ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์

ตอน: 10. "สวยถูกใจแม่จังเลย"

10.

เมื่อเห็นว่าวิจิตรศรากำลังยุ่งอยู่กับลูกค้า เมขลาที่อาศัยรถของนรบดีกลับบ้าน ก็เชิญชวนให้นรบดีนั่งรออยู่ที่ชุดโต๊ะเก้าอี้หน้าร้าน เมื่อนรบดีนั่งแล้ว เมขลาก็เดินเข้ามาสั่งเครื่องดื่มให้เขา หลังจากนั้นก็ยิ้มต้อนรับคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี..

“มากับพี่เขาได้อย่างไร” วิจิตรศราถามเบา ๆ

“พี่เขาเพิ่งเข้าทำงานที่ตึกเดียวกัน วันนี้เจอกันหน้าลิฟท์ แล้วบ้านพี่เขาอยู่แถว ๆ นี้ เขาก็เลยชวนนั่งรถกลับมาด้วย พี่เขาสนใจสบู่กับโทนเนอร์ด้วยนะ..” ตอบวิจิตรศราแล้วเมขลาก็ขอตัวทั้งวิจิตรศรากับคนที่เคยมาดูดวงกันไปแล้วขึ้นชั้นบนเพื่อนำกระเป๋าขึ้นไปเก็บกับล้างหน้าให้สดชื่น..

สองผัวเมียที่นั่งรออาหารที่สั่งไปแล้วกับรอให้วิจิตรศราปิดการขายมองหน้ากัน และก็ต้องยิ้มบาง ๆ ให้กับเมขลาเมื่อเมขลายิ้มให้ ก่อนจะค้อมตัวเดินผ่าน..

“มารยาทถูกใจแม่จังเลย” คนเป็นแม่เอ่ยปากชมเบา ๆ กับตาพ่อ เมื่อวิจิตรศราหันไปคุยกับแขกกลุ่มที่มาทีหลัง

“แล้วไอ้หนุ่มที่มาด้วยกันนั่นละ ไม่ใช่คู่แข่งลูกของเรารึ” สีหน้าของตาพ่อดูมีกังวล เพราะถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว สาว ๆ สมัยนี้สนใจหนุ่มที่ดูภูมิฐานกว่าแน่นอน

“เรื่องหัวใจ มันก็ต้องมีคู่แข่งเป็นธรรมดา”

“หวังว่าลูกเราคงจะเอาชนะอุปสรรคได้”

“ลูกเราเก่งอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างแม่มั่นใจว่า อีตาคนนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ของหนูเมขลาหรอก”

“ตรงไหน”

“หน้าตา ไปคนละทางเลย”

“โบราณ”

“คอยดูต่อไปแล้วกัน..”

เมขลาลงมาจากชั้นบนหลังจากที่ขึ้นไปไม่ถึงห้านาที ใบหน้านั้นสดชื่นกว่าตอนที่พบครั้งแรก..เมขลายิ้มให้กับแม่ของกฤษณะอีกครั้งเพราะว่าครั้งนี้ฝ่ายที่นั่งอยู่พลางดมสบู่ยิ้มให้ก่อน

“เพิ่งมาร้านเราครั้งแรกใช่ไหมคะ” สัญชาตญาณของแม่ค้าย่อมทักทายลูกค้าหาเรื่องชวนคุย

“ครั้งแรกจ้ะ..”

“สบู่หอมไหมค่ะ ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะใช้แบบไหน”

“ตัดสินใจได้แล้ว หนูคนนั้นสรุปให้แล้ว” บนโต๊ะมีโทนเนอร์สองขวดสบู่มะเฟืองสองก้อนสำหรับฟอกหน้า สบู่ย่านางที่ฟอกทั้งตัวแล้วเย็นสดชื่นอีกสองก้อน..เป็นชุดที่ขายดีมาก เมขลายิ้มนิด ๆ ก่อนจะแนะนำเพื่อนและตัวเองว่า
“คนนั้นชื่อวิค่ะ ส่วนหนูหนูนา”

“เป็นอะไรกันเหรอ”

“เพื่อนกันค่ะ..เป็นหุ้นส่วนด้วย..” คุยกับคนแปลกหน้าไปสายตาของเมขลาก็มองไปยังหน้าร้านด้วย

“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ มีแขกรออยู่ที่หน้าบ้าน” แขกคนนั้นตอนนี้ วิจิตรศราเดินเข้าไปนั่งด้วยเรียบร้อย เพราะนอกจากจะปิดการขายสองผัวเมียที่ไม่เคยเห็นหน้าแล้ว วิจิตรศราก็ปิดการขายกลุ่มสาว ๆ ที่ตามมาทีหลังพร้อมทั้งจัดคิวดูหมอเรียบร้อยแล้วด้วย

เมื่อเดินออกไปหน้าร้านเมขลาก็ชะงักเท้าเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะยังไม่มีสบู่กับขวดโทนเนอร์ที่จะเสนอขายพี่นรบดี..

“ขายปากเปล่าก็ได้” วิจิตรศราร้องบอกเมื่อเมขลาวกกลับไปยกตะกร้าสินค้าที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียด้วยออกมา..

“ได้กลิ่นมาแต่ไกลเลย หอมมาก” เมขลาวางตะกร้าบนโต๊ะพลางนั่งลง นรบดีคนผมตรงหน้าตามีริ้วรอยสิวประปรายหยิบสบู่ก้อนสีเหลืองขึ้นมาดมทันที

“วิขายได้เยอะเลยพี่”

“ก็ของเขาดีนี่คะ”

“คนปรุงต้องชะตาด้วยหรือเปล่า” นรบดีแกล้งหยั่งเชิง..เพราะก่อนหน้านั้นเมขลาได้เล่าถึงที่มาของสบู่และโทนเนอร์ให้เขาฟังบ้างแล้ว..

“ด้วยค่ะ..”

“แล้วพี่ละ มีแฟนหรือยัง อุ้ยถามใหม่ดีกว่า แต่งงาน หรือมีเป็นตัวเป็นตนหรือยัง”

“ยังครับ ยังโสดสนิท”

“แฟนก็ไม่มี”

“ก็กำลังเรียนปริญญาโท ไหนจะทำงานอีก ยังไม่มีเวลาจะดูแลใคร แต่ก็ใกล้จบแล้ว ตอนนี้พี่ก็คิดว่า พี่น่าจะมอง ๆ ดูใครไว้บ้าง”

“แนะนำหนูนาเลยพี่”

“โอ้ยยยย อย่าเลยค่ะ หนูนาไม่มีวาสนากับพี่หรอก”

“เมื่อกี้พี่ได้ยินกลุ่มที่เพิ่งไป พูดถึงคิวดูดวง..พี่ตกข่าวอะไรเกี่ยวกับเราสองคนไปหรือเปล่า”

“น่าจะตกนะ เพราะพี่เรียนจบออกไปก่อนที่หนูนาเค้าจะค้นพบว่าตัวเองมีซิกส์เซ้นส์”

นรบดีเลิกคิ้ว เมขลายิ้มนิด ๆ วิจิตรศราจึงต้องเล่าเรื่องญาณหยั่งรู้ของเมขลาอย่างยืดยาว..แต่หญิงสาวก็สรุปว่า “ถ้าพี่จะดู ต้องเข้าคิวค่ะ”

“พี่ยังไม่มีเรื่องอะไรจะดู”

“เรื่องเนื้อคู่”

“พี่อยากเอาหัวใจเป็นตัวตัดสินดีกว่า”

“แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนในอนาคตของพี่ มันก็เสียเวลานะ” วิจิตรศราพยายามโน้มน้าวใจ ส่วนเมขลานั้นพลอยนึกถึงคนที่หายหน้าไป...วันนี้เขาไปไหน ทำไมไม่มีข้อความหรือส่งเสียงมาวอแวเช่นที่เคยทำ..


หลังจากที่พ่อแม่ของกฤษณะกลับบ้านไปแล้วและขณะที่นรบดีตัดสินใจรับเลี้ยงจากเมขลาเป็นสปา
เกตตี้ โดยมีวิจิตรศรานั่งคุยอยู่ด้วย ที่หน้าร้านก็ปรากฏร่างของศุภนิมิตร และจังหวะที่เขาเห็นวิจิตรศราหัวร่อต่อกระซิกกับหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้า ใจที่คิดว่าไม่ได้คิดอะไรกับวิจิตรศรามากมายก็หาได้เป็นอย่างที่คิด..

เขารู้สึกหึงหวงวิจิตรศราขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ต้องปั้นหน้ายิ้มเมื่อวิจิตรศราลุกขึ้นแล้วยิ้มแย้มต้อนรับเขา และวิจิตรศราก็เร็วพอจะรู้สึกได้ว่าศุภนิมิตพยายามเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติ..

เขาหึงหวงเธอ เขาไม่พอใจที่เธอนั่งคุยอยู่กับผู้ชายอื่น..

แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาคลายความขับข้องใจนี้..


เมื่อทราบเรื่องจากแม่ที่โทรศัพท์ไปรายงาน กฤษณะก็รีบโทรหาดอกอ้อเมื่อคะเนได้ว่าดอกอ้อเลิกงานแล้วกลับถึงบ้าน แต่ว่าดอกอ้อก็ไม่รู้ว่าผู้ชายแปลกหน้าคนล่าสุดที่เมขลานั่งรถกลับมาด้วยนั้นเป็นใคร กฤษณะจึงหงุดหงิดจนกระทั่งยั้งอารมณ์คิดถึงเมขลาไว้ไม่ได้..เขาตัดสินใจโทรหาเมขลาในทันทีแต่ว่าเมขลาก็ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่นานทีเดียว..

ด้วยกำลังอาบน้ำเมขลาจึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่หลังปิดฝักบัวแล้วกำลังซับน้ำตามร่างกายเมขลาก็รีบพันกายด้วยผ้าขนหนูก่อนเปิดประตูห้องน้ำมาเปิดประตูห้องนอน และด้วยว่าคนปลายสายจะรอนานเมขลาจึงไม่ได้ดูหน้าจอ

“ค่ะ...” น้ำเสียงดูใส่ใจกับปลายสายและดูเป็นกันเองทำให้กฤษณะยิ้มกริ่มออกมา

“ทำอะไรอยู่”

เมขลานิ่วหน้าก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์มาดูหน้าจอ..

“ใครคะ”

“ผมเองครับ..”

แม้จะจำเสียงของเขาได้ แต่เมขลาก็ไม่ชอบที่เขาไม่รายงานตัวเองให้ชัดเจน ดังนั้นเมขลาจึงต้องทำเสียงขุ่นกลับไปทั้งที่ใบหน้านั้นเปื้อนยิ้ม

“ผมเองน่ะใคร”

“กฤษณะครับ..คุณหนูนาทำอะไรอยู่รึครับ”

“ทำไมฉันจะต้องรายงานให้นายทราบด้วย”

“ผมหายหน้าไปกี่วันแล้วนะ”

“อ้าว..แล้วมาถามฉันทำไม”

“ก็..อยากจะรู้ว่าคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”

“ทำไมต้องคิดถึง”

“แน่ใจนะว่าไม่..”

“ไม่..ไม่เคย..”

“ไม่คิด”

“โอ้ย..นี่ถ้าจะโทรมาด้วยเรื่องแค่นี้ ฉันขอวางสายนะ”

“ก็แสดงว่าแคร์ความรู้สึกของผม”

เมขลาตัดสายทิ้งทันทีและก็ปิดโทรศัพท์ตามทันทีเช่นกัน กระทั่งพ่นสเปรย์โทนเนอร์เอ็นไซม์จันทร์เจ้าฉายแล้วทาครีมบำรุงผิวหน้า เปลี่ยนจากผ้าขนหนูเป็นชุดนอนเรียบร้อยเมขลาก็เปิดโทรศัพท์เพราะอยากจะรู้ว่าเขาได้โทรเข้ามาหาอีกหรือว่าได้ทิ้งข้อความไว้หรือไม่ แต่เมื่อหน้าจอโทรศัพท์ไม่แสดงผลใด ๆ เมขลาก็ถอนหายใจเบา ๆ

“สงครามจิตวิทยาชัด ๆ เลย”


แรกทีเดียวนรบดีเสนอตัวเข้ามารับเมขลาให้นั่งรถเข้าเมืองไปทำงานด้วยกัน แต่เมขลาต้องรีบปฏิเสธเพราะรู้สึกลำบากใจเรื่องค่าใช้จ่ายที่เธอจะต้องเอ่ยปากช่วยเหลือค่าน้ำมันหรือค่าสึกหรอเครื่องยนต์ กับส่วนหนึ่งเมขลาไม่อยากให้วิถีชีวิตเดิม ๆ ที่เคยพึ่งพาตัวเองได้นั้นสูญเสียไป ดังนั้นตอนเช้าเมขลาจึงยังต้องตื่นเวลาเดิม นั่งรถมอเตอร์ไซค์ออกไปจากบ้านไปสถานีรถไฟเหมือนเดิม ขึ้นรถขบวนที่เคยขึ้นและต่อรถเมล์สายเดิมที่เคยใช้อยู่เป็นประจำ แต่ว่าความรู้สึกของเมขลาในยามนี้ไม่เหมือนก่อนที่ได้รู้จักกับเขา นาย กฤษณะ..

ระหว่างที่รถไฟกำลังจะเข้าสถานีดอนเมือง เมขลาอดที่จะมองไปยังหัวรถจักรที่แล่นเข้ามาไม่ได้ นอกจากนั้นก็อดที่จะเพ่งสายตาไปยังที่นั่งฝั่งช่างเครื่องว่าจะใช่เขาหรือไม่ และระหว่างที่เดินออกจากชาน ชลาไปยังป้ายรถเมล์ ตรงจุดที่เคยเดินชนกันกฤษณะเมขลายั้งเท้าเดินช้าลง..แม้กระทั่งขึ้นไปบนรถเมล์แล้ว เมขลาก็จะกวาดสายตามองไปจนทั่วรถไม่ได้เช่นกัน..

และหลาย ๆ ครั้ง เมขลาก็นึกโมโหตัวเองที่ปล่อยให้นายกฤษณะเข้ามาทำให้จิตใจปั่นป่วน..ทำให้ลมหายใจติด ๆ ขัด ๆ ซึ่งมันจะเรียกว่าความคิดถึงก็ได้ แต่เมขลาก็ไม่อยากจะยอมรับมัน..

วันนี้เป็นอีกวันที่เมขลาเดินลงจากรถเมล์แล้วใช้สายตากวาดไปยังทางเดินทั้งทางซ้ายและทางขวา..เผื่อเขาจะมาทำเซอร์ไพร์ส..ใช่ เขาทำอะไรที่เมขลาคาดคิดไม่ถึงมาตลอด..

ดอกไม้ช่อนั้น..ในงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนของเธอ เขานั่งหันหลังให้..และล่าสุดกับน้ำพริกผักต้มนั่น

นึกถึงดวงตากรุ้มกริ่มของเขาแล้ว เมขลาก็เดินอมยิ้มไปจนกระทั่งเข้าไปอยู่ในลิฟท์ซึ่งมีคนกรูกันเข้าไปเพราะต่างก็ต้องการไปถึงชั้นที่ตนเองทำงานเพื่อรูดการ์ด..ปกติเมขลาจะยืนนิ่ง พยายามไม่สบตาใคร หากเป็นคนรู้จักเมขลาก็จะยิ้มให้ เรื่องพูดคุยธุระกันในลิฟท์โดยมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยเมขลาจะไม่ทำเป็นอันขาด..แต่ว่าครั้งนี้เมขลารู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่มุมลิฟท์ทางขวามือของเธอนั้นทำให้จิตของเธอนึกระแวง ใจหนึ่งอยากจะหันหน้าไปมองแต่ว่าอีกใจเมขลาก็คิดว่า รอให้ถึงชั้นของเธอก่อน ก่อนจะเดินออกจากลิฟท์เธอจะต้องหาวิธีมองเขาแน่ ๆ..

แต่ว่ายังไม่ทันที่เมขลาจะถึงชั้นที่ตัวเองทำงานอยู่ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงกระแอมของเขา..เมขลาหันไปทันที เขายิ้มให้บาง ๆ ดวงตานั้นเล่าก็เต้นระริกอย่างเป็นต่อจนเมขลาต้องถลึงตาให้ก่อนผินหน้ากลับมาตามเดิม..

และพอเมขลาก้าวออกจากลิฟท์พร้อมเพื่อนที่ทำงานในที่เดียวกัน เขาก็ก้าวตามมาออกมาพร้อมกับร้องเรียกเมื่อเห็นว่าเมขลาทำเป็นไม่สนใจเขา

“คุณหนูนา”

เมขลาชะงักเท้าแต่ว่าก็ยังนึกอยากจะแกล้งเขา ..กฤษณะจึงตัดสินใจใช้มือขวาที่ยังว่างจากการถือถุงสัมภาระรั้งแขนของเมขลาไว้ เมขลาหันมาหาเขาพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึง เขาจำต้องปล่อยมือจากแขนของหญิงสาว

“คือ..ผม..” กฤษณะแกล้งทำเป็นอึก ๆ อัก ๆ

“คือ..เอ่อ ผมซื้อกล้วยตากมาฝากครับ เป็นกล้วยเล็บมือนางอบแห้ง ไข่เค็มจากไชยาก็มี” ว่าแล้วเขาที่ยังอยู่ในชุดพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศมีเจ็กเก็ทสีดำคลุมเสื้อไว้ก็ชูถุงในมือขึ้นระดับอก เมขลาผ่อนลมหายใจเบา ๆ ใจหนึ่งอยากจะบอกเขาว่าให้เอากลับไป แต่อีกใจ รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นเกมส์ขายขนมจีบ ซึ่งมีหัวใจของเธอเป็นเดิมพัน จะเล่นบทแม่งอนกับเขา มันก็จะยิ่งทำให้เขาได้ใจ แต่ถ้าจะเล่นบทโอนอ่อนผ่อนตาม ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่ต่างกัน เมขลาถอนหายใจอย่างแรงอีกครั้ง และครั้งนี้ก็มีสัญญาณจากสรวงสรรค์มาช่วยได้ทัน..

โทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายของเมขลาดังขึ้น หญิงสาวรีบเปิดกระเป๋าแล้วหมุนตัวหลบสายตาหลบมือที่ทำท่าจะยื่นถุงขนมให้ และพอเห็นว่าเป็นเบอร์ของใคร เมขลาก็ทำเสียงอ่อนเสียงหวานทันที..

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ..อ๋อ ถึงแล้วค่ะ อยู่หน้าลิฟท์ ยังไม่ได้เข้าในออฟฟิศเลยค่ะ พี่อยู่ที่ไหนนะ อ๋อที่ลานจอดรถ เอาโจ๊กมาฝากหนูนาด้วยเหรอคะ..ได้ ๆ งั้นเดี๋ยวหนูนากดลิฟท์ลงไปรอที่ชั้นหนึ่งดีกว่านะคะ..” ว่าพลางเมขลาก็เดินไปที่ลิฟท์โดยแสร้งทำเป็นว่าก่อนหน้านั้นไม่มีกฤษณะยืนอยู่ตรงหน้า และพอลิฟท์ที่จะลงข้างล่างเปิดออกเมขลาก็รีบแทรกกายเข้าไปทันที

และเมื่อประตูลิฟท์ปิดเข้าหากัน ใบหน้าที่ระรื่นของเมขลาก็หม่นลง..เพราะที่คิดว่ากฤษณะจะต้องตามเข้ามาตอแย เขากลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น..เธอทำร้ายจิตใจเขามากไปหรือเปล่านะ..เมขลาถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

และวันนั้นทั้งวันเมขลาก็ต้องเป็นฝ่ายกระสับกระส่ายเสียเอง


เย็นวันนั้น เมขลานั่งรถไฟกลับบ้านด้วยความรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดแต่มันก็ยังไม่สายที่จะแก้ตัว เพราะการที่ตัวเองไปพูดเสียงอ่อนเสียงหวานให้นรบดีทางโทรศัพท์เมื่อเช้านี้นั้น ยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นดูจะขยับเข้ามาใกล้อีกนิด มื้อเที่ยงเขาโทรมาชวนเธอลงไปกินข้าวด้วยกัน แต่เมขลาก็อ้างว่ารับนัดเพื่อนร่วมงานไว้แล้ว ตอนเย็นเขาจะขอมาส่งที่บ้านเหมือนเมื่อวาน เมขลาปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่าวันเธอมีงานต้องเคลียร์ไม่สามารถกลับได้ตามเวลาเดิม และผู้ชาย หากไม่หมั่นตื้อหรือถ้าเธอไม่ทอดสะพานให้เขาเดินเขาก็คงจะเบื่อหน่ายเธอไปในที่สุด..

“เป็นอะไรหน้ามุ่ยมาเชียว” วิจิตรศราที่กำลังง่วนอยู่ในเคาน์เตอร์ร้องถาม

“เพลีย ๆ ขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ”

“จะนอนพักสักนิดก็ได้..หรือจะกินอะไรก่อนไหมจะให้เด็ก ๆ ทำขึ้นไปให้”
ขณะที่สนทนาอยู่กับวิจิตรศรานั้นสายตาของเมขลาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเรียนของกฤษณะ เมขลายิ้ม ๆ
พลางส่ายหัวให้วิจิตรศรา

หลังอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย เมขลาก็นั่งมองโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอน..ถ้าเธอเป็นฝ่ายง้อเขาก่อนด้วยเรื่องที่ควรง้อ มันก็น่าจะมีเรื่องสนุก ๆ ตามมาอีก..เมขลาตัดสินใจกดโทรศัพท์หมายเลขที่ได้รับเมื่อคืน แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมรับสาย กระทั่งสายตัดเพราะเกินเวลา เมขลาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
เมขลาล้มตัวลงนอนเพราะรู้สึกเพลียอย่างที่ได้บอกวิจิตรศราไว้..พอจะเคลิ้มหลับ โทรศัพท์ที่ยังอยู่ในมือก็ส่งสัญญาณพร้อมกับสั่นเตือนขึ้นมา เมขลาสะดุ้งตื่นก่อนจะดึงโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูพลางกดรับ แต่ว่าปลายสายก็ไม่พูดไม่จา..

“สวัสดีค่ะ” เมขลาเป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาเสียเอง

“สวัสดีครับ”

“ใครคะ”

“โทรมาหาใครละครับ”

“เอ่อ” เมขลารู้สึกประหม่าขึ้นมาเพราะน้ำเสียงของเขานั้นดูเย็นชาผิดที่เคยได้ยิน..

“ฉันคุยอยู่กับใครอยู่เหรอคะ”

“ก็คุณโทรมาหาผมก่อน..ผมก็ต้องโทรกลับ”

“คุณกฤษณะหรือเปล่า”

“ใช่ ครับ มีอะไร” น้ำเสียงเขายังห้วน ๆ

“หนังสือของคุณ”

“ที่เพื่อนคุณโยนทิ้งถังขยะไปแล้ว”

“เขายังไม่ได้ทิ้งนะ..เพียงแต่ว่า เขาล้อคุณเล่น”

“แล้วไง”

“มันยังอยู่ ว่าง ๆ ก็แวะมาเอาไป มีเรื่องจะบอกแค่นี้”

“แล้วถ้าจะไปรอรับที่หัวลำโพงละ จะช่วยถือไปให้ผมได้ไหม”

“ทำไมละ”

“ได้ไหมครับ” น้ำเสียงเขาเว้าวอน

“เมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้เช้า”

“ได้..”

“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน ขอบคุณล่วงหน้า..สวัสดี” เขาตัดสายไป เมขลาพ่นลมหายใจพลางทำหน้าฉงน..เธอไม่เข้าใจว่าเขากำลังเล่นอะไรกับเธอ นี่เขาทำเหมือนไม่อยากคุยกับเธอ..เป็นไปได้อย่างไร..


และพอวางสายลงกฤษณะก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วก็กลิ้งไปกลิ้งมาด้วยทีท่าเหมือนเด็กได้รับข่าวดี เพื่อนชายที่มาอาศัยห้องดูโทรศัพท์ซึ่งถูกกฤษณะสั่งให้หุบปากและปิดเสียงโทรทัศน์หันมามองด้วยสีหน้าฉงน

“เฮ้ย เป็นอะไร ทำท่าอย่างกับ” หน่องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของร้านสะดวกซื้อที่กฤษณะใช้บัตรสะสมแต้มแลกมาเมื่อปีก่อน ทำหน้าระอากับลีลาของเจ้าของห้อง

“เขาโทรหากูเว้ยเฮ้ย..โคตรดีใจเลยว่ะ”

“แล้วมึงก็ทำเสียงเหมือนไม่อยากคุยกับเขาเนี่ยนะ” ถามพลางหน่องก็เร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังเท่าเดิม

“มันเป็นลีลาจีบสาวโว้ย..กูว่าเขาต้องมีใจให้กูแล้วแน่ ๆ”

“แต่เมื่อเช้าตอนที่มึงกลับมา มึงบอกกับกูว่าท่าจะหมดหวัง”

“กู ก็เล่นละครไปตามน้ำไปอย่างนั้น”

“แล้วถ้าไอ้หนุ่มนั้นมันตื้อยายหนูนาไม่เลิกล่ะ”

“กูก็จะแข่งให้ถึงที่สุด..สนุกโคตร ๆ”

“มึงรักเขาจริง ๆ หรือเปล่า”

เจอคำถามเหมือนหมัดฮุกเข้าไป กฤษณะทำหน้าครุ่นคิด โดยดวงตาของเขานั้นวิบไหวอย่างคนที่สนุกและกำลังมีความสุขกับการที่ได้หมายปองใครจริง ๆ จัง ๆ อีกสักครั้ง

“ถ้าบอกเรื่องจริง มึงจะเชื่อกูไหม”

“เร็วไปไหม อีหมวยเพิ่งไปแท้ ๆ”

“ก็เค้าไม่ใช่เนื้อคู่กู กูก็ตัดใจได้อย่างสบาย ๆ”

“คนนี้มึงมั่นใจว่าใช่..”

“คุยอะไรกันอ่ะ” อาวุธที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนที่เมขลาจะโทรกลับมาเอ่ยปากถามหลังจากที่เปิดประตูระเบียงเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเขาพราวไปด้วยหยดน้ำ..

“เข้าห้องน้ำไปเป็นนานสองนาน ทำอะไรวะ เมียมึงก็มาหาเป็นประจำ”

“มึงน่าจะถามตอนที่กูอยู่ในห้องน้ำ กูจะได้เรียกมึงเข้าไปดม” อาวุธหันไปเล่นงานหน่อง และพอหน่องแสร้งเกาหน้าที่เป็นสิวประปรายเขาก็หันไปหาเจ้าของห้องที่นอนกอดหมอนข้าง โดยที่ดวงตานั้นมองหน้าจอโทรทัศน์ แต่ว่าอาวุธก็รู้สึกได้ว่า ใจของกฤษณะนั้นลอยไปไกลแสนไกล..

“ไอ้น้า มึงเอาสบู่มาจากไหนวะ”

“แม่กูซื้อมาให้..”

“หอมดี”

“แพง แม่บอกว่าก้อนละตั้งห้าสิบบาท..ไม่รู้วิเศษตรงไหน”

หลังจากที่พัดลมเพดานโกรกจนกระทั่งหน้าแห้งแล้วอาวุธก็ใช้นิ้วมือจิ้มไปที่ใบหน้าของตัวเองเพราะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงขอผิวพรรณหลังการล้างหน้า

“ก็โอเคอยู่นะมึง รู้สึกว่าหน้านุ่มขึ้น..”

“ฟอกทีเดียวเห็นผลเหรอ” หน่องเอ่ยถาม..

“เห็นสติ๊กเกอร์บ่งสรรพคุณติดอยู่ที่ข้างฝา เขาบอกรักษาสิว มึงเข้าไปลองใช้ดูซิ หน้ามึงเป็นสิวเผื่อจะหาย..” อาวุธทำเหมือนกับว่าสบู่นั้นเป็นของตัวเอง..หน่องทำท่าจะลุกขึ้นแต่ว่ากฤษณะก็รั้งไว้

“แต่มันสบู่ของกูนะโว้ย..”

“ก็ให้มันลอง ถ้าใช้ดีจริง สิวหายจริง มันหล่อขึ้น มันก็จะได้มีแฟนกับเขามั่ง”

หน่องรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้สีฟ้าไปทันที..

“ไม่ต้องฟอกเยอะล่ะ เดี๋ยวสบู่กูหมด” กฤษณะตะโกนตามไปเย้าเพื่อน..แต่ถึงกระนั้นด้วยอยากรู้ว่า โทนเนอร์ขวดสีฟ้าที่แม่ซื้อมาให้ดีจริง ๆ หรือเปล่า เขาจึงกระโดดลงจากเตียงเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบขวดโทนเนอร์พร้อมใบสรรพคุณของโทนเนอร์กับสบู่ซึ่งเป็นกระดาษสีขาวขนาดเอสี่มาให้อาวุธ

“ไหน ๆ มึงก็ชอบสบู่แล้ว ลองพ่นโทนเนอร์ใส่หน้ามึงหน่อยแล้วกัน..เผื่อมันนุ่มขึ้น หน้าดีขึ้นจริง กูจะได้ใช้มั่ง”

“ให้กูเป็นหนูทดลอง”

“ถ้าแพ้เพ้อขึ้นมาหน้ามึงเยิน ๆ ไปบ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก เค้าหน้ามึงนะมันหล่ออยู่แล้วแต่ถ้าหน้ากูพังเพราะไอ้นี่ หญิงที่ไหนจะมองกูล่ะ..เร็ว ลองเลย ๆ..”





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2555, 12:55:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2555, 12:55:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2494





<< 9.จันทร์เจ้าฉาย   11.“มีอะไรหรือเปล่า ใครทำให้นอนไม่หลับ” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 4 พ.ค. 2555, 12:55:21 น.
‘เจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงขับร้อง ดังเพลงมนต์รักแม่กลอง ล่องลอยพริ้วหวานซ่านมา
กล่อม สาวงามบ้านอัมพวา มนต์รักแม่กลองแว่วมา เหมือนสายธาราแม่กลองรำพันฯ’

หลาย ๆ ท่านคงจะเคยไปเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสงครามกันมาแล้ว เพราะอยู่ไม่ไกลจากกทม.มากนัก แถมเป็นอะไรที่คลาสสิกสุด ๆ รวมความหลากหลายไว้มากมาย ..ตั้งแต่เป็นเมืองที่ติดทะเล มีอาหารทะเลขายมากมาย มีแม่น้ำแม่กลองไหลผ่านมีเรือกสวนผลไม้มากมาย มีหลวงพ่อวัดบ้านแหลมศักดิ์สิทธิ์ มีตลาดน้ำอัมพวาที่ขึ้นชื่อลือนาม มีประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยพระเจ้าตากสิน กระทั่งไล่เรื่อยมาจึงถึงนิวาสสถานของพระมารดาของรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีวัดวาอารมณ์ริมน้ำมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีตลาดน้ำโบราณ มีของกินที่สุดแสนอร่อย..ไปไม่รู้จักกี่รอบก็ไม่มีเบื่อหน่าย..
ดังนั้น ทริปกระชิบมิตรที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ค. 2555 เราจึงต้องไปที่นั่น..แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลนั้นครับ..
เป็นทริปกระชับมิตรที่มี ผลิตภัณฑ์ จันทร์เจ้าฉาย เป็นตัวเชื่อม..
เราจะไปเวิร์คช็อป ดูกรรมวิธีผลิตโทนเนอร์ เอนไซม์ กับ ลองกวนสบู่เอนไซม์จันทร์เจ้าฉายด้วยตนเอง.. //ได้ยินแว่ว ๆ ว่าจะมีสบู่แฟนซีรูปแบบขนมไทยที่ไม่มีขายที่ไหนแจกด้วยนะ และพิเศษสุด ๆ สำหรับ หนุ่มสาวจันทร์เจ้าฉายที่มีขวดเปล่า..สามารถนำไปเติมโทนเนอร์ได้คนละหนึ่งขวด ในราคาพิเศษสุด ๆ (ไปลุ้นเองว่าเท่าไหร่)
นอกจากนั้น มื้อกลางวัน ของเรายังพิเศษ ๆ สุด เพราะเจ้าของภัตตาคาร ฮวดหูฉลาม ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์จันทร์เจ้าฉายจะจัดเลี้ยงเราให้อิ่มหมีพลีมันในราคาย่อมเยา..
เมนูที่เผยมาแล้ว ได้แก่ ทะเลลวก แฮ่กึ๊น หูฉลาม ขาหมู หมั่นโถว ปลากะพงนึ่งมะนาว บะหมี่หมูแดง หม้อไฟสุกี้ และข้าวเหนียวเปียกแปะก๊วย
หลังอิ่มท้องแล้ว (ก่อนอิ่มท้อง เราจะไปดอนหอยหลอดกับวัดบ้านแหลมกันก่อน) เราก็ลุยเที่ยวอัมพวากันครับ ทั้งทางรถและทางเรือ..สถานที่ที่จะไปก็มี วัดบางแคน้อย ค่ายบางกุ้ง อุทยาน ร.2 วัดภุมรินทร์กุฏีทอง วัดอัมพวัน วัดจุฬามณี..(ประมาณนี้ครับ)
ค่าใช้จ่าย 900 บาท
รวมค่ารถตู้ไปกลับ อนุสารีย์ชัย-อัมพวา ค่าอาหารกลางวันหนึ่งมื้อ (มื้อเช้า เป็นขนมกับนมกล่อง มื้อเย็น หากินกันเองที่ตลาดน้ำอัมพวา) ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ประกันชีวิตระหว่างการเดินทาง
กำหนดการคร่าว ๆ
07.00 น.พร้อมกันที่จุดนัดพบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
08.00 รถลงทางด่วนแวะรับสมาชิกอีกกลุ่มที่บิ๊กซีพระราม 2
10.00 ซื้ออาหารทะเลแห้ง สดที่ดอนหอยหลอด
11.00 ร้านฮวดหูฉลาม ดูกรรมวิธีผลิตโทนเนอร์และสบู่ รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 น. -1900 น. แวะเที่ยวตามโปรแกรมจ้า..ถึงกทม.ประมาณ 2100 น. แยกย้ายกันกลับบ้านครับ
สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ข้อความ ในเว็บสิรินดา หรือที่ข้อความในเฟสบุ๊ค หรือโทร 0869299779 ครับ


sai 4 พ.ค. 2555, 13:54:00 น.
หายไปนานเลยนะค่ะคุณเฟือง


Zephyr 4 พ.ค. 2555, 15:58:10 น.
คุณเฟื่องหนีไปเที่ยวมาล่ะสิ หายไปนานเลยค่ะ
พี่น้ากะหนูนากลับมาซะที เริ่มๆหยอดกันแล้ว แคร์กันด้วย หึหึ
อนาคตเริ่มส่องแสงรำไร พยายามต่อไปนะพี่คะน้า


pseudolife 4 พ.ค. 2555, 16:07:59 น.
ลีลาเยอะจริงนายคะน้า


innam 4 พ.ค. 2555, 16:26:16 น.
ตามมาเป็นกำลังใจให้คนแอบหนีเที่ยว


Orathai 4 พ.ค. 2555, 18:25:17 น.
อ่านแล้วชักหมั่นไส้นายคะน้า...แต่ก็อ่านไปอมยิ้มไป


จุฬามณีเฟื่องนคร 4 พ.ค. 2555, 20:02:01 น.
ต่อไปพระเอกจะหล่อขึน ๆ ด้้วยจันทร์เจ้าฉาย


nutcha 4 พ.ค. 2555, 21:15:28 น.
หายไปนานเลยคุณเฟื่อง หนูนาเริ่มแคร์ความรู้สึกคะน้าแล้ว


คิมหันตุ์ 4 พ.ค. 2555, 23:15:43 น.
ห้าห้า........พระเอกจะหล่อขึ้น


loveleklek 5 พ.ค. 2555, 09:07:16 น.
เอิ่ม ตอนนี้ตอนจันทร์เจ้าฉาย


Pat 5 พ.ค. 2555, 13:16:42 น.
5555 ลีลาเยอะนักนะพ่อคุณ หายไปนานเเลยนะคะคุณเฟื่องงงงงงง


lookAme 5 พ.ค. 2555, 22:35:32 น.
กลับมาแล้ว เย้ๆ


OPUS 15 พ.ค. 2555, 12:43:04 น.
โฮ้..ครั้งนี้หายไปนานเลยนะค่ะคุณเฟื่องเข้ามาดูเป็นสิบ ๆ รอบกว่าจะได้ตอนใหม่แต่ดีที่คุณเฟื่องเอาลงทีละหลายตอนเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account