ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: มีความสุข

ตอนที่ 22

“ฮ่ะๆๆๆ สิดี ก็อย่างที่ฉันเคยบอกเธอแหละนะ ว่าเธอน่ะเปรียบเสมือนวีรสตรีกู้ชาติ” หนูเล็กพูดก่อนจะระเบิดหัวเราะสะใจ

“ฉันบอกแล้ว เธอไม่มีอะไรต้องเสียเลยสักนิด คิดดูสิว่า...” หนูเล็กยังคงส่งสายตาแพรวพราวมาให้ฉันก่อนจะพูดจ้อไม่หยุดถ้าหากฉันไม่เบรกเอาไว้เสียบ้าง

“พอเถอะๆ ยังไงฉันก็อยากให้เธอเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าเอาไปพูดต่อล่ะ” ฉันกำชับหล่อนอย่างหนักแน่น

หนูเล็กมองฉันอย่างเจ้าเล่ห์ “รับรอง แต่มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

“นี่ฉันไม่มีเงินพาเธอไปเลี้ยงหรือซื้ออะไรบรรณาการเธอหรอกนะ ตอนนี้แม่ฉันมีเรื่องอยู่ ฉันก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน” ฉันบอก เพราะคิดว่าหนูเล็กอาจจะอยากให้พาไปเลี้ยง

หนูเล็กเท้าสะเอว “ใครบอกว่าฉันจะให้เธอเลี้ยงยะ ฉันแค่แบบว่า เอ่อ...คือคุณนรินทร์กับคุณจิทัศน์เขาเป็นเพื่อนสนิทกันใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นเวลามีงานหรือไปเที่ยวที่ไหน เธอพาฉันไปด้วยสิ ฉันจะได้รู้จักกับคุณจิทัศน์มากขึ้น ลำพังแค่เขาพาแม่มาตัดเสื้อที่นี่น่ะ ฉันก็ไม่มีเวลามากพอจะหว่านเสน่ห์เขาได้หรอก” หนูเล็กพูด ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

พับผ่าสิ! ยัยนี่ชอบคุณจิทัศน์มากเลยหรือ คงถึงเวลาแล้วสินะที่ฉันควรทำให้เธอตาสว่างเสียที คือฉันก็ไม่ได้คิดว่าคุณจิทัศน์เลวร้ายอะไรหรอกนะ แต่บางอย่างในตัวเขาทำให้ฉันคิดว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่น่าคบหาเท่าไหร่

“หนูเล็ก” ฉันทำท่าจริงจัง “เธอชอบเขามากเหรอ”

หนูเล็กตอบอย่างหนักแน่น “แน่นอน เขามีคุณสมบัติอย่างที่ฉันต้องการทุกอย่าง”

อู.. ไม่น่าล่ะ แม่นี่ถึงไม่คบกิ๊กอีกเลยในช่วงนี้และไม่เคยเมาหัวราน้ำเพราะอกหักมาหลายเดือนแล้ว

“รูปหล่อ พ่อรวย น่ะเหรอ” ฉันย้อนถาม

“ไม่ใช่ย่ะ รูปหล่อ ฐานะดี จบนอก ต่างหาก” หนูเล็กแก้

“ฮึ แล้วมันต่างกันตรงไหน” ฉันเถียงด้วยความอคติ ก็ถ้าพ่อเขาไม่ทำรวยมาก่อนแล้วตัวเขาจะเอาอะไรมารวย เขาก็แค่ทำงานต่อจากพ่อตัวเองเท่านั้น

“ทำไม เขามีอะไรไม่ดีหรือสิดี ดูเธอไม่ค่อยชอบเขานะ” หนูเล็กสงสัย

“คือ...ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบนะ แต่ประการแรกคือคุณนรินทร์กับคุณจิทัศน์ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทรักใคร่อะไรหรอก อีกอย่างคุณจิทัศน์ก็เคยแย่งแฟนคุณนรินทร์ และไม่นานมานี้เขาก็เกือบจะได้บริษัทนราธรไปครอง ถ้าหาก...” ฉันยังพูดไม่จบหนูเล็กก็แทรก

“ถ้าเธอไม่ยอมแต่งงานกับคุณนรินทร์ โถ่...สิดี ไม่เห็นจะมีเหตุผลข้อไหนที่บอกว่าเขาไม่ดีเลยนี่นา เรื่องความรักน่ะ มีสมหวังมีเสียใจเป็นธรรมดา ส่วนเรื่องบริษัท อย่าลืมนะว่าธุรกิจก็คือธุรกิจ”

โห ยัยหนูเล็กเป็นคนมองโลกในแง่ดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อ๋อ ใช่ ลืมไปว่าเธอคงอกหักมามากพอจนเข้าใจว่า ความรักมีสมหวังมีเสียใจเป็นธรรมดา

“แต่หนูเล็ก ถ้าคนเป็นเพื่อนกันเขาคงไม่แย่งแฟนเพื่อนไปหรอกนะ อีกอย่างรู้ไหมว่าแฟนเก่าคุณจิทัศน์เป็นถึงรองนางสาวไทยเชียว เขาอาจจะเป็นพวกหัวสูงมากก็ได้” ฉันรีบชี้แจง

หนูเล็กมองฉันด้วยความไม่พอใจ “แปลว่าอะไร ฉันต่ำต้อยไม่คู่ควรกับคุณจิทัศน์หรือไง”

เอาแล้วสิ ฉันไม่อยากทะเลากับเธอเล้ย “คือ เอ่อ...ฉันไม่ได้หมายความว่าเธอต่ำต้อย เธอก็ออกจะสวย รวย เก่ง และจบนอกเหมือนกัน แต่ฉันหมายความว่า เขาอาจจะชอบพวกเด่นดังน่ะ”

หนูเล็กมีสีหน้าดีขึ้น “อ่อ แล้วไป แล้วไหนเธอบอกพวกเขาไม่ใช่เพื่อนกัน ถ้าอย่างนั้นคุณจิทัศน์ก็ไม่ถือว่าแย่งแฟนเพื่อนรักหรอก”

“ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจในข้อนี้หรอกนะ แต่เอาเป็นว่าคุณนรินทร์เคยบอกฉันว่าพวกเขาไม่เคยเป็นเพื่อนรักกัน แต่คุณจิทัศน์กลับพูดอีกอย่าง เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉันคิดว่าเขาไม่ดีพอสำหรับเธอหรอก”

หนูเล็กมองฉันด้วยแววตาขุ่นมัว เธอกอดอกแน่น ทำท่าหาเรื่อง “พิสูจน์สิ”


ฉันยอมแพ้ ขี้เกียจเถียงหนูเล็ก เลยรีบตัดบทบอกเธอว่าสักวันเธอจะเข้าใจ แล้วรีบกลับบ้านไปหาแม่เป็นดีที่สุด

ที่บ้าน แม่กำลังนั่งคุยกับทนายที่คุณนรินทร์ส่งมา ทั้งสองกำลังซักซ้อมว่าต้องพูดและตอบคำถามอะไรบ้าง ดูจะเคร่งเครียดพอสมควร แต่แม่บอกฉันลับหลังว่า แม่รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากและบอกว่าฉันโชคดีที่ได้แฟนที่แสนจะใจดีและมีน้ำใจอย่างคุณนรินทร์

ฉันจะเถียงอะไรได้ ถึงมันจะไม่เป็นความจริงก็เถอะ

อาทิตย์หน้านี้แล้วที่แม่ต้องขึ้นศาล ฉันบอกแม่ว่าจะไปกับแม่ด้วย แม่จะได้มีกำลังใจ แต่แม่บอกไม่ต้อง เพราะพวกเพื่อนๆที่สำนักพิมพ์จะไปกันเพียบ ฉันควรอยู่ทำงานช่วยแฟนที่แสนดีเลิศประเสริฐศรีมณีเด้งของฉันมากกว่า

“แต่แม่คะ แค่หนูลาหยุดงานวันเดียว ไม่ใช่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้เลยนี่นา หนูเป็นลูกแม่นะคะ หนูควรจะไปกับแม่ด้วย” เรากำลังคุยกันขณะทานมื้อเย็นเมื่อคุณทนายกลับไปแล้ว

“ไม่ต้องหรอกสิดี คนที่สำนักพิมพ์ไปให้กำลังใจกันเพียบ อีกอย่าง ลูกก็ช่วยแม่มามากพอแล้ว เอ้า ทานนี่เพิ่มสิจ๊ะ” แล้วแม่ก็ตักตับผัดพริกไทยดำที่ฉันชอบใส่จานฉันเพิ่มอีก ตอนนี้แม่หายเศร้าแล้วเลยลุกขึ้นมาทำอาหารและขนมได้บ้าง

“เอาไว้เสร็จเรื่องขึ้นศาลแล้ว ลูกพาคุณนรินทร์มาทานอาหารเย็นที่บ้านเราสิ แม่จะได้ขอบคุณเขาด้วย อ้อ แล้วตกลงลูกจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะ”

ลมจับ นี่แม่มีความคิดที่จะหวงลูกสาวบ้างไหม????!!!


หลายวันต่อมา ชีวิตฉันดูเหมือนจะไม่วุ่นวายมากนัก เรื่องของแม่ก็มีทนายคอยช่วย ที่บริษัททุกคนก็ทำงานกันตามปกติ มีคนนินทาฉันน้อยลง คงเป็นเพราะเรื่องที่คุณนรินทร์สั่งสอนคนพวกนั้นเป็นที่รู้กันทั่วและเรื่องที่เราทั้งสองกำลังแต่งงานกันก็ถูกกระจายข่าวเป็นที่เรียบร้อย มีคนเข้ามาแสดงความยินดีบ้างตามมารยาท ซึ่งฉันก็ตอบเออๆออๆไปให้หมดเรื่อง

จะบ้าตาย...สรุปเราก็ต้องหลอกคนทั้งบริษัท!!!!

ฉันไม่รู้ว่าปฏิกิริยาของคนทั้งบริษัทโดยรวมแล้วรู้สึกอย่างไรที่ฉันกับคุณนรินทร์จะแต่งงานกัน แต่อย่างน้อยฉันรู้สึกได้ว่าคนที่ต่อต้านฉันมักจะเป็นพวกที่อยู่ในชมรมคุณนรินทร์แฟนคลับ และเป็นพรรคพวกของยัยทับทิมแต่คนส่วนมากก็ปฏิบัติต่อฉันตามปกติ ซึ่งพนักงานบางคนก็รู้สึกยินดีกับฉันด้วยซ้ำ

“ต่อไปนี้ผมจะไปส่งคุณที่บ้านทุกเย็น ส่วนตอนเช้าผมคงไม่มีเวลา” เขาพูดเรื่อยๆ ขณะฉันนำเอกสารไปให้เซ็น

ฉันที่กำลังมองภาพทุ่งดอกทิวลิปอยู่ก็ละสายตามามองเขา

“คะ? คุณว่าอะไรนะคะ” ฉันถามซ้ำ

“ผมบอกว่าผมจะไปส่งคุณที่บ้านทุกเย็น”

“คงไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉันต้องเลิกงานหลังคุณครึ่งชั่วโมง คุณคงไม่อยากรอฉันหรอกมั้งคะ” ฉันอธิบาย

“ผมก็รอจนคุณงานเสร็จก็สิ้นเรื่อง แล้วคุณแม่คุณเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามเปลี่ยนเรื่อง

“ดีค่ะ อาทิตย์หน้าขึ้นศาลแล้ว แต่คุณนรินทร์คะ คุณไม่จำเป็นต้องไปส่งฉันหรอกค่ะ”

เขายังคงเซ็นเอกสารต่อไป ไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ “เราคบหากันอยู่ ผมก็ควรไปส่งคุณสิ ขึ้นศาลวันไหนคุณแม่คุณน่ะ”

อะไรของเขาเนี่ย “อังคารหน้าค่ะ แต่เราไม่ได้คบกันจริงๆนี่คะ คุณไม่ต้อง...”

แล้วเขาก็ปิดแฟ้มเอกสารก่อนจะพูดรวบรัดอย่างเฉียบขาด

“ยกเลิกนัดวันอังคารให้หมด คุณต้องรีบไปทำธุระที่ธนาคารไม่ใช่หรือ ไปเสียสิ”

ฉันสบตาเขาที่มองฉันด้วยความเด็ดขาด

“เอ่อ ค่ะ” แล้วฉันก็รับแฟ้มเอกสารก่อนจะรีบออกจากห้องทำงานคุณนรินทร์ไป

พับผ่าสิ เขาคิดอะไรอยู่นะ จะไปส่งฉันที่บ้านทุกเย็นอย่างนั้นหรือ แล้วยกเลิกนัดวันอังคารหน้าทำไม มันเป็นวันที่แม่ฉันไปขึ้นศาลพอดีเสียด้วย คุณนรินทร์นี่จะเอาแต่ใจตัวเองมากไปแล้วนะ

คิดได้แค่นั้นฉันก็คว้ากระเป๋าแล้วมุ่งหน้าไปธนาคาร วันนี้ฉันต้องไปติดต่อเรื่องกู้เงินแทนคุณนรินทร์ พอไปถึงที่ธนาคารซึ่งวันนี้ผู้คนวุ่นวายมากฉันก็มองหาพนักงานที่พอจะพูดคุยกับฉันได้บ้าง เพราะฉันต้องขอพบผู้จัดการ แต่ก็ดูจะไม่มีใครว่างเลยสักคน ฉันจึงคิดจะโทรไปหาคุณนรินทร์ขอเบอร์ผู้จัดการที่ฉันทำหายไป แต่แล้วก็มีผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่ง เดินเร็วเฉียดตัวฉันไป ทำเอามือถือฉันหล่นไปกองกับพื้น จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นว่า “ช่วยด้วย” ฉันหันไปมองตามเสียงนั้นก็เห็นว่าเป็นหญิงชรานั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ดูหน้าตาเหมือนจะเป็นลม ฉันเลยปะติดปะต่อเรื่องเข้าใจว่าเกิดการขโมยกระเป๋ากันขึ้น แล้วทันใดนั้นฉันก็วิ่งด้วยความเร็วสูงตามหลังชายร่างใหญ่คนนั้นไป ฉันพยามยามวิ่งไล่ตามให้ทัน แต่ก็ยังไม่ทันเสียที เพราะเขาขายาวและเดินเร็วมาก แต่แล้วก็คิดได้ถึงวันที่คุณนรินทร์ไปรับฉันที่บ้านแล้วล้มลงเพราะกระเป๋าของฉัน ฉันเลยปลดกระเป๋าออกจากไหล่ จับมันให้มั่น เล็งไปที่ศีรษะชายผู้นั้น จากนั้นก็ขว้างออกไปสุดแรง

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!!!” ฉันตะโกนออกไป ฉับพลันกระเป๋าน้อยแสนดีของฉันก็ตกกระทบศีรษะของเจ้าหัวขโมยดัง ตุ้บ!

ได้ผล! ไอ้ขโมยทำท่าเดียวกับคุณนรินทร์เด๊ะ นั่นคือปล่อยมือข้างหนึ่งจากกระเป๋าที่ขโมยมา แล้วก็กุมหัวทั้งสองมือด้วยความเจ็บก่อนจะลงไปนั่งจุ้มปุ๊กกับพื้น

ฉันรีบวิ่งสุดแรงเกิดไปให้ถึงตรงนั้นแล้วรีบคว้ากระเป๋าของคุณยายที่เขาขโมยมา แต่ไอ้โจรยักษ์ก็ไวใช้ได้ เขาคว้ากระเป๋านั้นขึ้นพร้อมๆกับที่ฉันฉวยกระเป๋าได้พอดี

“เอากระเป๋ามานี่นะ!!! เอากระเป๋ามานี่!!!” ฉันพยายามโวยวายเสียงดังเพื่อให้มีคนมาช่วย แต่ทำไมคนที่นี่ไม่มีน้ำใจกันเลย เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆต่อสู้กับผู้ร้ายร่างมหึมายังทำเฉยได้ลงคอ ไอ้โจรนี่ก็ไม่เบา มันยังหน้าด้านชักกะเย่อกับฉันอยู่ได้พร้อมทั้งทำเนียนร้อง

“ช่วยด้วยคนขโมยกระเป๋า!!!”

หนอย แม้แต่เด็กอนุบาลก็รู้ล่ะน่าว่าใครกันแน่ที่เป็นโจร แล้วนี่ทำไมยามไม่เข้ามาช่วยฉันสักทีล่ะ เดี๋ยวฉันก็ถูกไอ้หมอนี่ฆ่าพอดี นั่นไง!!! ยามวิ่งมาแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ยามพวกนั้นกลับวิ่งมาดึงตัวฉันออกจากกระเป๋าของคุณยายแทน แถมล็อคตัวฉันอีกด้วย จากนั้นก็มีพวกคนใสสูท ใส่แว่นดำ ร่างกายกำยำ วิ่งเข้ามาล้อมไอ้โจรให้เต็มไปหมด

“ทำอะไรเนี่ย!!! ทำไมไม่จับคนร้ายล่ะ มาจับฉันทำไม!!!” ฉันโวยวายดังลั่น ไอ้โจรยืนปัดฝุ่นที่สูทของตัวเอง จากนั้นก็พยายามจัดมันให้เรียบร้อย แล้วมองฉันด้วยสายตาเรียบเฉย ทันใดนั้น ผู้จัดการธนาคารที่ฉันคิดจะมาพบ ซึ่งฉันจำหน้าเขาได้เนื่องจากเคยเจอกันครั้งหนึ่งที่งานสัมนา ก็วิ่งฝ่าฝูงชนที่แตกตื่นเข้ามายืนนอบน้อมไอ้โจรคนนั้น

“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทางธนาคารของเราขอโทษด้วยจริงๆครับ” ผู้จัดการคุยกับไอ้โจรด้วยความเคารพ เฮ้ย! เขาเสียสติไปแล้วหรือเปล่า ประเทศนี้ยกย่องโจรใส่สูทกันแล้วหรือ? แล้วเขาก็หันมามองฉันด้วยความรังเกียจ

“ฮึ โจรกระจอก จับไปใส่ตารางได้เลย” เขาสั่งยามที่จับฉันไว้

บ้าไปแล้วเหรอ! เขาจำฉันไม่ได้หรืออย่างไรกัน ฉันไม่ได้ขโมยกระเป๋าใครนะ แล้วเจ้ายามก็พยายามลากฉันออกไปจากธนาคาร มีคนยืนมุงดูกันเต็ม

“เดี๋ยวก่อนๆๆ ฉันไม่ได้ขโมยกระเป๋าใครนะ ไอ้อ้วนนี่ต่างหากที่ขโมยกระเป๋าคุณยายคนนั้นน่ะ” แล้วฉันก็ชี้ไปที่คุณยายคนที่ถูกขโมยกระเป๋า ซึ่งตอนนี้กำลงนั่งบนโซฟา พร้อมกับพนักงานธนาคารสาวคนหนึ่งกำลังส่งยาดมให้ คราวนี้ฉันเห็นในสิ่งที่ฉันเห็นพลาดไปอย่างหนึ่ง

คุณยายยังมีกระเป๋าวางบนตักตัวเอง

“คุณคงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ คุณผู้หญิง” คนที่ฉันคิดว่าเป็นโจรพูดขึ้นอย่างสุภาพ

เอ่อ...ฉันเริ่มไม่มั่นใจ

“ก็...ก็ ฉันเห็นคุณยายร้องว่า ช่วยด้วย แล้วก็พอดีที่คุณวิ่งมาชนฉันพอดี ฉันมองไปเห็นคุณกำลังวิ่งพร้อมกระเป๋าใบหนึ่งเลยคิดว่า....”

“อ๋อ ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆ คุณเลยคิดว่าผมเป็นโจรอย่างนั้นหรือ ที่จริงผมต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินต่างหาก” แล้วเขาก็มองดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง ก่อนจะหันไปพูดกับผู้จัดการ

“ผมต้องไปแล้ว อย่าเอาผิดคุณผู้หญิงคนนี้เลย เธอเข้าใจผิด” แล้วเขาก็หันมายิ้มให้ฉันก่อนจะรีบวิ่งเหมือนเดิมออกจากธนาคารไปขึ้นลีมูซีนซึ่งจอดรอเขาอยู่ มีลูกน้องใส่สูทวิ่งตามหลัง

ฉันวิงเวียนเหมือนจะเป็นลม เมื่อยามปล่อยฉันนั่งลงกับพื้น

นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย!!! ฉันคิดได้ยังไงนะ!!! โถ่เอ๊ย! ทรัพย์สิดี!

“คุณครับ ท่านสรยุทธ์คงไม่ใช่โจรหรอกครับ ท่านเป็นเอกอัครราชทูต ส่วนผมก็ต้องของโทษด้วยนะครับที่คิดว่าคุณเป็นโจร”

แล้วผู้จัดการธนาคารก็ยื่นกระเป๋าของฉันส่งคืน พร้อมกับฉุดฉันลุกขึ้น

หา??? ฉันทำอะไรไป??? ฉันขว้างกระเป๋าใส่ท่านทูตอย่างนั้นหรือ???

สรุปคือฉันเข้าไปผิดทั้งหมด คุณยายคนนั้นแค่จะเป็นลมเลยร้องให้คนช่วย ส่วนท่านทูตก็รีบไปสนามบินเท่านั้นเอง

พับผ่าสิ!

ฉันพยายามรวบรวมสติ ทำเป็นไม่สนใจคนทั้งธนาคารที่กำลังมุงดูอยู่

“คือฉันเป็นเลขาคุณนรินทร์ นราธรค่ะ ฉันเป็นตัวแทนมาคุยเรื่องเงินกู้น่ะค่ะ” ฉันรีบบอกผู้จัดการธนาคารไป

“เอ่อ...แล้วอย่าบอกคุณนรินทร์นะคะว่าฉันทำอะไรลงไป”



“คุณคุยกับผู้จัดการเรียบร้อยไหมคุณสิดี” คุณนรินทร์ถามขณะที่เขาขับรถไปส่งฉันที่บ้าน

ฉันนึกถึงตอนที่ท่านทูตล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น

“เอ่อ ค่ะ ผู้จัดการบอกขอนัดคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าค่ะ”

“ดีแล้ว ขอบใจคุณมากนะ” เขาพูด

“เป็นหน้าที่ของฉันนี่คะ”

แล้วเขาก็หัวเราะ หึหึ

“งานหมั้นกับวันแต่งถูกกำหนดออกมาแล้วนะ เราหมั้นกันวันที่ 14 เดือนหน้าตอนเช้าส่วนงานแต่งก็มีตอนเย็น คุณคิดว่าไง”

ฉันรู้สึกเหนื่อย คงเพราะความรู้สึกอับอายบวกกับกำลังที่ส่งออกมาขณะวิ่งตามท่านทูตถูกใช้จนหมด ฉันเลยตอบสั้นๆ

“ดีค่ะ”

“ นี่ คุณไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ทำไมดูแปลกๆ” เขาถาม

“เปล่าหรอกค่ะ แค่เหนื่อย เอ่อ เราไม่ต้องจัดงานแต่งไม่ได้หรือคะ แค่หมั้นเงียบๆ แล้วแกล้งบอกว่าแต่ง ไม่อย่างนั้นคุณต้องหลอกคนมากมายเลยนะคะ”

แต่เขากลับดูไม่กังวล

“ไม่ได้หรอกคุณสิดี คุณแม่กำลังจัดการทุกอย่างให้วุ่นไปหมด เดี๋ยวอาทิตย์หน้านี้หลังจากคุณแม่คุณหมดเรื่อง คุณแม่ผมจะมาสู่ขอคุณที่บ้าน จากนั้นคุณก็ต้องไปเข้าคอร์สเจ้าสาวกับคุณแม่ด้วยนะ” น้ำเสียงเขาฟังดูสนุกสนาน แต่ทำเอาฉันสะดุ้งพรวด!!!

“อะไรนะคะ!!! ทำไมต้องทำให้เอิกเริกด้วย เราไม่ได้จะแต่งกันจริงๆสักหน่อย นี่คุณทำอะไรไม่ได้เลยหรือคะ!!!”

เขายังคงใจเย็น

“คุณลืมไปแล้วหรือว่ามีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องนี้ไม่จริง เอาน่า คุณไม่มีอะไรต้องเสียสักหน่อย ถ้าคุณไม่เกิดไปหลงรักผู้ชายคนอื่นขณะเรากำลังแต่งงานกันหลอกๆน่ะนะ”

“ไม่มีทางค่ะ ถ้าฉันบอกว่าจะเป็นโสด ก็จะเป็นโสดจริงๆ”

แล้วเขาก็หัวเราเบาๆ “คงจะไม่จริงแล้วล่ะม้าง”

คุณนรินทร์เป็นอะไรของเขานะ ทำไมเขาดูไม่เดือดร้อนเลยที่เราต้องหลอกคนตั้งมากมายแบบนี้ แถมต่อไปเราอาจจะต้องอยู่ด้วยกัน ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้รักกันสักหน่อย

“ทำไมคุณรู้สึกมีความสุขจังคะ”

เขาเงียบ ทำท่าหลุกหลิกเล็กน้อย

“ใครบอกว่าผมมีความสุข! ผมแค่ไม่อยากขัดใจคุณแม่ต่างหาก! อีกอย่างเราแค่แต่งกันหลอกๆด้วย!”

อ่ะจะพ่อมหาจำเริญ ฉันเหนื่อยที่จะเถียงจริงๆ นี่ถ้าทางบ้านเขารู้ว่าฉันทำร้ายร่างกายท่านเอกอัครราชทูตฉันคงถูกถอนหมั้นแน่ๆ




หายไปีอกห้าวันนะ ขออภัยจริงๆ



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 เม.ย. 2555, 00:22:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 เม.ย. 2555, 00:22:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1898





<< นินทา   แปลกๆ >>
konhin 23 เม.ย. 2555, 01:19:02 น.
หึๆๆ สิดีเธอเป๋อได้ทุกที่จริงๆ


goldensun 23 เม.ย. 2555, 08:50:46 น.
คิดเอง เออเองเก่งจริง สิดี คุณนรินทร์ก็ถือโอกาสรวบรัดซะงั้น สิดียังไม่รู้ตัวอีก


ling 23 เม.ย. 2555, 12:01:16 น.
โห 5 วันเลยหรอค่ะ ลงแดงตายก่อนแน่ๆเลย


Pat 23 เม.ย. 2555, 13:22:21 น.
หีหี ไม่ดูให้ดีก่่อนน้าสิดี ดีนะที่ท่านทูตไม่เอาเรื่อง


yayee62 23 เม.ย. 2555, 23:26:31 น.
ไม่เป็นไรค่ะ อย่างน้อยก็มาอัพให้อ่านกัน


agentaja 8 พ.ค. 2555, 23:20:51 น.
มาปูเสื่อรอค่ะ


agentaja 11 พ.ค. 2555, 13:16:22 น.
ง่ะ ยังไม่มาเลยเหรอคะ เข้ามาเป็นรอบที่สี่แล้วอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account