ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: แปลกๆ

ตอนที่ 23

“.....ข้อความบางตอนในหนังสือของคุณไปตรงกับข้อความในหนังสือของโจทก์ อีกทั้งหนังสือของโจทก์นั้นตีพิมพ์ก่อนหน้าหนังสือของคุณนานแล้ว คุณยังแก้ตัวอีกหรือว่าไม่ได้ทำการลอกเลียนแบบผลงานของโจทก์”

“ศาลที่เคารพคะ การที่ข้อความในหนังสือของดิฉันไปตรงกับหนังสือของโจทก์นั้นไม่ได้เป็นเรื่องแปลก ข้อความนั้นก็ไม่ได้แปลกใหม่และซับซ้อนแต่อย่างใด ส่วนโครงเรื่องของเนื้อหานั้นอาจมีคล้ายคลึงกันบ้าง ซึ่งหนังสือแนวนี้ก็มักไม่มีอะไรแปลกใหม่อยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้งานเขียนของดิฉันมีความแตกต่างจากงานเขียนของโจทก์ก็คือเนื้อหาที่มีความลึกซึ้งกว่าดังจะเห็นได้จากคอลัมน์ตามนิตยสารชื่อดังที่เขียนชื่นชมงานเขียนของดิฉัน และถ้าดิฉันลอกงานเขียนของคนอื่นจริง ตัวต้นฉบับที่ดิฉันลอกมาก็ต้องติดอันดับ เบสท์เซลเลอร์ก่อนหน้าดิฉันนานแล้วสิคะ…”

“ขอค้านค่ะ” ทนายของโจทก์ฝ่ายตรงข้ามแม่ของฉันพูดโพล่งขึ้น

“การลอกเลียนแบบแล้วนำมาดัดแปลงให้ดีกว่านั้นเป็นเรื่องไม่ยากเลยค่ะศาลที่เคารพ ดิฉันมีหลักฐานการให้สัมภาษณ์ของจำเลยถึงแรงบันดาลใจในงานเขียนเบสท์เซลเลอร์ของเธอว่าเธอได้อ่านหนังสือเรื่อง ‘เมื่อเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว’ ซึ่งตรงกับชื่อหนังสืองานเขียนของลูกความดิฉันซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2538…”

“ขอค้านครับศาลที่เคารพ” ทนายฝ่ายแม่ของฉันพูดขัดขึ้น ฉันหันไปสบตาคุณนรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆฉัน เขาพยักหน้าให้น้อยๆแล้วหันไปมองตรงดังเดิม

“รับค้าน”
“ผมก็มีหลักฐานของการตีพิมพ์หนังสือฝ่ายโจทก์เช่นกันครับและผมขอบอกด้วยว่าหนังสือที่ลูกความผมบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจมานั้นชื่อว่า ‘เมื่อฉันไม่ได้อยู่คนเดียว’ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2541 ตามที่ลูกความของผมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือดิฉันเมื่อต้นเดือนที่แล้ว และศาลที่เคารพครับนี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าหนังสือของฝ่ายจำเลยนั้นได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2538 นั้นจริงอยู่ แต่ไม่ได้ตีพิมพ์เป็นเล่ม เพียงแต่ได้ลงเป็นตอนๆในนิตยสารสกุลไทยเท่านั้น...”

“ขอค้านค่ะศาลที่เคารพ” ทนายฝ่ายตรงข้ามโบกไม้โบกมือไม่เห็นด้วย
แต่ทนายฝ่ายแม่ฉันยังคงพูดต่อไปไม่สะทกสะท้าน “.... อีกทั้งยังไม่ได้ลงจนครบทุกตอนก็ถูกถอนสัญญาเสียแล้ว เนื่องจากส่งไม่ตรงกำหนดและผู้อ่านไม่ค่อยติดตาม ส่วนการตีพิมพ์ครั้งที่สองซึ่งเป็นปีเดียวกับลูกความของผมนั้น เมื่อผมเช็คเนื้อหาดูเปรียบเทียบกับบางส่วนที่ได้ในลงสกุลไทย....”

“ขอค้านค่ะ” ทนายฝ่ายตรงข้ามยังไม่ลดละ

“ไม่รับค้าน!!!” เสียงผู้พิพากษาสั่งเฉียบขาด

“...ปรากฏว่าได้รับการปรับเปลี่ยนไปมากจนคล้ายกับของลูกความผม นี่คือหลักฐานทั้งหมดที่ผมจะส่งให้ศาลที่เคารพได้พิจารณาครับ.....อ้อ...ที่สำคัญในการตีพิมพ์ครั้งล่าสุดนั้นได้ระบุการตีพิมพ์ครั้งแรกไว้ด้วยว่าจำนวน 10000 เล่ม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องโกหกครับ เพราะอย่างที่ผมได้บอกแล้วว่างานเขียนของโจทก์ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย ซึ่งมียอดจำหน่ายทั่วประเทศมากกว่า 10000 ฉบับแน่นอนครับ...”




“สิดีผมว่าเราอย่าพึ่งกลับออฟฟิศเลยดีไหม น่าจะไปฉลองที่แม่คุณชนะคดีกันหน่อยนะ” คุณนรินทร์พูดอย่างอารมณ์ดีขณะขับรถกลับที่ทำงาน เขาดีใจมากที่แม่ของฉันชนะคดีนี้อย่างขาดลอย ขนาดคุณนรินทร์ไม่ใช่ลูกแท้ๆยังดีใจขนาดนั้น แล้วฉันที่เป็นลูกสาวคนเดียวไม่ยิ่งกว่าเหรอ เมื่อการตัดสินคดีจบลงฉันกับแม่กอดกันกลมกลางศาล และรู้สึกอุ่นใจพิลึกเมื่อฉันหันไปมองคุณนรินทร์แล้วเขาส่งยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่งมาให้

แล้วนี่ฉันลืมอะไรไปหรือเปล่า....

“เอ่อ...คุณนรินทร์คะ”

เขาหักพวงมาลัยซ้ายหลบรถที่ขับแซงมา

“อะไรหรือสิดี อย่าบอกนะว่าคุณไม่ชอบร้านนี้” เขาพล่ามไปเรื่อยขณะเลี้ยวเข้าร้านอาหาร

“ไม่ใช่ค่ะ คือ....”

“ให้ตาย...ผมกะจะจอดตรงนี้สักหน่อยไอ้รถคันนี้ดันมาตัดหน้าเสียได้...”

“คือ...”

“พูดเสียทีสิผมหิวแล้ว” เขากำลังดับเครื่อง

“ก็คุณไม่ฟังฉันเสียทีนี่คะ!!!!” ฉันตะโกนเสียเสียงดัง นี่เขาพูดพล่ามอะไรอยู่ได้

เขามองฉันงงๆเล็กน้อย แล้วก็ขำ

“ขอโทษที คุณจะพูดอะไรก็พูดมาสิ”

แล้วฉันก็ยิ้มอย่างจริงใจที่สุดให้เขา “คือ...ฉันขอบคุณมากนะคะ...สำหรับทุกอย่าง”

“อ้อ...” คุณนรินทร์เบนสายตาไปมองที่อื่น

“ก็คุณเป็นว่าที่ภรรยาผมนี่นะ”

เฮ้..พรรคพวก คราวนี้ฉันว่ามันมากไปหน่อยนะ

“ก็ยื่นหมูยื่นแมวกันนี่คะ ฉันคงไม่ยอมแต่งงานกับคุณแน่ ถ้าเราไม่มีข้อแลกเปลี่ยนกัน”

ท่าทางเขินอายของคุณนรินทร์หายไปทันที เขาหันมามองอย่างฉุนเฉียว

“ฮึ ถ้าบริษัทผมจะไม่ถูกขาย ผมก็ไม่แต่งงานกับคุณร้อก”

ฉันกัดฟันกรอด
“แล้วทำไม ฉันมันไม่ดีตรงไหนหรือคะ งั้นคุณก็ไปเลือกคนอื่นมาแต่งงานด้วยซี่”

“หนอย...ทำมาโกรธ ทีคุณยังชอบพูดว่าผมเป็นพวกใจร้ายใจดำอยู่เรื่อย”

“ก็มันจริงนี่คะ คุณน่ะพอไม่ได้ดั่งใจหน่อยก็โวยวาย”

“แล้วคุณมันน่าถูกดุไหมล่ะ ชอบทำอะไรเปิ่นๆอยู่เรื่อย”

“นี่!.....”

จ๊อก...............................................

เห...นี่มันเสียงอะไรน่ะ

“ฮ่ะๆสิดี คุณหิวแล้วล่ะสิ ท้องร้องดังเชียว”

จ๊อกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

“ฮ่ะๆคุณนรินทร์ คุณต่างหากที่หิวกว่าฉัน”

แล้วอยู่ดีดีสงครามย่อมๆก็สงบลง ในที่สุดเราสองคนก็รีบเข้าไปสั่งอาหารอย่างรวดเร็วที่สุด

ตอนบ่ายฉันกับคุณนรินทร์กลับไปทำงานกันตามปกติ นลินเข้ามาถามฉันเรื่องผลการตัดสินคดีของแม่ แล้วเธอก็แสดงความยินดีไม่หยุด ก่อนจะยื่นหนังสือพิมพ์หน้าข่าวซุบซิบไฮโซให้ฉันอ่าน

“ตอนนี้เธอกลายเป็นคนดังไปแล้วนะ” หล่อนหยอดคำพูดให้ฉันได้คิด ก่อนจะกลับไปนั่งทำงานตามเดิม
ฉันหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา

‘คุณนรินทร์ นราธร นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังเตรียมสละโสดวิวาห์เลขาสาว นี่ก็คงจะเป็นงานแต่งระดับช้างอีกงานของปีนี้’
พับผ่าสิ! เอาแล้วไหมล่ะ ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่าสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดมันจะเป็นจริง ฉันลุกพรวดเตรียมบุกเข้าห้องทำงานคุณนรินทร์

ก๊อกๆๆๆ เคาะประตูก่อนตามมารยา

“ฉันเองค่ะคุณนรินทร์”

“เข้ามาสิ” เสียงเขาตอบรับ

แล้วฉันเปิดประตูเข้าไป

“คุณนรินทร์คะ คุณอ่านข่าวนี่หรือยัง” ฉันโบกหนังสือพิมพ์เจ้าปัญหาไปมา

เขามองมันแวบหนึ่งอย่างไม่สงสัย

“อ่านแล้ว ยังมีอีกหลายฉบับเลยนะสิดี อ้อ นิตยสาร GM เขาทาบทามจะสัมภาษณ์ผมกับคุณด้วย”

ฉันทำตาโตเท่าไข่ห่าน

“หมายความว่าอย่างไรคะ!!! นี่แปลว่าเราต้องหลอกคนทั้งประเทศเลยเหรอ คุณนรินทร์คุณช่วยทำอะไรทีสิคะ แล้วสัมภาษณ์อะไรนั่นฉันไม่เล่นด้วยหรอกนะ” ฉันโวยวายไม่หยุด แต่คุณนรินทร์ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

“ผมปฏิเสธสัมภาษณ์ไปแล้วล่ะ แต่เรื่องข่าวน่ะ มันช่วยไม่ได้นะสิดี เพราะผมทำงานตรงนี้ย่อมเป็นที่สนใจธรรมดา ผมคงทำอะไรไม่ได้หรอก ในเมื่อเราก็ต้องแต่งงานกันจริงๆอยู่แล้ว”

แล้วฉันก็อ้าปากจะเถียง

“เอาละๆ ผมรู้ แต่งแบบหลอกๆ แต่ก็อย่างที่บอกไป มีแค่เราสองคนเท่านั้นนี่นาที่รู้ว่าเรื่องนี้ไม่จริง โถ่สิดี คุณน่าจะชินได้แล้วนะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว”
เขาพูดอย่างใจเย็นขณะที่มือขวายังคงเซ็นเอกสาร
ฉันแทบจะระเบิด นี่มันมากไปแล้วนะ เขาจะให้ฉันมัดตัวเองกับการโกหกแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรืออย่างไร
ฉันย่างสามขุมไปหาคุณนรินทร์ รัศมีความโมโหของฉันทำให้เขาเงยหน้าออกมาจากกองเอกสารได้
“อะไรอีกล่ะสิดี...นี่คุณจะ...อย่านะ...ไม่นะ...อย่านั่..”

ฉันแค่จะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเขาเท่านั้นแหละ ทำเป็นกลัวไปได้ แล้วฉันก็หย่อนตัวนั่งลงไป

“อย่านั่ง!”

ผุบ!!!! ตุ้บ!!!

“ว้าย!” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ฉันแค่จะนั่งลงแต่อยู่ดีดีเบาะที่รองบนเก้าอี้มันกลับหลุดลงไป พร้อมๆกับที่ก้นฉันตอนนี้ตกลงไปในหลุมเก้าอี้เต็มๆ

“ขอโทษทีผมบอกไม่ทันว่าเก้าอี้มันเสีย ผมสั่งให้ช่างมาเปลี่ยนตอนบ่ายๆน่ะ แต่ยังไม่มาสักที สิดี คุณเป็น...อะ....ไร......หรือ......ปละ.....ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

ตาบ้าเอ๊ย แทนที่จะมาช่วยดึงฉันออกไป เขากลับหัวเราะเยาะอยู่ได้ แล้วมันใช่ความผิดฉันไหมล่ะที่ไม่รู้ว่าเก้าอี้เสีย โอ๊ยเจ็บจะตายอยู่แล้ว ก้นฉันถูกครูด แถมตอนนี้ฉันก็เหมือนถูกอัดอยู่ในกระป๋องคล้ายพวกนักกายกรรมตัวอ่อนไม่มีผิด

“คุณนรินทร์คะ ช่วยหยุดขำแล้วดึงฉันออกไปที” เสียงของฉันโมโหเล็กน้อย

“ฮ่ะๆ ผมขอโทษด้วย แต่ดูท่าคุณตอนนี้สิ ฮ่าๆๆๆ เอาละๆ เดี๋ยวผมจะดึงมือคุณขึ้นมานะ”

เขาถกแขนเสื้อสูทแล้วจับมือสองข้างของฉันเอาไว้

“อื๊บ!” เสียงเบ่งของเราสองคนดังประสานกัน

แต่มันก็ไม่สำเร็จ

“เอาอย่างนี้ดีกว่า” คราวนี้คุณนรินทร์ถอดสูทออก แล้วเอาแขนสองข้างของเขาสอดเข้าไปใต้รักแร้สองข้างของฉัน
ฉันรู้สึกตะขิดตะขวงเล็กน้อย แต่มันเป็นเรื่องจำเป็นนี่นา

“แล้วคุณก็เอามือดันเก้าอี้ไว้ล่ะ” เขาสั่งเสียงนุ่มอยู่ข้างหูฉัน แล้วความรู้สึกแปลกๆก็ผุดขึ้นมา ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกเลย

“อื๊บบบบบบบบบ!!!!!!!!!”
เสียงเบ่งของเราสองคนดังขึ้นอีก
โอ๊ย เจ็บรักแร้ชะมัดยาด
ผัวะ!

“โอ๊ย!”

สำเร็จแล้ว ฉันออกมาได้ แต่เจ็บก้นชะมัด แล้วนี่ฉันทับอะไรอยู่ล่ะ

“ว้ายคุณนรินทร์!” จะบ้าตายฉันนอนทับคุณนรินทร์แบบหน้าแนบหน้าเลยด้วยซ้ำ โอ๊ยยยย วันนี้มันเป็นวันอะไรกันเนี่ย พอฉันได้สติ เลยเอาสองมือปิดหน้าเขาไว้แล้วดันตัวเองขึ้นมา

“โอ๊ย! ผมเจ็บนะคุณสิดี” เขาโวยวายเสียงดังบ้าง
ฉันมองเขาที่นอนร้องอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราใกล้ชิดกัน แต่มันเป็นครั้งแรกฉันรู้สึก....แปลกๆ...บอกอย่างไรดีล่ะ...แปลกๆน่ะ

แล้วฉันก็ยื่นมือดึงตัวเขาขึ้นมา เราสองคนยืนหอบเล็กน้อย

“เอ่อ...ขอบคุณนะคะ แต่ฉันคิดว่าควรโทรบอกช่างอีกทีจะดีกว่า” แล้วฉันก็รีบเผ่นออกจากห้องเขา....อยู่ดีดีฉันรู้สึกว่าไม่อยากเข้าใกล้คุณนรินทร์เลย

“เดี๋ยวก่อนสิดี ผมมีเรื่องจะบอก” คุณนรินทร์พูดขึ้น

ฉันหันกลับไปมองเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม....มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน...ความรู้สึกแบบนี้น่ะ
“คะ?”

“เสาร์นี้....” แล้วเขาก็ก้มหน้า

“เสาร์นี้ คุณพ่อคุณแม่ผมจะไปคุยกับคุณแม่คุณ เรื่อง.....” เขาพูดตะกุกตะกัก

“เรื่องของเราสองคน”

ปกติฉันคงขานรับธรรมดา ไม่ก็โวยวายว่าไม่พร้อม แต่คราวนี้ อย่างที่ฉันบอก ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างเกิดขึ้นมาไม่นานนี้ ฉะนั้นตอนที่คุณนรินทร์พูดคำว่า เรื่องของเราสองคน เสร็จ ฉันเลยทำตัวไม่ถูก ตัวแข็งทื่อ แล้วรีบวิ่งออกนอกห้องเข้าไป



“อะไรนะสิดี เธอบอกว่าเธอรู้สึกแปลกๆเหรอ” หนูเล็กทำหน้าดีใจสุดขีด

“นั่นก็แปลว่า....เธอรักเขาอย่างไรล่ะ!”

ลมจับ ฉันว่านั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะถูกต้องเลยนะ

“ไม่จริงหนูเล็ก ที่ฉันบอกว่ารู้สึกแปลกๆ ก็อย่างเช่น รู้สึกไม่อยากมองหน้าเขา ไม่อยากอยู่ใกล้ เป็นต้น”

หนูเล็กมองฉันอย่างรู้ดี

“แล้วเธอรู้สึกเขินไหมล่ะ รู้สึกใจเต้นเวลาอยู่ใกล้เขาไหม แล้วก็รู้สึกว่า.....ทำอะไรไม่ถูก”
โป๊ะเชะ! นั่นละ ตามนั้นเลย หนูเล็กนี่สุดยอดจริงๆ

“ใช่เลยหนูเล็กเธอนี่สมเป็นเพื่อนสนิทฉันจริงๆนะ ถูกต้องทุกอย่างเลย โดยเฉพาะไอ้เรื่องทำอะไรไม่ถูกเนี่ย นั่นแหละเป็นเหตุที่ทำให้ฉันไม่อยากอยู่ใกล้เขาอย่างไรล่ะ เห็นไหม บอกแล้วว่ามันไม่ใช่เพราะความรัก นั่นเพราะเขาทำให้ฉัน ‘กลัว’ ต่างหาก”

แล้วหนูเล็กก็ระเบิดหัวเราะเสียเสียงดังลั่นร้านตัดเสื้อของเธอ โชคดีที่วันนี้ลูกค้ากลับไปหมดแล้ว

“สิดี ปีนี้เธออายุเท่าไร” หนูเล็กถาม

มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกันตรงไหน

“24 เดือนหน้าก็ 25 แล้ว” ฉันตอบไปแบบงงๆ
“ก็ถือว่า 25 แล้วกันนะ โอ้ว สาววัย 25 อันแสนบริสุทธิ์ ไม่รู้จักแม้กระทั่งความรัก” นั่นหนูเล็กพล่ามอะไรน่ะ แล้วเธอก็ทำหน้าจริงจังใส่ฉัน พร้อมกับจับไหล่ฉันแล้วบีบมันแน่น

“ที่คุณนรินทร์ทำให้เธอกลัวน่ะ....หมายถึงเธอกลัวที่จะรักเขาอย่างไรล่ะ ทรัพย์สิดีเอ๊ย! ถ้าเธอรู้สึกเขิน ใจเต้น แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก นี่นะจะบอกให้ มันเป็นบทบัญญัติของ ‘ความรัก’ โดยแท้จริงเลยละ”

มะ....ไม่นะ....ฉะ....ฉันว่า....ไม่....ไม่ใช่หรอก....

“ไม่จริงๆ ถ้าฉันรู้สึก...แบบนั้นน่ะนะ...ทำไมฉันต้องไม่อยากอยู่ใกล้เขาด้วยเล่า!”

หนูเล็กทำหน้ามีชัยสุดฤทธิ์


“อย่ามาเถียงข้างๆคูๆเลย เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ‘เธออยาก’ แต่ที่รู้สึกว่าไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะเธออายเขาอย่างไรล่ะ ฮุฮุฮุ”

โอว....พระพุทธเจ้า....ฉันว่า....ไม่...ไม่จริงหรอก....ใครๆก็รู้นี่ว่าไม่มีทฤษฎีไหนใช้ได้ 100% ดังนั้นไอ้บทบัญญัติแห่งความรักบ้าบออะไรนั่น มันอาจจะใช้ไม่ได้กับฉันก็ได้.....ฉันไม่จำเป็นต้องเชื่อหนูเล็กนี่ ถึงแม้เธอจะเคยผ่านความรักมามากมาย ฉันควรเชื่อความรู้สึกตัวเองดีกว่านะ ความรู้สึกที่ว่า....ฉันกลัวคุณนรินทร์...ไม่ใช่รักคุณนรินทร์

แล้วฉันก็ลาหนูเล็กที่หัวเราะเยาะฉันไม่หยุด จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับบ้านไปฉลองอาหารเย็นกับแม่ ตอนนี้แม่คงทำอาหารสุดพิเศษไว้ฉลองกับฉันสองคนเรียบร้อยแล้ว ว้าว!...เราไม่ได้มีบรรยากาศทานอาหารเย็นด้วยความสบายใจกันมานานเท่าไรแล้วนะ

แต่ทว่า...เฮ้ๆ...นั่นรถใครน่ะ

โอ....ไม่น้า!!!!!!

“แม่คะ อย่าบอกนะคะว่าคุ..” ฉันถลาเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งกระโจนเข้าไปหาแม่ในครัว ซึ่งก็ดังที่คาดไว้ คุณนรินทร์นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่กับแม่ที่โต๊ะอาหารแล้ว

เอาช่วงเวลาแห่งความสุขของฉันกับแม่คืนมานะ!!!!!

“ไงลูก ไปไหนมา คุณนรินทร์เขาเป็นห่วงแทบแย่ ทานข้าวกันเลยดีกว่าไหมคะ”

แม่หันมาทักทายฉันพอเป็นมารยาทก่อนจะหันไปตักข้าวเอาอกเอาใจคุณนรินทร์

แม่คะ....นี่หนูลูกแม่นะคะ...พับผ่าสิ!

“สิดี คุณหายไปไหนมา ผมรอคุณเลิกงานแล้วจะได้มาส่งที่บ้าน แต่คุณกลับหายตัวไปตั้งแต่....” คุณนรินทร์เริ่มแสดงละครอย่างเต็มที่ เอารางวัลสุพรรณหงส์ไปเลยดีไหม

“ฉันไปหาหนูเล็กมาน่ะค่ะ แล้วคุณมาที่บ้านฉันทำไมคะ” ฉันพูดออกไปตามตรง ก็บอกแล้วไงว่าถ้าฉันรักเขา ฉันคงอยากให้เขาอยู่นี่แล้ว

“เอ๊ สิดี ทำไมพูดกับแฟนอย่างนี้ล่ะจ๊ะ เขาก็เป็นห่วงลูกเลยมาเช็คดูที่บ้านน่ะสิ” แม่แหวใส่ฉัน

แล้วคุณนรินทร์ก็ทำสายตาท้าทายประมาณว่าให้ฉันนั่งลงได้แล้ว ในเมื่อฉันถูกรุมเสียขนาดนี้ ฉันเลยต้องอ่อนข้อตาม

“เอ่อ...หนูหิวแล้วทานกันเถอะค่ะ” แล้วฉันก็ไม่รีรอรีบตักอาหารทันที

“ทานนี่สิครับ ได้ยินว่าเป็นของโปรดของคุณ” แล้วเขาก็ตักอาหารใส่จานฉัน ความรู้สึกบ้าบอนั่นออกมาอีกแล้ว...ฉันทำอะไรไม่ถูก

แม่มองเราสองคนด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสุข....แม่มองหน้าลูกสาวแม่บ้างสิคะ...หนูรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลยเวลาอยู่กับคุณนรินทร์

“คุณนรินทร์เขามาคุยกับแม่บอกว่าเสาร์นี้เขาจะส่งคุณพ่อคุณแม่มาเจรจากัน....”
“ครับ คุณแม่คงว่างใช่ไหมฮะเสาร์นี้”

บังอาจมาก...เขากล้าเรียกแม่ฉันว่า คุณแม่ เลยเหรอ

“ว่างสิจ๊ะ แม่ไม่รู้จะพูดอย่างไร รู้แต่ว่าดีใจมากที่สิดีจะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับคนดีดีอย่างคุณ ที่สำคัญวันนี้แม่คงไม่ชนะคดี ถ้าคุณนรินทร์ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย” แล้วแม่ก็เสียงเครือ ก่อนจะปาดน้ำตา

“ขอบใจคุณนรินทร์มากนะคะ”

คุณนรินทร์ส่งยิ้มอ่อนโยนให้แม่ ก่อนจะยื่นมือไปจับมือแม่เอาไว้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยินดีมาก”

อู......แหวะ!!!!! ฉันทนเห็นภาพนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว แม่คะ เขาไม่ได้คิดจะช่วยแม่อย่างบริสุทธิ์ใจเสียหน่อย เขากลัวบริษัทเขาถูกขายต่างหากล่ะคะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่แต่งงานกับลูกของแม่ด้วยหรอก

“หนูอิ่มแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ลาล่ะค่ะคุณนรินทร์”
แล้วฉันก็ทำท่าจะลุกไป

“เดี๋ยว” คุณนรินทร์จับมือฉันรั้งเอาไว้ แล้วฉันก็ตัวแข็งทื่อ

“เอ่อ คุณแม่ครับอาหารเย็นวันนี้อร่อยมาก แต่ผมต้องกลับแล้วล่ะฮะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นดึงฉันมาใกล้ๆตัว ฉันขัดขืนสุดฤทธิ์

“เจอกันวันเสาร์นะครับ สวัสดีครับ นี่สิดี คุณไปส่งผมที่รถหน่อยไม่ได้รึ” แล้วเขาก็ลากตัวฉันให้ไปที่รถของเขาด้วยกัน

“คุณเป็นอะไรไปสิดี เย็นนี้ไปหาเพื่อนก็ไม่บอกผมสักคำ พอเห็นหน้าผมมาทานอาหารเย็นด้วยก็ดูคุณจะไม่พอใจ” เขาถอนหายใจดังเฮือก

“ผมทำอะไรผิดอีกล่ะ”

เอาล่ะสิ...ไม่นะ...ไม่ใช่หรอก...นี่มัน....เสียงหัวใจฉันเต้นแรงน่ะสิ

“คือ.....คุณอย่าพูดเหมือนเราเป็นแฟนที่ทะเลาะกันสิคะ” ฉันเบรกเขาเอาไว้


เขาหน้าแดงขึ้นมาทันที

“คือ....คือ...ผมกลัวคุณจะผิดสัญญาไม่ยอมแต่งงานกับผมเท่านั้นล่ะ”
อ้อ...นั่นสินะ...มันก็เกี่ยวข้องกับธุรกิจอยู่ดี

“คือจริงๆแล้วฉันไม่ค่อยพอใจที่ต้องโกหกคนทั้งประเทศน่ะค่ะ”
แล้วเขาก็อ้าปากจะเถียง
“ฉันรู้ค่ะๆ ว่าเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ใช่ค่ะ มันคงทำอะไรไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าฉันไม่ผิดสัญญาแน่นอนค่ะ คุณอุตส่าห์ทำให้แม่ชนะคดี”
เขาพูดเบาๆว่า “ดีแล้ว” ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ
“เอ่อ...ราตรีสวัสดิ์นะครับ” แล้วเขาก็ยิ้มน้อยๆให้

ฉันมองคุณนรินทร์ที่กำลังสตาร์ทรถ รู้สึกโหวงๆกับคำพูดราตรีสวัสดิ์อันนุ่มหูของเขา ฉันนึกถึงคำพูดที่คุณนรินทร์บอกว่าการแต่งงานหลอกๆของเราไม่มีปัญหาอะไร เว้นเสียว่าระหว่างนั้นฉันจะเกิดหลงรักผู้ชายคนอื่นเข้า ตอนนี้ฉันเลยคิดว่าเราสองคนคงลืมอีกปัญหาหนึ่งไป นั่นก็คือ ถ้าฉันเกิดตกหลุมรักคุณนรินทร์นี้ขึ้นมา...ฉันจะเป็นอย่างไร
แล้วปากก็ไวกว่าความคิด
ฉันเคาะกระจกรถ แล้วเขาก็เลื่อนมันลง

“คุณนรินทร์คะ....ถ้าเกิด....ถ้าเกิดฉันรักคุณขึ้นมาล่ะคะ”
เราสองคนสบตากันงงๆ ชั่ววินาทีนั้นฉันอยากจะหยุดมันไว้อย่างนี้ เพราะฉันอายแทบแทรกแผ่นดินนี้กับคำพูดที่ไม่รู้จักคิดของตัวเอง
แต่คุณนรินทร์กลับทำให้สถานการณ์มันง่ายขึ้น เขาหัวเราะเสียเสียงดัง
“คุณก็รู้สิดี ว่ามันไม่เกิดขึ้นหรอก ผมไปล่ะนะ”
คุณนรินทร์ขับรถออกไปแล้ว แต่ฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉันไม่ได้รู้สึกอาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจ ฉันบอกไม่ถูก.....แต่ฉันรู้สึก...ปวดใจพิกล



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2555, 01:16:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2555, 01:16:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1763





<< มีความสุข   รู้ทัน >>
คิมหันตุ์ 25 พ.ค. 2555, 01:49:57 น.
คุณนรินทร์นิสัยไม่ดี ชิส์!


mhengjhy 25 พ.ค. 2555, 08:46:29 น.
หือ ประโยคสุดท้ายยยย เจ็บปวด


ling 25 พ.ค. 2555, 11:09:10 น.
เอาใจช่วยสิดีนะ


goldensun 25 พ.ค. 2555, 14:06:29 น.
คุณนรินทร์คิดว่าสิดีล้อเล่น เลยป้องกันตัวด้วยการพูดอย่างนั้นรึเปล่า หรือยังไม่รู้ใจตัวเอง ก็เห็นออกจะหงุดหงิดเวลาสิดีพูดถึงเงื่อนไขที่ถ้าไม่ช่วยแม่ ก็ไม่แต่งด้วย ขอบคุณค่ะที่มาลงต่อ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account