รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 2

ทันทีที่หญิงสาวก้าวพ้นประตูลิฟต์ออกมา เสียงกริ่งจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กก็ดังรัวขึ้น และดังนานต่อเนื่องอยู่อย่างนั้นราวกับจะประท้วงเจ้าของที่ไม่ยอมละมือมารับโทรศัพท์เสียที

ปัดโธ่เอ๊ย ! ใครมันเสือกโทรมาตอนนี้วะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันยังไม่มีมือไหนว่างพอจะล้วงโทรศัพท์ออกมารับสายได้ตอนนี้ เดี๋ยวค่อยโทรมาใหม่ทีหลังได้มั้ยยะ
มัชฌิมาบ่นกระปอดกระแปดอยู่กับตัวเองขณะที่กำลังพยายามไขประตูห้องชุดให้เปิดออกไวๆ หล่อนจะได้เอาข้าวของที่กระหน่ำช้อปมาไปโยนทิ้งไว้ที่มุมห้องตรงไหนสักที่เสียที

โอย...หนักเป็นบ้า ของกินอะไรวะ หนักชิบเป๋ง เจ้าตัวถึงบ่นออกมาเบาๆ หลังจากที่วิ่งถลาเอาถุงเครื่องกระป๋องและขนมนมเนยทั้งหลายทั้งปวงไปวางทิ้งไว้บนโต๊ะกินข้าวก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็เดินตัดห้องนั่งเล่นไปยังห้องนอนที่เปิดประตูทิ้งเอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจโยนถุงพลาสติกสีสวย เนื้อดีอีกหลายใบให้ลงไปนอนกองอยู่ในที่เดียวกัน บนเตียงนอนสปริงหนานุ่มขนาดคิงไซส์ของหล่อนนั่นเอง

เฮ้อ... อีตอนช้อปก็สนุกดีอยู่หรอก แต่อีตอนหอบนี่เหนื่อยชะมัด มัชฌิมานึกขณะบีบนวดลำแขนตัวเองอยู่ไปมาพอให้หายเมื่อย แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกหนหนึ่ง

โอเค ถ้ารู้จักโทรมาตอนหล่อนมือว่างๆ อยู่อย่างตอนนี้ ก็คงจะได้คุยกันไปนานแล้วล่ะ

“ฮัลโหล..” เพียงแค่มัชฌิมากรอกเสียงลงไป

“ฉันโทรหาหล่อนตั้งนาน ทำไมไม่รู้จักรับสายยะ หูแตกหรือยังไง หรือว่าเดี๋ยวนี้โง่เสียจนกดรับโทรศัพท์ไม่เป็นแล้ว...” ปาจารีย์ใส่กลับมาเป็นชุด จนหล่อนต้องรีบเบรกเสียก่อนที่จะหูชาไปมากกว่านี้

“หยุ้ดดดด...”

“ไปกินรังต่อ รังแตนจากไหนมายะ มาถึงก็ใส่เอาใส่เอาแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็ขวัญบินกันพอดี ช่วงนี้ยิ่งขวัญอ่อนๆ อยู่ด้วย” มัชฌิมาแสร้งทำเป็นต่อว่าตอนท้ายเสียงอ่อย

“แหม แม่คนขวัญอ่อน ถ้าอย่างเธอขวัญอ่อน ที่เหลือก็คงกระหม่อมเหลวกันหมดแล้วล่ะมั้ง” ยัยปอดันรู้ทันเลยย้อนกลับมาอย่างไม่ยอมลดละ

“เอ้า แล้วตกลงมีธุระอะไรกับฉันนักหนายะ เห็นโทรจิกมาตั้งสิบกว่าคอลแล้ว”

“อ้อ นี่รู้ด้วยเหรอว่าฉันโทรหาหล่อนมาตั้งเป็นสิบ ยี่สิบครั้งเข้าไปแล้ว ขอบใจนะยะที่รู้ แต่อุตส่าห์ไม่ยอมรับสายน่ะ”

“เออน่า... ก็ฉันไม่ว่างตอนที่แกโทรมานี่นา เอาเป็นว่าฉันขอโทษก็แล้วกันนะ แกเลิกบ่นเสียทีเถอะ” พอเห็นว่ายัยปอทำเหมือนจะไม่ยอมหายเคืองกันง่ายๆ มัชฌิมาก็ยอมเป็นฝ่ายขอโทษเสียเอง

“แล้วแกทำอะไรอยู่ ถึงบอกว่าไม่ว่าง อย่าบอกนะว่าไปเดท”

“อ๋อ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่บอกแกหรอกว่าออกไปเดทมาน่ะ เพราะว่าจริงๆ แล้วฉันไปช้อปปิ้งมาต่างหาก” มัชฌิมาบอกเพื่อนเสียงเริงร่า อันที่จริงหล่อนเองก็พอจะรู้อยู่แล้วละนะว่าแม่เพื่อนรักจะโทรมาเฉ่งเรื่องอะไร หล่อนก็เลยแกล้งทำเป็นโยกโย้ ถ่วงเวลาไปอย่างนั้นเอง อีกอย่าง นานๆ ได้กวนประสาทยัยปอเล่นสักทีก็สนุกดีอยู่เหมือนกัน

“เป็นยังไง ถึงกับอึ้งไปเลยเหรอแก” มัชฌิมาถามกลั้วเสียงหัวเราะ

“มีอะไรตลกตรงไหนยะ” ปาจารีย์ต่อว่ากลับมาเสียงเขียว

“ฉันแค่จะโทรมาถามแกว่า แกเลิกกับยศพลแล้วจริงหรือเปล่า” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเครียดในประโยคหลัง

“ทำไม อีตายศพลเขาวิ่งแจ้นไปฟ้องแกหรือยังไง” มัชฌิมาแกล้งทำเป็นไม่พอใจ ไอ้มุขเบี่ยงประเด็นอย่างนี้หล่อนถนัดนัก

“ไม่ใช่ประเด็นเลยนะ มัช แกตอบคำถามฉันมาดีกว่า”

ก็อย่างว่า... ใช้มุขพวกนี้กับพวกเดียวกันทีไร เป็นต้องโดนรู้ทันไปเสียทุกทีสิน่า ยิ่งกว่าไก่เห็นตีนงูอย่างที่คนเขาชอบเปรียบกันเสียอีก

“เออ... ก็เลิกไปแล้ว อย่างที่แกรู้นั่นแหละ” สุดท้ายจำเลยก็ต้องยอมรับสารภาพไปเสียงอ่อน - อ้อนเลยทีเดียว

“เฮ้อ... ฉันจะทำยังไงกับแกดีนะ ยัยมัช” สุดท้ายปาจารีย์ก็ได้แต่ทำเสียงเหนื่อยอกเหนื่อยใจใส่กันเท่านั้นเอง

“แกไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ แค่ปล่อยให้ฉันเหี่ยวแห้งคาคานทองไปตามประสาป้าแก่ๆ ที่มีความสุขกับชีวิตคนหนึ่งก็พอแล้ว” เจ้าหล่อนบอกเหมือนพูดเล่น

“จริงๆ นะปอ ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขกับชีวิตดีอยู่แล้ว” แต่ใจจริงก็หมายความตามนั้น

“เฮ้อ ฉันไม่อยากจะเถียงกับแกเรื่องนี้หรอกนะ มัช”

“ฉันรู้ว่าแกเก่ง แกเข้มแข็ง แกอยู่ด้วยตัวเองได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร...”

“แต่แกจะเชื่อฉันอย่างหนึ่งไหมว่า แกมีความสุขได้มากกว่านี้นะ มัช”

”ถ้ามีใครสักคนที่แกรักเขา แล้วเขาก็รักแก... ถ้าเพียงแต่แกจะเปิดใจรักใครเสียบ้าง”

“ฉันอยากให้แกเชื่อถือในความรักอีกสักครั้งนะ ยัยมัช ไม่ใช่มองความรักเหมือนเป็นแค่ของเล่นชั่วคราว
รับเข้ามาแล้วก็โยนทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้” ปาจารีย์พยายามโน้มน้าวใจเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยแกมขอร้อง

“ฉันขอบใจนะปอ ที่แกเป็นห่วง...”

“แต่แกจะเชื่อฉันอย่างหนึ่งได้ไหมว่า ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดีแล้ว” พอมัชฌิมายืนยันกลับไปอย่างนั้น
ปาจารีย์ก็เงียบไปพักใหญ่ สงสัยจะงอนอยู่

“เอาน่า... ถ้างั้นเอาเป็นว่า คราวหน้าถ้ามีเหยื่อหล่อล่ำหลงมาอีก ฉันจะไม่ปฏิเสธแกเลยสักคำ จะยอมทำตัวเชื่องๆ ให้แกจับใส่พานถวายให้เขาเลย แล้วก็จะไม่เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนด้วย พอใจหรือยัง”

“ขอให้จริงอย่างปากว่าเถอะแก ถึงเวลานั้นแล้วอย่าดีแต่ปากก็แล้วกัน” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วปาจารีย์ก็ยอมวางสายไปในที่สุด

เฮ้อ... ไม่รู้ว่ายัยปอจะกังวลกับสถานภาพโสดไม่เสร็จของหล่อนไปอีกถึงไหน บอกไม่รู้จักกี่ทีแล้วว่าอยู่คนเดียวได้ ทำไมไม่ยอมเชื่อฟังกันบ้างก็ไม่รู้ หมดจากยศพลไปอีกคนแล้ว คราวนี้ยัยปอจะไปหาใครที่ไหนมายัดเยียดให้หล่อนต่อไปก็ไม่รู้ นี่ถ้าไม่ติดว่าหล่อนรู้ตัวเองดีว่าเป็นคนสวย มัชฌิมาคงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวว่าทำไมผู้ชายพวกนั้นถึงได้ยอมตกเป็นเหยื่อให้ปาจารีย์จูงจมูกมาประเคนหล่อนได้ง่ายดายนัก

หรือว่าสันดานผู้ชายก็เที่ยวไปรักใครได้ง่ายๆ อย่างนี้เอง !

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

ภาณุวัฒน์กดทีวีไล่สลับช่องไปมาอย่างเบื่อๆ ในมืออีกข้างยังคงถือแก้วจางน้ำสีอำพันค้างไว้ ในขณะที่ขวดเหล้าบนโต๊ะเล็กด้านหน้าพร่องไปแล้วเกือบครึ่ง ชายหนุ่มถือรีโมทเตรียมกดเปลี่ยนช่องค้างไว้นิ่งนานเกือบนาที สายตาที่จับจ้องอยู่กับภาพเคลื่อนไหวเบื้องหน้าเต็มไปด้วยแรงอารมณ์หลากหลายที่ตีกันอยู่ยุ่งเหยิงจนแทบแยกไม่ออก

ภาณุวัฒน์มองดูพรีเซนเตอร์สาวในโฆษณาอาหารเสริมบำรุงผิวตัวนั้นด้วยความรู้สึกทั้งรักและเจ็บปวด แล้วสุดท้ายก็เลยตัดใจกดปิดทีวีทิ้งไป ทั้งห้องนั่งเล่นยามนี้จึงมีเพียงแสงสลัวที่เล็ดลอดออกมาจากประตูห้องครัวเท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างอยู่

พิมพ์ตา... เธอจะตามหลอกหลอนพี่ไปอีกถึงไหน

มันเป็นอารมณ์ที่ยากจะบรรยายให้ใครเข้าใจได้ทั้งหมด ทุกครั้งที่เห็นภาพของพิมพ์ตา ไม่ว่าจะเป็นจากจอโทรทัศน์ นิตยสาร หรือกระทั่งตามคอลัมน์ซุบซิบ กระเซ้าเหย้าแหย่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ชายหนุ่มเป็นต้องหวนกลับไปนึกถึงภาพเด็กสาวผมเปียที่เติบโตขึ้นมาเคียงข้างเขา เด็กสาวที่วิ่งไล่ตามเขาไปทั่วทุกที่

...แววตากลมโตแสนบริสุทธิ์ที่เฝ้ามองเพียงแต่เขา เป็นดังภาพคุ้นตาที่พิมพ์ประทับลงในหัวใจของชายหนุ่มมาเนิ่นนานนัก

แววตากลมโตแสนบริสุทธิ์ที่เฝ้ามองเพียงแต่เขา แต่บัดนี้กลับกลายไปเป็นของใครอีกคน !

“พี่ใหญ่คะ...” ชายหนุ่มยังจำได้ดี วันที่หญิงสาวมาบอกความจริงบางอย่างกับเขาพร้อมน้ำตานองใบหน้า

“ลูกแพร์ขอโทษ” มือบางที่วางทาบบนมือเขาบีบแน่นขึ้นก่อนจะคลายออก

“ลูกแพร์เสียใจ... แต่ลูกแพร์รักเขา”

... แต่ลูกแพร์รักเขา ชายหนุ่มมองดูแพขนตาชุ่มน้ำสีดำสนิทแล้วรู้สึกเหมือนถูกน็อค เขาเสียใจจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่เลยทีเดียว

“พี่ใหญ่ ลูกแพร์ขอโทษจริงๆ พี่ใหญ่โกรธลูกแพร์หรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามด้วยท่าทีที่ไม่ใคร่จะมั่นใจในตัวเองนัก

โกรธหรือ… ไม่หรอก เขารู้สึกแทบกระอักเลยเชียวล่ะ

“พี่ใหญ่คะ พี่ใหญ่พูดอะไรกับแพร์หน่อยสิคะ อย่าทำกับแพร์แบบนี้ อย่าเอาแต่นั่งเงียบแบบนี้” หญิงสาวจับแขนชายหนุ่มเขย่าอยู่เป็นนานกว่าเขาจะรู้สึก

ภาณุวัฒน์มองคนนั่งน้ำตานองอยู่ตรงหน้าด้วยความงุนงงคล้ายคนเพิ่งตื่นจากฝันร้ายที่กำลังสับสน ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตื่นหรือยังคงฝันอยู่กันแน่

เขาเอื้อมมือไปเช็ดรอยรื้นออกจากขนตางอนงามที่เปียกชุ่ม ค่อยๆ ไล้นิ้วหัวแม่มือผ่านไปเบาๆ อย่างทะนุถนอม แล้วมือใหญ่ก็ประคองดวงหน้านวลนิ่มไว้อย่างนั้น ชายหนุ่มรู้ตัวแล้วล่ะว่านี่ไม่ใช่แค่ความฝัน

“ลูกแพร์ไม่ต้องเสียใจไปหรอกนะ ...พี่เข้าใจ” เขามองลึกลงไปในดวงตากลมโตคู่นั้น ดวงตาที่เคยเฝ้ามองแต่เขาด้วยความรักเสมอมา หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาช้าๆ ชายหนุ่มเช็ดมันออกให้อีกครั้งก่อนจะละมือออกมาจากใบหน้างดงามนั้น

“แพร์ไปเถอะ พี่เข้าใจดีแล้ว” ภาณุวัฒน์กลั้นใจบอกอีกครั้งก่อนจะหันหลังให้กับหญิงสาวที่เขารักมากที่สุด หันหลังเพื่อให้เธอเดินจากไปกับใครอีกคนที่ตอนนี้เธอรักได้มากกว่าเขานัก

และเมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ร่างบางที่เคยคลอเคลียชิดใกล้ก็จากเขาไปเสียแล้ว

เพราะอะไร ทำไม... ชายหนุ่มยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้แม้ในเวลานี้ จริงๆ แล้วเขาไม่เคยเข้าใจหรอก ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมพิมพ์ตาจะต้องทิ้งเขาไปด้วย ทำไมพิมพ์ตาจะต้องหนีไปรักคนอื่น ทำไมพิมพ์ตาจะต้องไปรักไอ้หมอนั่นแทนเขาด้วย

ภาณุวัฒน์ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆ

แก้วเหล้าในมือถูกเติมเต็มครั้งแล้วครั้งเล่า เติมลงไปแล้วก็จางหายเหมือนกับตัวเขาเองที่ไม่สามารถเติมเต็มหัวใจตัวเองได้อีกแล้ว นับแต่วันที่พิมพ์ตาได้เดินออกจากชีวิตเขาไปในวันนั้น

ถ้าเพียงแต่เขายอมยื้อยุดฉุดเธอไว้ บางทีเธออาจจะไม่จากเขาไปก็ได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อหัวใจเธอยอมเป็นของคนอื่นไปเสียแล้ว ! ชายหนุ่มคิดอย่างขมขื่น

ถ้าเพียงแต่วันนั้น เขาไม่สนับสนุนให้พิมพ์ตาลองเข้าไปเทสต์หน้ากล้อง ไม่สนับสนุนให้เธอไปถ่ายงานโฆษณา พิมพ์ตาของเขาก็คงจะเป็นแค่เด็กสาวธรรมดา ไม่ใช่ดาราสาวดาวรุ่งที่มีแฟนเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาชื่อดังอย่างตอนนี้ บางทีเธออาจจะยังอยู่กับเขาต่อไปก็ได้

“ลูกแพร์รักพี่ใหญ่นะคะ”

เขายังจำวันที่แม่สาวน้อยจอมแก่แดดมายืนแก้มแดงยามสารภาพความในใจกับเขาได้อยู่เลย จำได้แม้กระทั่งกลิ่นลมทะเลอ่อนๆ ที่พัดไหวมาพร้อมกลิ่นดอกรักอวลอุ่นในหัวใจอย่างไม่มีวันจางหมด

“พี่ใหญ่ต้องรักลูกแพร์คนเดียว มีลูกแพร์คนเดียว แล้วก็ห้ามมองคนอื่นอีกเด็ดขาด ถ้าไม่อย่างนั้นลูกแพร์จะอาละวาดให้น่าดูเลยเชียว”

แม่สาวน้อยของเขาวางท่าขู่ฟ่อหลังจากที่เขาตกปากรับฝากคำรักที่เจ้าหล่อนหอบมาให้และพร้อมจะยกหัวใจทั้งดวงให้เจ้าหล่อนกลับคืนไปด้วยเช่นกัน

“ลูกแพร์ก็จะไม่มองใครอีกเหมือนกัน”

“ลูกแพร์จะรักพี่ใหญ่ของลูกแพร์ตลอดไป…”

“ลูกแพร์สัญญา ลูกแพร์จะไม่รักใครอีกเลย”

ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงช้าๆ พยายามจะลบภาพแววตามุ่งมั่นและอ่อนหวานของใครบางคนในวันนั้นออกไปเสียบ้าง

บางครั้งคำสัญญาของผู้หญิงก็ไม่มีความหมายอะไรให้เชื่อถือได้เลยสักนิด มานั่งนึกเสียใจตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร... ชายหนุ่มเทเหล้าลงคอไปอีกหนหนึ่ง






ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ค. 2555, 21:36:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ค. 2555, 21:46:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1434





<< ♥ บทที่ 1    ♥ บทที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account