ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 12 เล่ห์มนุษย์

งานฉลองครบรอบสามสิบปีของกลุ่มบริษัทภายใต้ตระกูลกฤษะโสภณถูกจัดขึ้นพร้อมกับการฉลองความสำเร็จอย่างไม่เป็นทางการของโครงการก่อสร้างโครงการอาคารเอนกประสงค์ ซึ่งรวมเอาสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และคอนโดมิเนียมหรูเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งที่โครงการยังไม่แล้วเสร็จ แต่ด้วยแผนงานด้านการประชาสัมพันธ์ที่ถูกวางไว้เป็นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้โครงการนี้ได้รับผลสำเร็จชนิดเกินความคาดหมาย ดังจะเห็นได้ชัดจากความตื่นตัวและกระแสการตอบรับของผู้คน ที่พากันหลั่งไหลเข้ามาจับจองพื้นที่จนหมดเกลี้ยงลงไปภายในระยะเวลาอันสั้น ภายใต้คอนเซ็ปของการฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ใครเลยจะรู้ว่าแผนการร้ายบางอย่างได้ถูกซุกซ่อนและดำเนินการเงียบเชียบเพื่อหลอกล่อให้ใครางคนต้องตกลงไปในหลุมพลางอย่างแนบเนียนจนน่าใจหาย

ร่างโปร่งบางในชุดราตรีสั้นเรียบหรูสีฟ้าน้ำทะเลเปิดเผยช่วงไหล่นวลเนียน สีของชุดช่วยขับผิวสีน้ำผึ้งอ่อนของหญิงสาวให้ดูผุดผาดลออตากว่าที่เคย ชายกระโปรงบางพริ้วทิ้งตัวตามรูปร่าง ปลิวสะบัดน้อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติยามที่เจ้าตัวคลื่นไหว ไม่ว่าเธอจะขยับไปทางใด ก็พาให้ใครต่อใครพากันจ้องมองจนตะลึงค้างชนิดไม่อาจละสายตา ต่างออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่าค่ำคืนนี้รินรตีช่างสวยและงดงามราวเจ้าหญิงน้อยๆ ก็ไม่ปาน

หญิงสาวรับหน้าที่เป็นพิธีกรของงานตามคำขอร้องของเลขาประจำตัวนายพัฒนาซึ่งถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นแม่งานในการจัดเตรียมงานทุกอย่าง โดยไม่รู้เลยว่างานที่เธอรับมอบหมายมานั้นเป็นเพียงงานหน้าฉาก ส่วนงานหลังฉากนั้นนายพัฒนาได้จัดเตรียมการบางอย่างเอาไว้รอเวลาให้เหยื่อก้าวเข้ามาสู่กับดักอย่างช้าๆ แนบเนียนเสียจนไม่มีใครระแคะระคายในแผนการที่จะเกิดขึ้นหลังงานเลี้ยงเลิก และเป้าหมายของแผนการนี้ จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ “รินรตี” ผู้ซึ่งนายพัฒนาเฝ้าหมายตามานานนับเดือน

ณิชญาฎาในชุดสูทสีขาวครีมปรากฏตัวขึ้นที่หน้างานพร้อมกับบุรุษร่างสูงที่ใครๆ ต่างก็รู้จักดีในฐานะของผู้บริหารระดับสูงและทายาทเพียงคนเดียวของนายพัฒนา เรียกร้องให้สายตาทุกคู่พากันหันไปจับจ้องและให้ความสนใจเมื่อทั้งสองควงคู่กันเข้ามาในงาน แม้แต่รินรตีที่เผลอเหลียวมองตาม จนพาให้เกิดรอยสะท้านในอกขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งสองต่างพากันเดินตรงเข้าไปทักทายและพูดคุยกับเจ้าของงานอย่างคุ้นเคย

“สวัสดีค่ะคุณลุง”

ณิชญาฎานบไหว้ พร้อมเอ่ยทักทายเจ้าภาพของงาน ซึ่งควบตำแหน่งผู้ว่าจ้างบริษัทที่เธอสังกัดอยู่อีกหนึ่งตำแหน่ง ถ้าจะเรียกว่าเป็นนายจ้างของเธอกลายๆ ก็คงจะไม่ผิด

“สวัสดีหนู ไม่เจอกันเสียนาน เป็นอย่างไรบ้าง มารับงานโครงการ ใหญ่แบบนี้ คงจะเหนื่อยแย่”

“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ แพรต้องขอบคุณคุณลุงที่เปิดโอกาสให้บริษัทต้นสังกัดของแพรได้รับงานใหญ่ๆ แบบนี้”

“พูดอะไรแบบนั้น บริษัทที่หนูทำงานให้ก็ใช่ว่าจะเล็กๆ นี่นา”

“ใจคอจะทักแต่สาวๆ ไม่ยอมทักทายลูกชายตัวเองเลยนะครับคุณพ่อ” พฤทธิ์เอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงปราศจากความจริงจัง

“บ๊ะไอ้ลูกคนนี้ พ่อเพิ่งจะคุยกับหนูแพรเขาไปแค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง ทำเป็นใจน้อยไปได้”

“ก็พอมาถึงพ่อก็เล่นยิงคำถามใส่แพรคนเดียว จะไม่ให้ผมน้อยใจได้ยังไงละครับ”

“นี่ถ้าแกอายุน้อยกว่านี้สักยี่สิบปี ยังพอจะน่าเชื่อว่าแกเกิดน้อยใจพ่อขึ้นมาจริงๆ”

“ผมก็แซวเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง ว่าแต่คุณแม่ไปไหนเสียล่ะครับ”

“โน่นแน่ะ อยู่กับกลุ่มคุณหญิงคุณนายด้านโน้น ไปเถอะลูก ไปทักทายป้าเขาเสียหน่อย บ่นคิดถึงหนูอยู่เหมือนกัน เห็นบอกว่ากลับมาตั้งหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเจอหน้าเจอตากันเลย”

“ถ้างั้นผมพาแพรไปกราบคุณแม่ก่อน เดี๋ยวค่อยพามาให้คุณพ่อจีบใหม่”

“ให้มันจริงเถอะวะ เกิดพ่อจีบหนูแพรขึ้นมาจริงๆ แล้วแกจะเสียใจ”

“ได้เลยครับ แต่รอ ให้ผมไปฟ้องคุณแม่ก่อนนะ ว่าคุณพ่อคิดจะนอกใจ”

“ไอ้ลูกเวร คิดจะให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันหรือไง จะไปไหนก็รีบไปเลยไป”

“ไปเถอะแพร ขืนอยู่นาน มีหวังพ่อได้เตะผมออกนอกงานพอดี” พฤทธิ์พยักเพยิดบอกกับณิชญาฎา ซี่งเจ้าตัวได้แต่อมยิ้ม ตอบกลับอย่างนึกขัน

“พีทล่ะก็ ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย ขอตัวก่อนนะคะคุณลุง”

“ตามสบายเลยหนู เสร็จแล้วก็ไปหาที่นั่งกันเสียนะ”

ในสายตาของคนภายนอกรวมทั้งบุตรชายของเขา ภาพลักษณ์ของนายพัฒนานั้นคือพ่อที่ดี และผู้ใหญ่ที่น่านับถือเสมอ หากจะเปรียบเป็นนักแสดง ก็ต้องเรียกว่าตีบทแตกกระจุย จะมีก็แต่คนสนิทของเขา กับคนอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่รู้ลึกรู้จริงถึงเบื้องหลังการใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลือง และสุ่มเสี่ยงในเชิงโลกีย์ของเขา

“เรื่องที่สั่งไว้ จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วครับท่าน”

สารถีคู่ใจของนายพัฒนาเลือกจังหวะที่ทุกคนถอยห่างไปจากผู้เป็นเจ้านาย แล้วเข้ามากระซิบบอกข้อความเป็นนัยที่รู้กันแต่เพียงลำพัง

“ดี แล้วก็ระวังด้วยล่ะ อย่าให้ใครมาเห็นเข้า ถ้ามีอะไรผิดพลาด ฉันเอาเรื่องแกแน่”

“ครับท่าน”

ร่างสันทัดถอยห่างออกไป พร้อมกับเหลือบตามองไปยังร่างบางของหญิงสาวผู้ซึ่งตกเป็นเป้าหมายโดยไม่รู้ตัวอย่างหมายมั่น

----------------------------------------------------

งานเลี้ยงดำเนินไปเรื่อยๆ ตามกำหนดการที่ถูกวางไว้เป็นอย่างดีเป็นขั้นเป็นตอน โดยทีมงานมืออาชีพ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเจ้าภาพ พฤทธิ์จึงถูกเชิญตัวไปร่วมกิจกรรมอยู่เป็นระยะๆ เป็นเหตุให้ณิชญาฎาซึ่งมาร่วมงานในฐานะแขก และแทบจะไม่ใครรู้จักใครในงานเกิดอาการเบื่อ จนในที่สุดเจ้าตัวจึงตัดสินใจเลี่ยงออกจากงานมายืนรับลมตามลำพังอยู่ตรงริมระเบียงริมด้านนอก ซึ่งต่อกับทางเดินที่ทอดยาวตรงไปยังสวนหย่อมภายในโรงแรม

“คุณณิชญาฎาใช่ไหมครับ”

หนุ่มใหญ่ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้มมันวาวภูมิฐานสาวเท้าเข้ามาใกล้ พลางเอ่ยทักณิชญาฎาด้วยชื่อเล่นของเธอ ใบหน้าบ่งบอกถึงความยินดีชนิดปกปิดเอาไว้ไม่มิด ตรงกันข้ามกับฝ่ายถูกเรียกที่มีแต่รอยฉงนระคนแปลกใจ

“คุณ....?”

“ภูมินทร์ครับ เราเคยเจอกันที่ห้างเมื่อวันก่อนไงครับ” ภูมินทร์เริ่มเท้าความเพื่อเตือนความจำให้กับหญิงสาว ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มดุจเดิม

“อ๋อ... คุณนั่นเอง สวัสดีค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะ”

“นั่นสิครับ บังเอิญจริงๆ ผมเห็นคุณไกลๆ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงาน แต่ไม่แน่ใจ ก็เลยถือวิสาสะเข้ามาทัก หวังว่าคุณคงจะไม่ถือสา”

“ค่ะ ไม่เป็นไร” ณิชญาฎา ออกแนวถามคำตอบคำ ตามประสาคนที่พูดน้อยเป็นทุนเดิม

“อืม... ไม่ทราบว่าผมมารบกวนคุณหรือเปล่า”

“เปล่าหรอกค่ะ ไม่ได้รบกวนอะไร”

“ถ้างั้น คุณคงจะไม่ว่าถ้าผมจะขอยืนคุยเป็นเพื่อน”

“เอ...แบบนั้นมันจะไม่กลายเป็นว่าดิฉันไปรบกวนคุณหรอกหรือคะ”

คำตอบของณิชญาฎาแม้จะฟังว่าไม่ใช่ตอบรับ ทว่าก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นการปฏิเสธ

“โอ... ไม่หรอกครับ ผมกลับคิดว่าเป็นเกียรติมากกว่า”

“ขนาดนั้นเลยหรือคะ” หญิงสาวเอียงคอถามอันเป็นท่าทางตามปกตินิสัยของเธอ ทว่าในสายตาของภูมินทร์แล้ว นั่นกลับเป็นกิริยาที่น่ามองเป็นที่สุด “ถ้างั้นก็...แล้วแต่คุณเถอะค่ะ” สุดท้ายแล้วก็โยนให้เขาเป็นคนเลือก

“วันก่อน เราต่างคนต่างก็รีบ เลยไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยทำความรู้จักกัน ไม่นึกว่าวันนี้จะโชคดี ได้เจอคุณอีกครั้ง” ชายหนุ่มเริ่มชวนคุยเรื่อยเปื่อย ส่วนคนฟังมีแค่เพียงรอยยิ้มอ่อนๆ ระบายอยู่บนดวงหน้าเนียนสวย

“ผมเพิ่งรู้ ว่าคุณเป็นสถาปนิกผู้รับผิดชอบโครงการของคุณพัฒนา น่าทึ่งจริงๆ นะครับ ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ สามารถดูแลโครงการยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ได้”

ณิชญาฎาไม่ตอบ ทว่าเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า ก็เพียงพอจะบอกได้ว่าเจ้าตัวรับรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังพูดถึงตัวเธออย่างนึกชื่นชม

“จะเป็นไรไหมครับ ถ้าผมจะขอเรียกคุณว่าแพร”

“คะ?” ดูท่าว่าความฉงนใจจะยังไม่จบสิ้นลงง่ายๆ

“คือว่า...วันก่อนผมได้ยินลูกชายคุณเรียก ไหนๆ เราก็รู้จักกันแล้ว คุณคงไม่ถือถ้าผมจะขอเรียกคุณด้วยชื่อเล่น จะได้ฟังดูไม่เหินห่างจนเกินไป” ภูมินทร์บอกกับเธอเขินๆ มือหนายกขึ้นสัมผัสต้นคอตนเองราวกับไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน

“อ๋อ... ค่ะ จะเรียกยังไงก็ได้ แล้วแต่คุณละกันค่ะ”

“ขอบคุณครับ ส่วนผม ถ้าคุณจะให้เกียรติเรียกชื่อเล่นของผมเหมือนกับคนอื่นๆ ผมก็ยินดีนะครับ”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำง่ายๆ เรียกรอยยิ้มออกมาจนเต็มดวงหน้าคม ของคนที่กำลังรอคำตอบ

“แล้วนี่ ทำไมถึงออกมาจากงานเสียละครับ”

“คนเยอะน่ะค่ะ ปกติดิฉันก็ไม่ค่อยจะชอบออกงานแบบนี้อยู่แล้ว เจอคนมากๆ แล้วมักจะเวียนหัวน่ะค่ะ”

“เหมือนกันเลยครับ ตอนแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่มา แต่ติดที่เป็นคำเชิญของคุณพัฒนา เลยจำเป็นต้องมาร่วมงาน แต่ก็นับว่าโชคดีนะครับที่ได้มาเจอกับคุณที่นี่”

ภูมินทร์พยายามหาเรื่องโน้นเรื่องนี้ขึ้นมาชวนคุยไปเรื่อยๆ โดยณิชญาฏาเป็นฝ่ายฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ มีพูดตอบบ้าง แสดงความคิดเห็นบ้างเป็นคราวๆ ไป ที่น่าแปลกคือ แม้เธอเพิ่งรู้จักและยังไม่คุ้นเคยกับเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถคุยกันได้โดยไม่อึดอัด ทั้งที่ปกติแล้วหญิงสาวจัดว่าเป็นคนเข้าคนยากอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าคราวนี้กำแพงสูงที่เธอมักจะก่อไว้เพื่อป้องกันตัวเอง จะค่อยๆ ลดระดับลงทีละน้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“หลบมาอยู่ตรงนี้เองแพร ปล่อยให้พีทตามหาเสียทั่ว”

พฤทธิ์มองเห็นณิชญาฎายืนคุยกับใครคนหนึ่งอยู่ไกลๆ แต่เพราะความที่มองเห็นไม่ชัด ชายหนุ่มรีบเดินตรงเข้าไปหา แล้วจึงเห็นว่าใครคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นคนที่เขาเองก็รู้จักแม้จะไม่คุ้นเคยกันเท่ากับคนเป็นน้องชายก็ตามที

“อ๊ะ! คุณใหญ่นั่นเอง แอบมาหลบมุมอยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกันหรือครับ”

“ข้างในคนเยอะน่ะครับ ผมเลยออกมารับลมด้านนอก”

“พีทตามหาแพรเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”

“นิดหน่อยน่ะ พอดีคุณแม่ให้พีทมาตามแพรไปร่วมโต๊ะ แต่พีทกลับมาที่โต๊ะแล้วไม่เห็นแพร เลยออกมาเดินตามหา กลัวจะเบื่อจนหนีกลับบ้านไปเสียก่อน”

“ว่าไปนั่น คิดมากไปหรือเปล่า แพรตั้งใจว่าจะออกมาสูดอากาศเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับเข้าไป ก็พอดีว่ามาเจอกับคุณคนนี้ แล้วเธอเข้ามาชวนคุยเสียก่อน เลยกลับเข้าไปช้าน่ะ”

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับ ว่าคุณใหญ่กับแพรจะรู้จักกัน” พฤทธิ์หันไปมองหน้าภูมินทร์ จึงกลายเป็นว่าเขาตั้งคำถามนี้กับชายหนุ่มรุ่นพี่

“อันที่จริงเราก็เพิ่งจะรู้จักกันโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้เอง เจอกันที่ห้างเมื่อวันก่อนน่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นแพรก็คงรู้แล้วสิว่า คุณใหญ่เป็นพี่ชายของพี่ภู” พฤทธิ์ถามอย่างจงใจ เพราะจากที่เห็น ท่าทางยามพูดคุยกันของทั้งสองคน มันชวนเขานึกตงิดๆ ในใจอย่างประหลาด เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่

“นี่คุณแพรรู้จักนายภูน้องชายผมด้วยหรือครับ” ภูมินทร์หันมาสบตากับณิชญาฎา หน้าเข้มๆ มีรอยประหลาดใจเล็กน้อย

“ก็ต้องรู้จักสิครับ จะไม่รู้จักได้อย่างไร ในเมื่อ....” พฤทธิ์ชิงตอบ แต่ยังไม่ทันจบประโยค ณิชญาฎาก็พูดตัดขึ้นมาเสียก่อน

“จะต้องเท้าความอะไรกันให้มากมายละจ๊ะพีท ก็แค่คนรู้จักกันธรรมดาๆ เท่านั้นเอง”

“อ้าวก็...” พฤทธิ์อ้าปากจะพูดต่อ แต่ดูเหมือนว่าณิชญาฎาจะไม่ยอมปล่อยให้เพื่อนหนุ่มได้พูดอะไรออกไปดังใจคิด

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณใหญ่ แค่เมื่อก่อน แพรเคยไปฝึกงานที่บริษัทของคุณภูวิช ก็เท่านั้น”

“อ้อ... อย่างนี้นี่เอง โลกกลมจังเลยนะครับ” ภูมินทร์ออกความเห็นแต่เพียงสั้นๆ

“นั่นสิคะ โลกมันกลม” ณิชญาฎาสรุปตาม แล้วรีบออกปาก เป็นเชิงว่าจะขอปลีกตัวกลับเข้าไปในงาน “พีทออกมาตามแพรไม่ใช่เหรอ”

“เอ้อ! จริงด้วย คุณแม่บอกว่าอยากแนะนำแพรให้รู้จักกับเพื่อนๆ ของท่านน่ะ เลยให้พีทมาตาม”

“อ้อ! ถ้างั้น... แพรขอตัวก่อนนะคะคุณใหญ่ เอาไว้โอกาสหน้าเราคงได้คุยกันละกันนะคะ” ณิชญาฎาชิงบอกกับภูมินทร์เพื่อเป็นการปิดฉากการสนทนาซึ่งอาจจะนำมาซึ่งความอึดอัดใจในภายหลัง

“ครับ แล้วไว้ค่อยคุยกัน”

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนแพร”

“คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องขอบคุณหรอก งานใกล้เลิกแล้ว คงไม่มีอะไรมาก ถ้ายังไงผมขอตัวกลับเลยแล้วกัน”

“จะไม่รออยู่ร่วมฉลองช่วงสุดท้ายด้วยกันก่อนหรือครับ”

“ไม่ดีกว่า ฝากลาคุณพัฒนาด้วยนะครับ ผมกลับก่อนนะครับคุณแพร”

ภูมินทร์ล่ำลาเสร็จแล้วก็เดินจากไปโดยมีสายตาของณิชญาฎาทอดมองตาม ดวงหน้างามที่ยามปกติจะเรียบเฉยบัดนี้กลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ปะปนมาด้วยรอยครุ่นคิด จนแม้แต่คนที่คุ้นเคยอย่างพฤทธิ์ยังต้องเฝ้ามองอย่างแปลกใจ เพราะความที่รู้จักกันดี ทำให้พฤทธิ์อดไม่ได้ที่จะนึกระแวง แต่จะทำอย่างไรได้ เรื่องความดื้อรั้นนั้นเห็นจะไม่มีใครเกินณิชญาฎาเป็นแน่ พฤทธิ์ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ขออย่าให้เพื่อนสาวคิดทำอะไรอย่างที่เขากำลังคาดเดานั่นเลย

--------------------------------------------------

สองหนุ่มสาวยืนเจรจาต่อกันอยู่ที่ด้านนอกอีกเพียงครู่แล้วพากันเดินกลับเข้าไปในงาน โดยไม่มีอากาสได้รับรู้ถึงการเฝ้ามองของหญิงสาวอีกคน ซึ่งบัดนี้อาการเซื่องซึม กับแววตาเศร้าสร้อยได้เคลือบทับอยู่จนเต็มดวงหน้าสวยโดดเด่น ชัดเจนเสียจนแทบไม่ต้องเดาถึงความรู้สึกที่แอบซ่อนอยู่ภายใน

บางครั้งในยามที่คนเราอยากจะร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยาดหยด มันทำให้ความรู้สึกนั้นอัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิด แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อหนทางนี้ตัวเธอเองที่เป็นคนเลือก เลือกที่จะรัก รักทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางได้รักนั้นตอบแทน

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะรตี” เสียงเรียกของเลขานายพัฒนาดังขึ้นจากทางด้านหลังทำเอารินรตีถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ยังสติดีพอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“อ้าวพี่นาฏ! ก็... ข้างในมันร้อน รตีเลยออกมาหาลมเย็นๆ น่ะค่ะ”

“ร้อน! แอร์เย็นขนาดนั้นน่ะหรือร้อน เป็นอะไรไปหรือเปล่าจ๊ะรตี หรือว่าไม่สบาย” หญิงสาวรุ่นพี่ถามต่อด้วยความเป็นห่วง ครั้นยกมือขึ้นอังหน้าผากของอีกฝ่าย ก็พบว่าอุณภูมิร่างกายของเธอเป็นปกติดี ตามคำบอกของเจ้าตัว

“เปล่าหรอกค่ะ รตีไม่ได้เป็นอะไร”

“แน่ใจเหรอ ไม่ใช่ว่าเกิดป่วยขึ้นมากระทันหันนะ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ” รินรตียืนกรานปฏิเสธ

“ถ้างั้น พี่ว่าเรากลับเข้าไปข้างในกันดีกว่า จวนได้เวลางานเลิกแล้ว เดี๋ยวพอเสร็จงาน เราก็จะได้กลับไปพักผ่อนกันเสียที”

“ค่ะ”

รินรตีก้าวเท้าเดินตามแรงจูงอย่างว่าง่าย และเพียงไม่กี่นาทีจากนั้น ร่างงามยวนตาในชุดราตรีสั้นสีฟ้าจึงกลับคืนไปอยู่บนเวทีดังเช่นเมื่อเริ่มงาน เพื่อทำหน้าที่ของพิธีกรในช่วงสุดท้าย

เมื่อได้เวลา เหล่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทตลอดจนธุรกิจในเครือต่างก็มารวมกันอยู่ภายในงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อดื่มฉลองร่วมกันตามกำหนดการที่ได้วางไว้ แก้วแชมเปญจำนวนหลายสิบใบถูกนำมาวางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ รองรับแชมเปญที่ถูกเปิดและแจกจ่ายให้กับบรรดาแขกผู้มีเกียรติทุกคน พฤทธิ์ยืนเด่นเป็นสง่าเคียงข้างบิดาในฐานะผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มบริษัท กล่าวขอบคุณบรรดาพนักงานและแขกทุกคนที่มาร่วมงาน โดยมีรินรตีคอยทำหน้าที่พิธีกร และดำเนินรายการทุกอย่างจนลุล่วงเสร็จสิ้นลงไปด้วยดี

พิธีกรสาวสวยของงานก้าวลงจากเวทีแล้วกลับไปนั่งพักที่โต๊ะของตนซึ่งตั้งอยู่ตรงหลังเวที รู้สึกโล่งราวกับยกภูเขาออกไปจากอก เมื่องานที่ได้รับมอบหมายมาได้เสร็จสิ้นลงไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ภาพของพฤทธิ์เมื่อยามให้สัมภาษณ์อยู่ตรงหน้าเธอบนเวที ยังติดตาจารใจไม่รู้เลือน ความรักทำให้คนเป็นเช่นนี้เอง ทั้งรัก ทั้งชื่นชม และเทอดทูน โดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมารองรับ ยิ่งเนิ่นนานความรู้สึกก็ยิ่งเพิ่มพูนในทุกนาทีที่ผ่าน

จำนวนผู้คนที่อยู่รอบบริเวณงานบางตาลงไปกว่าเมื่อช่วงค่ำอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะจวนเจียนจะได้เวลางานเลิกแล้วนั่นเอง บรรดาแขกเหรื่อจึงค่อยๆ พากันทยอยกลับ

“รับน้ำอะไรดีครับ” ถาดแก้วบรรจุน้ำหลากสีถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ พร้อมกับคำถามจากบริกรอันปกติของการให้บริการในโรงแรมทั่วไป

รินรตีกวาดตามองไปในถาด แล้วพบว่ามีแต่น้ำอัดลมซึ่งน้อยครั้งที่เธอจะเลือกดื่ม

“เปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าแทนได้ไหมจ๊ะ”

“น้ำเปล่าหมด กรุณารอสักครู่นะครับ” บริกรคนเดิมเดินจากไป สักพักแก้วบรรจุน้ำเปล่าจึงถูกยกมาให้เธอเป็นการเฉพาะ

“ขอบใจจ้ะ”

คืนนี้รินรตีใช้เสียงค่อนข้างเยอะ ย่อมส่งผลให้เกิดอาการกระหายน้ำมากกว่าปกติ แม้ว่าตัวเธอจะเคยชินกับการใช้เสียงร้องเพลงอยู่เป็นประจำก็ตามที แต่การเป็นพิธีกรตลอดหลายชั่วโมงย่อมส่งผลต่อลำคอของเธอไม่น้อย หญิงสาวยกแก้น้ำขึ้นดื่มจนหมด แล้วหันมาเก็บข้าวของลงกระเป๋าต่อ จู่ๆ อาการมึนงงก็ค่อยๆ ถาโถมจนเธอแทบจะไม่อาจประคองศีรษะให้ตั้งตรงได้ ถ้าหากรินรตีจะเฉลียวใจสักนิด ช่วงงานเลี้ยงใกล้เลิกแบบนี้ มีหรือที่บริกรจะเข้ามาดูแลสอบถามดังที่เป็น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว

นาฏนภาที่มัวแต่สาละวนกับการจัดการงานด้านหน้าอยู่เป็นนานสองนานแล้วจึงวกกลับเข้ามายังหลังเวทีอีกครั้ง ครั้นเห็นอาการของรินรตี เธอจึงตกใจและรีบกุลีกุจอเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

“รตี เป็นอะไรไปหรือเปล่าจ๊ะ”

“มึนหัวค่ะพี่นาฏ จู่ๆ รตีก็เกิดเวียนหัวขึ้นมาเฉยๆ”

“ตายจริง เป็นอะไรมากไหม”

“อาจจะเหนื่อยเกินไปน่ะค่ะ นั่งพักเดี๋ยวเดียวคงหาย”

“แน่ใจเหรอ แต่สีหน้ารตีไม่ค่อยดีเลยนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่นาฏ รตีนั่งพักสักเดี๋ยว คงจะค่อยๆ ดีขึ้น”

“พี่ว่าจะไม่ไหวเอานะ เดี๋ยวนะ รอพี่อยู่ตรงนี้ก่อน พี่จะไปดูว่าใครอยู่แถวนี้บ้าง เผื่อจะได้เรียกให้มาช่วยกัน”

“พี่นาฏ เดี๋ยว...ก่อน.....”

อาการมึนงงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้สภาพการณ์ต่างๆ เริ่มจะชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ รินรตีแน่ใจแล้วว่าเธอถูกวางยา หญิงสาวจึงพยายามจะรั้งตัวนาฎนภาเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าเสียงของตนนั้นหายไปไหนหมด เสียงที่เปล่งออกมาจึงเป็นแค่ลมที่ผ่านลำคออย่างแผ่วเบาเท่านั้น จากนั้นสติสัมปชัญญะของเธอก็ค่อยๆ วูบดับลงไปพร้อมกับการรับรู้ทั้งมวล ไม่รับรู้ถึงภัยร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ตัวทุกขณะ ทั้งที่มุ่งมั่นมาโดยตลอดว่าจะเฝ้าระวังรักษาตนเป็นอย่างดี ทั้งที่พยายามดูแลตนไม่ให้พลั้งพลาด แต่ไหนเลยคนเฝ้าระวังจะหลุดรอดจากเงื้อมมือของคนที่คอยจ้องจะหาโอกาสไปได้ ต่อให้ระวังอย่างไร เมื่อถึงคราวเคราะห์ ความผิดพลาดก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

จากซอกมุมหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะของรินรตี ร่างสันทัดของชายวัยกลางคนกำลังเฝ้าจับตามองอย่างสังเกตการณ์มาโดยตลอด เขายกโทรศัพท์ขึ้นโทรรายงานผลไปยังคนที่รอรับอยู่ปลายทาง

“เรียบร้อยแล้วครับท่าน”

“ดีมาก พาเธอขึ้นไปไว้บนห้อง ระวังอย่าให้ใครเห็นเข้าล่ะ ฉันไปไม่นานเสร็จแล้วจะรีบย้อนกลับมา”

“แล้วคุณหญิงจะไม่สงสัยหรือครับ ที่ผมไม่ได้ขับรถไปส่งท่าน”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจัดการบอกเขาไปแล้วว่าแกมีธุระ เลยขอตัวกลับไปก่อน แกไปจัดการตามที่ฉันสั่ง แล้วดูแลให้ดีล่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา”

“ครับท่าน”

นายพัฒนาตัดสายสนทนาทิ้งทันทีหลังพูดจบ เกิดอาการลิงโลดในใจจนแทบเก็บไว้ไม่อยู่ ใบหน้าขาวอวบอูมที่มักจะแฝงไว้ด้วยรอยเจ้าเล่ห์อยู่เป็นนิจ ยามนี้กลับดูน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ

‘รอก่อนเถอะรินรตี หลังจากคืนนี้ เธอจะกลายมาเป็นแม่นกน้อยของฉัน นกน้อยในกรงทอง เธอต้องเป็นของฉันเพียงคนเดียว’

-----------------------------------------------

เมื่อแรกพฤทธิ์ตั้งใจว่าจะไปส่งณิชญาฎาถึงที่บ้านเพราะเห็นว่าเป็นเวลาค่อนข้างจะดึกมากแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร หญิงสาวก็ยังยืนกรานว่าจะกลับเองอยู่ท่าเดียว อ้างว่าเกรงใจบ้าง อยากให้เจ้าตัวได้กลับไปพักผ่อนบ้าง ในทางกลับกัน เธอกลับคะยั้นคะยอให้พฤทธิ์พารินรตีกลับไปส่งที่บ้าน ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงของการปฏิเสธจึงเป็นเพราะว่าหญิงสาวอยากเปิดโอกาสให้เพื่อนหนุ่มกับรุ่นน้องสาวร่วมมหาวิทยาลัยนามรินรตีคนนั้นมากกว่า

และสาเหตุที่ทำให้ณิชญาฎาคะยั้นคะยอชายหนุ่มแบบนั้น เป็นเพราะสิ่งที่เธอได้พบเห็นระหว่างที่อยู่ในงานเลี้ยงคืนนี้ทั้งสิ้น ณิชญาฎาสังเกตเห็นว่าสายตาของพฤทธิ์ในยามนี้ มิได้จับจ้องแต่เพียงเธอดังเช่นแต่ก่อนเก่า ชายหนุ่มเอาแต่คอยมองหารินรตีเกือบจะตลอดเวลา และ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกต แต่มันกลับชัดเจนเอามากๆ สำหรับเธอ ยิ่งใกล้เวลางานเลิก พฤทธิ์ก็ยิ่งเกิดอาการกระสับกระส่ายจนนั่งอยู่ไม่ติดที่ นั่นยิ่งทำให้ณิชญาฎายิ่งมั่นใจในสิ่งที่เห็นมากขึ้น ดังนั้นเธอจึงหาเหตุปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนหนุ่มด้วยความเข้าใจและยินดีเป็นที่ยิ่ง

และก็เป็นดังที่ณิชญาฏาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด คล้อยหลังจากเพื่อนสาว สิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในหัวของพฤทธิ์คือ ดวงหน้าสวยโดดเด่นของแม่สาวร่างบางสมส่วนซึ่งเขาเฝ้าแต่มองหาตลอดเวลาที่อยู่ในงานเลี้ยง ชายหนุ่มย้อนกลับเข้าไปด้านในและกวาดตามองไปจนทั่ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของหญิงสาว เขาพยายามเดินวนหาจนทั่วทั้งงาน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนพฤทธิ์ต้องตัดใจรับสาย พยายามนึกอย่างไร ก็ไม่รู้สึกคุ้นเอาเสียเลย

“ฮัลโหล พฤทธิ์พูดครับ”

“คุณฟังฉันให้ดีๆ นะคะ ขึ้นไปที่ชั้น... แล้วดักรออยู่แถวๆ ห้องหมายเลข... ”

“หมายความว่าไง ขึ้นไปทำไม แล้วมันมีอะไรที่ชั้นนั้น”

“ไม่ต้องถาม แค่ทำตามที่ฉันบอก ขึ้นไปดูด้วยตาตัวเอง แล้วคุณก็จะรู้”

“ก็แล้วทำไมผมถึงจะต้องทำตามที่คุณบอกด้วย”

“ข้อนี้มันก็ต้องแล้วแต่คุณ ฉันแค่หวังดี อยากให้คุณตาสว่าง มองโลกอย่างที่เป็นจริง มันก็แค่นั้น”

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่”

“ฉันว่า...คุณหยุดถาม แล้วไปตามที่ฉันบอกจะดีกว่า เพราะถ้าขืนชักช้า พลาดชมของดีไป แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”

“เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งวางสาย”

พฤทธิ์พยายามจะถามต่อแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคนปลายทางตัดสายสนทนานั้นทิ้ง และเมื่อพยายามจะโทรกลับไป ก็กลายเป็นว่าสายไม่วาง เขาเองจึงได้แต่ยืนงงด้วยจับต้นชนปลายไม่ถูก

“กำลังมองหาใครอยู่หรือคะ คุณพฤทธิ์”

“คุณนาฏมาพอดี คือ... ผมกำลังหารินรตีน่ะครับ พอดีมีงานบางอยากจะฝากให้เธอไปทำน่ะครับ”

“รตีน่ะหรือคะ น่าจะกลับบ้านไปแล้วล่ะค่ะ เพราะเมื่อกี้ดิฉันเจอเธออยู่ที่หลังเวที สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยอาสาออกมาดู เผื่อว่าใครอยู่จะได้ให้ไปช่วยกัน แต่พอกลับไปเธอก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วล่ะค่ะ”

“คุณบอกว่าเธอไม่สบายอย่างนั้นหรือ แต่ว่าเมื่อกี้ก็เห็นยังดีๆ อยู่เลยนี่นา”

“ก็นั่นสิคะ แต่ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะมีอาการอยู่บ้างนะคะ ช่วงใกล้ๆ งานเลิก ดิฉันเห็นเธอทำหน้าไม่ค่อยดี เข้าใจว่าน่าจะไม่สบาย ยังถามไถ่กันอยู่เลยค่ะ”

“อย่างนั้นหรือครับ เอ... หรือว่าจะกลับบ้านไปแล้ว”

“ดิฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน คุณพีทไม่ลองโทรหาเธอดูล่ะคะ เพราะถ้ากลับบ้านไปแล้วจริงๆ ก็น่าจะเพิ่งออกไปได้ไม่นาน เผลอๆ อาจจะยังอยู่แถวนี้ก็ได้”

“จริงด้วยสิ ขอบคุณนะครับคุณนาฏ”

“ค่ะ ถ้างั้น ดิฉันเห็นทีจะต้องขอตัว ยังมีงานต้องไปจัดการอีกหลายอย่าง รตีก็มาป่วย งานนี้เห็นทีจะดึก ขอตัวก่อนนะคะ”

นาฏนภาเอ่ยลาแล้วเดินจากไป พฤทธิ์จึงกดโทรศัพท์หารินรตีตามคำแนะนำของเธอ ผลปรากฏว่าสัญญาณปลายทางว่าง แต่กลับไม่มีผู้รับสาย และไม่ว่าจะพยายามโทรหาสักกี่ครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม

“เอ... ไปไหนของเขานะ หรือว่าจะไม่สบายมากจริงๆ แต่ต่อให้ไม่สบายยังไง ก็น่าจะรับสายสิ”

พฤทธิ์บ่นพึมพำกับตนเอง จ้องมองโทรศัพท์อย่างใช้ความคิด ฉับพลันก็นึกถึงโทรศัพท์ลึกลับซึ่งโทรหาเขาขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน

“แค่ขึ้นไปดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่นา เอาวะ! ไม่ลองไปดูก็ไม่รู้หรอกจริงไหม”

ร่างสูงเดินไปขึ้นลิฟท์แล้วเดินตรงไปยังห้องเป้าหมายตามที่ได้รับทราบจากโทรศัพท์ลึกลับ ขณะเดียวกันก็พยายามกดโทรศัพท์หารินรตี แต่กลายเป็นว่าไม่มีสัญญาณตอบรับไปเสียเฉยๆ นั่นทำให้พฤทธิ์ยิ่งหงุดหงิดและร้อนใจขึ้นไปอีกเท่าตัว

‘เกิดอะไรขึ้นกับรินรตีกันแน่ แล้วนี่เธอจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า’

ทางเดินซึ่งมีขนาดความกว้างราวๆ สองเมตรกว่าทอดยาวผ่านห้องแต่ละห้องไปจนจดมุมตึก และจากป้ายบอกทาง ห้องที่ชายหนุ่มกำลังมองหานั้นอยู่ลึกเข้าไปจนสุดทางเดิน ขณะที่กำลังกวาดตามองสำรวจรอบๆ พลันหูก็ไปกระทบเข้ากับเสียงของใครคนหนึ่ง ดังมาจากทางทิศเดียวกับห้องอันเป็นเป้าหมาย พฤทธิ์รู้สึกคุ้นในน้ำเสียงนั้นแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร แต่เมื่อร่างของคนขับรถของผู้เป็นบิดาก้าวพ้นออกมาจากห้องซึ่งอยู่ด้านใน ตรงสุดทางเดิน ความสงสัยที่มีเมื่อแรกจึงหมดไป

พฤทธิ์เลี้ยวหลบเข้าไปในซอกระหว่างทางเดิน แล้วพยายามเงี่ยหูฟังคำสนทนาที่ได้ยินเพียงฟากเดียวนั่นอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ผมจัดการพาเธอขึ้นมาบนห้องเรียบร้อยแล้วครับท่าน รับรองว่าไม่มีใครเห็น”

“…..”

“ครับท่าน ตอนนี้เธอยังหลับอยู่ แต่อีกสักพักคงตื่น”

“......”

“ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ เจ้าพวกนั้นบอกว่า ยานอนหลับจะค่อยๆ หมดฤทธิ์ไปทีละน้อย และเมื่อตื่นขึ้นมา ยาปลุกก็จะเริ่มออกฤทธิ์แทน ผมทำตามที่พวกมันแนะนำทุกขั้นตอนอย่างระวังที่สุดเลยครับ”

“......”

“ครับ รีบมานะครับ เดี๋ยวผมจะรีบหลบออกไปก่อน ขอให้มีความสุขนะครับท่าน”

คนขับรถคู่ใจนายพัฒนาจบการสนทนาแล้วรีบสาวเท้าก้าวจากไป โดยมิทันได้สังเกตว่าใครบางคนที่แอบยืนรับฟังข้อความมาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ

คำว่า ‘ท่าน’ จะหมายถึงใครได้อีก ถ้าไม่ใช่พ่อของเขา แล้วใครกันที่นายเสมอแอบพาขึ้นมารอไว้ในห้องนั้น พฤทธิ์ทั้งอยากรู้ ทั้งสังหรณ์ใจจนแทบยืนไม่ติดที่ รอจนร่างของคนขับรถบิดาลับหายเข้าไปในลิฟท์แล้วจึงออกจากจุดที่ซ่อน และจ้องมองไปยังประตูบานนั้นอย่างใช้ความคิด

“ทำยังไงเราถึงจะเข้าไปในห้องนั้นได้นะ?.... ของแบบนี้มันต้องเสี่ยง ไม่ลองก็คงไม่รู้” พฤทธิ์พูดเองเออเองสรุปเสร็จสรรพ รีบย้อนกลับลงไปที่แผนกต้อนรับทันทีที่คิดถึงแผนการบางอย่างออกมาได้ และย้อนกลับมายังห้องเดิมอีกครั้งหลังจากที่เวลาผ่านไปไม่นาน

มือขาวสอดคีย์การ์เข้าไปเพื่อเปิดล็อคประตู แทบไม่อาจสะกัดกั้นอาการสั่นเทาของมือเอาไว้ได้ บอกแทบไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร ความหวั่นไหวผุดขึ้นมาพร้อมกับความกลัว ส่วนจะกลัวอะไรนั้น เขาเองก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกัน

ประตูบานหนาเปิดออก พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้าไปยังด้านใน ห้องทั้งห้องดูโล่งและเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่ แต่จากสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่ พฤทธิ์แน่ใจว่าใครบางคนจะต้องอยู่ภายในห้องนี้อย่างแน่นอน เขาเดินสำรวจลึกเข้าไปยังห้องด้านใน และก็เป็นดังคาด ใครคนที่ว่านั่นกำลังนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาพฤทธิ์ถึงกับลืมตัวอุทานร้องเรียกชื่อหญิงสาวลั่น

“รินรตี!!! นี่เธอมานอนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง... หรือว่า... คุณพ่อ!!!”

พฤทธิ์ตกใจจนมือไม้สั่นแทบทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าซึ่งยามปกติก็ขาวอยู่แล้วยามนี้ยิ่งซีดลงไปอีกถนัดใจ ความสับสนพุ่งพล่านจนจับต้นชนปลายแทบไม่ถูก ชายหนุ่มพยายามรวบรวมสติแล้วทวบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกครั้งอย่างละเอียดด้วยใจที่เป็นธรรมและปราศจากอคติ จากสภาพที่เห็นเขาพอจะเดาออกว่าหญิงสาวที่กำลังนอนนิ่งไม่รับรู้สิ่งรอบตัวคือคนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ ส่วนจะเหยื่อของใครนั้น พฤทธิ์เองไม่กล้าแม้แต่จะคิด

พฤทธิดึงสติของตนให้อยู่กับตัว แล้วเริ่มตรวจตราดูความเรียบร้อยตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของหญิงสาว เมื่อพบว่าทุกอย่างยังคงปกติ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรจะต้องทำคือการพาเธอออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่คนซึ่งเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงคนนั้นจะมาถึง ไม่เพียงแต่จะต้องพารินรตีหลบไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะพบ หรือเผชิญกับความเป็นจริงอันโหดร้ายนี้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะเริ่มเดาเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้อย่างเลาๆ แล้วก็ตาม แต่ถ้าจะให้รับรู้ความจริงทั้งหมดในเวลานี้ พฤทธิ์ไม่คิดว่าตนเองจะแข็งพอที่จะยอมรับมันได้

ปฏิกิริยาของพฤทธิ์ว่องไวพอกับความคิด เขาช้อนอุ้มร่างไร้สติขึ้นมาไว้ด้วยวงแขนแกร่งทั้งสองข้างอย่างมั่นคง ศีรษะใบสวยอิงซบกับอยู่อกกว้างปราศจากการตอบสนองและแรงต้าน ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวพาเธอออกเดินมุ่งตรงไปยังลานจอดรถโดยหลีกเลี่ยงเส้นทางซึ่งอาจจะมีคนพลุกพล่าน เพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต

อาจเพราะแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากการเคลื่อนไหว หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่ายานอนหลับที่หญิงสาวได้รับเมื่อก่อนหน้าเริ่มหมดฤทธิ์ ดวงตาคู่สวยที่กำลังพริ้มหลับจึงค่อยขยับและเริ่มมีรอยกระพริบถี่ๆ เป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงเวลาทื่หญิงสาวจะต้องตื่น และถึงเธอจะตื่นขึ้นมาก็ไม่แน่ว่าเธอจะได้สติคืนมาจนเต็มร้อยได้เร็วไว

เพราะมัวแต่พะวักพะวน เรื่องการเคลื่อนย้ายรินรตีไปยังที่อื่น ทำให้พฤทธิ์ลืมในสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อสักครู่นั่นไปเสียสนิท ดังนั้นเรื่องอาการที่จะเกิดขึ้นกับรินรตีหลังจากที่ลืมตาตื่นจึงไม่ได้อยู่ในหัวของเขาแม้แต่น้อย หากพฤทธิ์จะสามารถเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้สักนิด ชายหนุ่มก็จะรู้ว่า ความสัมพันธ์อันซับซ้อนและสับสนระหว่างตัวเขาและรินรตี จะเริ่มก่อตัวส่อเค้าของความวุ่นวายนับตั้งแต่คืนนี้

‘บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับความรู้สึกของคน ได้อย่างน่าฉงนนัก’

-----------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 เม.ย. 2555, 21:43:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 เม.ย. 2555, 21:43:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1625





<< ตอนที่ 11 เอาคืน   ตอนที่ 13 : เพราะรักหรือเสน่หา (1) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account