ลิขิตพิศวาส
เธอสูญเสียรักครั้งแรกไปเพราะความ...ยาก
จึงคิดประชดรักที่ล้มเหลวด้วยความ...ง่าย
.
.
.
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเธอสลัดผู้ชายที่เป็นคนแรกของตัวเองไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ
ซ้ำเขายังเฝ้าตามติดเอาอกเอาใจทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ โดยที่เธอไม่ต้องการ !!

**********************************************

มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ ที่จะให้ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากที่เธอทำให้เขาเกือบจะช็อคกับสิ่งที่ได้รับ
ซ้ำยังย้ำบอกให้เขาลืม ลืม และลืม เพราะเธอไม่แคร์ และกำลังจะจากไป
.
.
.
แม่ดอกไม้ริมทางคิดจะฟันเขาแล้วทิ้งอย่างนั้นหรือ
อะไรจะง่ายขนาดนั้น !! ฝันไปเถอะ เพราะเขาจะไม่ปล่อยเธอไป...

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: อาทิตะยะ สตาริศา

ตอน: ตอนที่ 7...ถ้าคิดว่าใช่ และทำได้ ก็ลงมือ...

ดวงตาหลังแว่นสายตากรอบทองของทนายอาวุโสมองไปที่ร่างของเจ้านายหนุ่มรุ่นลูกที่ฟุบหน้าอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน

จริงอยู่ที่งานนี้สำคัญถึงกับต้องบินมาจัดการด้วยตัวเอง แต่ไม่เห็นจะต้องรีบเร่งจนกระทั่งร่างกายรับไม่ไหวขนาดนี้เลยนี่นา อัคราชดึงประตูปิดลงดังเดิม ก่อนจะหันมาถามคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง
“หลับไปนานแล้วหรือมิเชล”

“เมื่อชั่วโมงที่แล้วยังเรียกหากาแฟอยู่เลยค่ะ น่าจะงีบไปหลังจากนั้นไม่นาน”

อดีตพี่เลี้ยงตอบ ปัจจุบันมิเชลได้เปลี่ยนสถานะจากพี่เลี้ยงมาเป็นแม่บ้านเมื่อเด็กชายอาทิตะยะในวัยหกขวบได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบหกที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีพี่เลี้ยงอีกต่อไป

น้ำเสียงยามที่มิเชลพูดถึงชายหนุ่มสะท้อนถึงความรัก อาทิตะยะเป็นมากกว่านายจ้างตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่มิเชลก็เป็นมากกว่าพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านสำหรับเขา ความผูกพันของคนทั้งคู่เริ่มต้นเมื่อเควิน ทรรศไนยหอบเด็กชายคนหนึ่งกลับมาอเมริกาด้วยเมื่อยี่สิบปีก่อน เหตุเพราะเด็กชายกำพร้าแม่ และคนเป็นพ่อก็ไม่อยากจะอยู่ห่างจากลูกชายเพียงคนเดียวที่เป็นตัวแทนความรักของเขากับภรรยา

“เป็นแบบนี้ตั้งแต่มาถึงเลยรึ”อัครราชถามอีก

“ไม่เคยออกห่างจากโต๊ะตัวนั้นเกินชั่วโมงเลยตั้งแต่มาถึง มีแค่คืนแรกเท่านั้นที่ซันขึ้นไปนอนบนห้อง หลังจากนั้นก็ขลุกอยู่ที่ห้องทำงานตลอด อย่าหาว่าดิฉันยุ่งเลยนะคะ ตอนนี้ทีเอ็นกำลังแย่หรือคะ ซันถึงต้องบินมาลุยเองแบบนี้ ปกติแค่ส่งคุณมาทุกอย่างก็เรียบร้อย”

อัครราช อัศวเทพมองสบตากับแม่บ้านมิเชล ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลเต็มไปด้วยความกังวลและจ้องมองเขาไม่วางตา จนต้องเอ่ยคำอธิบายออกมาเสียไม่ได้

“ไม่ถึงกับแย่ แต่มติในที่ประชุมต้องการขอความเห็นจากเจ้าของบริษัทก่อนจะตัดสินใจเท่านั้น ซันถึงต้องมา” อัคราชเรียกขานชายหนุ่มตามมิเชล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

มิเชลไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่ก่อนที่จะเกิดการต่อล้อต่อเถียงกันมากไปกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น เป็นเหตุให้สงครามสายตาแบบย่อมๆ นั้นยุติลงก่อนที่สองฝ่ายจะทันได้เอื้อนเอ่ยคำใด

“มิเชล อยู่ข้างนอกหรือเปล่า”เสียงตะโกนถามด้วยสำเนียงที่ไม่ผิดแผกไปจากเจ้าของภาษาทำให้คนถูกเรียกหารีบขานรับ อัครราชก้าวหลบ หลีกทางให้แม่บ้านขยับเข้าไปใกล้ประตูไม้บานใหญ่ ก่อนจะผลักมันเปิดออก และเอ่ยถาม

“คุณต้องการอะไรคะซัน”

“ผมขอกาแฟแก้วใหม่ แก้วนี้มันเย็นชืดหมดแล้ว” อาทิตะยะเงยหน้าขึ้นมาบอก พร้อมกับวางแก้วกาแฟในมือลงและเลื่อนออกห่างตัว จังหวะนั้นเองที่สายตาชายหนุ่มเหลือบไปเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของแม่บ้าน

“สวัสดีครับ มิสเตอร์ซัน”

อาทิตะยะยิ้มรับคำทักทายอย่างเป็นทางการของบุคคลที่ตัวเองเฝ้ารอ มิเชลขยับเบี่ยงและถอยห่าง เพื่อหลีกทางให้คนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังก้าวเข้าไปในห้อง

“แล้วคุณเลขาจะรับชา หรือ กาแฟคะ” คนที่กำลังจะก้าวผ่านชะงักเมื่อถูกถาม
“ไม่ทั้งสองอย่างครับ ขอบคุณ” หันมาตอบพร้อมกับโค้งให้น้อยๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่
อาทิตะยะเปิดฉากการสนทนาด้วยภาษาที่มิเชลฟังจนคุ้นหูแต่ไม่มีทางเข้าใจในทันที แม่บ้านมองรอยยิ้มที่ผู้ชายต่างวัยทั้งสองต่างพร้อมใจกันส่งมอบให้เธอก่อนประตูจะถูกเธอดึงปิด แม้จะเป็นเพียงแวบเดียว แต่นั่นก็ทำให้แม่บ้านคนสวยรู้สึกเคืองเมื่อไม่อาจจะทราบได้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“แกล้งอะไรมิเชลครับลุงอัค ถึงได้เดินหน้างอออกไปแบบนั้น”ด้วยเพราะแอบเห็นสายตาของอัคราชที่ลอบมองแม่บ้านของตัวเองตอนที่เดินผ่าน อาทิตะยะจึงอดไม่ได้ที่จะถาม คนถูกถามหันกลับมาสบตาชายหนุ่มรุ่นลูก รอยยิ้มและแววตาของผู้ชายตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่ายามโกรธจะมีอำนาจทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ไม่เหลือซาก หากไม่เคยเจอกับตาเป็นไม่เชื่อ

“อย่าล้อกันแบบนี้เลยครับ คุณหนึ่ง”สรรพนามที่ใช้เรียกชายหนุ่มตรงหน้าเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ตามลำพัง “ไม่อยากเสียคนตอนแก่นะครับ”

“คิดแบบนั้นหรือครับลุงอัค”

อัคราชเลิกคิ้ว ดวงตามีคำถาม

“คิดว่าการมีความรัก จะทำให้เสียคนหรือครับ”สายตาของคนถามจริงจังเกินกว่าจะทำเป็นไม่ใส่ใจ อัครราชเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะและหย่อนตัวลงนั่ง ก่อนจะตอบข้อสงสัยดังกล่าว

“คุณหนึ่ง ผมรู้สึกชอบมิเชลก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นรัก เป็นความชอบที่เรียกว่ามิตรภาพมากกว่าจะเป็นไปในทางชู้สาว ผมไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับใครทั้งๆที่ใจของผมยังคงมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ”
“ลุงอัครหมายถึง...”

“ผมลืมแม่ของนายโอมไม่ได้จริงๆ ครับ” คำตอบหนักแน่นของบุรุษตรงหน้า ทำให้อาทิตะยะพยักหน้าอย่างเข้าใจ แทบไม่อยากจะเชื่อว่านอกจากพ่อ จะยังมีอัครราชอีกคนที่ยังซื่อสัตย์และปักใจรักผู้หญิงเพียงคนเดียว ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา แม้ว่าเธอจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม

“น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้รู้จักกับผู้หญิงทั้งสองคน ที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในเรื่องของ...ความรัก นอกจากแม่ ผมไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนหอบเอาความรักของผู้ชายที่รักตามติดเธอไปด้วย แม้ว่าเธอจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว” อาทิตะยะพูดในสิ่งที่คิด

“ความรัก มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก และไม่มีคำนิยามตายตัว ถ้าไม่รู้สึกถึงรักนั้นด้วยตัวเองต่อให้อธิบายสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางเข้าใจได้หรอกครับ”

ถ้อยคำของทนายความอาวุโส มีความหมายมากกว่าการแสดงทัศนคติเกี่ยวกับความรัก แต่มันกับลังมีนัยยะสำคัญต่อเจ้านายหนุ่ม

คิ้วเข้มของอาทิตะยะเลิกขึ้น ดวงตาสีนิลฉายชัดถึงความสับสนในใจ
ดวงตาหลังแว่นตากรอบทองทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่นั่งอยู่คล้ายยอมจำนนต่อข้อสงสัยทั้งหมดจากบุรุษที่จ้องมองตนอยู่

“ผู้หญิงแบบแม่กับคุณป้า ยังมีเหลือมาให้ผมสักคนไหมครับลุงอัคร”

คำถามที่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทำให้อัครราชยิ้ม แต่แทนที่จะตอบ กลับถาม

“แล้วถ้ามี คุณหนึ่งแน่ใจหรือครับ ว่าพร้อมที่จะรักเธอ”

“พูดแบบนี้ แสดงว่ามีรึเปล่าละครับ” อาทิตะยะถามกลับในทันที

“ผมไม่มี แต่ที่พูด ผมหมายถึง ถ้าคุณรู้สึกว่ารักผู้หญิงสักคนในเวลานี้ คุณพร้อมที่จะทุ่มเทรักเพื่อเธอคนเดียวหรือครับ”

คนถูกถามนิ่งไปสักครู่ ก่อนจะพูดขึ้น

“ถ้าเธอคู่ควรที่จะได้มัน ผมยินดีจะรัก เธอ เพียงคนเดียวครับลุงอัคร”

เธอ... อาทิตะยะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่คำพูด ที่เพียงแต่พูดถึง แต่เขากำลังหมายถึงตัวตนของใครคนหนึ่ง ที่เขาไม่สามารถลบออกจากความคิดได้แม้สักวินาทีเดียว

อัคราช มองชายหนุ่มตรงหน้า อาทิตะยะกำลังคิดจะทำอะไร เกิดเรื่องบางอย่างที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนยังไม่อยากจะเชื่อและมั่นใจนักจนกระทั่งบัดนี้ ทนายความอาวุโสไม่มีข้อกังขาใดๆ หลงเหลืออีกต่อไปในเมื่อการถูกเรียกตัวให้มาแบบสายฟ้าแลบ ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับเรื่องงานที่สำคัญ แต่มันยังเกี่ยวข้องกับเรื่องคน คนที่เขาเคยคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่กลับทำให้ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอย่างอาทิตะยะ ทรรศไนย ถึงกับควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อได้รับรายงานว่า

สตาริศา อังศุธร ยื่นใบลาออกจากการเป็นพนักงานของโรงแรมอารียาไปเป็นที่เรียบร้อย แม้เธอจะทราบกำหนดการเป็นอย่างดีว่า ต้นเดือนหน้าซึ่งเหลืออีกเพียงไม่กี่วันที่จะถึง ผู้บริหารระดับสูงของอารียาที่ชื่อ อาทิตะยะ ทรรศไนย จะเดินทางไปที่อารียา ไม่มีใครทราบข้อมูลที่แน่ชัดนักว่าชายหนุ่มจะไปอารียาเพื่อการใด แต่ข่าวลือก็แพร่สะพัดหนาหูว่าตำแหน่งผู้บริหารของอารียาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น
หากแต่คนที่รู้ดีมากกว่าใคร คงไม่พ้นคนที่รีบยื่นใบลาออกทันทีที่ได้ทราบข่าวนี้กระมัง...

“ลุงอัค เลื่อนประชุมกรรมการบริหารของทีเอ็นมาเป็นพรุ่งนี้ เตรียมสรุปผลประกอบการไตรมาสแรกของมิราเคิล แกรนด์ ให้ผมเย็นนี้ด้วยนะครับ ”เสียงของเจ้านายหนุ่มทำให้ทนายความอาวุโสจำต้องหยุดความคิดของตัวเองลงแต่เพียงเท่านั้น

“เอ่อ...ครับ” อัคราช มีท่าทางลังเล ก่อนจะขานรับคำสั่ง

เลื่อนการประชุมให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดการเดิมถึงหนึ่งสัปดาห์!

อาทิตะยะทำให้ทนายความอาวุโสอย่างอัครราชหนักใจขึ้นมาในทันที เหตุไม่ได้มาจากการที่ต้องเลื่อนประชุมกรรมการบริหาร เพราะรู้ดีว่าหากไม่มีข้อสรุปที่ดีอาทิตะยะไม่มีทางเลื่อนการประชุม แต่การกระทำของชายหนุ่มต่อจากนี้ต่างหากที่ทำให้คนที่อยู่ใกล้ชิดเสมอมาไม่อาจมองข้ามได้โดยไม่กล่าวสิ่งใด
“คุณหนึ่ง ผมไม่ห้ามแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย และจะไม่ถามแม้จะสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่ผมอยากจะขอพูดอะไรบางอย่าง”อัคราชหยุด เพื่อมองหน้าอีกฝ่าย

“เชิญครับ ผมนับถือลุงอัคเหมือนพ่อ ตอนนี้คิดซะว่าผมคือ ลูกชาย”

คำอนุญาตจากเจ้านายหนุ่ม ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับบุรุษอาวุโสตรงหน้าได้กล่าวความในใจออกมาได้อย่างเต็มที่

“ถ้าอย่างนั้นผมจะคิดซะว่า ผมกำลังคุยอยู่กับลูกชาย”

“คิดได้ตามสบายเลยครับ”

อาทิตะยะยิ้มรับกับคำกล่าวนั้น ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เขารู้ดีว่าอัครราชกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร และเขาเข้าใจว่าคนใกล้ชิดทุกคนจะต้องกังวลใจอยู่ไม่น้อยหากได้รับรู้ในการกระทำของเขาในครั้งนี้

“จำเป็นนักหรือครับ ที่จะต้องทำแบบนี้”

เป็นคำถามที่ตรงประเด็นมาก อัครราชรู้ได้ยังไงว่าเขากำลังจะทำอะไร

“ผมไว้ใจนายโอมไม่ได้อีกแล้ว”

“ผิดแล้วละครับ รายนั้นต่อให้ตายก็ไม่ปริปาก ผมถามจากการคาดเดา”

“นอกจากเป็นทนายมือหนึ่ง ยังเป็นนักคาดเดาที่เดาได้แม่นเหมือนกับตาเห็นเลยนะครับ”ถ้อยคำดังกล่าวติดจะเล่นมากกว่าจริงจัง

“ข้อหาลักพาตัวนะครับที่กำลังวางแผนที่จะทำ”

เจอประโยคนี้เข้าไป อาทิตะยะถึงกับผงะแต่ก็สามารถปรับอารมณ์เป็นปกติได้ชั่วพริบตา ชายหนุ่มโน้มตัวมาข้างหน้า มือทั้งสองประสานกันบนโต๊ะ จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังและไม่ได้มีความหวาดหวั่นต่อคำกล่าวหาที่ได้ยิน

“ผมไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองเจอข้อหานั้นหรอกครับลุงอัค”

“แต่เท่าที่ทราบมา...”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

คำพูดที่กำลังจะตามมาถูกขัดจังหวะจากเสียงเคาะประตู มิเชลเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดที่มีเครื่องดื่มต่างชนิด เธอวางถ้วยกาแฟไปตรงหน้าอาทิตะยะ และเสิร์ฟน้ำเปล่าให้กับอัคราช

ดูเหมือนบรรยากาศในการสนทนาก่อนที่เธอจะเข้ามาคงไม่ค่อยรื่นรมย์เท่าใดนัก มิเชลลอบสังเกตใบหน้าของบุคคลทั้งสองในขณะวางแก้วเครื่องดื่มลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะรีบถอยฉากออกไปจากห้อง

“มิเชล”

คนที่ถูกเรียกตัวเอาไว้ ก่อนที่จะก้าวพ้นประตูหันกลับมาสบตาสีนิลของเจ้านายหนุ่ม

“เตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทยพร้อมกับผมพรุ่งนี้นะครับ”

“ค่ะ”เป็นคำตอบที่ไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย จนอัคราชนึกแปลกใจ บุรุษอาวุโสหันกลับมามองอาทิตะยะทันทีที่มิเชลกลับออกไป

“ดูเหมือนเธอพร้อมจะไปกับคุณทุกที่เลยนะครับนั่น”

“มิเชลอยากจะไปเมืองไทยตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส”

“เธอคงจะดีใจที่โอกาสนั้นมาถึงแล้ว”

“ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้นครับ”

อัคราชเงียบไป ในใจครุ่นคิด แก้วน้ำตรงหน้าถูกยกขึ้นมาจิบขั้นกลางบทสนทนา ก่อนจะถูกวางลงไปพร้อมกับการตัดสินใจบางอย่าง

“ผมขอตัวนะครับ” คำพูดหลังจากนิ่งเงียบไปของอัคราช ทำให้คนที่มองอยู่แปลกใจ

“ลุงอัค แน่ใจนะครับว่าไม่มีอะไรจะพูดกับผมแล้ว”

อาทิตะยะเอ่ยท้วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น ทั้งๆที่ยังคุยเรื่องบางเรื่องไม่จบในเมื่อเป็นฝ่ายเริ่ม

“ผมคิดว่าเหตุการณ์ทุกอย่างมันมีที่มาและที่ไปของมันครับ เพราะฉะนั้นสุดแท้แต่หัวใจก็แล้วกันนะครับ ถ้าคิดว่าใช่และทำได้ก็ลงมือ...”

เป็นประโยคที่ทำให้อาทิตะยะต้องถอนใจด้วยรู้สึกอึดอัดและสับสน นัยน์ตาสีนิลจับจ้องประตูบานใหญ่ที่ปิดลงเมื่อลับร่างบุรุษอาวุโสที่ก้าวเดินจากไป ชายหนุ่มหลับตา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือทั้งสองวางนิ่งไปบนที่เท้าแขนก่อนจะกำแน่น

...ผมไม่ได้แน่ใจนะลุงอัค แต่ถ้าจะให้ปล่อยเธอไป ผมก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน...

สตาริศาดูแปลกตาไปไม่เหมือนครั้งแรกที่ได้เจอ ร่างเล็กบอบบางสูงโปร่งผิดตาด้วยส้นสูงกว่าสามนิ้ว เสื้อคอปาดสีเหลืองสดที่ตั้งใจปาดคอกว้างจนเลื่อนหลุดจากไหล่คนใส่ไปหนึ่งข้างดูเซ็กซี่ทว่ากลับขัดตาคนหนึ่งคนที่แอบมองอยู่ห่างๆ กระโปรงสีขาวยาวแค่คืบ ปกปิดได้เพียงส่วนสะโพกโค้งมนของคนใส่ แต่กลับเผยต้นขาขาวๆ และช่วงขาเรียวยาวที่ก้าวฉับๆ อย่างมั่นใจ ชัดเต็มตา

ตั้งใจชักนำจินตนาการให้คนที่เห็นคิดไปถึงไหนต่อไหน รึเปล่านั่น!

ผมที่เคยยาวเหยียดตรงตอนนี้ถูกดัดหยิกเป็นลอนเปลี่ยนสาวหวานให้กลายเป็นสาวมั่นทันสมัย แว่นกันแดดสีชาอันใหญ่บนใบหน้าที่เจ้าตัวใส่เพื่อปกปิดความรู้สึกทางแววตาทำให้ดูลึกลับน่าค้นหา
บุคลิกเตะตา น่าสนใจ ใช่...น่าสนใจ ! จนรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาต้องให้ความสนใจเธอขนาดนี้
อาทิตะยะก้าวเร็วตามร่างบางตามคำรายงานทางโทรศัพท์จากเพื่อนที่อยู่ในสายตา อัคนี อัศวเทพ เพื่อนคนนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ

“เฮ๊ย! ถึงไหนแล้วเนี่ย” เสียงใครคนหนึ่งฟังดูร้อนรนเมื่อเห็นว่าเป้าหมายที่เฝ้าตามติดมาตลอดหนึ่งสัปดาห์กำลังเดินออกจากห้างไปยังลานจอดรถ

“ข้างหลังนายไง”

จบประโยคที่ได้ยินทำให้ร่างสูงหันขวับมองหลังทันที

ว่างเปล่า.... ไร้เงาคนพูด อัคนีรีบหันกลับไปมองสาวน้อยเสื้อเหลืองเพราะเกรงจะพลาดงานที่ได้รับมอบหมาย ก่อนจะกรอกเสียงใส่หูโทรศัพท์อย่างเคืองๆ

“ถ้าพลาดครั้งนี้ นายตามเองเลยนะหนึ่ง เราไม่เอาด้วย ไม่ได้ว่างนะเว๊ย” คนที่บอกไม่ว่างอารมณ์ขุ่นตามที่พูด แม้จะไม่เคยปฏิเสธเมื่อถูกอีกฝ่ายร้องขอ แต่ใช่ว่าเขาจะเห็นด้วยในทุกเรื่อง แต่ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย อัคนี อัศวเทพ ก็ไม่เคยปฏิเสธคำสั่งของอาทิตะยะเลยสักครั้ง ต่อให้มันบอกให้ไปตาย เขาก็จะไป เพราะนอกจากพ่อที่ให้ชีวิต อาทิตะยะคืออีกหนึ่งคนที่ทำให้เขาสามารถหายใจต่อได้บนโลกใบนี้ ทั้งๆที่น่าจะตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน ด้วยอุบัติเหตุทางน้ำที่ทำให้เขาเข็ดขยาดไม่ใกล้น้ำมาจนถึงทุกวันนี้ ทะเล หรือแม้แต่สระว่ายน้ำ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่อยากจะเฉียดเลย แต่ให้ตาย...ทำไมเพื่อนเขาถึงมีบ้านอยู่บนเกาะวะ

เสียงหัวเราะ หึหึ ดังมาจากปลายสาย ทำให้อารมณ์ขุ่นเข้าไปอีก

“ไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับท่าน” อัคนีพูดประชดออกไป นึกหมั่นไส้กับอารมณ์ครึกครื้นของอีกฝ่าย
“ก็ใครว่าสนุกละครับ” อาทิตะยะตอบกลับ

“ถ้าอย่างนั้นจะเอายังไงต่อ บอกมาสิท่าน เป้าหมายจะไปถึงรถอยู่แล้ว ให้ไว อ๊ะ...” เสียงที่ดังขึ้นเกิดจากมือที่ตะปบลงมาที่ไหล่โดยไม่ทันตั้งตัว คนที่บังอาจมาทำให้หมอหนุ่มตกใจคงจะถูกจับเหวี่ยงหากไม่รู้ทันด้วยการจับข้อมืออีกฝ่ายบิดจนร้องโอย เสียงร้องถูกกลืนหายไปเมื่อเห็นว่าใครที่เข้ามาชาร์ตจนเกือบจะทำให้ร้องลั่นเสียแผน โชคดีที่อาทิตะยะยกมืออีกข้างมาปิดปากเขาเอาไว้ซะก่อน
อาทิตะยะเอ่ยขอโทษ ก่อนจะปล่อยหมอหนุ่มเป็นอิสระ

“มาดีๆ เป็นไหม” อัคนีถามเร็ว

“ก็มาดีแล้วไง...” คนถูกถาม ตอบกลับหน้าตาเฉย

“ดีกะผี! เกือบเจ็บตัว แต่ไหนๆก็มาแล้ว ตามต่อเอาเองนะ เดินไปโน่น เสื้อสีเหลือง เห็นแล้วใช่ไหม”
“อือ” ตอบรับโดยไม่หันมอง

“งั้นเรากลับล่ะ”

คำพูดที่ดึงสายตาของอาทิตะยะให้หันกลับมามองคนข้างกาย

“โอม”

คนที่ทำท่าจะหมุนตัวเดินจากไปหยุดชะงัก เมื่อถูกเรียก

“ขอบใจนะ” สั้นๆ แต่ได้ใจ อัคนียกมือขึ้นโบกรับคำขอบใจของเพื่อน ก่อนจะเอ่ยปากบอกให้อีกฝ่ายรีบไป
การที่อาทิตะยะมีคำสั่งให้อัคนีสะกดรอยตามผู้หญิงคนหนึ่งจนกว่าเขาจะกลับมาทำมันด้วยตัวเอง ทำให้คนได้รับมอบหมายอดสงสัยและอดถามไม่ได้ว่าเธอคือใครและสำคัญยังไง คำตอบที่ได้กลับมาแม้มันจะสั้นแสนสั้น แต่ก็ทำให้คนถามเข้าใจได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบายอื่นใด

อัคนี หันหลังกลับไปมองคนที่กำลังเดินเร็วไปยังเป้าหมาย ปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของหมอหนุ่มเมื่อนึกถึง

‘เมีย’ คือ คำสั้นๆ ที่อาทิตะยะใช้เรียกเป้าหมายแสนสวย และคำๆนี้ ก็ยืนยันและประกาศชัดว่าเธอพิเศษและสำคัญ อัคนีมั่นใจ...ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอย่างอาทิตะยะ ทรรศไนย ไม่เคยเรียกผู้หญิงข้างกายว่า เมีย ต่อให้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งขนาดไหน ก็ไม่เคยได้ยินเขาเรียกใครแบบนั้น...นอกจากเธอคนนี้

~*~*~*~*~*~




ปิลันธน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2554, 18:43:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2556, 22:54:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 2630





<< ตอนที่ 6...อย่าเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น และมีประโยชน์เฉพาะเวลาที่อยู่บนเตียง...   ตอนที่ 8...ผู้ชายที่เธอควรจะรัก จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา... >>
ปูสีน้ำเงิน 7 ส.ค. 2554, 18:33:20 น.
^O^


ปิลันธน์ 24 ส.ค. 2554, 02:54:19 น.
1.ปูสีน้ำเงิน ^O^ ^O^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account