ลิขิตพิศวาส
เธอสูญเสียรักครั้งแรกไปเพราะความ...ยาก
จึงคิดประชดรักที่ล้มเหลวด้วยความ...ง่าย
.
.
.
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเธอสลัดผู้ชายที่เป็นคนแรกของตัวเองไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ
ซ้ำเขายังเฝ้าตามติดเอาอกเอาใจทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ โดยที่เธอไม่ต้องการ !!

**********************************************

มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ ที่จะให้ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากที่เธอทำให้เขาเกือบจะช็อคกับสิ่งที่ได้รับ
ซ้ำยังย้ำบอกให้เขาลืม ลืม และลืม เพราะเธอไม่แคร์ และกำลังจะจากไป
.
.
.
แม่ดอกไม้ริมทางคิดจะฟันเขาแล้วทิ้งอย่างนั้นหรือ
อะไรจะง่ายขนาดนั้น !! ฝันไปเถอะ เพราะเขาจะไม่ปล่อยเธอไป...

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: อาทิตะยะ สตาริศา

ตอน: ตอนที่ 2...จบกับผม คือบนเตียง ตามที่คุณขอ...

“ผมไม่นอนกับผู้หญิงที่แม้แต่จะยืนให้ตรงก็ยังทำไม่ได้หรอกนะครับ”

เสียงทุ้มนุ่มหูกระซิบใกล้ ความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นแทรกซึมเข้าไปจนถึงหัวใจของคนฟังให้รู้สึกละอาย แขนเรียวเล็กกลมกลึงที่คล้องคอชายหนุ่มคลายออกและเลื่อนต่ำ ก่อนที่ร่างบางจะค่อยๆขยับออกห่างด้วยสำนึกในสิ่งที่กำลังทำอยู่ แม่จ๋าคงจะหัวใจวายหากมาเจอลูกสาวของตัวเองในสภาพนี้

สติที่ยังพอมีเหลือ สั่งให้สาวน้อยเจ้าของรางวัลนักเรียนดีเด่นด้านกิริยามารยาทสมัยที่เรียนอยู่มัธยมยันตัวเองออกห่างจากร่างชายหนุ่มที่กอดอยู่ในทันที

หากแต่สองมือที่แตะเบาๆ อยู่ที่เอวคอด เจตนาแรกเพียงประคองร่างเล็กไม่ให้ล้มฟุบลงไปบนพื้นทราย มาบัดนี้กลับเลื่อนโอบรัดรอบเอวบางและออกแรงรั้งเบา ส่งผลให้ร่างเล็กที่ประคองตัวเองให้ยืนแทบไม่ได้เซถลาเข้าปะทะอกกว้างอีกครั้งอย่างง่ายดาย สตาริศาร้องอุทานเบา เมื่อรู้สึกถึงแรงกดจากจมูกโด่งที่ซอกคอ สติที่มีอยู่เพียงน้อยนิดกระเจิดกระเจิงไปกันใหญ่ ใบหน้าเนียนร้อนผะผ่าว ก่อนจะรู้สึกหูอื้อตาลาย ยืนตัวชาไปกับประโยคที่เขาตั้งใจกระซิบเบาๆข้างๆหูอีกครั้ง

“แน่ใจหรือว่ามีแรงพอที่จะตอบสนองผมได้ ตอนที่เรามีอะไรกัน”


สองมือเล็กจิกเล็บไปบนบ่าที่เกาะอยู่ด้วยสติที่เริ่มพร่าเลือน เสียงกระซิบแผ่วเบา ลมหายใจอุ่น ที่เป่ารดต้นคอทำให้ร่างบางถึงกับขนลุกซู่ อาทิตะยะจูบไซร้ไล่ต่ำอย่างลืมตัวแม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่ร่างกายกลับแสดงความต้องการเพียงเพราะได้สัมผัสกับร่างนุ่มนิ่มที่เบียดชิด

ชายหนุ่มที่ตั้งใจจะแกล้งสนองตอบอารมณ์ของแม่สาวน้อยขี้เมาเล็กๆน้อยๆ แพ้ใจตัวเอง ร่างเล็กถูกเขาจับหมุนให้ไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่พ้นจากสายตา ของใครต่อใครที่กำลังมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ สถานที่ช่างเป็นใจเมื่อโต๊ะที่เธอนั่งเป็นโต๊ะริมสุดอีกทั้งแสงไฟก็ส่องถึงเพียงรำไร ทำให้เขาสามารถใช้ตัวเองบังร่างเล็กเอาไว้ได้เกือบมิด ก่อนจะก้มลงทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะตัวเองจะกล้าทำกับผู้หญิงคนไหนๆ หากไม่ใช่ผู้หญิงตรงหน้า
อาทิตะยะมอบจูบเร่าร้อนให้กับสาวน้อยขี้เมาในอ้อมแขนที่กำลังขืนตัวหนี อย่างนึกสนุก

แม้จะเป็นการจูบที่เกิดขึ้นเพียงวูบเดียวเหมือนลมพัดผ่าน แต่กลับทำให้คนที่ได้สัมผัสกับมันเป็นครั้งแรกยืนอึ้ง ใจสั่น ท้องไส้ปั่นป่วน พอๆกับความคิดที่เริ่มจะตีกันยุ่งเหยิง

“ถ้าไม่แน่จริงก็อย่าปากกล้า เพราะถ้าผมเอาจริง ทุกอย่างก็จบ...”

เขาหยุดคำพูดเอาไว้ เมื่อมองเห็นความสับสนวุ่นวายในดวงตาของเธอ

“เลือกเอาว่าจะจบที่นี่ หรือจบกับผม”

“จบกับคุณ”คำพูดของเธอ คือการทบทวนคำพูดที่ได้ยิน ไม่ใช่คำตอบตกลงอย่างที่อีกคนคิด

แต่ไม่ว่าเธอจะตอบตกลงหรือไม่ มันก็สายเกินไปแล้วที่จะปฏิเสธในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
อาทิตะยะโอบไหล่และรั้งร่างบางให้ก้าวเดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ ตรงไปยังลานจอดรถด้านหน้า โดยไม่สนใจว่าใครจะมองตามด้วยความรู้สึกเช่นไร หรือความคิดแบบไหน

เพราะตอนนี้เขามั่นใจว่าจะขอสั่งสอนสาวน้อยปากกล้าที่กล้ามาท้าเขาให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ

ร่างไร้สติในวงแขนถูกวางลงไปบนเตียงกว้าง เมื่อขยับให้เธอนอนในท่าที่คิดว่าน่าจะสบายที่สุด ร่างสูงจึงนั่งลงไปที่ขอบเตียงใกล้ๆ เธอ นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองใบหน้าของสาวน้อยที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติด้วยความรู้สึกหลากหลาย

เธอคิดว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทไหน ถึงได้เสนอตัวให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
แม่สาวน้อยขี้เมาใจกล้าเกินไปแล้ว

“จบกับผม คือ บนเตียง ตามที่คุณขอ” เป็นประโยคเพียงสั้นๆ ที่ออกจากปาก พร้อมกับมือที่ยกขึ้นไปแตะแก้มเนียนก่อนจะลากไล้นิ้วเรียวผ่านอย่างเบามือทั้งสองข้าง ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เธอดื่มเข้าไป แม้จะดีกรีไม่สูงแต่ก็มีผลทำให้ผิวแก้มใสๆเห่อแดงขึ้นมาให้เห็นอย่างเด่นชัด สายตาของอาทิตะยะกวาดมองไปทั่วทั้งดวงหน้า

ไม่เคยคิดจะลักหลับคนที่ไม่รู้สึกตัวหรอกนะ แต่ริมฝีปากบางที่เคยเผลอใจลิ้มลองมันช่างดูเย้ายวนชวนเชิญเกินจะอดใจไหว ชายหนุ่มโน้มตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้จนสามารถจะสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของคนที่นอนนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดจมูกและปากลงไปที่แก้มเนียน ริมฝีปากอุ่นค่อยๆเคลื่อนเข้าไปประทับจูบริมฝีปากบางเย็นเฉียบ จากที่ตั้งใจจะสัมผัสเพียงเบาๆ กลับลืมตัวลิ้มลองหยอกเย้า เผลอขบเม้มและพยายามจะแทรกเรียวลิ้นอุ่นจัดเข้าไปควานหาความหวานหอมในปากของสาวน้อยที่เริ่มขยับแต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ชวนให้รู้สึกเอียนในตอนแรก มาบัดนี้กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเคลิบเคลิ้ม

เหมือนต้องมนต์เสน่หา ฝ่ามือและนิ้วเรียวจึงกล้าที่จะสอดแทรกเข้าไปสัมผัสกับผิวเนียนเรียบลื่นใต้ร่มผ้า สาวน้อยขี้เมาเริ่มบิดร่างไปมาสนองตอบสัมผัสจากฝ่ามือที่ลากไล้และเคล้าคลึงไปตามเนื้อตามตัวที่จงใจจะไม่เว้นแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ร่างกายที่เริ่มสั่นเกร็งและทวีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อาทิตะยะตัดสินใจหยุดตัวเองไว้เพียงเท่านั้น
ความเจ็บปวดวิ่งสู่กลางลำตัวทันทีที่เขาผละออกจากร่างบางอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มนั่งหันหลังให้กับร่างที่นอนกระสับกระส่าย ก่อนจะนิ่งไปหลังจากนั้นไม่นานนัก มือเรียวยกขึ้นเสยผม เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายขึ้นเต็มหน้าทั้งๆที่ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเอี้ยวตัวกลับไปมองใบหน้าของคนที่ยังไม่ได้สติ สายตากวาดมองไปตามผิวขาวเนียนที่มีรอยแดงปรากฏอยู่เป็นจ้ำๆ ดวงตาคมเข้มยังฉายชัดถึงความต้องการไม่จางหายแม้พยายามจะข่มเอาไว้

“ขอโทษนะ” ชายหนุ่มพึมพำ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าคำขอโทษที่พูดออกไปนั้น ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อคนที่เขาอยากจะบอก เธอไม่มีสติรับรู้อะไรได้เลยในตอนนี้ แต่แปลกที่เขากลับรู้สึกอยากจะพูดมัน...กับเธอ
นั่งอยู่สักพักร่างสูงจึงลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู สวิตช์ไฟกลางห้องถูกชายหนุ่มกดปิด ท่าทางเขาลังเล สายตาคมเข้มเหลือบมองไปที่เตียงสลับกับมือตัวเองที่จับอยู่ที่ลูกบิด มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในใจ เท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องชะงัก อาทิตะยะเปลี่ยนใจเดินย้อนกลับเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มนั่งลงไปที่ขอบเตียงในตำแหน่งเดิม

แสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงทำให้เขาเห็นใบหน้าสวยของสาวน้อยขี้เมาไม่ชัดเหมือนในตอนแรก แต่เขากลับคิดว่าเธอสวยที่สุดในสายตา ณ เวลานี้

สาบเสื้อที่แยกออกจากกันโดยฝีมือเขาก่อนหน้านี้ ดึงความคิดของอาทิตะยะให้ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น ดวงตาชายหนุ่มปรากฏความหมายบางอย่างขณะมองผิวเนื้อเนียนตั้งแต่ลำคอระหงไปจนถึงเอวคอด

เขาไม่เคยบุ่มบ่ามกับผู้หญิง ไม่ได้หิวโซในเรื่องเซ็กซ์ แต่ทำไมเวลาที่เขาเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้ หัวใจมันถึงได้เต้นแรง และร่างกายมันก็ร้อนรุ่มแบบแปลกๆ แค่ประโยคท้าทายจากสาวน้อยปากกล้าไร้สติ แต่มันกลับทำให้เขานึกสนุกอยากจะสนอง โดยไม่แคร์สายตาใครต่อใคร ตอนที่ลากเธอออกมาจากร้านอาหาร...เรือนตะวัน

และตอนนี้เธอก็มานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงของเขา เตียงที่เขาหวงและไม่เคยใช้มัน กับผู้หญิงคนไหนๆ ไม่ว่าพวกหล่อนจะอ้อนวอนอยากจะมาเยือน “หนึ่งตะวัน”สักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดจะใจอ่อนเลยสักครั้ง...
ผิดกับตอนนี้...ที่เขารู้สึกเต็มอกเต็มใจ และรู้สึกดีที่เตียงนี้จะมีสมาชิกใหม่ มานอนเป็นเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง หลังจากที่เขาใช้มัน เพื่อการนอนหลับอย่างเดียวมาเนิ่นนานเพียงคนเดียว

“หนึ่งตะวัน” คือบ้านพักตากอากาศริมหาดส่วนตัวของ ผู้บริหารหนุ่มหน้าใส ด้วยวัยที่เพิ่งผ่านพ้นรั้วมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ และก้าวเข้ามาสู่แวดวงธุรกิจแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เขาไม่ค่อยจะไปปรากฏตัวที่ไหน อาทิตะยะทำงานผ่านมือขวา มือขวาที่ว่าคือบุรุษอาวุโสที่ชายหนุ่มให้ความเคารพเหมือนพ่อ ด้วยตำแหน่งเลขาส่วนตัวและทนายความประจำตัวของพ่อพ่วงด้วยตำแหน่งพ่อของแพทย์ประจำตระกูลของครอบครัว ทำให้นายอัคราช อัศวเทพเป็นมากกว่าคนในครอบครัวในความคิดของอาทิตะยะ

การสูญเสียพ่อไปอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ทำให้กิจการทั้งหลายตกมาถึงมือเขาก่อนวัยอันควร แต่แปลกที่เด็กหนุ่มในวัยยี่สิบต้นๆ กลับมีความฉลาดเป็นเลิศทางด้านบริหารการจัดการกับธุรกิจที่มีอยู่ได้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก มันง่ายมากในการที่เขาจะเข้ามาดูแลกิจการทั้งหมดด้วยความราบรื่น จากการปูทางเอาไว้รอของพ่อ การถือครองหุ้นกว่าครึ่งในทุกๆบริษัท ของนายเควิน ทรรศไนย พ่อของเขา ทำให้ตำแหน่งประธานบริหารตกมาเป็นของอาทิตะยะในทันทีที่ประธานคนปัจจุบันเสียชีวิต

อาทิตะยะ ทรรศไนย ทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียวของตระกูล ทรรศไนย ไม่ว่าตอนนั้นเขาจะอายุน้อยหากเทียบกับธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบ แต่นั่นกลับไม่ใช่อุปสรรค ในเมื่อเขาได้พิสูจน์ให้ใครต่อใครได้เห็นแล้วว่า อายุไม่สำคัญเท่ากับมันสมอง! ที่นักบริหารและคนที่คิดจะทำธุรกิจจะต้องมี

ธุรกิจที่พ่อทำเขาเรียนรู้ตั้งแต่อ่านออกเขียนได้ เวลาว่างของเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป คือดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวเตร่ แต่สำหรับเขา อาทิตะยะกลับสนุกกับการอ่านหนังสือ ศึกษาธุรกิจ วิเคราะห์หุ้น อยู่ในห้องทำงานของพ่อ
และนั่นคือเรื่องเล่าขานของเหล่าพนักงานในเครือทรรศไนยที่พูดถึงผู้บริหารของตัวเอง
ไม่มีใครเคยเห็นว่า อาทิตะยะ ทรรศไนย หน้าตาแบบไหน รู้แต่ว่าเขาเป็นนักบริหารหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จอย่างเยี่ยมยอดในธุรกิจที่เขาครอบครอง และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ

ใครเลยจะคาดคิดว่าความจริงเขาก็ป้วนเปี้ยนอยู่ในประเทศไทยนี่เอง
หากแต่สถานที่ที่เขาใช้ชีวิต ชายหนุ่มถูกเรียกด้วยความหมายของชื่อกลางในภาษาอังกฤษของเขา
และชื่อนี้ก็ถูกเขานำมาตั้งเป็นชื่อของ บ้านพักส่วนตัวของตัวเองบนเกาะแห่งนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“ตื่นได้แล้วครับ ผมรออยู่”
เสียงกระซิบบอกพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ ที่หน้าผาก ก่อนจะเลื่อนลงมาที่แก้ม ทำให้ร่างบางที่อยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นพลิกหน้าหนีด้วยความรำคาญ แขนที่ยกขึ้นปัด ถูกอีกคนจับกดลงไปไว้ข้างตัวดังเดิม

“จุ๊ๆ เปลี่ยนใจตอนนี้จะทันได้ยังไง” อีกหนึ่งประโยคตามติด ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะขบเม้มติ่งหูเล็กเบาๆ จนร่างบางกระตุก แรงผลักจากสองมือเล็กที่ไหล่ทั้งสองข้างทำให้ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองสบตาปรือๆ ของสาวน้อยใต้ร่าง

วินาทีที่ได้สบตา หัวใจของอาทิตะยะก็อดที่จะลุ้นไม่ได้ว่า สาวน้อยที่ทำท่าเหมือนกับจะได้สตินั้นจะแสดงปฏิกิริยาตอบโต้กลับมายังไง เมื่อเห็นเขา

ดวงตาปรือเบิกกว้าง ริมฝีปากที่ตั้งท่าจะกรีดร้องปิดฉับเพียงแค่เห็นดวงตาวาวของคนที่อยู่เหนือกว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอกลัว แต่เพราะเขาไม่ชอบเสียงร้องกรี๊ดๆ ของผู้หญิง ถึงได้จ้องเธอแบบนั้น

ดวงตาที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงอ่อนแสงลงเมื่อเห็นท่าทีที่สงบของสาวน้อยใต้ร่าง ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอย่างชั่งใจว่าควรจะเอายังไงต่อไปดี โดยเฉพาะสตาริศาเธอยอมรับว่าตกใจและรู้สึกเสียขวัญกับการตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงกับผู้ชายแปลกหน้า

พ่อเทพบุตรสุดหล่อ ที่เธอคิดเองเออเองว่ามันเป็นเพียงจินตนาการอันบรรเจิดของตัวเองตอนเมากลับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ หรือนี่
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของชายหนุ่มเมื่อสาวน้อยสะบัดหน้าไปมาอีกทั้งยังหลับตา ลืมตา สลับกันอยู่อย่างนั้นหลายรอบเพื่อมองเขา

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

เสียงทักท้ายทุ้มนุ่มหูดังขึ้น ทำให้เธอหยุดทุกการกระทำในการพิสูจน์ถึงการมีตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้าทันที

แม่จ๋า...ลูกสาวพลาดไปแล้วจริงๆ

ได้แต่ร่ำร้องในใจ แต่จะให้โทษใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ตัวเองที่กล้าบ้าบิ่นทำเรื่องแบบนี้โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา

ว่าแต่...ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้เลย สตาริศาพยายามนึกทบทวนเรื่องราวก่อนที่มันจะมาลงเอยในรูปแบบนี้ อาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของสาวน้อยขี้เมาทำให้อาทิตะยะรู้ในทันทีว่าเธอคงจำอะไรไม่ได้ แววตาที่ทอดมองอ่อนโยน รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าไม่คิดจะปิดบัง คนที่เห็นจ้องมองด้วยสงสัย ความอายยังมีอยู่หากแต่ความอยากรู้มีมากกว่า ร่างบางจึงขยับและนั่นคือการกระตุ้นการเสียดสีระหว่างเขาและเธอ แต่ก็ทำให้เธอได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เปล่าเปลือยอย่างที่คิด...

เธอยังมีเสื้อผ้าติดตัว เพียงแต่...สาวน้อยยกศีรษะขึ้นเพื่อมองตัวเอง ริมฝีปากบางเม้มแน่น เมื่อเห็นว่าตนอยู่ในชุดใด สตาริศารู้สึกเกลียดและขยะแขยงในการกระทำของตัวเองขึ้นมาในทันที ขอบตาเธอร้อนผะผ่าวจนต้องหาทางหลบ วินาทีนั้นเธอพยายามจะเบี่ยงตัวหันข้างให้กับสายตาที่จ้องมอง แม้จะต้องขยับอยู่ในวงแขนที่คร่อมอยู่ก็ตามที รอยยิ้มที่เธอไม่รู้ในเจตนา และสายตาที่เธออ่านไม่ออก ทำให้หัวใจเธอเจ็บอยู่ลึกๆจนไม่กล้าสู้หน้า เขาคงกำลังคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ค่าไร้ราคา และนึกเวทนาตัวเธออยู่แน่ๆ

แม่จ๋า...ทำยังไงดี พ่อจ๋า...ลูกสาวทำตัวยิ่งกว่าโสเภณี อย่างน้อยๆ พวกเธอเหล่านั้นก็คงไม่คิดจะเสิร์ฟความสาวให้ใครฟรีๆ อย่างที่ลูกทำหรอก จริงไหม

รู้ไปถึงไหน ได้อายไปถึงนั่น ที่สำคัญถ้าแม่จ๋ารู้เธอตายแน่ๆ คนที่ถูกลูกสาวเรียกว่าแม่จ๋า คือคุณครูคิริมา อังศุธร คุณครูที่เลี้ยงลูกสาวประดุจไข่ในหินเฝ้าทะนุถนอมตลอดมาด้วยกฎระเบียบสุดเข้มว่ารักห้ามยุ่งมุ่งแต่เรียนเท่านั้น ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว ผ่านหนาวมาแล้วยี่สิบสามหนาว สตาริศาเพิ่งจะเปิดใจรัก แต่กลับต้องมาเจอกับความผิดหวัง เพราะผู้ชายมักมากที่ชื่อนที

แม่จ๋าสอนว่าผู้หญิงที่ดีควรจะมีรักเดียวใจเดียว และควรจะเสียตัวให้กับผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยเท่านั้น...แล้วตอนนี้จะมีใครหน้าไหน อยากจะแต่งงานกับลูกสาวไหม...แม่จ๋า

ร่างบางที่ขยับนอนหันข้างให้ แถมคู้ตัวโดยการดึงเข่าขึ้นมาเกือบจะถึงอก สองแขนเรียวเล็กโอบกอดตัวเองแน่นทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกผิด ผิดทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่ถอดชุดที่แสนจะอึดอัดให้กับเธอ แล้วหยิบเอาเสื้อเชิ้ตของตัวเองมาใส่ให้ตามที่คิดได้ จากนั้นก็นอนกอดเท่านั้นเอง...
บอกแล้วไง ว่าเขาไม่ชอบทำอะไรกับคนที่ตอบสนองไม่ได้ แถมยังไร้สติ ดูเหมือนเหตุผลข้อหลังจะมีน้ำหนักมากกว่า เชื่อเถอะ...ว่าเธอได้ลุกขึ้นมาตอบสนองเขาได้แน่ๆ หากเขาไม่หยุดเสียก่อนเมื่อคืนนี้
อาทิตะยะจับไหล่มนพลิกร่างบางให้หันกลับมาเผชิญหน้า แม้เธอจะขืนตัวไว้ในตอนแรกแต่แรงผู้หญิงจะสู้แรงผู้ชายที่คิดจะเอาจริงยังไงไหว

ร่างบางกลับมานอนในท่าเดิม สองมือยกขึ้นยันอกเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับใกล้ ดวงตาเธอฉายชัดว่าจิตใจเธอไม่ได้นิ่งเหมือนหน้าตาและท่าทางที่แสดงออก

“เรื่อง ระหว่างเรา ฉะ...ฉันไม่ติดใจ” เธอพูดตะกุกตะกัก ในขณะที่เขากลับมองนิ่ง
“ฉันอยากจะขอร้องให้คุณลืมมันซะ” เธอพูดอีก คราวนี้คิ้วเข้มเลิกขึ้น เริ่มสงสัย...เธอจะให้เขาลืมอะไร

“ เราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ปล่อยฉันเถอะนะคะ...ตอนนี้ฉันทำมันไม่ได้ ฉันไม่รู้จักคุณ เราไม่รู้จักกัน” จบประโยค อาทิตะยะถึงบางอ้อ แต่มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือที่จะบอกให้ลืม
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรเธอในคืนที่ผ่านมา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำมันในเช้าวันนี้นี่ครับ
การที่เธอบอกให้เขาลืม รู้ไหม... มันเหมือนกับการท้าทายให้เขาทำ

“ใครว่าเราไม่รู้จักกัน”

คำพูดของเขาทำให้เกิดความไม่แน่ใจในสายตาเธอ...

“ฉันไม่รู้จักคุณ”

“แต่ผมรู้จักคุณ”

อึ้งไปเลย...สตาริศานิ่ง เงียบ เขามารู้จักกับเธอตอนไหน ในเมื่อเธอและเขาเพิ่งจะเคยเจอกัน

“แต่เราเพิ่งเคยพบกัน”

“เหรอครับ ”

“คุณไม่รู้จักฉันหรอก จริงไหม”

“คุณคือสตาริศา อังศุธร”

“คุณค้นกระเป๋าฉันนะสิ”

“ผมไม่ค้นกระเป๋าใคร”

“แล้วคุณจะรู้ชื่อฉันได้ยังไง”

“เพราะเรารู้จักกันนะสิครับ...” อาทิตะยะไม่ได้โกหก ในเมื่อเธอเป็นพนักงานของอารียา ก็ต้องรู้จักเขาสิ ถึงจะเป็นแค่ชื่อก็เถอะ ส่วนเขานั้นแค่อยากจะได้ประวัติพนักงานของตัวเองสักคนมันจะไปยากอะไร

“ไม่จริง...ฉันไม่รู้จักคุณ” เสียงเธอเริ่มแสดงให้เห็นว่าเธอไม่มั่นใจกับประโยคที่พูด

เกิดอะไรกับความทรงจำของเธอรึเปล่า เธอจะรู้จักเขาได้ยังไง เขาชื่ออะไรเธอยังไม่รู้เลย

“ผมชื่อ...หนึ่ง”

อีกคนพูดขึ้น เหมือนกับล่วงรู้ความคิดของเธอ

หนึ่ง...สาวน้อยทวนชื่อที่ได้ยินในใจ

ต่อให้คิดจนสมองแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่มีทางนึกได้ เพราะหน้าตาแบบนี้ ชื่อนี้ ไม่มีอยู่ในความทรงจำของเธอเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายคนนี้กำลังเล่นอะไรกับเธอกันแน่

“แค่ชื่อเท่านั้น อย่ามาอ้างว่าคุณรู้จักฉัน ปล่อยฉันเถอะนะ”

ไม่ปล่อย...สองแขนที่คร่อมอยู่ตวัดเอาร่างบางเข้ามาหาตัว เมื่อเขาพลิกตัวนอนหงายคนตัวเล็กกว่าจึงถูกดึงขึ้นไปนอนเกยอยู่ที่อกเขาเกือบทั้งตัว สตาริศาพยายามดันตัวออกห่างแต่กลับไม่ได้ผล เมื่อแขนแข็งแรงของเขาไม่ยอมปล่อย

“นิ่งก่อน...แล้วผมจะบอกว่า ผมรู้จักคุณจริงๆ รึเปล่า”

ข้อเสนอของเขาทำให้เธออยากจะรู้

อาทิตะยะ ก้มลงมองคนที่ยอมอยู่นิ่ง หัวใจเบิกบานชอบกล แปลกใจตัวเองอยู่หรอกนะที่คิดอยากจะตอแยแม่สาวน้อยขี้เมาเกินงาม แต่ใครใช้ให้เธอมากระโดดกอดเขากันล่ะ แถมยังพูดจาท้าทายชวนให้หวั่นไหวนั่นอีก แม้จะไม่ได้ก้าวล้ำล่วงเกินแต่เขาก็ไม่ได้เป็นอิฐหินปูนทรายนี่นา จะได้แน่นิ่งไม่คิดอะไร ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเธอ

“ผมรู้ว่าคุณชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร และทำงานที่ไหน ผมรู้จริงๆนะ”

“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราสองคนจะรู้จักกัน ปล่อยฉันเถอะนะคะ เรื่องที่คุณอ้าง หรือคุณอาจจะรู้จริงๆ แต่ไม่ว่าคุณจะได้ประวัติของฉันมาด้วยวิธีไหน แต่ฉันเชื่อว่า ฉันไม่เคยรู้จักคุณ และฉันไม่คิดจะหลับนอนกับคนที่ไม่รู้จัก อย่า...”

เสียงสุดท้ายร้องห้ามด้วยตกใจ เมื่อวงแขนที่พาดผ่านรอบตัวกระชับแน่นเข้าไปอีก

“สตาริศา เป็นไปได้ที่คุณจะบอกว่าไม่รู้จักผม แต่คุณน่าจะรู้จัก อาทิตะยะ ทรรศไนย จริงไหมครับ”
ชื่อที่เขาเอ่ยทำให้เธอจ้องมองเขาตาค้าง...

ไม่ๆๆ ไม่ใช่แน่ อย่ามาอำเชียวนะ อย่าบอกนะว่าเขาคือ อาทิตะยะ ทรรศไนย เจ้านายเธอ
เพราะเธอไม่มีทางหลงเชื่อเป็นอันขาด

แค่เห็นคำว่า Tatsanai ที่เสื้อของเธอ ผู้ชายคนนี้ถึงกับลงทุนสร้างเรื่องราว ปั้นน้ำเป็นตัวได้ขนาดนี้เลยหรือ

ไม่นอนกับคนที่ไม่รู้จัก อย่างนั้นหรือ...สตาริศา

วงแขนที่รัดแน่นออกแรงรั้งร่างบางให้ขยับขึ้นมาก่ายเกยอยู่บนตัวมากกว่าเดิม ใบหน้าเนียนอยู่ห่างแค่คืบ ตาสบตา

“พูดผิดไปแล้ว ที่บอกว่าไม่คิดจะหลับนอนกับคนที่ไม่รู้จัก ทั้งๆที่เมื่อคืนคุณนอนกับผม จำไม่ได้จริงๆหรือแกล้งครับ”

ช่างเป็นคำพูดที่แทงใจของคนฟังให้เจ็บแปลบดีแท้ สตาริศาพยายามยันตัวออกห่างด้วยสองแขนที่มี เธอไม่อยากอยู่ใกล้เขามากไปกว่านี้อีกแล้ว แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ

ทำไมจะต้องมาพูดตอกย้ำในสิ่งที่เกิดขึ้น จนทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงตัวเองได้มากมายขนาดนี้

“ปล่อยฉัน เรื่องเมื่อคืนฉันลืมมันไปหมดแล้ว”พูดสะบัด พร้อมกับขอบตาที่เริ่มร้อนผ่าว “ฉันจะไปจากที่นี่” พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นไหวไปตามความรู้สึก...

“ไม่มีทาง”

“อะไรนะ!”

“คุณจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เพราะคุณคือ เมียผม”

“ไม่ ไม่ใช่!”ส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “แค่ครั้งเดียว”เป็นเหตุผลที่ทำให้คนฟังเผลอยิ้ม

“แล้วจะต้องกี่ครั้ง ถึงจะใช่” สายตาที่ส่งมาพร้อมกับคำพูดทำให้เธอขนลุกซู่

“ไม่นะ ไม่อีกแล้ว”

เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนจะถูกปิดปากด้วยจูบที่เร่าร้อนของคนที่รอคอย จากที่คิดว่าตื่นขึ้นมาเขาจะปล่อยเธอไป แต่พอได้พูดคุยตอบโต้กับสาวน้อยขี้เมาตอนที่มีสติกลับทำให้นึกสนุกและมีความสุขที่ได้แหย่

“อย่าทำฉัน...”เธอเฝ้าร้องขออยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมเสียงที่เปล่งออกมาถึงได้อู้อี้ไม่ดังอย่างที่ตั้งใจ แบบนี้นะ

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะไม่ปล่อยคุณไป เพราะฉะนั้นหยุดดิ้นได้แล้ว...สตาริศา” เสียงเข้มของเขากระซิบเบาข้างๆหู สาวน้อยกัดปากตัวเองจนเจ็บเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ก็ไม่เท่ากับความเจ็บที่อยู่ในใจ ทุกครั้งที่เขาสัมผัสเธอ

หรือนี่คือบทลงโทษ ความรู้สึกผิดและตราบาปที่จะติดตัวไปจนตายจากการกระทำที่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง!

~*~*~*~*~*~




ปิลันธน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2554, 23:36:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2556, 22:53:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 3161





<< ตอนที่ 1...พาฉันไป ที่ไหนก็ได้ ได้โปรด...   ตอนที่ 3...ผมไม่ปล่อย คนที่ทำให้ผมเจ็บ หรอกนะครับ... >>
lovemuay 31 ก.ค. 2554, 14:51:35 น.
เย้เอากลับมาลงอีกรอบแล้ว หวังว่ารอบนี้จะลงจบนะคะ ^^


แพม 31 ก.ค. 2554, 17:24:44 น.
แล้วอันเก่าหายไปไหนอ่ะคะ


ปิลันธน์ 31 ก.ค. 2554, 17:54:45 น.
1.lovemuay : จบซิจ๊ะ...แต่อาจจะเร็วไม่ทันใจคนตามอ่าน ขออภัยน๊า
2.แพม : อันเก่าไหนค่ะ ถ้าหมายถึงตอนเก่าๆ ละก้อเก็บเอาไปเพิ่มชื่อตอนจ้า


ปูสีน้ำเงิน 31 ก.ค. 2554, 21:34:19 น.
ดีใจนะเนี่ยที่จะลงจนจบ


ปิลันธน์ 1 ส.ค. 2554, 12:25:37 น.
3.ปูสีน้ำเงิน:ดีใจเหมือนกัน ที่จะมีโอกาสทำให้คนอ่านดีใจ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account