ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 7 : แผนการร้าย

บ่ายโมงตรงพอดิบพอดี เมื่อเครื่องโทรศัพท์บนโต๊ะตัวใหญ่ภายในห้องทำงานกว้างส่งเสียงดังเป็นสัญญาณ ติดตามมาด้วยข้อความจากเสียงหวานของเลขานุการซึ่งนั่งประจำอยู่หน้าห้องที่ห่างออกไปแค่เพียงฝากั้น

“คุณจิระ กับคุณรวีพาแขกมาขอเข้าพบค่ะ”

“ให้เข้ามาได้”

ประตูบานสูงถูกเปิดออก ก่อนที่จิระจะเดินนำหน้าแขกซึ่งตนรับหน้าที่ไปเชิญเข้ามาภายในห้อง โดยมีรวีเดินรั้งท้ายตามหลังเจ้าสัวอลงกรณ์มาติดๆ จะว่าไปดูเหมือนจะเป็นการควบคุมตัวคนร้ายสักคนมาเข้าพบชายหนุ่มผู้เป็นเสียมากกว่า

“นั่งก่อนสิครับคุณอา” พีรพัฒน์เชื้อเชิญอย่างให้เกียรติบุรุษอาวุโสที่เพิ่งมาใหม่พร้อมขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือหนาผายไปยังชุดรับแขกบุหนังสีครีมซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะพาตัวเองมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับ ‘แขก’ ซึ่งดูๆ แล้ววัยน่าจะล่วงเลยมาจนใกล้เคียงกับบิดาของเขา หรือว่าอาจจะมากว่าเสียด้วยซ้ำ โดนส่วนตัวแล้วชายหนุ่มพอจะเคยได้พบปะกับชายผู้นี้มาบ้างยามที่ออกงานสังคมต่างๆ พร้อมกับบิดาและมารดาของเขา แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าคุ้นเคยหรือรู้จักมักจี่

“กาแฟหรือชาดีครับ” เจ้าของใบหน้าคมทว่าสีหน้ามักจะเรียบเฉยอยู่เป็นนิจออกปากถามน้ำเสียงเย็น แม้จะฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เหล่าคนสนิทย่อมรู้ดี ว่าภายใต้อาการนิ่งเฉยนั้นล้วนแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว

“ขอบใจพ่อหนุ่ม แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก เรามาคุยเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลางานของคุณ” เจ้าสัวอลงกรณ์ปฏิเสธพร้อมกับตัดบท ใบหน้าของผู้สูงวัยปรากฏร่องรอยของความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด

พีรพัฒน์พยักหน้าน้อยๆ เป็น สัญญาณ สองบอดี้การ์ดหนุ่มจึงพร้อมใจกันล่าถอยออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่ เพื่อเปิดโอกาศให้คนทั้งสองได้เจรจากัน

“ผมพอจะเดาออกว่าเพราะอะไรคุณถึงได้ส่งคนไปเชิญผมมาที่นี่ในวันนี้” บุรุษผู้มากวัยเข้าประเด็น อย่างไม่อ้อมค้อม ทั้งสีหน้าและแววตาปราศจากความหวั่นเกรง จนคนฟังนึกชื่นชมในความเป็นคนตรง และสุขุมของคนตรงหน้า

“ก็ดีครับ ในเมื่อคุณอารู้เรื่องดีอยู่แล้ว ผมก็จะขอคุยแบบตรงไปตรงมา คนที่ลูกชายคุณอาเล่นงานเมื่อคืนเป็นเพื่อนสนิทของผม และผมก็ถือว่าการกระทำแบบนั้นเป็นการเหยียบหน้าผมโดยเฉพาะ บอกตรงๆ ว่าเคืองมาก” พีรพัฒน์บอกเสียงเข้ม นัยน์ตาแฝงความจริงจังจนกลายเป็นดุตามอารมณ์ที่เริ่มกรุ่น

“อันที่จริงผมเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องเมื่อตอนเช้านี้เอง และที่ยอมตามคนของคุณมาที่นี่ ก็เพราะรู้ว่าลูกชายของผมผิด จึงตั้งใจมาขอโทษแทน ผมผิดเองที่เลี้ยงลูกไม่ได้ดี ปล่อยให้มันไปก่อจนทำให้พวกคุณต้องเดือดร้อน”

การที่เจ้าสัวอลงกรณ์ยอมเอ่ยปากขอโทษแทนบุตรชายเป็นสิ่งที่พีรพัฒน์ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ชายหนุ่มจึงนึกชื่นชมและนับถือน้ำใจของท่าน จะว่าไปแล้ว ชายผู้นี้นับว่ามีความคล้ายคลึงกับบิดาเขาไม่น้อย เพราะในทางกลับกัน หากว่าเขาเป็นคนก่อเรื่อง บิดาของเขาก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน

“อันที่จริงผมเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมกับเพื่อนไม่ได้คิดจะติดใจเอาความ อะไร เพียงแต่ไม่อยากให้มีเรื่องซ้ำรอยแบบเดิมในวันหน้าเท่านั้น”

“ผมเข้าใจ เอาเป็นว่า ผมขอรับรองด้วยเกียรติว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”

“ถ้าพูดจาเข้าใจกันได้ง่ายๆ แบบนี้ก็ดีแล้วครับ หวังว่าคุณอาจะทำได้อย่างที่รับปาก ต่อไปจะได้ไม่ต้องมีเรื่องมากวนใจเราทั้งสองฝ่าย ผมสั่งให้คนปิดข่าวเรื่องนี้แล้ว ส่วนเรื่องคดีผมจะสั่งให้ทนายไปดำเนินการถอนแจ้งความ คุณอาไม่ต้องเป็นห่วง” พีรพัฒน์บอกให้เจ้าสัวอลงกรณ์คลายกังวล พร้อมกันนั้นก็เท่ากับเป็นการสร้างบุญคุณไปด้วยในตัว

“ผมต้องขอบคุณและขอโทษคุณจริงๆ รับรองว่าต่อไปจะคอยดูแลสั่งสอนไอ้ลูกชายตัวดีไม่ให้มันก่อเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาอีก ว่าไปแล้วปล่อยให้มันนอนในมุ้งสายบัวไปสักคืนสองคืนก็น่าจะดี จะได้ดัดสันดานมันเสียบ้าง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมมันถึงได้ขยันหาเรื่องให้ผมปวดหัวได้ทุกวี่ทุกวัน”

“เรื่องภายในครอบครัวผมไม่ขอออกความเห็น ครั้งนี้ผมยกให้เพราะเห็นแก่คุณอาซึ่งเป็นคนน่านับถือ เอาเป็นว่าอย่าให้มีแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นพอ เราจะได้ไม่ต้องมาขัดใจกันในภายหลัง”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง อะไรที่ผมรับปากไปแล้ว ผมรักษาสัญญาเสมอ”

“เป็นอันว่าตกลงตามนั้น ผมรบกวนเวลาคุณอามาพอสมควรแล้ว เดี๋ยวผมให้คนของผมขับรถไปส่งท่าน ที่ทำงานเอง” พีรพัฒน์ ลุกขึ้นเดินนำแขกไปส่งยังหน้าประตู และสั่งการกับสองหนุ่มคนสนิทตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ ก่อนจะลับหายกลับเข้าไปยังห้องทำงานของตน

แม้ว่าการเจรจาจะจบลงด้วยดี แต่กิตติศัพท์ความร้ายกาจของบุตรชายเจ้าสัวอลงกรณ์ทำให้พีรพัฒน์ยังไม่อาจวางใจ ชายหนุ่มส่งสายตาเป็นนัยบอกกับสองหนุ่มว่า ให้ส่งคนคอยตามประกบดูความเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่เอาไว้ จนกว่าจะแน่ใจได้ว่าคนทั้งสองจะทำอะไรนอกเหนือจากสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ในวันนี้

------------------------------------------------------

แฟ้มเล่มบางซึ่งบรรจุข้อมูลประวัติของหญิงสาวที่พีรพัฒน์สั่งให้จิระไปสืบค้น ถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของชายหนุ่ม เมื่อเวลาบ่ายคล้อย

“ประวัติเพิ่มเติมของเด็กผู้หญิงคนนั้นครับนาย”

“ได้มาแล้วเหรอ ไหนมาดูซิว่ามีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษบ้าง” พีรพัฒน์หยิบแฟ้มขึ้นมาเปิดดู ครั้นเมื่ออ่านทวนชื่อและนามสกุลของหญิงสาว สองคิ้วพลันขมวดเข้าหากันอย่างคนกำลังใช้ความคิด

“นามสกุลนี้...” คิ้วที่ขมวดอยู่กลับเลิกขึ้น ตาคมตวัดขึ้นมองหน้าองครักษ์คู่ใจที่ยืนทำหน้านิ่ง

“บุตรสาวคนเล็กของท่านรัฐมนตรี ธีระ โชติคุณารัตน์ ครับนาย แต่ไม่ใช่ลูกของคุณหญิงเพียงตา เธอเป็นลูกนอกกฎหมายที่เกิดกับภรรยาคนแรกของท่านรัฐมนตรี” จิระไขข้อข้องใจโดยละเอียด เมื่อแรกเขาเองก็สะดุดตากับนามสกุลของหญิงสาวเช่นเดียวกัน ครั้นเมื่อสืบจนรู้เรื่องราวในเบื้องลึกแล้ว ข้อมูลนั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงสารเด็กสาวคนนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“อ้อ! มิน่าล่ะ ถึงได้รู้สึกคุ้นนัก”

“ถ้าดูจากประวัติของเธอ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรมากนะครับนาย จะมีก็แต่เรื่องที่เจ้าเด่นไปสอบถามจากคนแถวนั้นเกี่ยวกับเรื่องพี่ชายของเธอ”

“พี่ชายเหรอ” พีรพัฒน์ ทวนคำ ยังนึกไม่ออกว่าเรื่องของพี่ชายหล่อนจะมาเกี่ยวโยงอะไรกับเรื่องที่เธอมากระโดดให้รถของเขาชน

“ครับนาย พี่ชายเธอหายหน้าหายตาไปจากบ้านได้พักใหญ่ๆ แล้วได้ยินว่า กำลังหนีพวกโต๊ะพนันบอล บางที เรื่องที่เธอตัดสินใจกระโดดให้รถเราชน อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ก็ได้นะครับนาย” จิระรายงานพร้อมสรุปทุกอย่างตามความเห็นของตนเอง

“หนี้พนันบอลเหรอ” พีรพัฒน์ขมวดคิ้ว แล้วก้มลงอ่านแฟ้มอีกครั้งอย่างตั้งใจมากกว่าเดิม

“ครับนาย”

“แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมครอบครัวเธอถึงได้ไปจมอยู่ในบ้านเช่าซอมซ่อแบบนั้น เป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรีแท้ๆ มันน่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้สิ” จากรูปถ่ายในแฟ้ม มันทำให้พีรพัฒน์เกิดความสงสัย แม้ว่าเขาจะพอเดาออกถึงความจำเป็นขอบหญิงสาวขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม

“คุณหญิงเพียงตาเป็นคนยังไง ผมคิดว่าเจ้านายน่าจะพอเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเธอมาบ้างแล้ว เธอเป็นลูกสาวของคนใหญ่คนโตแถมยังขึ้นชื่อเรื่องข่มสามี ดังนั้นสำหรับคนเป็นบ้านเล็กแม้จะมาก่อนแต่ถ้าคนกลางไม่แข็งพอ ยังไงๆ ก็คงไม่พ้นถูกกีดกัน” คนสนิทวิเคราะห์ ในสิ่งที่มิได้ระบุไว้ในรายงาน ด้วยเป็นเพียงการคาดเดาและที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งซึ่งนอกเหนือคำสั่ง

“เข้าตำราเมียน้อยเมียหลวงละสิ” พีรพัฒน์บอกพร้อมโยนแฟ้มลงบนโต๊ะ เอนกายลงบนพนักพิงหลับตานิ่งอย่างรอฟัง จิระจึงรีบอธิบายต่อ นึกสะท้อนใจแทนครอบครัวเล็กๆ ที่น่าสงสารของหญิงสาว

“อันที่จริง ต้องบอกว่าคุณหญิงเพียงตาเป็นภรรยาน้อยของท่านรัฐมนตรีถึงจะถูก เพราะถึงเธอจะเป็นภรรยาหลวงของท่านรัฐมนตรีในทางกฎหมาย แต่โดยพฤตินัยแล้วแม่ของเด็กคนนั้นมาก่อน เธอแค่โชคร้ายที่โดนอิทธิพลกับอำนาจเงินตราเข้าแทรกแซง ทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ผมรู้มาว่าเด็นคนนั้นเธอทั้งเข้มแข็งแล้วก็เด็ดเดี่ยวพอตัวเลยนะครับนาย ทำงานตัวเป็นเกรียวหาเงินช่วยแม่และส่งตัวเองเรียนมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เคยง้อขอเงินพ่อแม้แต่บาทเดียว” จิระบอกด้วยความชื่นชมที่แสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตา

“โอ้โฮ! นี่ฉันให้นายไปสืบแค่วันสองวัน ทำไมนายถึงไปรู้อะไรมาได้ละเอียดขนาดนี้เนี่ย” พีรพัฒน์หมุนเก้าอี้หันไปอีกทางแล้วมองไกลยังนอกหน้าต่าง เสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับคำถามบอกให้รู้ว่านั่นไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่คนฟังก็ยังคงเล่าต่อ

“เจ้านายอาจจะลืมไปแล้วว่าชุมชนทางด้านหลังคนโดฯ นั่นตั้งอยู่บนที่ดินของเรา และที่นั่นก็ยังคงเป็นของเจ้านายอยู่ คนดูแลเก็บค่าเช่าเป็นคนของเราและค่อนข้างจะสนิทกับคนแถวนั้น ทำให้เราสืบเรื่องของเธอได้ไม่ยาก แค่บอกว่าเจ้านายอยากได้ข้อมูล ขี้คร้านจะสรรหาข้อมูลมาเล่าจนหมดเปลือก”

จิระบอกไปตามตรงแถมเป็นสิ่งที่พีรพัฒน์ เกือบลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เพราะความที่ทรัพย์สินของเขามีมากมายจนเหลือคณานับ กระจายอยู่เกือบทั่วทุกแห่งหนจนจำแทบไม่หวาดไม่ไหว แม้แต่ที่ดินผืนที่ว่าชายหนุ่มตัดแบ่งส่วนที่รกร้างว่างเปล่า และไม่ได้ทำประโยชน์ ขายให้กับบริษัทธนกิจบริบูรณ์ของเพื่อนรักเพื่อนำไปสร้างคอนโดมิเนียมสูงหลายสิบชั้น ส่วนตัวเขาเองก็ลงทุนซื้อเก็บไว้หนึ่งชั้นเพื่อใช้เป็นที่พักชั่วคราวของตัวเขาเอง

ส่วนที่ดินที่เหลือทางด้านหลัง พีรพัฒน์ประสงค์จะเก็บมันเอาไว้ดังเดิม เพราะแรกเริ่มเดิมทีที่ดินผืนนี้เคยเป็นที่ ซึ่งบิดาของเขาเคยใช้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ผู้คนมากมายอาศัยเช่าบ้าน เช่าที่ดินของครอบครัวเขาอยู่กันมานานหลายชั่วคน หากว่าเขาขายที่ดินไปเสียงทั้งหมด แล้วชาวบ้านเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ไหน จะทำอย่างไรกัน อีกอย่างต่อให้เขาขายที่ดินทั้งหมดไป เงินทองที่ได้ก็ใช่ว่าจะทำให้เขามั่งมีขึ้นอีกมากน้อยสักเท่าไหร่ ในเมื่อธุรกิจนับสิบประเภทที่เขาดูแลอยู่ก็สามารถทำเงินได้มากมายมหาศาลอยู่แล้ว สู้เก็บมันไว้ และให้คนยากไร้ได้มีที่อยู่และทำกินต่อไปจะมีประโยชน์กว่า

“อ้อ! ที่แท้ก็เอาชื่อฉันไปอ้าง” คนตั้งใจฟังบอกอย่างอารมณ์ดี เกือบจะหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินถึงวิธีการสืบข้อมูลของเหล่าบริวารในสังกัด

“อ้าว! ไอ้เราก็นึกว่าอยากรู้”

ผู้เป็นลูกน้องแสร้งบ่นพึมพำ แบบจงใจให้เข้าหูผู้เป็นนาย ยามอยู่กันตามลำพังแบบนี้ ดูเหมือนเส้นแบ่งระหว่างคนทั้งสองจะเลือนรางเสียจนแทบมองไม่เห็น จิระซึ่งตามปกติมักจะทำหน้านิ่ง บุคลิกเยือกเย็นราวน้ำแข็งยามนี้กลับยิ้มแย้ม มิหนำซ้ำยังกล้าต่อคำกับผู้เป็นเจ้านายอีกต่างหาก

“ไม่ต้องมาทำเป็นยอกย้อน เรื่องที่สั่งให้ไปจัดการน่ะ ได้เรื่องหรือเปล่า” ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพีรพัฒน์ ไม่ได้ทำให้จิระหนักใจแต่อย่างใด เพราะความที่เป็นคนสนิทติดตามรับใช้กันมาเนิ่นนานตั้งแต่พีรพัฒน์เพิ่งจะเริ่มเข้าวัยสู่วัยรุ่น เรียกได้ว่าจิระเป็นคนที่รู้ใจและเข้าใจเขาดีที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มอดฉงนใจไม่ได้ก็คือเหตุใดนายของเขาจึงใส่ใจกับหญิงสาวผู้นั้นนัก ทั้งที่ดูๆ ไปแล้วเธอก็น่าจะมีอะไรที่ต้องกับรสนิยมของเจ้านายของเขาสักเท่าไหร่

“คนของเราคอยเฝ้าเธออยู่ครับนาย สบจังหวะเมื่อไหร่ ก็จะรีบพาตัวเธอมาพบนายทันที แต่ว่า....” จิระตอบออกไปทั้งที่ภายในใจยังลังเล

“ทำไมต้องมีแต่ หรือว่าติดปัญหาอะไร” เจ้านายหนุ่มหันกลับมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย

“ก็... ไม่ได้ติดอะไรหรอกครับนาย เพียงแต่สงสัยว่า เจ้านายแน่ใจหรือครับว่าจะให้เราเอาตัวเธอมา” จิระตัดสินใจถามออกไปทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้คำตอบดี

“นายจะสงสัยอะไรนักหนา ฉันก็แค่อยากจะสั่งสอนหล่อนนิดๆ หน่อยๆ ว่าไม่ควรจะมาล้อเล่นกับคนอย่างฉัน แค่นั้นมันจะอะไรนักหนา” ถ้าเป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วๆ ไปจิระคงไม่นึกแปลกใจ แต่นี่ทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร พีรพัฒน์กลับยืนยันให้เขาส่งคนไปพาตัวเธอมาหาเขาถึงที่ แบบนี้จะไม่เรียกว่าแปลกได้อย่างไร

“เธอเป็นถึงลูกสาวของรัฐมนตรีเชียวนะครับนาย” จิระติงเพราะเกิดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาตงิดๆ

ทว่าสำหรับพีรพัฒน์แล้วความรู้สึกอันแปลกใหม่นั่นต่างหากที่เข้ามีอำนาจเหนือความคิดและการควบคุม ชายหนุ่มจึงยังคงยืนยันตามคำสั่งเดิม โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจทำลงไปในวันนี้ จะส่งผลกับชีวิตและจิตใจของเขาให้ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

“แล้วไง! ก็แค่ลูกนอกกฎหมาย ถ้าหล่อนมีความสำคัญจริงก็คงไม่ถูกพ่อทิ้งหรอก นายไปจัดการตามที่ฉันสั่งก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องถาม อ้อ! เย็นนี้ฉันจะแวะไปทานข้าวเย็นกับคุณแม่ก่อน ดึกถึงจะกลับไปที่คอนโดฯ หวังว่านายคงไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

พีรพัฒน์บอกทิ้งท้ายแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกและกรอกเสียงลงไป เป็นอันจบบทสนทนาระหว่างเขากับลูกน้องคนสนิทลงไปโดยปริยาย จิระทำได้แค่ถอยออกจากห้องไปทั้งที่รู้สึกหนักอึ้งภายในใจเพราะความเป็นห่วง

ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหลังจากกรอกคำพูดลงไปแบบรวดเดียวจบ เหลือบตามองไปที่แฟ้มซึ่งกางอยู่บนโต๊ะก่อนจะหยิบมันขึ้นมองดูอย่างพิจารณาอีกครั้ง

‘การะเกด โชติคุณารัตน์... เป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรีเชียวหรือ? ดูเหมือนว่าเธอจะมีอะไรที่ทำให้ฉันแปลกใจได้ตลอดเวลาเลยนะ”

รอยหยักยิ้มมุมปากเผยรอยเจ้าเล่ห์ ฉายชัดอยู่ในวงหน้าคมเข้ม ใบหน้าที่ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็สรุปได้แต่เพียงคำว่า “หล่อบาดใจ” มีแววครุ่นคิด

‘เดี๋ยวก็รู้ ว่าเพราะอะไรเธอถึงทำให้คนอย่างฉันสนใจเธอได้มากมายขนาดนี้’

----------------------------------------------------------

ภาระกิจของสี่สาวสิ้นสุดลงเมื่อช่วงเวลาบ่ายสี่โมง ทั้งสี่คนต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของตน บ้างก็ตรงกลับบ้าน บ้างก็รีบตรงไปทำงานตามที่ได้รับไว้ ลักษิณาศรก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากคณะเป็นคนสุดท้าย ทว่ายังไม่ทันจะก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายก็มีอันต้องชะงักเท้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างของคนที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจอในสถานที่และเวลาแบบนี้

“สวัสดีค่ะ ลมอะไรหอบพี่ภูมาแถวนี้คะ มาทำธุระหรือว่ามาคอยใครหรือเปล่า” ลักษิณาศรก้าวลงบันไดมาหยุดยืนยังเบื้องหน้าชายหนุ่มแล้วเอ่ยทักทายไปตามมารยาท

“พี่มารอลูกศรน่ะ”

“รอลูกศร รอทำไมคะ แล้วรู้ได้ยังไงคะ ว่าลูกศรอยู่ที่นี่”

“พี่โทรไปที่บ้าน แต่ป้าแก้วบอกว่าวันนี้ลูกศรออกมามหาวิทยาลัย บังเอิญว่าพี่อยู่แถวๆ นี้พอดี เลยลองเสี่ยงมาดักรอ เผื่อว่าลูกศรว่างจะได้ชวนไปดูแบบผ้าม่านกับของแต่งห้องเพิ่มเติมน่ะครับ” ภูวิชตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ และเป็นกันเองจนลักษิณาศรนึกแปลกใจ

“แต่ว่าเมื่อวานนี้เราก็ไปดูมาตั้งเยอะแล้วนี่คะ อันที่จริงพี่ภูตกแต่งตามที่เห็นสมควรไปได้เลยนะคะ ห้องแบบไหนลูกศรก็อยู่ได้ทั้งนั้น อย่าลำบากลำบนไปเลยค่ะ” ลักษิณาศรพยายามรักษาระยะห่างโดยการบอกปัดอย่างนุ่มนวล

“อย่าพูดเหมือนเกรงใจกันแบบนั้นสิครับ เพราะมันก็ไม่ลำบากอะไรเลย ช่วงนี้พี่เองก็ว่างๆ เลยอยากมาชวนลูกศรไปเดินดูของด้วยกันแค่นั้นเอง” ภูวิชบอกยิ้มๆ แววตาหวานเชื่อมปราศจากความเคอะเขิน

“เหรอคะ แหมแต่ว่าวันนี้ลูกศรไม่ว่างเสียด้วยสิคะ คงจะไปด้วยไม่ได้หรอกค่ะ”

“อ้าว! งั้นหรือครับ แหมน่าเสียดายจริง” ภูวิชแสดงออกถึงความเสียดายทั้งจากคำพูดและแววตา

“ลูกศรต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้พี่ภูเสียเวลา”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ พี่ต่างหากที่มาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ไหนๆ ก็มาแล้ว ลูกศรกำลังจะไปไหนที่หรือครับ เดี๋ยวพี่ไปส่งให้เอง” ชายหนุ่มรับอาสาเป็นสารถีให้กับหญิงสาวด้วยความเต็มอกเต็มใจ

“อ๋อ...คือลูกศรรับงานแสดงเอาไว้น่ะค่ะ แต่พี่ภูไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกศรไปเองได้ ปกติก็ไปไหนมาไหนเองอยุ่แล้ว อย่าลำบากไปเลยนะคะ” เจ้าของดวงหน้าหวานตอบปฏิเสธด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตามความรู้สึกของลักษิณาศร แม้ว่าเธอจะพอคุ้นเคยกับเขาคนนี้มาบ้างแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่มากพอที่เธอควรจะวางใจไปไหนมาไหนกับเขาตามลำพังมิใช่หรือ

“พูดเหมือนเกรงใจเลย เราคนกันเองแท้ๆ บอกแล้วไงครับว่าพี่ว่าง บอกมาเถอะครับว่าที่ไหน รับรองพี่จะไปส่งให้ถึงที่เลย” ชายหนุ่มยังคงทู่ซี้

“แต่ว่ามันไกลนะคะ เสียเวลาพี่ภูเปล่าๆ ลูกศรไปเองดีกว่า”

“อย่าคิดมากสิครับ ยังไงเสียพี่ก็มาถึงที่นี่แล้ว เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ลูกศรอนุญาติให้พี่ไปส่งเถอะนะ ครับ จะให้แถมรอรับกลับด้วยก็ยังไหว อ๊ะ! หรือว่าลูกศรกลัวว่าพี่จะหลอกพาเราไปขาย” ภูวิชใส่ลูกตื้อ แถมยังแซวเล่น ราวกับหญิงสาวเป็นเด็กหญิงตัวน้อย อาการระมัดระวังตัวกับคนแปลกหน้ายิ่งทำให้ชายหนุ่มทึ่ง ในตัวเธอมากยิ่งขึ้นไปอีก

สิ่งที่ภูวิชคิดนั้นหาได้ไกลจากความเป็นจริงเลย ตามปกติแล้วลักษิณาศรจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เธอไม่คุ้นเคย อย่าว่าแต่การขันอาสาไปรับไปส่งเลย แม้แต่เข้าใกล้หากไม่จำเป็นหญิงสาวก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใคร มิหนำซ้ำยังพยายามหลีกเลี่ยงอีกต่างหาก แต่สำหรับครั้งนี้ลักษิณาศรยอมรับว่าเธอตั้งตัวไม่ทัน อีกทั้งโดยส่วนตัวแล้วเธอไม่คิดว่าภูวิชจะเป็นคนที่ต้องหลีกเลี่ยงเหมือนกับคนอื่นๆ ครั้นจะมัวแต่บ่ายเบี่ยงก็รังแต่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ หญิงสาวจึงตอบตกลง

“งั้นก็ได้ค่ะ แต่ว่าไม่ต้องรอรับกลับหรอกนะคะ เพราะกว่าจะเสร็จงานคงจะดึกมากแล้ว” เสียงหวานใสตอบรับ พร้อมกับต่อรอง

“ตกลงครับ พี่ว่าเรารีบไปกันดีกว่า ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ประเดี๋ยวรถจะยิ่งติด ไปครับ รถพี่จอดอยู่ทางด้านโน้น ” ภูวิชบอกทางแล้วออกเดินนำ ใบหน้าขาวๆ ระบายยิ้มออกมาไม่อาจปกปิดอาการดีใจ

ลักษิณาศรมองท่าทางที่แสดงออกของหนุ่มรุ่นพี่แล้วใช้ความคิด หรือว่าเธอควรจะจัดเขาไว้ในกลุ่มคนที่เธอต้องหลีกห่างดี เพราะจะว่าไปแล้ว ท่าทางของภูวิชดูออกจะเจ้าชู้ไม่น้อย แถมยังตื้อเก่งอีกต่างหาก

‘เฮ้อ! เห็นทีคราวหน้าคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้เสียแล้ว’ ลักษิณาศรถอนหายใจ เกิดอาการหนักอกขึ้นมาตงิดๆ

--------------------------------------------------------

เกือบจะสองทุ่มอยู่รอมล่อ แต่เอกสารที่ตลิตต้องเซ็นต์อนุมัติยังคงกองรออีกเป็นตั้ง ทั้งที่เขาใช้เวลาเกือบจะตลอดครึ่งวันบ่ายในการจัดการกับงานเหล่านี้ ทว่าเนื้อหาของงานในแต่ละแฟ้มล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ต้องอ่านทวนและทำความเข้าใจก่อนที่จะเซ็นต์อนุมัติลงไป รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง หากมองข้ามอาจหมายถึงปัญหาที่จะต้องตามแก้ในภายหลัง ตลิตจึงก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอย่างเอาเป็นเอาตาย จนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดประตู หรือเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่บุกเข้ามาหาเขาแบบถึงเนื้อถึงตัว

“จ๊ะเอ๋! ทำอะไรอยู่คะลิต ยังไม่เลิกงานอีกเหรอ” ร่างโปร่งบางอย่างนางแบบย่องเข้ามาสวมกอดร่างหนาของชายหนุ่มชนิดที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางเคลือบสีสวย ประทับลงบนแก้มสากเต็มแรงเป็นการทักทาย ในฐานะของคนรู้ใจ

“อ๊ะ! อ้าว! นิศา! มาได้ยังไงกันครับนี่ แล้วทำไมไม่โทรบอกก่อน” คนถูกประชิดตัวร้องถามอย่างเลิ่กลั่ก

“นิศาก็เดินเข้ามาธรรมดาเหมือนทุกที อะไรกันคะลิต เดี๋ยวนี้ถ้าจะมาหาคุณนี่ต้องโทรนัดกันก่อนแล้วหรือคะ” นิศากรตอบกลับอย่าแง่งอน

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คุณมาโดยไม่บอกแบบนี้ เกิดว่าผมกลับไปแล้ว คุณมิมาเก้อหรอกหรือครับ” ตลิตว่าพลางเหลือบตามองไปทางหน้าประตู นึกสงสัยว่าเหตุใดหญิงสาวจึงสามารถเดินผ่านเข้ามาถึงในห้องของเขาได้อย่างเงียบเชียบปานนี้

“แต่นิศาก็มาถึงนี่แล้วนี่คะ ลิตเองก็ยังอยู่ ทำไมคะ หรือว่าลิตไม่พอใจที่นิศามาหาคุณ”นางแบบสาวทำอาการตระแหง่แง่งอน นึกแปลกใจในท่าทีของชายหนุ่มซึ่งตามปกติแล้วเขาจะแสดงท่าดีใจทุกครั้งที่เห็นเธอ ไม่ใช่ตั้งป้อมตำหนิเหมือนในตอนนี้

“อย่างอนสิครับนิศา ผมแค่ถามเฉยๆ แล้วนี่! ข้างนอกไม่มีใครอยู่เลยหรือครับ ทำไมไม่มีใครบอกผมเลยว่าคุณมา” ตลิตตอบปัดๆ รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“นี่มันเกือบจะสองทุ่มแล้วนะคะตลิต พนักงานของคุณเขาก็กลับบ้านกลับช่องกันไปหมดแล้วน่ะสิ มีแต่คุณนั่นแหละ ที่ขยันนั่งทำงานจนมืดค่ำป่านนี้ จะเอาเงินไปเก็บที่ไหนกันหมดคะนี่”

ร่างโปร่งบางเบียดกายนั่งลงบนท่อนขาแข็งแกร่งอุดมไปด้วยมัดกล้าม ไม่เพียงทำเสียอ่อนเสียงหวาน ดูเหมือนมือไม้ของเจ้าหล่อนยังจะไม่ยอมอยู่สุกอีกต่างหาก นิ้วเรียวยาวคอยแต่จะลูบไล้วนเวียนอยู่บนแผงอกกว้าง ราวกับจะหยอกล้อจนตลิตเกิดอาการหายใจติดขัด

“นิศาตั้งใจว่าจะมาชวนคุณไปทานข้าว ระยะหลังๆ มานี่ เราไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเลยนะคะ” คำออดอ้อนส่งตรงถึงริมหู ทำเอาชายหนุ่มเริ่มจะเคลิ้มตาม “ไปทานข้าวกันนะคะลิต นิศาหิวจนไส้จะขาดแล้ว นะคะไปด้วยกันนะ” ทั้งน้ำเสียง ทั้งสีหน้า และแววตาช่างออดอ้อนเย้ายวนจนคนฟังชักจะใจอ่อนตาม

“แต่ว่าผมยังเคลียร์งานไม่เสร็จเลยนะครับนิศา เอาไว้วันหลังดีกว่าไหม”

ถ้าเป็นยามปกติตลิตคงจะตอบตกลงไปแล้ว ธรรมดาแล้วชายหนุ่มมักจะคล้อยตามอารมณ์ที่ถูกยั่วยุแบบนี้ได้โดยไม่ยาก แต่น่าแปลกที่คราวนี้เขากลับไม่รู้สึกยินดี ในทางกลับดูเหมือนว่าเขาจะพยายามเบี่ยงกายหนีปัดป้องเธอเสียด้วยซ้ำ นิศากรสังหรณ์ใจขึ้นมารางๆ ว่ารสเสน่หาของเธอน่าจะมัดชายหนุ่มเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว

“งานตั้งเยอะตั้งแยะ ทำคืนนี้ทั้งคืนก็คงไม่หมดหรอกค่ะ เอาไว้ลิตค่อยมาทำต่อวันพรุ่งนี้ก็ได้นี่นา วันนี้ไปทานข้าวกับนิศาก่อนเถอะนะคะ นะคะลิตคนดี” ร่างบางรุกหนักด้วยการบดเบียดกระแซะช่อบัวตูมกับอกหนา วาจาเว้าวอนฉอ้อน อ่อนหวาน ตั้งเป้าไว้ว่าหากไม้นี้ยังไม่สำเร็จ ก็จะงัดแม่ไม้ทีเด็ดขึ้นมาใช้จนกว่าชายหนุ่มจะใจอ่อนยอมตาม

“อ้ะ! ก็ได้ แต่ว่าคืนนี้ผมคงแค่ไปทานข้าวกับคุณเท่านั้นนะครับ เพราะยังมีธุระที่ต้องไปทำแทนคุณพ่อ อย่างอื่นคงต้องขอแปะเอาไว้ก่อน เอาไว้ว่างๆ เราค่อยนัดกันอีกที ตกลงไหมครับ”

ตลิตรู้ดีว่าต่อให้เขายืนกรานปฏิเสธ ยังไงนิศากรก็คงจะไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงอย่างมีเงื่อนไข เจตนาที่แท้จริงของคู่ควงสาวสวยคนนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ มองแค่ปราดเดียวก็ทะลุไปลึกถึงกลางใจแล้ว หากไม่มีบางสิ่งที่ต้องการแล้วละก็ เธฮคงไม่ลงทุนมาหาเขาถึงที่นี่ในเวลาแบบนี้หรอก

แม้คำตอบที่ได้จะไม่ถูกใจเธอทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังยอมไปทานอาหารค่ำกับเธอ การที่เขายังตอบรับเธอบ้าง ก็ยังดีกว่าถูกปฏิเสธเสียทั้งหมดมิใช่หรือ

“ก็ได้ค่ะ” นางแบบสาวยอมรับอย่างมีแง่งอนเล็กน้อยแต่พองาม จากนั้นจึงพูดต่อ “คราวนี้นิศายกให้ แต่คราวหน้า ห้ามลิตปฏิเสธนิศาเด็ดขาดเลยนะคะ ไม่งั้นนิศาไม่ยอมจริงๆ ด้วย ไปกันเถอะค่ะ นิศาหิวจะแย่แล้ว” พูดจบก็จัดแจงทั้งฉุดทั่งดึงชายหนุ่มให้ต้องลุกตาม

ภัตตาคารหรูริมน้ำใกล้ๆ กับสำนักงานของตลิตเป็นสถานที่ชายหนุ่มเห็นว่าเหมาะที่สุดสำหรับช่วงเวลาอาหารค่ำที่มีเวลาจำกัดอย่างเช่นในคืนนี้ ร่างสูงใหญ่บวกกับรูปลักษณ์สะดุดตาของบุรุษหนุ่มที่เคียงคู่มากับนางแบบสาวชื่อดังอย่างนิศากร สะกดความสนใจจากสายตาเกือบจะทุกคู่ให้ต้องหันมอง เรียกรอยพึงพอใจออกมาจากดวงหน้าเก๋ของนางแบบสาวเป็นที่ยิ่ง ดินเนอร์หรูกับบรรยากาศหวานๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนนับร้อย รับรองได้เลยว่าเรื่องซุบซิบระหว่างเธอกับชายหนุ่มสุดฮ๊อตจะต้องปรากฏอยู่บนหน้าข่าวสังคม รวมทั้งเป็นข่าวซุบซิบที่ผู้คนโจทก์ขานกันบนหน้าอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน เผลอๆ อาจจะมีภาพหลุดออกมาให้ใครต่อใครได้ชมเป็นขวัญตาก็เป็นได้ ‘ใครจะรู้’

ชายหนุ่มเลือกที่นั่งตรงบริเวณที่ยื่นลงไปในแม่น้ำซึ่งเผยทัศนียภาพสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา แตกต่างไปจากมุมที่เขามองลงมาจากห้องทำงานในทุกๆ วัน ตรงข้ามกับจุดที่เขานั่งคือที่ตั้งของโรงแรมห้าดาว ที่เจ้าของใบหน้างามซึ้งกำลังปฏิบัติงานอยู่ ดวงหน้าหวานที่เอาแต่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาจนตลอดทั้ง ‘ลักษิณาศร’

อาการเหม่อลอยของตลิต มีหรือจะรอดพ้นไปจากสายตาของนิศากร ความผิดปกติของชายหนุ่มราวกับย้ำเตือนความสงสัยของเธอให้ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น หญิงสาวแสร้งกระแอมดังๆ แล้วชี้ชวนดึงความสนใจของเขาให้กลับมาสู่ตน

“ลิต จะทานอะไรดีคะ ที่นี่มีของน่าทานเยอะแยะจนนิศาเลือกไม่ถูกเลยค่ะ”

“ครับ! ว่าอะไรนะครับนิศา” ตลิตได้สติ ถามกลับอย่างละล่ำละลัก

“ลิต! ใจลอยไปถึงไหนแล้วคะนี่ นิศาถามว่าจะคุณอยากจะทานอะไร” นางแบบสาวเน้นเสียงทวนคำถาม แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความไม่พอใจ

“อ๋อ! คือ นิศาสั่งตามสบายเลย ผมทานอะไรก็ได้” หนุ่มลูกครึ่งเขาตัดปัญหาโดยการยกหน้าที่สั่งอาหารให้กับเธอ ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายเหลือบตามองไปยังอีกฟากฝั่งของแม่น้ำอยู่เป็นระยะๆ

“งั้นนิศาไม่เกรงใจล่ะนะคะ เอ! ทานอะไรกันดีน้า” นิศากรบอกงอนๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเลือกเมนูอาหาร แอบนึกสงสัยอยู่ในใจว่า ที่ฟากโน้นมีสิ่งใดที่น่าสนใจจนถึงขนาดที่ตลิตต้องคอยหันกลับไปมองอยู่เรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ

ผ่านไปได้พักใหญ่ๆ แต่อาหารบนโต๊ะยังพร่องลงไปไม่มาก ตลอดเวลาของการรับประทานอาหาร นิศากรพยายามดึงความสนใจของชายหนุ่มโดยการชวนพูดชวนคุย แต่ตัวเขานี่สิกลับเอาแต่นิ่งฟัง และพยักหน้ารับรู้ไปตามเรื่องตามราว ชวนให้สงสัยว่าเขากำลังฟังเธออยู่หรือเปล่า จนนิศากรนึกรำคาญใจขึ้นมาตงิดๆ และสุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหว ต้องถามออกมาตรงๆ

“นิศาว่าคุณดูท่าทางแปลกๆ ไปนะคะลิต มีอะไรหรือเปล่า หรือว่านิศาทำอะไรไม่ถูกใจคุณคะ”

“หือ? ก็เปล่านี่ครับ ไม่มีอะไร คือ... ผมเป็นห่วงเรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรจริงๆ” ตลิตปดเลี่ยงๆ

“งั้นก็แล้วไปค่ะ เอ้อ! ลิตคะ วันนี้นิศาไปเดินเล่นที่ห้างมา เห็นนาฬิกาเรือนหนึ่ง ส๊วย สวยค่ะ”

ในที่สุดนิศากรก็วกเข้าเรื่องที่เป็นสาเหตุให้เธอตั้งใจมาหาเขาในคืนนี้จนได้ แต่ปฏิกิริยาตอบรับของตลิตนี่สิ ขนาดว่าเพิ่งจะถูกเธอติงไปแหม่บๆ ชายหนุ่มก็ยังไม่วายใจลอยมองไปยังอีกฟากฝั่ง แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามดึงสติให้กลับมาอยู่กันคนตรงหน้าก็ตาม

“ลิตอ้ะ ใจลอยตลอดเลย นิศาน้อยใจจะแย่แล้วนะคะ”

“โธ่! อย่าคิดมากสิครบนิศา บอกแล้วไงว่าผมห่วงเรื่องงาน ไหนเมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”

“นิศาบอกว่า วันนี้ไปเห็นนาฬิกาเรือนหนึ่งมา สวยมากๆ นิศาถูกใจ เลยอยากได้น่ะค่ะ” แม้จะกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความไม่พอใจ แต่นิศากรก็ยังไม่ลืมที่จะพูดในสิ่งซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเดิม

‘ไหมล่ะ นึกเอาไว้แล้วไม่มีผิด’ ตลิตคิดอยู่ในใจ

“อาทิตย์หน้าจะเป็นวันครบรอบวัดเกิดของนิศา ลิตซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดนิศานะคะ” นิศากรอ้างเหตุผลโดยการขอของขวัญ คือนาฬิกาฝังเพชรเรือนราคาลิบลิ่งเรือนนั้น

“วันเกิด? วันเกิดนิศาหรือครับ ก็ไหนคุณว่า... เอ่อ... ช่างเถอะ เรือนเท่าไหร่ล่ะครับ”

ตลิตจำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อน เขาเพิ่งจะซื้อกำไรข้อมือทองคำขาวฝังเพชร ราคาเรือนแสนให้กับเจ้าหล่อนเป็นของขวัญวันเกิดไปแหม่บๆ แล้วนี่ก็เพิ่งจะผ่านไปแค่สองสามเดือนเท่านั้นเอง ไฉนเธอจึงมีวันเกิดได้บ่อยดังใจปานนั้น ครั้นนึกได้ เขาจึงแสร้งกลบเกลื่อน เพราะทักท้วงไปก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ยังไงๆ นิศากรก็จะหาเหตุผลอื่นมาอ้างกับเขาอยู่ดี สู้ให้ๆ ไปเสีย แล้วก็จบเรื่องไป คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนกับความสุขที่เขาตักตวงจากตัวเธอตลอดระยะเวลาหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ก็นับว่าคุ้มค่าอยู่พอควร ตลิตจึงลืมๆ เรื่องเหล่านั้นไปเสีย หรือจะเรียกว่าไม่ใส่ใจก็ย่อมได้

“ไม่แพงหรอกค่ะ แค่สี่แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง เป็นอันว่าลิตตกลงแล้วนะคะ งั้นเรานัดกันอีกทีอาทิตย์หน้า แล้วคุณค่อยพานิศาไปซื้อ แบบนั้นดีไหมคะ” นิศากรสรุปอย่างร่าเริง ทุกอย่างเป็นไปดังที่เธอคาดหวัง อย่างน้อยสิ่งนี้ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตลิตยังคงรักและหลงใหลในตัวเธอเหมือนเดิม

“ไม่แน่ใจว่าอาทิตย์หน้าจะว่างหรือเปล่าน่ะสิ เอาไว้อาทิตย์หน้าถ้าคุณว่างก็เราค่อยนัดกันอีกทีดีไหม ถ้าผมว่างก็จะไปด้วย แต่ถ้าไม่ว่างไปด้วย ก็จะเซ็นต์เช็คให้คุณไปแทน ตกลงตามนี้นะครับ”

“ก็ได้ค่ะ ลิตใจดีจังเลย นิศารักคุณนะคะ”

“รีบทานต่อเถอะครับ เพราะอีกเดี๋ยวผมคงต้องกลับแล้ว” ชายหนุ่มสรุปง่ายๆ แล้วหันกลับไปมองยังทิศที่ตั้งของโรงแรมใหญ่อีกครั้ง การพูดคุยยังคงดำเนินต่อไปโดยมีนิศากรผูกขาดการพูดเสียเป็นส่วนใหญ่

อารามดีใจที่ได้ของขวัญดังปรารถนาทำให้นิศากรมองข้ามความเปลี่ยนแปลง ในครั้งนี้ของตลิตไป หญิงสาวไม่อาจรู้ได้เลยว่าความเห็นแก่ได้ ชะล่าใจและละเลยในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเธอในครั้งนี้ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น และกำลังจะลุกลามจนกลายเป็นเหตุให้เธอต้องสูญเสียบ่อเงินบ่อทองนี้ไปจนตลอดกาล

----------------------------------------------------------

ร่างอรชรของหญิงสาวที่เพิ่งก้าวพ้นจากทางออกด้านหน้าโรงแรมกำลังจ้ำอ้าวอย่างเร่งรีบเพราะเป็นเวลาดึกพอสมควร เพราะความเร่งรีบจึงทำให้เธอไม่ทันสังเกตว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของชายฉกรรจ์ สองคนซึ่งมายืนดักรอเธออยู่ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ห่างออกไปคือรถเก๋งสีดำปลอดจอดซุ่มรออยู่ตรงริมฟุตบาทเยื้องจากป้ายรถเมล์ไปพอควร เหตุเพราะคำสั่งอันเข้มงวดของบุรุษผู้เป็นนายทำให้พวกเข้าต้องเฝ้าคอยติดตามดูหญิงสาวตลอดทั้งวันด้วยความอดทน และภายในคืนนี้ พวกเขาต้องพาตัวหญิงสาวไปพบกับเจ้านายหนุ่ม โดยห้ามมิให้มีสิ่งใดบอบช้ำบุบสลายเป็นอันขาด

ป้ายรถเมล์ยามดึกแบบนี้ ร้างไร้ผู้คนผิดจากเมื่อช่วงหัวคำอย่างสิ้นเชิง ร่างกะทัดรัดหอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรัง เดินตรงเข้ามานั่งรอรถเมล์อยู่บนม้านั่ง ไม่เฉลียวใจเลยสักนิดยามที่ร่างหนาของชายฉกรรจ์สองคนพากันเดินเข้ามาขนาบข้าง หรือจะเรียกประกบก็คงไม่ผิด ครั้นจะขยับตัวหนีก็ช้าไปเสียแล้ว ผ้าสีขาวผืนเล็กในมือหนาถูกยื่นมายังใบหน้าแล้วโปะลงมาบนจมูก กลิ่นเอียนๆ บนผ้าทำให้เธอเกิดอาการมึนงง แม้จะพยายามดิ้นหนี แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน

พาหนะสีเข้มกลืนกับราตรีก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ประตูด้านข้างถูกเปิดออก จากนั้นร่างสูงหนาของใครบางคนก็ก้าวลงมา แล้วช้อนอุ้มร่างของเธอพากลับขึ้นไปบนรถคันนั้น การะเกดพยายามเพ่งมองใบหน้าของชายคนนั้น พยายามนึกว่าใบหน้านี้ตนเคยเห็นจากที่ไหน มโนสติเริ่มลดน้อยถอยลงไป พร้อมๆ กับการรับรู้ที่ค่อยๆ ช้าลง ไปตามๆ กันก่อนสติของเธอจะดำดิ่ง การะเกดได้ยินคล้ายกับว่าชายคนนั้นกำลังโทรศัพท์หาใครบางคนและรายงายผล

‘ใช่แล้ว! หนึ่งในสองผู้ติดตามของเจ้าวายร้ายคนนั้นไง’

ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมจนเกือบจะดำมืด การะเกดรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนหน้าผาสูง เบื้องหน้าคือเหวลึก ส่วนเบื้องหลังคือความเวิ้งว้าง มืดมิดอันไร้ขอบเขต เธอรู้สึกสับสน เลือกไม่ถูกว่าเธอควรจะก้าวเดินไปทางไหนดี

‘นี่มันเรื่องอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น แล้วพวกคุณกำลังจะพาฉันไปไหน’ การะเกดร่ำร้องถาม แต่หาได้มีเสียงใดเล็ดรอดจากลำคอ

ร่างน้อยแน่นิ่งไปพร้อมกับสัมปชัญญะสุดท้ายที่ดับวูบลง สรรพสิ่งพลันว่างเปล่าและเงียบงัน แต่ในไม่ช้าหญิงสาวก็จะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตื่นมาเพื่อพบกับบางสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

-----------------------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2555, 17:38:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:35:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1317





<< 6 : หัวใจที่หล่นหาย   8 : ปั่นป่วน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account