รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 3

สายแล้ว สายแล้ว... มัชฌิมายกนาฬิกาข้อมือเรือนบางขึ้นมาดูเวลาอีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งถลาไปยังลิฟต์ตัวแรกสุดในบรรดาลิฟต์ทั้งสิบตัวที่ยืนเรียงกันอยู่ ลิฟต์ตัวแรกที่ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะพาหล่อนขึ้นไปยังชั้นที่สิบเจ็ดของอาคารสำนักงานย่านใจกลางกรุงแห่งนี้ อันเป็นชั้นที่ตั้งของกองบรรณาธิการนิตยสารผู้หญิงระดับแถวหน้าฉบับหนึ่ง

อารามรีบร้อน กลัวไปไม่ทันประชุมกองบรรณาธิการ มัชฌิมาจึงไม่ทันได้ระวังว่าตัวเองอาจจะพุ่งเข้าลิฟต์เร็วเกินไปจนพลาดไปเหยียบเอารองเท้ามันปลาบของใครบางคนเข้าอย่างจัง แถมยังเสียหลักเซไปซบเจ้าของรองเท้าคู่งามนั่นเข้าอีกต่างหาก
ความจริงจะเรียกว่าเซไปซบก็คงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าเสียหลักไปกระแทกจะถูกกว่า

“ขอโทษนะคะ คือฉัน...” หล่อนรีบละล่ำละลักขอโทษขอโพยเจ้าของรองเท้าผู้โชคร้ายทันทีที่เริ่มทรงตัวได้ แต่ยังไม่ทันพูดได้จบคำดี เขาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“รู้จักระวังหน่อยสิคุณ”

“เที่ยววิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้เหยียบใครตายเข้าสักวันหรอก”

มัชฌิมามัวแต่ตะลึงกับความปากร้ายเหนือความคาดหมายของผู้ชายตรงหน้า ยังไม่ทันนึกว่าควรจะตอบโต้กลับไปยังไงให้สาสม อีตาผู้ชายปากร้ายนั่นก็ก้าวยาวๆ ออกจากลิฟต์ไปเสียก่อนแล้ว มัชฌิมาเลยทำได้แค่ส่งสายตาอาฆาตตามไปติดๆ ชนิดว่าถ้าสายตาคมวาวของหล่อนเป็นมีดปาเป้า รับรองได้เลยว่าป่านนี้แผ่นหลังของภาณุวัฒน์คงพรุนเป็นรูไปหมดแล้ว

หน็อย... แค่เผลอเหยียบเท้าเข้าหน่อย ทำปากเสีย แม่ไม่เหยียบปากมอมๆ เข้าให้ก็บุญเท่าไหร่แล้วยะ มัชฌิมานึกแค้นเคืองอยู่ในใจก่อนจะหันไปส่งยิ้มจืดเจื่อนให้กับเพื่อนร่วมลิฟต์อีกสี่ห้าคนที่เหลือ บางคนทำหน้าเหมือนเห็นใจ ส่วนบางคนก็กลั้นรอยยิ้มหัวเอาไว้แทบไม่อยู่

ทันทีที่ไฟกระพริบเตือนว่าถึงชั้นที่สิบเจ็ด มัชฌิมาเป็นคนแรกที่รีบจ้ำอ้าวออกจากลิฟต์ไปเลยทีเดียว

“อ้าว เจ๊มัช ทำไมวันนี้มาสายได้ล่ะฮ้า”

“เดี๋ยวก็โดน...กินหัวเอาหรอก วันนี้ประชุมกองฯ นี่” นังพริซ หรือชื่อเต็มๆ ว่านังพริซซิลล่า ช่างแต่งหน้า กายเป็นชาย หัวใจเป็นสาวประจำกองฯ จีบปากจีบคอร้องทักมาตั้งแต่มัชฌิมายังผลักประตูบานกระจกแผ่นหนาเข้ามาได้เพียงแค่ครึ่งตัวเท่านั้น

“ก็ตื่นสายน่ะสิยะ นาฬิกาดันไม่ปลุก” เจ้าหล่อนจีบปากจีบคอตอบกลับไปอย่างไม่ยอมให้น้อยหน้า หลังจากที่ก้าวยาวๆ เอาสัมภาระไปกองไว้ที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเองเรียบร้อยแล้ว

“นาฬิกาไม่ปลุก หรือปลุกแล้ว แต่เจ๊ขี้เกียจ ไม่ยอมตื่นเองกันแน่” นังพริซทำเป็นมองมายิ้มๆ แววตาบอกว่ารู้เท่าทันหล่อนทุกอย่าง

“แล้วหล่อนจะซักเอาอะไรจากฉันยะ” มัชฌิมาหันไปทำตาเขียวใส่

“คนยิ่งรีบๆ อยู่ด้วย มัวแต่เสียเวลาตอบคำถามพิรี้พิไร เดี๋ยวนายเหนือหัวของหล่อนก็โดดออกมากินหัวฉันเข้าจริงๆ หรอก” หล่อนจงใจเน้นตรงคำว่านายเหนือหัวเป็นพิเศษก่อนจะรีบคว้าออร์แกไนเซอร์กับปากกาคู่ใจวิ่งตรงไปยังห้องประชุม

“มัชฌิมา ฉันลืมบอกเธอไปหรือเปล่าว่า ฉันไม่ชอบคนมาประชุมสาย”
ทันทีที่มัชฌิมาเปิดประตูห้องเข้าไปก็แทบจะต้องยืนแข็งตายกับสุ้มเสียงเย็นชา เข้มงวดราวกับคุณครูหัวโบราณจอมเฮี้ยบ น้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยากยิ่งต่อการลอกเลียนแบบของทิพย์วรรณ บรรณาธิการบริหารที่เสริมความใหญ่ด้วยการควบตำแหน่งกรรมการผู้จัดการด้วยอีกอย่าง

“ขอโทษค่ะ คุณทิพย์” มัชฌิมาบอกเสียงสุภาพก่อนจะเดินตรงไปนั่ง แค่คำขอโทษสั้นๆ ง่ายๆ คำเดียวจบ เพราะทิพย์วรรณ หรือคุณทิพย์แสดงออกชัดเจนเสมอว่าไม่ต้องการรับฟังเหตุผลหรือคำแก้ตัวยืดยาวใดๆ ถ้ามันไม่ได้ช่วยแก้ไขให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ดีขึ้นมาได้

“วันนี้ วันที่เท่าไหร่” เห็นชัดว่าคำถามนี้มุ่งตรงมาที่หล่อน มัชฌิมาจึงตอบกลับไปทั้งที่ยังนึกสงสัยอยู่ว่าคุณทิพย์จะมาไม้ไหนกับหล่อนกันแน่

“ สิบสาม มกราฯ ค่ะ ...คุณทิพย์” หล่อนเกือบลืมไปแล้วเชียวว่าเวลาพูดกับคุณทิพย์ ต้องลงท้ายทุก
ประโยคว่าคุณทิพย์ คุณทิพย์ และคุณทิพย์

“แล้วเดือนหน้า เดือนอะไร”

เอ๊า ! ถ้าเกิดเดือนนี้เป็นเดือนมกราฯ เดือนหน้าก็ต้องเดือนกุมภาฯ น่ะสิยะ ง่ายๆ แค่นี้ จะถามเอาพระแสงขรรค์อะไรไม่ทราบ

“เดือนกุมภาฯ ค่ะ คุณทิพย์”

“แล้วเดือนกุมภาฯ มีความสำคัญยังไง”

โอย อยากจะบ้า เมื่อไหร่ยัยคุณทิพย์โรคจิตนี่จะเลิกจิกสาวน้อยผู้บอบบางอย่างฉันเสียทีเนี่ย... มัชฌิมาส่งสายตาเป็นประโยคประมาณนี้กับเพื่อนร่วมห้องประชุมกองฯ หฤหรรษ์

“เดือนกุมภาฯ เป็นเดือนแห่งความรักค่ะ คุณทิพย์”

“บิงโก! เดือนหน้าเป็นเดือนแห่งความรัก” คุณทิพย์พูดขึ้นมาเหมือนโล่งอกโล่งใจนักหนาที่ฉันไม่ได้โง่เง่าอย่างที่กำลังคิด มัชฌิมานึกแล้วก็เริ่มจี๊ดขึ้นสมองมานิดๆ

“ทีนี้ ลองมาดูกันหน่อยสิว่า พวกเธอแต่ละคนมีไอเดียอะไร ดี - ดี ” คุณทิพย์หยุดเน้นเสียงที่คำๆ นี้เป็นพิเศษ ก่อนจะต่อประโยค ”มาเล่าให้ฉันฟังบ้าง”

“เริ่มที่เธอก่อนเลยก็แล้วกัน มัชฌิมา”

“ไหนลองบอกฉันหน่อยสิว่าเธอมีแผนจะทำอะไรกับสอง - สามคอลัมน์ที่เธอทำอยู่ตอนนี้บ้าง” คุณทิพย์พยักพเยิดมาทางฉันพร้อมรอยยิ้มทิ้งท้าย สาบานได้เลยว่า นั่นน่ะ รอยยิ้มของนางมารเลยชัดๆ !

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥


“ฮัลโหล ยัยปอเหรอ” มัชฌิมาต่อสายหาเพื่อนรักทันทีที่ทำได้

“ฉันเคยบอกแกไปหรือยังนะ ว่าฉันเกลียดยัย บก.บห. ควบกรรมการผู้จัดการของฉันมากแค่ไหน” และทันทีที่ปาจารีย์รับสาย เจ้าหล่อนก็ระบายอารมณ์แค้นเคืองใจด้วยประโยคนี้

“แสดงว่าวันนี้เป็นวันประชุมกองฯ ล่ะสิท่า” เสียงปาจารีย์พูดกลั้วหัวเราะมาตามสาย

“ก็ใช่น่ะสิยะ โอ้ย ฉันอยากจะบ้า ถ้าขืนฉันต้องเจอกับหล่อนมากกว่าเดือนละสองครั้ง มีหวังฉันต้อง
ประสาทกินตาย หรือไม่ก็ต้องลาออกจากงานไปให้ผัวหาเลี้ยงแล้วแน่ๆ ” คราวนี้ปาจารีย์หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเก่า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะแกนะ”

“แล้วไอ้ที่บอกว่าจะออกจากงานไปให้ผัวหาเลี้ยงน่ะ แกหา... ได้แล้วเหรอ”

“ไม่ต้องมาทำเสียงเยาะเย้ยฉันเลยนะแก คนอย่างมัชฌิมา ถ้าจะเอาจริงๆ น่ะเมื่อไหร่ก็ได้ แค่กระดิกนิ้วหน่อยเดียว ขี้คร้านจะวิ่งตามมาเป็นพรวนแล้ว” เจ้าหล่อนทำเป็นบอกด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ ชนิดที่กล้าพนันได้เลยว่าจะต้องทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินเกิดความหมั่นไส้ได้แน่ๆ

“ขนาดนั้นเลย” ยัยปอทำเสียงสูงใส่เหมือนไม่ใคร่อยากจะเชื่อถือ

“ผู้ชายนะยะ ไม่ใช่หมาที่แค่กระดิกนิ้วเรียกก็จะวิ่งมาหาหล่อนเป็นพรวนน่ะ”

“เออ มันก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ”

“ว่าแต่กลางวันนี้ แกจะมากินข้าวกับฉันหรือเปล่าเนี่ย”

ด้วยความที่ทั้งสองคนทำงานอยู่ตึกเดียวกัน แม้จะคนละบริษัท แต่ก็ห่างกันเพียงแค่สองชั้น ดังนั้นถ้า
หากว่าวันไหนไม่ติดธุระอะไร ทั้งสองสาวก็จะออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเสมอ นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งด้วยก็ได้ที่ทำให้ทั้งปาจารีย์และมัชฌิมาสนิทสนม เป็นห่วงเป็นใยกันมาตลอด มากกว่าเพื่อนร่วมก๊วนร่วมแก๊งอีกสองคนที่เหลือ คือ อรอุษาและนราภัทร

“วันนี้ขอผ่านก่อนก็แล้วกัน ฉันมีนัดสำคัญซะด้วย”

ตอนที่ปาจารีย์วางสายไป เจ้าหล่อนไม่ได้แย้มพรายเลยสักนิดว่าไอ้นัดสำคัญที่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของมัชฌิมาเอง นัดสำคัญชนิดที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงแม่เพื่อนรักที่ยังไม่ยอมขายออกอยู่คนเดียวในกลุ่มไปทั้งชีวิตเลยทีเดียว !

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥


เรือนไม้หลังย่อมที่ปลูกอยู่ติดริมลำคลองสายเล็กๆ ดูน่าอยู่สบายขณะที่สายลมเย็นชื่นเวียนพัดผ่านมาเป็นระยะๆ อย่างเช่นยามเย็นเช่นยามนี้ ถัดไปไม่ไกลนัก เป็นที่ตั้งของบ้านเดี่ยวแบบโมเดิร์น สไตล์ หลังหนึ่ง ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตโอ่อ่าจนถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ แต่ก็ยังกว้างขวางกว่าเรือนไม้ริมน้ำอย่างเห็นได้ชัด

แต่ถึงกระนั้น คนในเรือนนี้ก็ยังพอใจที่จะอยู่บ้านไม้หลังเล็กหลังนี้ไปจนตายมากกว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหนๆ ต่อให้จะใหญ่โตหรือสะดวกสบายมากกว่ากันเพียงใดก็ตาม อย่างน้อยๆ ที่นี่ก็เป็นที่ที่เธอและคนที่เธอรักอาศัยอยู่ด้วยกันมาตลอดช่วงชีวิต

ตอนที่ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าชานบ้าน คุณประไพพิศกำลังง่วนอยู่กับการจับจีบช่อม่วงให้ได้รูปสวยก่อนจะให้เด็กเอาไปเข้าลังถึงไว้สำหรับเป็นของกินเล่นเย็นนี้อยู่พอดี

“อ้าว ตาใหญ่ ทำไมวันนี้ถึงกลับบ้านไวได้ล่ะลูก” คุณประไพพิศร้องทักลูกชายคนโตที่เดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ พร้อมกับโอบรอบเอวเป็นเชิงประจบ

“ก็ใหญ่คิดถึงแม่ไงครับ วันนี้ก็เลยรีบกลับบ้านมากินข้าวกับแม่ตั้งแต่หัววันเลย” ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อนราวกับยังคงเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยที่ช่างฉอเลาะ จนคนเป็นแม่ได้แต่ยิ้มด้วยความเอ็นดูและชื่นใจอยู่ในอก

“อย่ามาทำเป็นปากหวานกับคนแก่หน่อยเลย วันนี้ไม่มีสาวๆ ให้กินข้าวด้วยล่ะสิ ถึงได้เกิดคิดถึงแม่ขึ้นมาได้” หลุดปากออกไปแล้ว คุณประไพพิศก็ได้แต่นึกโมโหตัวเองที่พลั้งเผลอไปเช่นนั้น นางสังเกตเห็นว่าแววตาของลูกชายดูหม่นไหวไปครู่หนึ่ง

“ก็คงอย่างนั้นล่ะฮะ” ภาณุวัฒน์แค่นยิ้มยอมรับความจริงไปแกนๆ

“ก็ใหญ่ยังไม่เห็นมีใครรักใหญ่จริงเหมือนอย่างที่แม่รักเลยนี่นา” ชายหนุ่มแกล้งกอดมารดาแรงๆ หนึ่งครั้งก่อนจะคลายออก ถ้าหากทำได้ เขาก็ไม่อยากให้มารดาต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ไปกับเขาด้วยเลยสักนิด

“ใหญ่ ตัดอกตัดใจบ้างเถอะลูก” นางว่าพลางลูบหลังลูบไหล่ลูกชายเป็นเชิงปลอบ

“คิดเสียว่าเขาไม่ใช่คู่ของเราก็แล้วกันนะลูกนะ”

“แม่เชื่อว่าสักวัน ใหญ่ของแม่จะต้องได้เจอผู้หญิงที่รักใหญ่ แล้วใหญ่ก็รักเขาได้อีกแน่ๆ”

“เออ พูดแล้วก็นึกขึ้นมาได้” คุณประไพพิศทำท่าดีใจเหมือนเพิ่งคิดอะไรดีๆ ออก

“ใหญ่ จำได้หรือเปล่าที่แม่เคยบอกเราว่าลูกสาวคุณน้าดารารายกลับมาอยู่บ้านแล้วน่ะ” ชายหนุ่มมองแววตาที่เต็มไปด้วยประกายความหวังของมารดาก่อนจะถามต่อ

“แม่หมายถึง น้องริน ยัยเด็กขี้งอแงที่เคยอยู่ข้างบ้านเราน่ะเหรอครับ”

“ใช่ๆ ยัยหนูรินนั่นแหละ เดี๋ยวนี้น้องเขาโตเป็นสาวแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว โตขึ้นมาหน้าตาสะสวยเหมือนคุณดารารายไม่มีผิด” นางเว้นจังหวะดูทีท่าลูกชายก่อนจะเล่าต่อ

“วันก่อน แม่เจอเขาที่บ้านคุณน้า น้องยังบ่นคิดถึงใหญ่อยู่เลยนะลูก”

“แม่ว่า วันหลังเราชวนน้องเขามาทานข้าวกับเราบ้างดีกว่า ใหญ่ว่าดีมั้ยลูก”

ชายหนุ่มเห็นท่าทางเปี่ยมไปด้วยความหวังของมารดาแล้วก็ไม่อยากจะหักหาญน้ำใจให้เด็ดขาด ถึงแม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีทางตกหลุมรักยัยน้องรินจอมงอแงอย่างที่มารดากำลังคาดหวังและวางแผนอยู่แน่ๆ

“ก็แล้วแต่แม่แล้วกันครับ ใหญ่ยังไงก็ได้” ชายหนุ่มตอบเรื่อยๆ แต่ยิ้มให้มารดาในตอนท้าย

“ถ้าอย่างนั้น แม่จะชวนน้องเขามาวันพรุ่งนี้เลยนะลูก ใหญ่ติดธุระที่ไหนหรือเปล่า” พอชายหนุ่มมองเห็นแววตานักผจญภัยที่กำลังตื่นเต้นเหมือนเจอเรื่องสนุกของมารดาเข้าแล้วก็ไม่อยากขัด

“พรุ่งนี้ก็ได้ฮะ ยังไงใหญ่จะรีบกลับบ้านมาให้ทันทานข้าวเย็นก็แล้วกันนะครับ”

หลังจากตกปากรับคำกับมารดาไปแล้ว ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านใหญ่ที่ชายหนุ่มต้องอาศัยอยู่คนเดียวในตอนนี้ ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะสร้างเอาไว้เป็นเรือนหอ ภาณุวัฒน์ได้แต่นึกทอดถอนใจด้วยความอึดอัด เขารู้ดีเลยล่ะว่าสาเหตุที่มารดาเข้ามาวุ่นวาย พยายามจะชักนำผู้หญิงคนนั้น คนนี้มาให้เขารู้จัก ก็เพราะความเป็นห่วงในอาการซึมเศร้าของเขา ซึ่งเกิดมาจากพิมพ์ตาเป็นสาเหตุ

แต่ก่อนแต่ไรมา คุณประไพพิศไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของลูกชายเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะกับตาเล็กหรือตาใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องผู้หญิง เพราะนางถือคติว่าปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ แต่เมื่อเห็นอาการลูกชายคนโตเป็นเช่นนี้ นางก็ทนดูอยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ได้ คงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง

ตอนนี้ภาณุวัฒน์กำลังกลัดกลุ้ม เพราะเขารู้ตัวดีว่ายังไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะรัก หรืออยากรู้จักผู้หญิงที่ไหนอีก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากฝีมือของพิมพ์ตา ผู้หญิงที่เขารักมานานกว่าแปดปียังคงฝังรส ฝังรอยแน่นหนาเกินกว่าที่เขาจะกล้าหาเรื่องใส่ตัวได้อีก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธความหวังดีของมารดาอย่างไรดี เพราะกลัวเหลือเกินว่าอาการเบื่อขี้หน้าผู้หญิงของเขาจะพลอยทำให้มารดาไม่สบายใจตามไปด้วย แค่ลำพังเรื่องที่ตาเล็กสร้างไว้ให้ มารดาเขาก็ทุกข์ใจพออยู่แล้ว

ตาเล็ก หรือศุภวัฒน์ น้องชายเพียงคนเดียวของเขา ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนกับมารดาว่าจะมีคู่ชีวิตเป็นผู้ชาย ก่อนจะย้ายไปอยู่เมืองนอกกับเพื่อนชายชาวต่างชาติคนหนึ่งเมื่อต้นปีที่แล้ว แม้มารดาจะไม่เคยออกปากว่าอะไร แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าการตัดสินใจของตาเล็กทำให้มารดาเสียใจไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดก็ตามว่ามารดาเสียใจที่ตาเล็กมีคู่เป็นผู้ชาย เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้อุ้มหลาน หรือเสียใจที่ตาเล็กตัดสินใจไปอยู่ไกลบ้านกันแน่ ภาณุวัฒน์เคารพในการตัดสินใจของน้องชาย แต่ก็ตั้งปณิธานกับตัวเองแน่วแน่ว่าจะไม่มีทางทำให้มารดาต้องเสียใจเช่นนั้นอีก

แต่ถึงจะบอกกับตัวเองอย่างนั้น ตอนนี้ภาณุวัฒน์ก็ยังตรองไม่ตกอยู่ดีว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าหากเขาแสดงออกชัดเจนว่าตัวเองยังไม่คิดต้องการผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้นในเวลานี้ ก็กลัวเหลือเกินว่ามารดาจะหวั่นกังวลว่าเขาจะกลายเป็นแบบตาเล็กไปอีกคน

ถ้าหากเขาจะบอกมารดาไปตามตรงว่ายังไม่พร้อมสำหรับความรักครั้งใหม่ มารดาจะเข้าใจเขาหรือเปล่าก็ยังน่าสงสัย และชายหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจตัวเองอยู่ดีนั่นแหละว่าเขาจะตกอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน

บางที มันอาจจะเนิ่นนานจนกินเวลาไปตลอดทั้งชีวิตของเขาเลยก็ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง คุณประไพพิศ มารดาของเขาก็คงจะไม่วายทุกข์ใจอยู่เช่นเดิม

เขาควรจะทำอย่างไรดี

ภาณุวัฒน์คิดทบทวนกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหลับตาลงในคืนนั้น ชายหนุ่มบอกกับตัวเองว่า บางที เขาอาจจำเป็นจะต้องมีคู่หมั้นกำมะลอไว้สักคน คู่หมั้นกำมะลอที่ตกลงกันง่ายๆ คู่หมั้นที่เข้าใจและไม่คาดหวังว่าเขาจะต้องรักใคร่จริงจังอะไรด้วย

เขาต้องการแค่คู่หมั้นกำมะลอสักคนที่จะทำให้มารดาไม่ต้องกังวลใจกับอาการนึกเข็ดขยาดผู้หญิงขึ้นมากะทันหันของเขาเพียงเท่านั้นล่ะ














ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ค. 2555, 01:05:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ค. 2555, 01:05:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1445





<< ♥ บทที่ 2    ♥ บทที่ 4 >>
ณนวล 3 พ.ค. 2555, 01:06:55 น.
รอ comment จากเพื่อนๆ นักอ่านอยู่นะคะ อาจจะมีที่ไม่ค่อยลงตัวบ้าง ติชมกันเลยเต็มที่เลยนะ ^___^


ดาวคันชั่ง 3 พ.ค. 2555, 07:21:26 น.
แค่เหยียบเท้าไม่ถึงตายมั้งคะ คุณใหญ่


ไม้เอก 3 พ.ค. 2555, 16:06:01 น.
ปากร้ายกันทั้งคู่ขนาดนี้ ต้องกัดกันสนุกแน่ๆเลย :)


ณนวล 3 พ.ค. 2555, 17:39:34 น.
@ดาวคันคั่ง ...บางครั้งคนเราก็ทำ over act ไปได้เนาะ (หุหุ)
@คุณไม้เอก ขอบคณสำหรับ comment ละขอให้ติดตามกันต่อไปนะคะ ^__^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account