อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 6.

6.

เวลาประมาณหกโมงเช้าที่ท่ารถสองแถวหน้าปากทางเข้าตลาด..สองหนุ่มสะพายกระเป๋ามาถึง คนบนรถซึ่งมาจับจองที่นั่งก่อนมองเขาทั้งคู่ด้วยสายตาเป็นมิตร ก่อนจะส่งภาษาพื้นเมืองถามไถ่ว่ามาจากไหน? จะไปไหนและมาที่นี่ทำไม? สุริยาก็ตอบทีเล่นทีจริง ไปทีละคำถาม..แล้วก็แกล้งถามคืนบ้างว่า ..จะขนอะไรไปไหน ขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่ แล้วจะกลับบ้านกันกี่โมงกี่ยาม

และลงท้ายที่ทำให้สองหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ คือ

“หน้าตาดีทั้งคู่เนอะ น่าจะไปเป็นดารา”

เมื่อใกล้เวลารถออกทั้งคู่จึงเลิกยงโย่ยงหยกจากด้านท้ายรถ มานั่งเบียดกันตรงท้ายเบาะ เนื่องด้วยบรรดาป้า ๆ น้า ๆ บอกว่า มันอันตรายถ้าจะโหนกันแบบนั้น และที่สำคัญมันไกลมาก คงยืนไปตลอดทางไม่ไหว และยังไม่ทันที่รถจะออก มือขาวเหลืองนิ้วเรียว ๆ ก็ลอดช่องลมมาสะกิดที่เอวสุริยา ชายหนุ่มรีบหันไป พบกับรอยยิ้มหวานคลอด้วยน้ำตาของสาวแสงทอง

“เอาส้มกับน้ำดื่มและข้าวเหนียวเนื้อทอดมาให้จะได้มีกินระหว่างทาง”

“ขอบใจมากนะ แล้วเราคงได้เจอกันอีก...ขอบใจหนูจริง ๆ”

รถแล่นออกไปแล้ว แสงทองยังยืนตาละห้อย โบกมือลา..คงอีกนานทีเดียวกว่าจะได้พบกัน..แล้วภาพเมืองเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ จางหายไปจากคลองจักษุ เหลือเพียงภาพต้นไม้ภูเขาลูกแล้วลูกเล่ากับถนนที่วกวนจนแทบจะอาเจียนก็หลายครั้ง..รุ่งโรจน์นั้นพอกลืนข้าวเหนียวเนื้อหมดห่อก็ไม่ลืมหูลืมตา กอดเอวสุริยาแล้วก็ซบบ่าอย่างไม่ได้รู้สึกว่ามีสายตานับสิบคู่มองมา..ด้วยความสงสัย.....

“เมารถดิ๊ เกาะกันให้แน่น ๆ นะ อย่าได้ปล่อยมือเดี๋ยวตกลงไปจะลำบากพวกเรา..”

พอได้ยินสุริยาก็ขำ กิ๊ก ๆ นึกสภาพว่าถ้ารุ่งโรจน์ปล่อยมือแล้วตกลงจากรถไป.. ‘พวกเรา’ ที่นั่งมองจะลำบากประการใดหนอ..



รถยนต์คันนั้นแล่นทุลักทุเลจากปางจันทร์มาถึง อ.อมก๋อย มาถึง อ.ฮอด รับส่งผู้โดยสารรายทางและผู้โดยสารแต่ละคนใช่จะมาตัวเปล่า แต่ละคนก็หอบสัมภาระเป็นกระสอบ ๆ โยนขึ้นโยนลงจากหลังคา..คล้ายกับว่าจะอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน..สุริยานึกถึงสภาพบ้านตัวเองเมื่อสมัยก่อน ก็อดที่จะบอกเล่าให้รุ่งโรจน์ได้รับรู้ไม่ได้ แต่ในเวลานี้ ความยากลำบากในภาคกลางเช่นนั้นหายไป เหลือเพียงการแข่งกันมั่งมีพาหนะทันสมัยเพื่อความสะดวกสบาย..

รถคันนั้นจอด ณ จุดสุดท้ายที่อำเภอฮอดในเวลาบ่ายสี่โมงเย็น ถามถึงรถที่จะเข้ากรุงเทพฯ ..นายสถานีบอกว่าจะออกจากจอมทองตอนสิบแปดสามสิบนาฬิกา ดังนั้นการฆ่าเวลาที่เหลือคือนั่งรถจากฮอดไปที่ อ.จอมทอง สักการะพระธาตุศรีจอมทอง..พระธาตุประจำราศีปีชวด..

“ไปไหนไปด้วย ไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยนี่” รุ่งโรจน์ว่าอย่างนั้น สุริยาเองก็นึกขำ นึกถึงคนมือขาดตีนขาด ไร้ทรัพย์ คงจะหมดหนทางกระทำสิ่งใดจริง ๆ แม้เงินจะซื้อบุหรี่เพื่อสูบดังวันวานเขาก็ไม่ร้องขอ อยากจะเลี้ยง จะให้กินอะไร ก็ซื้อแล้วยื่นให้โดยไม่ต้องซักถาม..

ถึงตลาดจอมทอง ข้ามถนน พบพระธาตุตั้งตระหง่านอยู่ในวัด..

“ใจจริงอยากขึ้นดอยอินทนนท์แต่หมดเวลาเสียแล้ว”

“ก็นอนสักคืนแล้วขึ้นพรุ่งนี้ก็ได้”

“หมดเงินด้วย” สุริยาบอกความจริง ทำให้คนฟังหน้าเสียในทันที

“ไม่เป็นไรหรอก วันหน้ายังมี ไปเถอะสิ่งที่ผมตั้งใจมา อยู่ตรงนี้ ส่วนพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดลกับพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ บนยอดดอย วันนี้บุญยังไม่ถึง ก็เอาไว้คราวหน้า..” สุริยาสะพายเป้ ซึ่งมีสมบัติทุกชิ้นของรุ่งโรจน์รวมอยู่ด้วย เพราะเจ้าตัวมีเพียงเสื้อกับกางเกงและรองเท้าเท่านั้น..แสงทองจึงบ่นว่ามาถึงปางจันทร์ได้อย่างไร..

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปถึงปางจันทร์ได้อย่างไร อารมณ์เบื่อ ก็ลงรถขึ้นรถต่อ ๆ ไป ..กรรมอย่างแสงทองว่าไว้มั้ง ดวงจะได้เจอกัน ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ได้เจอ”..

พระธาตุศรีจอมทอง พระธาตุประจำราศีปีชวดตามคติความเชื่อของชาวล้านนา..ต้องแสงพระอาทิตย์ยามเย็น ทำให้องค์พระธาตุย่อมุมไม้สิบสองหน้ากว้างสี่สูงแปดเมตรมีประกายแสงสีทองสุกปลั่ง ด้านในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนขากรรไกรสามารถนำออกมาสักการะและสรงน้ำได้ ซึ่งต่างจากพระธาตุในยุคเดียวกันที่ฝังพระธาตุหรือกระดูกของพระพุทธเจ้าไว้ใต้ดินก่อนจะสร้างองค์พระเจดีย์ครอบไว้ จึงเป็นที่มาของการห้ามสตรีขึ้นสู่ส่วนฐานเขียงส่วนที่ติดพื้นดินขององค์พระธาตุ

สุริยาพารุ่งโรจน์ไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนของวัดส่งให้ถือเอง หลังจากนั้นก็ฝากกระเป๋าเป้ไว้ที่แม่ขาวคนขายดอกไม้ของวัด ก่อนจะเดินนำไปจุดธูปเทียนสักการบูชาองค์พระมหาธาตุเจดีย์ศรีจอมทอง

“อิมินาสักกาเรนะ พุทธังอะภิปูชะยามิ อิมินาสักกาเรนะ ธัมมังอะภิปูชะยามิ อิมินาสักกาเรนะ สังฆังอะภิปูชะยามิ”..

รุ่งโรจน์เอ่ยตามด้วยสุ้มเสียงเต็มใจเต็มศรัทธา

“ว่าอะระหังสัมมาฯ พร้อมกันนะ”

“ผมสวดมนต์ไม่เป็นหรอกครับ จบมาจากโรงเรียนคริสต์”

“อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ..กราบ”

ตัวอย่างก้มลงกราบในท่าเบญจางคประดิษฐ์สวยงาม ลูกศิษย์ที่ทำตามก็ก้มลงกราบ แต่ยงโย่ยงหยกด้วยเจ็บหัวเข่าเป็นแน่

“อดทนหน่อยนะ” น้ำเสียงคล้ายจะบังคับ เพราะต้องการให้พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ว่าแล้ว สุริยาก็นำสวด บทสวากขาโต และสุปะฏิปันโน แล้วก็กราบ ก่อนจะพา ตั้ง บท นะโม ตัสสะฯ 3 จบ แล้วพาอธิษฐานจิตวางผังชีวิต

“ด้วยเดชแห่งบุญที่ข้าพเจ้า ได้ตั้งใจมา ตรึกระลึกนึก คุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านพระธาตุศรีจอมทอง ..ด้วยเดชแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้สวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ..ด้วยเดชแห่งบุญนั้น..ขอให้ข้าพเจ้า ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฎฐิ มีบัณฑิตเป็นกัลยาณมิตร ให้ถึงพร้อมด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และมรรคผลนิพพาน..ฯลฯ” สุริยายังว่าบทอธิษฐานจิตอีกยืดยาว โดยหาสนใจอีกคนที่เลิกนั่งท่าคุกเข่าไปนั่งพับเพียบเหยียดขายาวหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเมื่อยเจ็บ..พอจบตรงนั้นจึงลุกขึ้น..

“ปะ เวียนเทียน”

สุริยาลุกขึ้นก่อน แล้วฉุดมือคนที่นั่งทำหน้าปั้นยาก ให้ลุกขึ้นตาม

“เจ็บขายิ่งกว่าขึ้นปางสุดยอดอีก..เวียนอย่างไร”

“ก็วนขวา เวียนประทักษิณให้เจดีย์อยู่ทางขวามือ แล้วก็สวดมนต์บทอิติปิโสฯ หรือไม่ก็ รวมสวากขาโตและสุปะฏิปันโนด้วย..หรือว่าไม่ได้ ก็เดินท่อง พุทโธ ๆ ๆ ไปได้ไหม..”

“ได้”

ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เดินตามคนสูงไล่เลี่ยกันผิวเหลืองคร้าม โดยท่าทีไร้ความเข้าในใจพิธีกรรม เมื่อเสร็จสิ้นกิจตรงนั้น สุริยาก็พาเดินเข้าไปในพระวิหารสักการะพระประธาน แล้วก็ควักแบงก์ 20 ออกมาใส่ตู้บริจาค 1 ใบ และส่งให้รุ่งโรจน์อีก 1 ใบ

“ทำไม”

“ทำบุญ” รุ่งโรจน์รับเงินแล้วยกมือพนมก่อนจะหยอดใส่ตู้ โดยมีสีหน้าไม่เข้าใจดังเก่า หลังจากชื่นชมกับองค์พระปฏิมาในซุ้มโขงและพระบรมสารีริกธาตุในมณฑปปราสาทก่ออิฐ ถือปูน สุริยาก็พาอีกคนเดินชมวัสดุอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ในพระวิหารรวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังก่อนจะพาออกไปเดินดูสินค้าหัตถกรรมและผ้าทอที่ชาวบ้านนำออกมาวางขายในบริเวณวัด

“แค่นี้”

“อือ..เรื่องวัดมันเรื่องของคนที่มีศรัทธา..ผมอ่านหนังสือมาก่อน ผมก็เลยอยากไปดูตรงนั้นตรงนี้ เวลามาเที่ยววัด จริง ๆ ควรจะมีความรู้ประวัติของสถานที่นั้น ๆ อยู่บ้าง พอเรารู้ องค์พระธาตุหรือองค์พระพุทธรูปก็จะศักดิ์สิทธิ์ในทันที เพราะมีความเชื่อความศรัทธาของเราอยู่ด้วย การจะอธิษฐานจิต จะมีพลัง คือมีศรัทธา มีความเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้..ลูกทัวร์ผมบางคนถูกหวยบ่อยมาก ๆ เพราะทุกครั้งที่ไปวัดเขาก็ทำบุญ แล้วก็อธิษฐาน ดูแล้วท่าจะคิดแต่เรื่องหวย ..ก็ถูกหวย..ตื่นเต้นไปตามจิตปรารถนา แต่บางคนที่เขาต้องการหลุดพ้น ..เขามาเพื่อเพิ่มกำลังใจ มาขจัดความคิดในเชิงบาปออกไป ให้ใจเป็นบุญ อยู่เนือง ๆ มันก็ไม่อยากทำไม่ดี มีกำลังใจรักษาศีลห้า มีกำลังใจทำสมาธิ สวดมนต์”

เมื่อเห็นสีหน้าอีกคนคล้ายจะไม่สนใจฟัง สุริยาจึงหันมาคุยอีกเรื่อง

“เห็นไหมเวลามาเที่ยว ผมก็จะสังเกตพวกนี้ไปด้วย เห็นพระธาตุเจดีย์ด้านที่ใกล้กับประตูไหม องค์นั้นสร้างทีหลัง ศิลปะแบบไทยใหญ่ แบบเจดีย์มอญของพม่า แต่องค์พระธาตุเจดีย์ศรีจอมทอง ศิลปะล้านนา แค่นี้เราก็เห็นถึงความแตกต่าง บางทีเราไปเที่ยววัดบ่อย ๆ เราก็จะเห็นพวกศาลาการเปรียญ รูปทรง โบสถ์ วิหาร พระประธานที่พระพักตร์ที่แตกต่าง เราก็จะจดจำแล้วเริ่มศึกษา เริ่มไต่ต่อ ไม่แน่นะ กลับไปคุณรุ่ง อาจจะไปนึกสนใจเรื่องพวกนี้ขึ้นมาก็ได้”

“ฟังคุณพูดแล้วก็ชักเห็นเป็นไปตามนั้น ผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้หรอก อยู่กรุงเทพฯ ก็เห็นแต่ภูเขาทอง วัดพระแก้ว กับวัดราชนัดดาราม สะดุดตา นอกนั้นก็ เห็นเหมือนกัน..”

“ผมชอบคิด ..บางทีผมนึกถึงตอนที่เขากำลังก่อสร้างนะ อย่างที่นี่กับบริเวณโดยรอบ ชาวบ้านในยุคนั้นคิดได้อย่างไรว่าต้องออกมาเป็นทรงนี้..แล้วทำไมที่นครศรีธรรมราช ที่ธาตุพนม คิดว่าต้องเป็นทรงนั้น”

“ปัญหาโลกแตก”..

“ไปท่ารถกันเถอะ พูดเรื่องวัดมาก ๆ เดี๋ยวคุณจะเบื่อเลิกคบกับผมไปซะก่อน”

“ไม่หรอก คนดีอย่างคุณ มาเจอะนี่ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว”

พอได้ยินดังนั้น สุริยายิ้ม แต่ลึก ๆ ไม่เชื่อคำพูดของอีกคนหรอก ถ้าเป็นแสงทองมันคงว่า “ปากหมานจริงนะ”..

“ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อคำพูดผม จริง ๆ คุณสุริยา เพราะถ้าลำพังผมมากับเพื่อน ๆ ของผม ถ้าจะแวะสถานที่แบบนี้ก็เห็นจะเป็นเรื่องของความเชื่อว่าแคล้วคลาด สบายใจได้ล้างซวย ได้จุดธูปเทียนไม่ได้คิดลึกอะไรมากหรอก ดีไม่ดี นั่งมาด้วยกันห้าคนมีฝ่ายค้านเสียอีกสาม วิจารณ์
ศาสนาในทางเสียหายเสียอีก จนหมดศรัทธาจะเข้าไปกราบพระก็มี”

“และนี่คือหน้าที่ของผม ตามที่ผมตั้งสัตยาธิษฐานไว้” แววตาและน้ำเสียงของสุริยามุ่งมั่น

“ผมจะใช้คุณสมบัติ รูปสมบัติที่ผมมีอยู่นี่แหละ ชวนคนเข้าวัด ทำบุญรักษาศีล ปฏิบัติธรรม สร้างบารมีกันไป ได้มากได้น้อย ดีกว่าไม่คิดทำอะไรเลย”

“ผมต้องบอกว่า อนุโมทนาบุญด้วยนะใช่ไหม”

“สาธุ”...

สองหนุ่มยิ้มให้กัน ก่อนที่สุริยาจะดึงกล้องออกมาถ่ายรูปรุ่งโรจน์กับพระธาตุในมุมที่ให้นายแบบยืนพนมมือยิ้มหวาน ทำหน้าเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แล้วกล้องก็ซูมไปที่ใบหน้าสดใสเห็นองค์พระธาตุเต็มองค์อยู่เบื้องหลังไกล ๆ หลังจากนั้นรุ่งโรจน์ก็เป็นฝ่ายมากดชัตเตอร์ให้สุริยา...โดยภาพมีลักษณะเหมือนกันแต่แตกต่างกันตรงแววตาที่สดใสไร้ซึ่งความทุกข์ตรมใด ๆ ..

เสร็จกิจวุ่นวายตรงนั้นก็พากันไปรับกระเป๋า คราวนี้รุ่งโรจน์ขันอาสาที่จะแบกเป้ใบนั้นเสียเอง

“ถ้าผมเบี้ยวเงินคุณจริง ๆ คุณจะได้นึกว่า อย่างน้อย ผมก็ยังแบกเป้คืนให้คุณหนึ่งรอบ”..ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็หัวเราะ..เพราะสุริยาทำหน้าแบบ ‘จริงอ่ะ’

“ถ้าผมเบี้ยวเงินคุณ คุณจะตามไปทวงผมไหม ผมรู้นะ คุณรู้ว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน”

สุริยาทำท่าครุ่นคิด

“ถ้าคิดจะไป คงต้องชวนแสงทองไปด้วยนะครับ ลำพังผมเอง ผมก็คิดเสียว่า ฟาดเคราะห์ไป..หรือไม่ก็คิดเสียว่า ติดพุ่มผ้าป่า ทอดกฐินทำบุญบวชพระอะไรไป..”

“จริง ๆ อ่ะ”

“จริง ซิ สุขทุกข์มันอยู่ที่เราคิดนั่นแหละ”

“คุณสุริยา คุณเป็นคนน่ารักนะ อยู่ใกล้แล้วสบายใจ..นี่นะ ถ้าผมมีน้องสาวสักคน ผมยกให้คุณเลย”

“คงไม่รับหรอกครับ เพราะขนาดพี่ยังฤทธิ์เดชแยะขนาดนี้ ถ้าชั้นน้องมีหวัง ผมคง..”

“ผมมีฤทธิ์เยอะขนาดไหน คุณบอกมาซิ”

“ก็...” คราวนี้คนต้องพูดหน้าแดง ยังไม่ทันจะว่าอะไร รุ่งโรจน์ก็คว้าข้อมือจูงข้ามถนนไปที่ท่ารถ บขส. พอไปถึงเขาก็เลื่อนจากจับมือมาท้าวบนบ่าขณะที่สุริยาเจรจาซื้อตั๋วรถกลับกรุงเทพฯ ..

พอได้ตั๋วมาจะไม่ให้สุริยาใจหายได้อย่างไรเล่า ก็นานแค่ไหนแล้วที่เจ้าตัวหาคนวัยเดียวกันคุยถูกคอได้..พบ ผูกพัน พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เป็นทุกข์..



รถที่นั่งมาเป็นเพียงรถบัสปรับอากาศชั้นสองไม่มีห้องน้ำ ไม่มีผ้าห่ม มีเบาะนุ่ม ๆ ปรับเอนได้เพียงสี่สิบห้าองศา ไร้การบริการอำนวยความสะดวกจากพนักงาน ไม่มีแม้เสียงเพลงที่จะทำให้การเดินทางเพลิดเพลิน แต่ใจของสุริยากลับรู้สึกมีความสุขกว่าตอนขานั่งขึ้นมาเชียงใหม่ คงเป็นเพราะผู้ชายหน้าใสที่นั่งซบบ่าเขามาระหว่างทาง พูดกับเขาหลังจากรถจอดรับประทานอาหารยามดึกที่ปั๊มน้ำมันว่า

“ผมคงคิดถึงคุณจัง” เขาไม่ตอบว่าอะไร เพียงรู้สึกใจหาย รู้สึกถึงความห่างระหว่างชนชั้น สถานะทางสังคม ไม่มีวันที่เขาจะไปเดินเคียงกับรุ่งโรจน์ในกรุงเทพฯ เมืองศิวิไลซ์ ในสถานะไหน ๆ ...ฟังดูแล้วเมื่อเขากลับบ้านมาในครั้งนี้ คนเป็นพ่อเป็นแม่คงจะทำสิ่งหนึ่งประการใด เพื่อให้เขาอยู่ในโอวาทไม่แหกกฎแหกคอกออกมาเที่ยวเตร็ดเตร่ลำบากตามลำพังเช่นนี้

อันว่าหัวอกของพ่อแม่ เขาเข้าใจ เลี้ยงลูกมาก็ปรารถนาที่จะให้เป็นดั่งใจ เหมือนเมื่อครั้งพระอาจารย์เคยว่าไว้ ไอ้สมัยเราพ่อแม่เลี้ยงมา ถูกผิดดีชั่วพ่อแม่ตัดสินกำหนดชะตาชีวิต แต่กับเณรพวกนี้หมายถึงเขาด้วย พระอาจารย์เป็นเพียงแค่ผู้เลี้ยงให้โต และค่อย ๆ พัฒนาจิตใจ ไอ้ส่วนพัฒนาจิตใจนี่แหละที่มีปัญหาระหว่างพระอาจารย์กับเณรลูกศิษย์ตลอดมา

“เราไม่ใช่พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ไปชี้เป็นชี้ตายได้หรอก เลี้ยงดีให้กินดี เขาก็ว่าดี ตีเข้าหน่อยขัดใจเข้าหน่อย มันก็ว่าเรื่องของมัน กูไม่น่าเกี่ยว บุญเท่านั้น นึกถึงเมตตาธรรม กับบุญบารมีที่จะติดตัวไปจึงได้เสียสละ ก็ดึงมาใช้อยู่ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา วางเฉยเสียเมื่อมันไม่เป็นดั่งใจ จะได้ไม่ทุกข์”

ประโยชน์ของคนที่มีศาสนามีพระธรรมนำทาง ก็เห็นจะอยู่ที่ตรงนี้ คือสามารถกำจัดความฟุ้งซ่านในเชิงโกลียะวิสัย มาตรึกนึกถึงความจริงเฉพาะหน้า เมื่อรู้ว่าไม่มีวัน ก็ต้องเจียมใจ คิดเสียว่า อดีต ปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับอารมณ์ชั่วขณะ ไม่มีใครไม่พรากจากกัน แต่ถ้าคิดว่าต้องมีสักวัน ต้องใช้ความเพียร เพื่อให้สถานะเทียมกันไปยืนอยู่เคียงกัน เป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกัน

เมื่อรถแล่นใกล้ถึงย่านนวนคร สุริยาก็ขยับตัว ใช้ผ่ามือตบไปที่ใบหน้าคนที่หลับซบบ่าเบา ๆ เป็นเชิงให้รู้สึกตัว เพราะใกล้ถึงท่าที่ตนต้องลง เมื่ออีกคนหนึ่งลืมตา เขาส่งแบงก์ห้าร้อยยัดใส่มือให้

“ผมต้องลงที่นวนคร คุณไปลงหมอชิต ไปถึงแล้วต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านนะ อย่าเตลิดไปไหน คุณพ่อคุณแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว”

สุริยาทำท่าจะลุกขึ้นไปยืนรอที่หน้าประตู เพราะรถแล่นมาถึงวัดคุณหญิงส้มจีน แต่รุ่งโรจน์ดึงมือไว้ก่อนจะบอกว่า

“เดี๋ยวได้เจอกัน..อย่าลืมคิดถึงผมนะ” ว่าแล้วเขาก็จูบเหมือนเช็ดหน้าไปที่ต้นแขนด้านขวาของอีกคน ทีนี้ทำให้สุริยารู้สึกในทันทีว่าหัวใจของตนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว


ลงจากรถ บขส. ปอ. ชั้น 2 สุริยาก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง สั่งให้เข้าซอยไปส่งที่หน้าบ้านของคุณป้าพอไปถึงคุณป้าผู้เป็นพี่สาวคนโตของแม่กำลังจะเข็นรถออกไปขายเนื้อหมูย่างกับข้าวเหนียวนึ่งที่หน้าถนน เขายกมือทำความเคารพ ก่อนจะถามว่า

“วันนี้ลุงไม่ไปด้วยรึ”

“เดือนนี้เข้ากะกลางคืน เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ไปถึงไหนมา หายไปเป็นสิบวัน ป้าห่วงนะ ยิ่งเบญจเพสอย่างนี้”

“ครับป้า ผมไปสำรวจแถว ๆ แม่ฮ่องสอน ฮอด จอมทอง แล้วก็เลยไปไหว้พระพุทธบาทที่ปางจันทร์ พอดีเจอะคนกรุงเทพฯ เขาประสบอุบัติเหตุ ผมก็เลยช่วยเขา และเสียเวลาอยู่พยาบาลกันอีก”

“อะพิโถ..เป็นอย่างไรบ้างลูก..เขาไปคนเดียวรึ เราถึงต้องไปดูแลเขา” ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเลื่อนกระเป๋าจากข้างหลังมากองไว้กับพื้นถนน


“เห็นไหมเดินทางคนเดียวมันอย่างนี้แหละ เจ็บไข้ขึ้นมาก็ลำบาก โชคดีนะเจอคนใจบุญอย่างลูก ยังดูดำดูดี ไปเจอพวกเห็นแก่ตัว คงได้ตายอยู่ที่นั่นแหละ วันนี้ไม่ต้องไปช่วยป้าขายหรอก กลับมาเหนื่อย ๆ ไปนอนพักเอาแรงเถอะ เดี๋ยวสาย ๆ ลุงออกกะมาเดี๋ยวคงได้มาช่วยเข็นรถกลับ”

เมื่อเห็นรูปการณ์ของป้าเป็นไปตามนั้น สุริยาจำต้องหอบกระเป๋าเดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งมีเนื้อที่ขนาดประมาณครึ่งงาน ติดถนนสายย่อยในซอยใหญ่ มีรั้วคอนกรีตรอบมิดชิดประตูทำด้วยเหล็กดัดพอสบายตา..ตัวบ้านเป็นบ้านเดี่ยวครึ่งไม้ครึ่งปูน ขนาดกะทัดรัด เหมาะที่จะอยู่เพียงแค่พ่อแม่และลูกสักคน แต่เอาเข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ กลับต้องเป็นท่าพักต้อนรับญาติพี่น้องของป้าและลุงจากต่างจังหวัด ในเวลาหวังมาหากินเปลี่ยนอาชีพในเมืองใหญ่ พอมีหนทางก็พากันแยกย้ายไปตามสะดวก เหลือเพียงแต่เขาที่ป้าบอกว่า

“ตัวเป็นโสด จะอยู่นานแค่ไหนป้าก็ไม่อึดอัดหรอก คิดจะมีครอบครัวเมื่อไหร่ก็ค่อยย้ายออกไป”

ในวัย 60 ปี ป้ากับลุงควรที่จะ เกษียณอายุงานมาอยู่บ้านอย่างเช่นข้าราชการทั่วไป แต่คนที่สร้างชีวิตมาด้วยอาชีพเก็บเล็กผสมน้อยทำการงานสุจริต หวังสร้างฐานะ กลับต้องมาเจอปัญหาลูกที่เลี้ยงไม่โต

ลูกชายคนโต พี่ตั้มมีเมียเป็นสาวโรงงาน มีลูกสองคนทิ้งให้ป้าเลี้ยงแล้วก็เลิกกัน ต่างคนต่างไปมีใหม่ ส่วนเจ้าต้องวัยเดียวกับเขา ก็สามวันดีสี่วันออกจากงาน ไม่ได้คิดสร้างเนื้อตัวสร้างฐานะ สนุกสนาน กับเพื่อนฝูงอย่างไม่ใยดีกับอนาคตของชีวิตและความรู้สึกของบุพการี

ด้วยเหตุนี้ ป้าจึงว่าเป็นคนกรรมเยอะ

ห้องที่เขาพักเป็นห้องขนาดสองคูณสองเมตรครึ่ง ที่ต่อยื่นออกไปจากตัวบ้านข้างใต้ถุน ทำไว้สองห้อง โดยอีกห้องเป็นของนายต้องลูกชายคนเล็กป้า ซึ่งนาน ๆ ทีจะกลับมาหลับนอนที่บ้านคืนสองคืน

ส่วนที่นอนจริง ๆ เขาเคยถาม และได้คำตอบว่า

“ห้องเพื่อนบ้าง เปลี่ยนไปนอนกับคนนั้นคนนี้ บางทีก็ไปนอนกับแขก ตามโรงแรม..”

นายต้องคนนี้ชอบทำงานกลางคืน ชอบเรื่องเซ็กส์แบบไม่ผูกพันตามนิสัย และตัวของสุริยาเองก็ถูกชักชวนให้ไปร่วมงานด้วยกันทุกครั้งที่เจอหน้า

“หุ่นก้านอย่างเอ็งนะ ไอ้ยะ แขกชอบ หล่อคม คิ้วเข้มไรผมสวย ดูสะอาดสะอ้าน รับรองทิปดี”

“ไม่หรอก ไม่ชอบ”


“แต่เงินดีนะโว้ย ไม่ต้องมาขึ้นลงรถให้เหนื่อยยาก ปากเปียกปากแฉะบรรยายเรื่องวัดเรื่องวาให้เหนื่อย” ต้องคอยไปทัวร์กับเขาเป็นบางครั้ง แต่ไปด้วยกันแล้วก็กลับมาเล่าไปเสียอีกทาง

“เบื่อจะตายแม่ มีแต่วัดทั้งนั้น ผมละเซ็ง ไม่รู้ยังมีคนไปกับมันได้อย่างไร”

“เขาไม่ใจบาปเหมือนเอ็งหรอก เข้าวัดแล้วร้อน”

ป้ากับลูกคนนี้คุยกันได้ไม่เท่าไหร่เป็นได้ขัดคอ ต่างคนต่างอยู่ ต่างทำมาหากิน นาน ๆ จะโผล่มาชวนทะเลาะด้วย แล้วก็เอาเงินยัดใส่มือให้

“เอาไว้ให้หวยกินไปอีกงวดแล้วกัน”

ส่วนอีกคน นาน ๆ กลับมา พูดเพราะ มีหลักการ แต่ก็ขอเงินป้ากลับไปทุกครั้ง เพราะบ้านหลังโน้น ผู้เป็นภรรยาใหม่ต้องการสิ่งที่ดีงามที่สุด ผ่อนบ้านผ่อนรถ ส่งลูกเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง

ส่วนลุงผู้สามีคล้ายคนที่ไม่มีอารมณ์ใด ๆ ไม่มีปากมีเสียง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับป้าจะบงการ ผิดกับพ่อของตน เจ้าคารมคมคาย นักเลงโต ใจใหญ่ พวกมากจนกลายเป็นขี้เหล้า ถ้าเมาแล้วพูดไม่ได้หยุด..และมาหยุดเหล้าได้เมื่อสุขภาพร่างกายเริ่มถดถอย

นึกถึงครอบครัวแล้วพาให้ใจหดหู่ พี่หกคนต่างคนต่างไป ไม่สนใจใยดีกัน เขาเป็นคนเล็กไปบวชตั้งแต่จบปอหก นาน ๆ จะมีพี่บางคนหยิบยื่นเงินทองให้ได้ใช้ ส่วนพ่อกับแม่ก็ทำไร่ทำนาให้พวกพี่ ๆ มาหยิบยืมเงินทองทำได้เท่าไหร่แทบไม่มีเหลือติดบ้าน มีบ้านไม้หลังใหญ่เก่า ๆ อยู่หลัง กับสมบัติเป็นที่นาซึ่งมีราคาค่างวดไม่กี่มากเงิน แม้จะเคยมีเยอะ แต่ก็ถูกตัดแบ่งไปตามสิทธิ์ที่แต่ละคนพึงจะได้ ส่วนตัวเขาเองนั้นด้วยเป็นลูกชายคนเล็กซึ่งไม่ได้ช่วยเหลือการงานใด ๆ มาก่อน จึงได้ยินเพียงแต่ว่า

“เก็บไว้ให้มันสักแปลง เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า อยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้ ออกมาจะได้มีที่ทางปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัยเป็นรังตายไป”


อุ่นใจที่มีที่เท่าแมวดิ้นตาย แต่ไม่เคยแม้แต่คิดจะกลับไปพลิกผืนแผ่นดินทำอะไร เนื่องด้วยโตมากับเสียงสวดมนต์ เรื่องตากแดดตัวดำจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตน

ขณะอาบน้ำก็นึกถึงคนที่เพิ่งจากกันป่านฉะนี้จะเป็นอย่างไร ออกจากห้องน้ำ เดินไปที่เครื่องเสียงเปิดเพลงเพื่อให้เด็กสองคนลูกพี่ตั้มตื่นแต่งตัวไปโรงเรียน และเพลง ‘พะวงรัก’ ของดาวใจ ไพจิตร ที่ป้าเคยฟังเป็นประจำก็ถูกเปิดขึ้น..

“เฝ้าพะวงห่วงคิดถึงเธอ ...ใจใคร่เจอเห็นเธอใกล้เคียง
อยากแบ่งกายให้เป็นหลายเสี่ยง เพื่อได้เพียงติดตามใกล้เธอ..
คอยกังวล มิเป็นสุข มีรักเหมือนมีทุกข์ล้นเอ่อ
กระวนกระวาน หายใจเป็นเธอ อยากได้เจอแม้เงา..
อึดอัดใจอยากถามใคร ๆ คงมิใช่เป็นเพียงแต่เรา..
แปลกหนักหนารักพาใจให้เศร้า..ดุจไฟเผาเร่าร้อนฤดี...
คอยกังวลมิเป็นสุข มีรักเหมือนทุกข์ล้นปรี่..
ผุดนั่ง ผุดลุก แทบทุกนาที โอ้นี่หรือความรัก...
..คอยกังวลมิเป็นสุข มีรักเหมือนทุกข์ล้นปรี่..
ผุดนั่ง ผุดลุก แทบทุกนาที โอ้นี่หรือความรัก”...

เป็นครั้งแรกที่สุริยารู้สึกว่าเพลงอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลชุดนี้เพราะชวนฟัง...เหลือเกิน



หลังจากนอนไปได้งีบใหญ่ ในเวลาสายจึงตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปดูกิจการงานที่มอบหมายให้คนอื่นได้ช่วยกระทำ.. “ถ้ารู้จักใช้ปัญญา เวลาเราก็มีเหลือ”.. ความรู้ทางธุรกิจไม่มี แต่ก็ได้อาศัย พระอาจารย์ผู้ผ่านโลกมามากช่วยชี้แนะอยู่เสมอ

“อยู่ทางโลกอย่าให้โลกครอบงำเราจนหมดสิ้น ใช้ชีวิตให้เป็น มีเวลาไปวัดในวันพระได้ มีเวลาสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นบ้าง มีเวลาไปปฏิบัติธรรมชำระใจครั้งใหญ่สักปีละครั้งได้ ชีวิตนี้ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว”

เขาเองก็ไม่อยากขาดทุนด้วยชีวิตเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ทุกวันตั้งใจว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงสุดวิสัย จะต้อง จุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย เดินผ่านร้านขายพวงมาลัยจะต้องซื้อมาบูชาพระปฏิมาองค์แก้วใสที่เช่ามาจากวัดท่าซุง วันละหนึ่งพวง ระหว่างนั่งรถหรือเดินทางไปไหนตามลำพัง ก็จะฆ่าเวลาด้วยการสวดมนต์บทอิติปิโส ซ้ำ ๆ อยู่ในใจเพื่อไม่ให้จิตคิดพะวง อย่างที่ในเพลงรักว่าไว้

เขาไม่เคยรักใคร ไม่เคยมีห้วงแห่งจิตเป็นแบบนั้น

และนี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มพะวง วิบไหวในหัวใจ เมื่อเห็นกระเป๋าสตางค์ใบนั้นที่ตั้งใจจะเซอร์ไพรส์โดยส่งไปรษณีย์ไปให้ที่บ้านโดยไม่แจ้งชื่อคนเก็บได้..ส่วนเสื้อผ้าที่เขาบอกว่าฝากไว้ก่อนจะมาเอาคืนพร้อมกับใช้หนี้ให้ ก็จะซักลงน้ำยาปรับผ้านุ่มรีดเก็บไว้ให้เรียบร้อย เวลานับแต่นี้ไปคงได้วัดใจกันว่าเขาคนนั้นเป็นคนดีมีสัจจะหรือไม่



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2554, 11:32:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2554, 11:32:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1709





<< 5 งาน y+ ศาสนา (อย่างแรง ๆ))   7. >>
manida 4 พ.ค. 2554, 20:04:05 น.
สอดแทรกเกร็ดความรู้เิชิงธรรมะไว้ด้วย เยี่ยมค่ะ


อมลลดาOWOอมรรัตน์ 30 พ.ค. 2554, 14:29:41 น.
หนุก ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account