแดงเถือก

“ผมฉวยโอกาสตรงไหน ก็คุณเป็นฝ่ายเรียกร้อง ผมก็แค่เสนอวิธีการให้ ไม่เห็นจะแปลก จู่ๆ จะมาขอเงินกันฟรีๆ แบบนั้นมั้นใช้ได้ที่ไหน” กิริยาอาการหวงเนื้อหวงตัวของแม่สาวน้อยกลายเป็นตัวเร่งชนวน พีรพัฒน์จึงเกิดอาการหมั่นเขี้ยวขึ้นมาตงิดๆ แต่ยังคงเดินหน้าแสร้งทำไขสือตั้งหน้าต่อล้อต่อเถียง แถมยังยักคิ้วหลิ่วตากวนโมโหต่อเธอไม่หยุดหย่อน

“นี่... นี่นายหาว่าฉันเป็น...” การะเกดชี้หน้าถาม โกรธจนไม่อาจจะพูดต่อ

“ก็ในเมื่อคุณไม่ได้เจ็บตัวจริงๆ แต่กลับมาเรียกร้องค่าเสียหาย ผมเสนอวิธีให้ยังไม่รีบของคุณอีก” พีรพัฒน์ยิ่งพูดยิ่งกลายเป็นยั่วอารมณ์ของหญิงสาวให้โกรธจัดจนหน้าแดงแล้วแดงอีก ทว่าสำหรับเขาแล้วใบหน้าแดงๆ แบบนั้นช่างน่ามองเป็นที่สุด

“ไอ้... ไอ้บ้า...ขอบคงขอบคุณอะไรกัน นี่นายจงใจจะเบี้ยวไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายใช่ไหม” การะเกดเริ่มโวยวายเสียงดังลั่น ทวงค่าเสียหายเหยงๆ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเจ็บ ทั้งที่เจ็บจริงและที่แกล้งทำ พีรพัฒน์ยกข้อมือขึ้นดูเวลาเห็นว่าจวนได้เวลาประชุมเต็มที หมดเวลาเล่นสนุกแล้วจึงเอ่ยตัดบท

“เฮ้อ! เอาเถอะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน หมดเวลาต่อล้อต่อเถียงแล้ว เอาไว้ว่างๆ เราค่อยมาทะเลาะกันใหม่ คุณเก็บเงินนี่ไว้ แล้วก็อย่างลืมไปหาหมอเสียด้วยล่ะถ้ายังติดใจอะไรก็เชิญได้ทุกเวลา รับรองว่าผมไม่หนีไปไหนแน่” พีรพัฒน์ยัดแบงค์พันใส่มือหญิงสาวพร้อมกับเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ แล้วเดินผละจากไป ก่อนไปไม่วายหันมาส่งยิ้มเก๋ จากนั้นจึงกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วตามความแรงของรถ ส่วนสองหนุ่มบอดี้การ์ดเมื่อเห็นเจ้านายขับรถออกไปเร็วจี๋ ก็ได้แต่รีบกลับไปขึ้นรถอีกคันแล้วขับตามออกไปอย่างไม่รอช้า ทิ้งให้การะเกดยืนงงอ้าปากค้างกับสถานการณ์ที่พลิกผันอยู่คนเดียว

“อ๊าย...ไอ้บ้า... กลับมานะ....คิดจะชนแล้วหนีหรือไง... กลับมาคุยกันเดี๋ยวนี้นะ....” ทันทีที่หายงง ร่างเล็กก็ตะโกนโหวกเหวกวิ่งไล่ตามหลังรถแต่มีหรือจะทัน หญิงสาวหยุดวิ่งพร้อมกับอาการเหนื่อยหอบ ก้มลงมองเศษกระดาษในมือแล้วอ่านทวนชื่อ ‘พีรพัฒน์ เกียรติธนบดี’ ตาคู่คมเหลือบมองตามรถคู่กรณีที่กำลังแล่นหายไปจากสายตาด้วยสายตาเคืองขุ่น รอบๆ ตัวยังปรากฎผู้คนที่กำลังจ้องมองมายังเธอราวกับเจอกับสิ่งประหลาด

“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนโดนรถชนหรือไง บ้าจริงๆ มองอยู่ได้” เสียงเล็กตวาดออกไปเบาๆ ฟังดูไม่ใคร่จะเต็มเสียง เนื่องจากบัดนี้ความอายได้เข้ามาทดแทนพื้นที่ของความโกรธเสียแล้ว การะเกดก้มลงสำรวจรอยถลอกตามแขนขาของตัวเองแล้วรีบพาตัวเดินหลบไปจากที่นั้น นึกแล้วให้เจ็บใจตัวเองนัก แต่แรกเธอคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่เธอจะได้เงินมา แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันกลับไม่เป็นดังคิด มิหนำซ้ำยังต้องมาเจ็บตัวอีก ถลอกปอกเปิกแบบนี้แล้วคืนนี้เธอจะไปทำงานได้อย่างไรกัน

“อย่าให้เจออีกแล้วกัน คราวหน้าฉันจะเล่นงานนายให้แสบเลยนายพีรพัฒน์” หญิงสาวแค่นบอกกับตัวเองอย่างแค้นใจ ขณะเดินกระเผกลับหายไปเข้าไปยังชุมชนซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนั้น

ภาพสะท้อนของหญิงสาวที่พีรพัฒน์มองเห็นจากทางกระจกหลังเรียกรอยยิ้มออกมาจากใบหน้าคมอย่างเต็มที่ เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วอมยิ้มน้อยๆ ติดตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ปกติแล้วชายหนุ่มมักจะเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ ทว่ายามนี้บางสิ่งกำลังทำให้เขาเปลี่ยนไป

‘ท่าทางจะร้ายได้ที่เลยทีเดียวยายเด็กนี่’

พีรพัฒน์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก แล้วเริ่มกรอกเสียงไปตามสาย

“ฉันอยากได้ประวัติของเด็กคนนั้น พวกนายสองคนช่วยไปจัดการให้ที หวังว่าคงไม่เกินพรุ่งนี้นะ” ผู้เป็นนายออกคำสั่งเรียบๆ แล้ววางหู ทว่าคนรับคำสั่งรู้ดีว่ามาอีหร่อบนี้คงต้องรีบหาข้อมูลเป็นการด่วน สองคนสนิท หันไปมองหน้ากันราวกับนัด สิ่งที่เจ้านายของพวกเขาแสดงออกไปในวันนี้สร้างความงุนงงให้กับพวกเขาไม่น้อย รอยยิ้มอ่อนบนใบหน้าคม ยามที่จ้องมองหญิงสาวคนนั้น พวกเขามองไม่ผิดแน่ เห็นทีโลกคงจะหมุนกลับกันละคราวนี้ ปกติแล้ว ‘คุณพี’ เคยยิ้มให้กับสาวๆ เสียที่ไหนกัน

สองหนุ่มต่างมองหน้ากันไปมา แต่ไม่อาจหาข้อสรุป สุดท้ายก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ต่างคิดเห็นตรงกันว่า คราวนี้เห็นทีจะมีเรื่องเด็ด เจ้านายผู้เคร่งขรึมและสุดแสนจะเย็นชาน่าจะเจอคู่ปรับเข้าให้แล้ว ส่วนเด็กสาวคนนั้นดูจากท่าทางแล้วก็น่าจะเฮี้ยวใช่ย่อย งานนี้ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะปราบใคร ภาพของคนสองคนที่ยืนเถียงกันอยู่ข้างถนน คนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาเถียงอย่างเอาเป็นเอาตายส่วนอีกคนก็ตั้งท่าแหย่ไม่เลิก คิดเท่าไรพวกเขาก็คิดไม่ออก ไม่นึกว่าเจ้านายของพวกตนก็มีมุมแบบนี้กับเขาเหมือนกัน

ตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมา พีรพัฒน์เฝ้าแต่วนเวียนนึกถึงแต่ใบหน้าสวยๆ ทว่าจริงจังและเอาเรื่องของแม่สาวคนนั้นมิได้หยุดมิได้หย่อน ชายหนุ่มไม่มีทางรู้เลยว่า นับแต่วินาทีที่เขาสบและจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามของเธอคนนั้น หัวใจที่เคยเย็นชาจนไม่แยแสต่อความรู้สึกรักใคร่ใดๆ ได้ถูกหลอมละลายลงไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว และนับแต่นี้ต่อไปหัวใจซึ่งเคยเป็นของเขาแต่เก่าก่อนมา มันจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ดวงตาดำขลับเป็นประกายของเธอคนนั้นได้ฉุดรั้งเอาหัวใจอันแข็งกระด้างและเย็นชาของชายคนนี้เอาไว้จนยากที่จะถอนคืนกลับมาเสียแล้ว

ทางด้านจิระซึ่งเป็นคนรับคำสั่ง เขาเองก็อยู่ในอาการที่แทบจะไม่ต่างไปจากผู้เป็นนายเลย จิระไม่เคยประสบกับท่าทีแบบนี้ของเจ้านายตนมาก่อน กับอีแค่เด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่น่าจะเป็นนักต้มตุ๋นหรือมิจฉาชีพเสียด้วยซ้ำ ไฉนกลับดึงความสนใจของบุรุษหนุ่มผู้เพียบพร้อมอย่างเจ้านายของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ พรุ่งนี้เขาจะต้องพาตัวเธอมาให้กับพีรพัฒน์ จะว่าไปแล้วแบบนี้มันเข้าข่ายลักพาตัวชัดๆ จิระพยายามสลัดความคิดสับสนวุ่นวายเหล่านั้นออกไป และเปลี่ยนเป็นหาหนทางพาหญิงสาวมาตามที่นายสั่ง การนำตัวเธอมานั้นคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องยุ่งหลังจากนั้นต่างหากที่จิระกำลังห่วง หญิงสาวจะเป็นอย่างไร จะตกอยู่ในสภาพไหน หากเรื่องราวมันกำลังเป็นไปอย่างที่เขาคิดจริงๆ

-----------------------------------------------

ลักษิณาศรในชุดนักศึกษากำลังสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองก่อนเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยทั้งที่ก็เพิ่งจะปิดเทอมได้ไม่กี่วัน ดวงหน้างามดูเกลี้ยงเกลายามปราศจากเครื่องสำอางค์หนามาปกปิดผิวเนียนใสดังเช่นในยามที่เธอออกแสดงทุกๆ ครั้ง แก้มนวลออกสีชมพูอ่อนระเรื่อตามธรรมชาติ ริมฝีปากอิ่มมีเพียงลิปสติกมันวาวเคลือบอยู่เพียงบางๆ เท่านั้น จากนางรำสาวผู้เฉิดฉายบนเวที บัดนี้ได้กลายร่างเป็นสาวน้อยผู้สดใส เจ้าของดวงหน้าหวานโดดเด่น ชนิดที่ใครได้ยลก็คงจะไม่อาจมองข้ามผ่านเธอไปได้

“คุณลูกศรคะ ตื่นหรือยังคะ” เสียงเรียกของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นจากทางหน้าห้อง คือเสียงของป้าแก้ว แม่บ้านผู้ซึ่งรับหน้าที่ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างภายในคฤหาสน์งามหลังนี้

“ตื่นแล้วค่ะ” ลักษิณาศรขานรับแล้วรีบเดินมาเปิดประตูรับพร้อมส่งยิ้มสดใสให้กับแม่บ้านที่กำลังยืนยิ้มรอเธออยู่หน้าประตูห้อง

“คุณท่านให้มาเชิญลงไปรับอาหารเช้าค่ะ” ป้าแก้วบอก พร้อมกับสำรวจเรือนร่างบอบบางของหญิงสาว นึกชมในความสวยน่ารักอย่างพอเหมาะพอเจาะของเธอ

“ค่ะ เดี๋ยวลูกศรตามลงไปนะคะ ขอเข้าไปเอาของก่อน แป๊บเดียวค่ะ” เด็กสาวบอกแล้วหายกลับเข้าห้องก่อนจะกลับออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานใบหน้าแฉล้มก็ลงมาปรากฏกายที่โต๊ะอาหาร ซึ่งไตรวินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณลุง” น้ำเสียงร่าเริงส่งคำทักทายในยามเช้าไปยังผู้สูงวัยที่นั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ

“ตื่นเช้าจริงลูก! ไหนบอกว่าปิดเทอมแล้วไง แล้วทำไมยังใส่เครื่องแบบอยู่อีก”

“ลูกศรจะไปช่วยงานมหาวิทยาลัยน่ะค่ะ เลยต้องใส่เครื่องแบบ แล้วก็ต้องรีบไปแต่เช้า”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็กินอะไรเสียก่อนนะลูกเสร็จแล้วค่อยไป ทานอะไรดีล่ะ แบบไทยหรือแบบฝรั่งดี” ไตรวินบอกพร้อมกับชี้ไปยังสำรับอาหารบนโต๊ะที่จัดวางไว้อย่างสวยงามและหลากหลาย

“แบบไทยดีกว่าค่ะ ลูกศรขอข้าวต้มนะคะป้าแก้ว” ลักษิณาศรตอบไตรวินพร้อมกับบอกแม่บ้าน ไปในตัว “วันนี้คุณลุงไม่ออกไปไหนเหรอคะ”

“ไปลูก แต่ว่าคงสายหน่อย ลุงว่าจะเข้าบริษัท มีประชุมน่ะลูก คงอีกสักพักนั่นล่ะถึงจะออกไป เอ้อ! เดี๋ยวลุงให้เจ้าสนมันเอารถไปส่งหนูที่มหาวิทยาลัยแล้วกัน ขึ้นรถขึ้นราจะได้ไม่ต้องลำบาก”

“โหย... ไม่ต้องหรอกค่ะ ลูกศรไปเองได้ แต่ไหนแต่ไรลูกศรก็ไปเรียนเองอยู่แล้ว ให้น้าสนอยู่รอรับคุณลุงดีกว่า จู่ๆ มีราชรถไปส่ง ลูกศรเขินตายพอดี” ลักษิณาศรปฏิเสธอย่างเกรงใจ ที่ท่านเจ้าของบ้านคอยหยิบยื่นความสะดวกสบายสารพัดสิ่งให้กับเธออยู่เกือบจะตลอดเวลา

“กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือครับ คุณพ่อ... ลูกศร” หนุ่มร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีแปลกก้าวเข้ามาในห้องอาหารเป็นคนล่าสุดแล้วเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว ก่อนจะหันไปบอกกับคุณแม่บ้านเอก “กาแฟเหมือนเดิมครับป้าแก้ว”

“พ่อกำลัง.... อ้าวเฮ้ย! นั่นหน้าตาแกไปโดนอะไรมาน่ะ เจ้าลิต” ไตรวินร้องอุทานลั่น ทันทีที่หันไปเห็นหน้าตาของบุตรชาย

“เอ้า! ร้องเสียดังลั่นเลยพ่อ... แค่ฟกช้ำนิดๆ หน่อยๆ ร้องดังบ้านแทบแตก”

“อ๊ะ! ไอ้นี่ พ่อถามก็ตอบๆ มาเถอะ มาทำเป็นเล่นลิ้นอยู่ได้ พอไม่ถามก็หาว่าไม่สนใจ จะเอาไงกันแน่วะไอ้ลิต”

“แน่ะ! น้อยใจ มันก็... ไม่มีอะไรหรอกครับ มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย เรื่องธรรมดาน่ะครับพ่อ”

“ธรรมดาบ้านแกสิไอ้ลิต ไหนแกลองเล่ามาซิ ว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง แล้วแกไปมีเรื่องกับใครมา หน้าตาถึงได้เยินแบบนี้”

“โห! ซักเสียถี่ยิบเชียว อ้ะ! บอกก็บอก พอดีว่าเมื่อคืนผมออกไปต่อข้างนอกกับไอแสบสามคนนั่น แล้วเกิดถูกคนหาเรื่อง ก็เลยมีเรื่องชกต่อยกัน แต่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ จบเรื่องต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ก็อย่างว่าละครับ มีไอ้พีอยู่ทั้งคน รับรองสบายหายห่วง” ตลิตเล่าแบบย่อๆ จนฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะไม่ต้องการให้บิดาเป็นห่วง

“จะมีอะไร นอกจากเรื่องผู้หญิง คงสวยมากสินะ ถึงได้โดนเขาหาเรื่องจนต้องชกต่อยกันแบบนี้” ไตรวินสรุปความพลางส่ายหน้าอย่างปลงๆ ลึกๆ แล้วเขายังไม่อยากเชื่อว่าเรื่องมันจะเล็กน้อยอย่างที่บุตรชายเล่า เขาเลี้ยงตลิตมาแต่อ้อนแต่ออก ย่อมรู้ดีว่าบุตรชายไม่ใช่คนประเภทที่ชอบหาเรื่อง โดยเฉพาะในต่างถิ่นอย่างในเมืองไทย ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งจะเข้ามาอาศัยอยู่ได้ไม่นาน

ตลิตปรายสายตาไปยังหญิงสาวที่นั่งทำตาโตอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะหันไปตอบคำบิดา น้ำเสียงฟังดูจริงจังกว่าเมื่อเริ่ม “บวรเดชลูกชายเจ้าสัวอลงกรณ์น่ะครับพ่อ วันก่อนบังเอิญผมผ่านไปเห็นมันกำลังล่วงเกินผู้หญิงแล้วเธอก็ไม่เต็มใจ ผมเลยเข้าไปขวาง ไม่คิดว่ามันจะผูกใจเจ็บ พอสบโอกาสก็เลยลอบกับ โชคดีว่าเมื่อคืนเจ้าพี มันอยู่ด้วย พอรู้เรื่องก็เลยเกิดลงไม้ลงมือกันนิดหน่อย ที่เหลือพ่อคงจะเดาออกว่าลองเรื่องถึงมือไอ้พี มันเป็นต้องเก็บกวาดจนเกลี้ยง ป่านนี้คงสั่งให้คนไปจัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วละครับ”

“กลัวว่าเรื่องมันจะไม่เท่านั้นน่ะสิ เจ้าสัวอลงกรณ์ไม่ใช่คนเล็กๆ เราดันไปมีเรื่องกับลูกชายของเขาเข้า แบบนี้มันจะพาลเป็นเรื่องรุกลามใหญ่โตหรือเปล่า”

“อย่าห่วงไปเลยครับ เดี๋ยวผมจะโทรไปถามกับเจ้าพีมันอีกที รับรองว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบกับงานเรา และต้องไม่เดือดร้อนมาถึงพ่ออย่างเด็ดขาด”

“พ่อไม่ได้กลัวเดือดร้อน แต่เป็นห่วงแกนั่นแหละ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองยังไปทำอวดเก่ง ปกป้องสาว แต่ก็เอาเถอะ ลองเจ้าพีมันยื่นมือเข้ามาเอี่ยว พ่อก็เชื่อว่าเรื่องมันคงไม่บานปลายแน่ ดื่มกาแฟสิ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด เสร็จแล้วจะได้รีบไปทำงาน โอเอ้จริงแกนี่”

เป็นอันว่าจบการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราววุ่นของบรรดาหนุ่มๆ กิตติศัพท์ความเป็นผู้มีอิทธิพลของพีรพัฒน์ ผู้เป็นหนึ่งในเพื่อนรักของบุตรชายที่ มักจะช่วยให้เรื่องยุ่งๆ ยุติลงไปได้อย่างง่ายดายเสมอ ช่วยให้ความวิตกของไตรวินค่อยๆคลายลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับลักษิณาศรนั่งฟังตลิตเล่าเหตุการณ์อยู่เงียบๆแล้วแอบให้รู้สึกผิดตามลำพัง นึกเสียใจที่ตนกลายมาเป็นต้นเหตุทำให้ชายหนุ่มและเพื่อนของเขาต้องมาเดือดร้อนเพราะตนในครั้งนี้ ตลิตสบตากับหญิงสาว คล้ายจะส่งกระแสปลอบโยนผ่านแววตาอบอุ่นบอกเป็นนัยกับเธอว่าไม่เป็นไร ดวงหน้านวลเนียนพลันซับสีเรื่อลักษิณาศรตอบรับไมตรีด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารเช้าของตนไปเงียบๆ

---------------------------------------------

สภาพการจราจรที่ออกจะคับคั่งจอแจ ทำให้ตลิตกับลักษิณาศรต้องเผชิญชะตากรรมร่วมกันอยู่ภายในรถยุโรปสีดำคันหรูโดยไม่รู้ว่าจะถึงที่หมายเมื่อใด ตลิตอาสามาส่งลักษิณาศรที่มหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่าอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของตนนัก ไตรวินเห็นด้วยจึงคะยั้นคะยอให้เธอขึ้นรถมากับเขา มิหนำซ้ำยังกำชับกับบุตรชายว่าให้ส่งเธอจนถึงมหาวิทยาลัยห้ามปล่อยลงตรงกลางเด็ดขาด จึงเป็นเหตุให้ทั้งสองคนต้องมาติดอยู่บนท้องถนนด้วยกันในเวลานี้

“ขอโทษนะคะพี่ตลิต เพราะลูกศรแท้ๆ พวกพี่ๆ ถึงได้เดือดร้อน” จู่ๆ ลักษิณาศรก็พูดขึ้นมาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ในนาทีหนึ่งระหว่างที่รถจอดรอสัญญาณไปเพื่อจะไปต่อ

“ขอโทษ? ขอโทษทำไมกัน” ตลิตหันมาถามแล้วมองหน้าเธออย่างงงๆ

“ก็ถ้าพี่ตลิตไม่เข้ามาช่วยลูกศรวันนั้น เรื่องเมื่อคืนก็คงไม่เกิด” คำอธิบายของหญิงสาว เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายหนุ่มออกมาจนเต็มหน้า

“นั่นมันความผิดของลูกศรเสียที่ไหนกัน ไอ้หมอนั่นมันหาเรื่องใส่ตัวเองต่างหาก อย่าโทษตัวเองไปเลย” เขาอธิบายกับเธออย่างนุ่มนวล ทว่าลักษิณาศรยังคงก้มหน้านิ่งเพราะยังรู้สึกไม่สบายใจ

“ถึงพี่ตลิตจะบอกแบบนั้น แต่ยังไงเรื่องทั้งหมด มันก็เกิดจากลูกศร เพราะไม่ระวังตัว ถึงได้เกิดเรื่องแบบนั้น”

“ไม่ใช่หรอก ลูกศรอย่าคิดมาก เรื่องมันจะเกิด ต่อให้ไม่มีลูกศรเข้ามาเกี่ยว ยังไงมันก็ต้องเกิดอยู่ดี” ตลิตพยายามยืนยันเพื่อไม่ให้หญิงสาวรู้สึกผิดไปมากกว่าเดิม

“มันอดคิดไม่ได้นี่คะ ยังไงลูกศรก็ยังรู้สึกว่าตัวเองผิดอยู่ดี” ลักษิณาษรยังดึงดันโทษว่าเป็นความผิดของตน

“เฮ้อ! ดื้อเหมือนกันนะเรา งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม เพื่อความสบายใจของลูกศร พี่จะยอมให้เราทำคุณถ่ายโทษ” เมื่อเจ้าตัวยังคงยืนกรานว่าผิด ตลิตจึงเปลี่ยนวิธีเป็นการหาทางออกให้กับเธอ ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เคยคิดโกรธ หรือโทษ ลักษิณาศรเลยแม้แต่น้อย

“ทำคุณถ่ายโทษ! ยังไงคะ?” ลักษิณาศรหนันควับไปมองคนข้างๆ อย่างตื่นเต้น แล้วก็ให้ต้องหน้าแดง เมื่อสบเข้ากับนัยต์ตาสีแปลกของตลิต

“ตอนนี้ยังนึกไม่ออก เอาไว้คิดได้เมื่อไหร่แล้วพี่จะบอกละกัน ดีไหม” ตลิตเห็นอากรกระตือรือล้นของหญิงสาวแล้วให้นึกขัน อะไรมันจะตื่นเต้นปานนั้นก็ไม่รู้

“อ...เอางั้นหรือคะ ถ้างั้นก็ได้ค่ะ ว่าแต่ว่า พี่ตลิตอย่าลืมเสียก็แล้วกันนะคะ” ลักษิณาศรเกิดอาการหน้าแดง ตอบรับไปทั้งที่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ชายหนุ่มจะให้เธอทำอะไรในวันหน้า

“ไม่ลืมแน่นอนครับ ขอแค่ลูกศรไม่เบี้ยวพี่ทีหลังเท่านั้นเป็นพอ”

ต่างคนต่างหัวเราะขึ้นพร้อมกันหลังจบคำของตลิต ความอึดอัดค่อยคลายลงไปพร้อมกับช่องว่างระหว่างเขาและเธอที่แคบลงเรื่อยๆ ตลิตได้เปลี่ยนสถานภาพของตนจากคนแปลกหน้ามาเป็นพี่ชายของลักษิณาศรไปแล้วหมาดๆ

จากนั้นไม่นานรถสีดำคันหรูจึงได้มาเทียบจอดลงตรงฟุตบาทหน้าตึกเรียนของลักษิณาศร เป็นอันว่าภารกิจของตลิตได้เสร็จสิ้นลงตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาอย่างไม่มีผิดพลาด

“ลูกศรไปก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะพี่ตลิต” ลักษิณาศรส่งยิ้มหวานพร้อมกับยกมือไหว้ ทำเอาตลิตมองค้าง ชื่นชมในตัวหญิงสาวชนิดปิดไม่มิด

“วันนี้ลูกศรเลิกเรียนกี่โมง เผื่อว่างานเสร็จงานเร็ว พี่จะได้แวะมารับ”

“วันนี้ลูกศรมีงานที่โรงแรมค่ะ คงจะกลับดึก พี่ตลิตไม่ต้องเป็นห่วง ลูกศรไปแล้วนะคะ สวัสดีอีกครั้งค่ะ” เธอตอบอย่างร่างเริงก่อนจะเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับบรรดาเพื่อนสาว รอยยิ้มหวาน สดใสเสียจนตลิตแทบไม่อยากละสายตา ผ่านไปเป็นครู่จึงคิดได้ว่าสมควรแก่เวลา แล้วจึงเคลื่อนรถออกแต่ก็ยังไม่วายชำเลืองมองไปยังลักษิณาศรจนกระทั่งร่างนั้นลับหายไปจากสายตา

-------------------------------------

“ว่าไงยะยายศร นึกยังไงถึงได้ยอมให้มีราชรถมาส่งถึงที่แต่เช้าละเนี่ย” คำถามออกแนวแซวๆ ดังขึ้นจากหนึ่งในสองสาวที่กำลังนั่งรอเหล่าเพื่อนอยู่ตรงม้าหินอันเป็นที่ประจำของพวกเธอทันทีที่ลักษิณาศรเดินมาถึง

“นั่นสิ! ราชรถพร้อมสารถีสุดหล่อลากดินอีกต่างหาก แบบนี้เขาเรียกว่ามีดีๆ แล้วไม่ยอมบอกเพื่อนฝูงนะยะหล่อน” เลอรัศมีกล่าวเสริมติดตลก

ลักษิณาศรทรุดกายลงนั่งข้างๆ เพื่อนพลางบอก “ไม่ต้องมาแซวเลยยายน้ำ นั่นน่ะพี่ตลิตลูกชายคุณลุงไตรวิน จำไม่ได้หรือไงที่ฉันบอกว่ากำลังจะย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณลุง พี่เขาอยู่ที่นั่นแล้วเมื่อเช้าเขาอาสามาส่งก็เพราะเห็นว่าเป็นทางเดียวกัน ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ความจำสั้นจริงๆ เลยพวกเธอนี่” ลักษิณาศรเล่าไปยิ้มไป ไม่วายส่งค้อนวงโตไปยังบรรดาเพื่อนสาวที่พากันตั้งป้อมแซวตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง

“ความจำพวกเราไม่ได้สั้นเสียหน่อย ลูกศรต่างหากที่ไม่ยอมบอกเราว่าที่บ้านนั้นมีลูกชายหล่อปานเทพบุตรขนาดนี้ ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อย ว่าพี่เขาอายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร แล้วก็มีแฟนหรือยัง” ธิติรัตน์ ซักถี่ยิบ พร้อมกับทำหน้าตาชวนฝัน

“นี่ให้มันน้อยๆ หน่อยเลย แกแดดจริงพวกเธอนี่” ลักษิณาศรเอ่ยปรามเพื่อนทั้งที่จริงๆ แล้วนึกขันกับท่าทางตลกๆ ของพวกเธอมากว่า

“แน่ใจนะว่าเธอไม่มีอะไรกับพี่เขาจริงๆ” ธิติรัตน์ยังไม่ยอมแพ้ กระแซะถามทำตาล้อเลียน

“ก็ไม่มีน่ะสิ” ลักษิณาศรรีบเอ่ยปฏิเสธเพื่อตัดบท

“ตอนนี้ไม่มีแต่ต่อไปไม่แน่” เลิศรัศมีหรือน้ำ ยังตั้งป้อมแซวไม่เลิก

“ยายน้ำ!” ลักษิณาศรฟาดเผียะ ลงบนท่อนแขนเรียวเสลาของเพื่อนสาวจอมแซว คนถูกฟาดถึงกับร้องลั่น

“โอ๊ย! เจ็บนะยายศร ฟาดมาได้ มือหรือเท้ากันแน่เนี่ย ดูสิแดงหมดเลย”

“สมน้ำหน้า อย่างแซวดีนัก”

“เฮ้อ! ให้ตายเถอะ ขนาดมองไกลๆ ยังหล่อขนาดนั้น ขืนเจอกันใกล้ๆ มีหวังใจละลาย ว่าไหมยายรัตน์” ทั้งที่เพิ่งจะโดนซัดไปแหม่บๆ เลอรัศมียังรำพึงรำพันไม่เลิก

“ยังไม่หยุดใช่ไหม” ว่าแล้วลักษิณาศรก็จัดการซัดแม่คนช่างแซวไปอีกรอบ ถือเป็นค่าหมั่นไส้สำหรับความช่างพูดของเพื่อนทำให้เธอต้องหน้าแดง

“โอ๊ย... พอแล้วยายศร ใจคอจะตีให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยหรือไง เรื่องแค่นี้ทำเป็นเขินไปได้” เลอรัศมีกระถดตัวหนีพร้อมตัดพ้อ ธิติรัตน์เปลี่ยนจากคนผสมโรงช่วยแซวมาเป็นนั่งมองภาพการหยอกล้อของสองเพื่อนสาว แล้วหัวเราะร่วน

“ฝากไว้ก่อนเถอะยายน้ำ เอ้อ! แล้วยายเกดละ ยังไม่มาอีกหรือ ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วนี่นา” ลักษิณาศรละมือที่กำลังประทุษร้ายเพื่อนสาว แล้วหันมาถามถึงการะเกดเพื่อนสาวอีกคนที่ยังมาไม่ถึง นึกแปลกใจว่า ตามปกติแล้วการะเกดมักจะมาถึงเป็นคนแรกๆ ของกลุ่มเสมอ

“นั่นสิ! ตั้งแต่มารัตน์ก็ยังไม่เห็นยายเกดเลยเหมือนกัน” ธิติรัตน์ ทำหน้าเหมือนกับเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากเลอรัศมี

“เมื่อคืนพี่ปิ่นโทรมาฝากบอกยายเกดว่าให้ไปแสดงแทนแกที่โรงแรมคืนนี้ พี่แกโทรหายายเกดแต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด น่าแปลกจริงๆ ปกติยายเกดไม่เห็นจะเคยปิดโทรศัพท์เลยนี่นา” ลักษิณาศรเท้าความถึงรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้วแต่ยังคงโยนงานมาให้น้องๆ อยู่เสมอๆ

“นั่นไง! เดินหน้ามุ่ยมาโน่นแล้ว เดี๋ยวเธอก็ลองถามกับเจ้าตัวมันดูเองแล้วกัน” เลอรัศมีพูดพลางทำท่าบุ้ยปากไปยังทิศที่การะเกดที่กำลังเดินทำหน้าบอกบุญไม่รับมาแต่ไกล

“เป็นอะไรไปน่ะยายเกด ไปกินรังแตนที่ไหนมา หน้าบอกบุญไม่รับแต่เช้าเลย” ธิติรัตน์เอ่ยถามทันทีที่สังเกตเห็นความผิดปกติในสีหน้าท่าทางของเพื่อนสาว

“เปล่านี่ ไม่มีอะไร แล้วนี่ทำไมยังไม่ขึ้นไปข้างบนกันอีกล่ะ เกือบได้เวลาแล้วไม่ใช่เหรอ” การะเกดปฏิเสธพร้อมเปลี่ยนเรื่อง เพื่อเลี่ยงไม่ตอบคำถามของธิติรัตน์นั่นเอง

“พวกเราก็กำลังรอเธออยู่นะสิ ทำไมวันนี้ถึงมาช้าล่ะ ทุกทีเห็นมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เอ๊ะ! แล้วนี่แขนเธอไปโดนอะไรมาน่ะเกด” ลักษิณาศรเหลือบไปเห็นรอยถลอกบนท่อนแขนเรียวเสลาของเพื่อนรักแล้วให้อดไม่ได้ที่จะถามเพราะความเป็นห่วง

“หือ? อ๋อ... แค่หกล้มนิดหน่อย หลายวันแล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก” การะเกดตอบแบบไม่ใส่ใจกับอาการบาดเจ็บของตน ทว่าในใจกลับเต้นไม่เป็นส่ำ เหมือนกับทุกครั้งที่นึกเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าของวันก่อน “จริงสิ! ศรมีอะไรกับเกดหรือเปล่า เห็นโทรหาตั้งแต่เช้า ”

“ก็พี่ปิ่นน่ะสิ ฝากศรมาบอกเกดว่าให้ไปแสดงที่โรงแรมแทนแกที พอดีพี่แกติดธุระด่วนน่ะ เกดล่ะว่างหรือเปล่า”

“คืนนี้เหรอ กี่ทุ่มล่ะ”

“สามทุ่ม คิวพี่ปิ่นอยู่ก่อนหน้าศรคิวหนึ่ง บวกลบไม่เกิน 15 นาที”

“อืม ก็พอได้อยู่นะ งั้นเดี๋ยวพอเสร็จจากงานแรก ลงเวทีปุ๊บเกดจะรีบนั่งแท็กซี่ไปหาศรเลยละกัน”

“ดีเลย ตอนเลิกจะได้กลับบ้านด้วยกัน” ลักษิณาศรยิ้มรับด้วยความยินดี

“ตกลงกันได้แล้ว เราก็รีบเสด็จกันเถอะค่ะองค์หญิง ขืนช้ามีหวังได้โดนอาจารย์เอื้องสวดเปิงกันพอดี”

ธิติรัตน์พูดแทรกขึ้นมา เป็นการตัดบทเมื่อเห็นว่าเวลาจวนเจียนเต็มที บรรดาเพื่อนสาวต่างพากันลุกและวิ่งเข้าไปยังด้านในของตึกโดยพลัน จะมีก็แต่การะเกดเท่านั้นที่ยังคงเดินรั้งท้าย ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความสับสน เรื่องราวต่างที่ประดังเข้ามาในชีวิตเธอ ทั้งที่เธอเองก็ได้พยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นผล การหาเงินไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ แต่เงินจำนวนมากขนาดนั้นเธอจะไปหาที่ไหนในระยะเวลาอันสั้น เพราะเงินตัวเดียวเท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้การะเกดต้องประสบกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้ เป็นเพราะพี่ชายของเธอใช้ชีวิตผิดพลาด ติดหนี้พนันบอลจนทำให้พวกเจ้าหนี้ตามมาทวงเงินคืนถึงบ้าน ไม่เช่นนั้นแล้วเธอคงไม่ต้องตัดสินใจทำเรื่องสิ้นคิดอย่างการกระโดดให้รถชนเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายอะไรแบบนั้นหรอก มารดาของเธอก็คงไม่ต้องถูกพวกเจ้าหนี้โต๊ะบอลข่มขู่จนต้องอกสั่งขวัญแขวน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนพวกนั้นจะกลับมาเล่นงานทั้งตัวเธอและมารดา และหากครบกำหนดตามที่พวกนั้นบอกไว้ แล้วเธอยังไม่สามารถหาเงินไปคืนได้ การะเกดนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเกิดขึ้นอะไรกับครอบครัวเล็กๆ ของเธอ

อันที่จริงการะเกดไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าตนจะต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์ใดๆ ที่พี่ชายก่อขึ้นแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะมารดาที่เฝ้าอ้อนวอนให้เห็นแก่ความเป็นพี่น้องช่วยหางานมาใช้คืนคนพวกนั้นแทนพี่ชาย เธอจึงต้องรับงานแทบไม่เว้นแต่ละวัน แต่ไม่ว่าจะไปสักกี่งานก็ยังไม่สามารถหาเงินได้ครบตามจำนวนนั้น แต่เพื่อความสบายใจของมารดาเธอจำต้องเก็บกลั้นความรู้สึกอัดอกอัดใจเอาไว้ จำได้ดีถึงสายตาของท่าน ยามที่เล่าถึงเหตุการณ์บุกมาทวงเงินถึงบ้านของเหล่าเจ้าหนี้โต๊ะบอล มันช่างอะไรบีบคั้นหัวใจของคนเป็นลูกเช่นเธอเสียยิ่ง เธอจึงได้ตัดสินใจกระทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่ที่แย่กว่าคือเธอทำไม่สำเร็จ แถมเธอยังเจ็บตัวฟรีอีกต่างหาก คิดแล้วก็ให้ยิ่งเจ็บใจตัวเองมากขึ้นไปอีก

แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี จะหาเงินมาใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้พวกนั้น เงินสองแสนอาจฟังดูไม่มากมายสำหรับใครบางคน แต่สำหรับเธอและครอบครัวแล้ว เงินจำนวนนั้นมันมากมายนัก เธอควรทำอย่างไรดีกับระยะเวลาสั้นๆ แบบ ถ้าเกิดว่าเธอหาเงินมาได้ไม่ครบ พี่ชายเธอมิถูกพวกมันตามมาตัดแขนตัดขาดังที่เห็นเป็นข่าวอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรอกหรือ แล้วมารดาของเธอเล่า ท่านจะต้องทุกข์ใจสักเพียงไหน ท่านจะไม่เสียใจจนล้มป่วยลงไปอีกหรือ ทำไมนะ ทำไมโชคชะตาจึงต้องเล่นตลกกับครอบครัวเธอถึงเพียงนี้ คิดแล้วให้น่าอนาถใจนัก

----------------------------------------------




นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2555, 11:25:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:35:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1556





<< 5 : ตะลุมบอน   7 : แผนการร้าย >>
siita 19 เม.ย. 2555, 21:30:59 น.
มาๆ มาต่อจ๊ะดีดี


นิลวนา 20 เม.ย. 2555, 01:15:12 น.
ง่า... กำลัง rewrite อยู่อ้ะค่ะ รออีกนิดละกันนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account