ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น
Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก
ตอน: 9 กรยุพา . ยุพากร
ความเดิมตอนที่แล้ว...
ภูมิรพีติดตามพวกมอดไม้ในระยะกระชั้นชิดชิด ท่ามกลางเหตุการณ์จวนตัวนั้น จู่ๆ ก็มีเสือโคร่งออกมาจัดการกับผู้ที่คอยซุ่มยิงเขา ตามมาด้วยเสือตัวนั้นอันตรธานไปกับตา
9
เสือโคร่งตัวเขื่องทะยานจากกลุ่มหมอกพุ่งตรงไปยังจุดหมายราวธนูออกจากแหล่ง ภาพนั้นแจ่มชัดราวเกิดขึ้นตรงหน้า
เพียงเสี้ยวนาทีก่อนกระสุนจะพุ่งออกจากรังเพลิง ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวของผู้แก่กล้าด้วยอาคมได้มุ่งตรงไปยังมอดไม้ พร้อมกันนั้นได้ตวัดไม้เท้าข้างกายไปยังชายหนุ่ม ที่ตามมาคือเกราะกำบังดั่งครอบแก้วกระสุนจึงไม่อาจทะลุทะลวงผ่านไปได้
เป็นอีกเช้าที่เจ้าของฟาร์มสาวใจคอไม่อยู่กับตัว ไม่ใช่เพราะนอนน้อย แต่เพราะฝันประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั่นต่างหาก…เจ้างูใหญ่ตัวนั้นทำให้เธอต้องวิ่งหนีจนสุดชีวิต
เสียงโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาทำให้เธอถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“มีแขกมาหาคุณตาค่ะ ตอนนี้อยู่ที่คอฟฟี่เฮาส์นะคะ”
ฐิตารีย์มาถึงพร้อมๆ กับเพื่อนรักที่ต่างตกตะลึงตามๆ กัน เพราะภาพตรงหน้า บุรุษร่างสูงโปร่งผิวขาวละเอียด เป็นเขาได้อย่างไร…บุคคลที่เธอคิดว่าลืมไปจากหัวใจแล้ว
วูบหนึ่งที่นึกถึงฝันเมื่อคืนนั่น หรือเป็นเพราะเขาผู้นี้กันแน่ที่ทำให้เธอมีลางบอกเหตุได้เช่นนั้น
“คุณ…มาที่นี่ได้ยังไงกันคะ” แทบไม่รู้ว่าตัวเองถามสิ่งใดออกมา แต่ก็เหมือนคิดบางอย่างออกเมื่อหันมามองเพื่อนรักเต็มๆ ตา
“เฮ้ย…ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ” พชรปฏิเสธเป็นพัลวัล
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ทั้งสีหน้าและแววตาจริงจังของแขกที่ไม่ได้รับเชิญพาให้ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออก
“งั้นเราไปช่วยเด็กก่อนแล้วกันนะ” พชรได้ทีปลีกตัว
“ดูเหมือนคุณจะไม่ยินดีสักเท่าไหร่ กับการที่เราได้พบกัน”
นาทีนี้ฐิตารีย์กลับต้องถามตัวเอง ว่าเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ หลายเดือนที่ผ่านมาทำให้เธอได้คิด หนึ่งในนั้นคือคำว่า ‘รัก’ แท้จริงแล้วมันมีความหมายเช่นใดกันแน่
“คุณสบายดีใช่มั้ย” เขาเริ่มเรื่องเมื่อนั่งลงยังโซฟาภายใต้ร่มสีธรรมชาติคันใหญ่
ฐิตารีย์มองบุรุษตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเย็นเยือก
“ตาควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือคะ คุณมีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ” บอกน้ำเสียงไร้เยื้อใย
“สิ่งที่ผมจะพูดอาจฟังคล้ายการแก้ตัว แต่มันก็คือความจริง” ยองฮวาเริ่มเรื่องอย่างเคร่งเครียด
“และไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่คนไปพบกับคุณที่โรงแรมในวันนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็น…พี่ชายฝาแฝดของผมเอง”
คำบอกเล่าของอีกฝ่ายทำให้ฐิตารีย์ถึงกับตกอยู่ในอาการงุนงงไปชั่วขณะ
“ซึ่งผมเพิ่งจะรู้เรื่องนี้…เมื่อไม่นานมานี่เอง” ที่ไม่ได้บอกต่อคือรับรู้เรื่องนี้มาจากใคร
“คุณจะบอกด้วยงั้นหรือคะ ว่าคนที่ไปดูตัวกับบุตรสาวของเจ้าพ่ออุปกรณ์อิเล็คโทรนิค รวมทั้งคนที่ฉันเห็นบนพรมแดงหน้างานเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่โซลนั่นก็ไม่ใช่คุณด้วยเช่นกัน”
ยองฮวาถึงกับหน้าถอดสี ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเธอจะล่วงรู้เรื่องที่นั่นด้วย
“ตาไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่อง ‘ของเรา’ อีกต่อไปแล้ว ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะพูดถึงเรื่องในอดีตอีกแล้วมั้งคะ”
น้ำเสียงจริงจังของฐิตารีย์ทำให้ยองฮวาไม่รู้เลยว่าจะสามารถทำพาระกิจที่ตัวเองตั้งใจมาครั้งนี้สำเร็จได้หรือไม่ อีกทั้งท่าทีที่เธอเดินจากไปก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าเก่าอีกหลายเท่านัก
แล้วเจ้าบ้านก็กลับมาอีกครั้งโดยมีเพื่อนชายตามมาติดๆ
“ขอโทษนะคะ เผอิญตามีธุระ มีอะไรไว้ค่อยคุยแล้วกันนะคะ”
เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มพูดไม่ออก
“หากคุณยังไม่มีที่พักตาขอแนะนำที่นี่นะคะ” เธอส่งนามบัตรของภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ให้
ยองฮวารับมาอย่างงงๆ
“คงต้องขอตัวจริงๆ แล้วล่ะค่ะ ตาให้พชรคอยเทคแคร์ระหว่างที่คุณอยู่ที่นี่แล้วกันนะคะ”
ผู้ถูกเอ่ยชื่อได้แต่มองเพื่อนสาวตาปริบๆ
“แล้วค่อยคุยกันนะคะ” เธอบอกแขกคนสำคัญพร้อมรอยยิ้มขณะผละจากไป
ยองฮวาได้แต่มองพชรอย่างมีคำถามในใจ เหมือนว่าหญิงสาวที่เขาเคยรู้จัก กับเธอผู้นี้แม้ใบหน้าจะพิมพ์เดียวกัน ทว่านาทีนี้เขากลับรู้สึกคล้ายกับว่าไม่เคยรู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ
รถโฟล์คเต่าปี 70 สีมัสตาร์ดที่เจียระไนขับมาจอดยังหน้าแฮร์ เลิฟ อะคาเดมี่ เป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือเจ้าของสถาบันที่ออกมาต้อนรับจนถึงรถ
“ลมอะไรหอบคุณอามาถึงที่นี่ได้คะ” ชิดชไมถามพร้อมรอยยิ้ม
“โธ่ คุณไหมทักอย่างนี้อาก็เขินแย่สิจ๊ะ นี่ค่ะ อาเอาเค้กมาฝากด้วย”
ผู้รับไหว้อีกฝ่ายอย่างงดงาม
“คุณอาไม่น่าต้องลำบากเลยค่ะ ไหมตั้งใจไปอุดหนุนที่ร้านบ่อยๆ อยู่แล้ว ว่าแต่วันนี้จะทำอะไรดีคะ”
“เซ็ตเท่านั้นก็พอจ้ะ ทำสีเอาไว้วันหลัง วันนี้อารีบ”
วูบหนึ่งที่ชิดชไมอยากจะถามออกไปว่าเธอกำลังจะไปงานไหนแต่กลับยั้งปากไว้ทัน
ร้านกระทงทองก่อนเที่ยงวันผู้คนยังบางตา แต่ห้องพิเศษซึ่งถูกจองไว้เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ กลับคึกคัก ซึ่งกำนันพิรัชย์ตั้งใจสั่งอาหารมารับรองแขกพิเศษ โดยเฉพาะปูเก้ช่อใหญ่ที่ติดมือมาด้วยเขาลงทุนสั่งจากร้านดอกไม้เลื่องชื่อของจังหวัดเลยทีเดียว
“คุณเอื้องทานเยอะๆ นะครับ” ไม่พูดเปล่าแต่ตักกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ให้ถึงจาน
“ผมตั้งใจสั่งของโปรดให้คุณเอื้องทั้งนั้น” มองอีกฝ่ายด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“คุณรู้ได้ยังไงกันคะว่าเอื้องชอบทานอะไร”
เสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่ายทำให้เจียระไนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“ก็ในเมื่อผมสนใจคุณ ผมก็ย่อมอยากจะรู้ว่าคุณชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อย่างเช่นดอกไม้ที่ผมสั่งจัดให้วันนี้ผมก็สืบมาเป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน”
“แหม…เอื้องชักกลัวแล้วสิคะ คุณรู้เรื่องของเอื้องทุกอย่าง แต่เอื้องกลับไม่รู้เรื่องของคุณเลย” เธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“คุณเอื้องอยากทราบอะไรก็ถามจากผมได้ทุกเรื่องเลยนะครับ สำหรับคุณเอื้อง ผมไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้ว” บอกพร้อมรอยยิ้มอย่างเยือกเย็น
แม้เจียระไนจะมีคำถามมากมาย แต่กลับไม่กล้าถาม หนึ่งในนั้นคือข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับธุรกิจที่ไม่ชอบมาพากลของเขา
“ว่ายังไงล่ะครับ คุณเอื้องอยากรู้เรื่องอะไร”
“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ปฏิเสธไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“เราคนกันเองแท้ๆ ผมไม่มีอะไรปิดบังคุณเอื้องอยู่แล้ว ว่าแต่วันนี้คุณเอื้องงามมากๆ เลยนะครับ”
คำพูดนั้นทำให้เจียระไนอิ่มเอิบใจจนยากจะหุบยิ้ม
“จริงสิคะ เรื่องที่คุณให้ดิฉันไปลองพูดกับคุณพ่อนั่น...”
อาการยิ้มเจื่อนๆ ของฝ่ายหญิง ทำให้เขารู้แล้วว่าคำตอบเป็นเช่นใด แต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะถอดใจ ในเมื่อเขาลงทุนไปแล้ว ผลกำไรย่อมต้องได้มาไม่ช้าก็เร็ว
“คุณเอื้องอย่ากังวลไปเลยนะครับ หนูตาเองก็ไม่มีทีท่ารังเกียจพาครของผม ให้เด็กๆ เขาจัดการกันเองก็ไม่เลว ถึงตอนนั้นท่านเทพทัตถึงไม่เห็นด้วยก็ไม่อาจจะทัดทานใดๆ ได้แน่” บอกอย่างหมายมั่น
“เหมือนเรื่องของเรานี่ไงครับ” ครั้งนี้พิรัชย์ถือวิสาสะจับมืออีกฝ่ายพร้อมจ้องด้วยดวงตาคู่งามไม่กระพริบ
ไม่น่าเชื่อที่ความรู้สึกของเธอขณะนี้จะเหมือนตัวเองนั้นฝันไป ถึงใครๆ จะมองว่าชายผู้นี้ไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะกับบิดา แต่สำหรับเธอแล้วนี่คือรักแรกซ้ำยังรู้สึกจริงๆ ว่าเขาช่างน่านับถือ
ทั้งสองไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งลอบส่งข่าวให้กับแหล่งกระจายข่าวของจังหวัด
ในเวลาเดียวกัน ณ ป่าผาห่มหมอก...
แล้วก็เป็นไปตามที่สุธินัยคาด เพราะนักข่าวพากันยกขบวนมายังที่เกิดเหตุ โดยท่านผู้ว่าเดินทางมาสมทบ เขาจึงต้องรับหน้าเพราะภูมิรพีและณัฐพากย์พร้อมปลัดนำทีมเข้าป่าแต่เช้าตรู่ เช่นเดียวกับกำลังตำรวจซึ่งสนธิกำลังกับทหารออกลาดตระเวณติดตามไล่ล่ามอดไม้
ถึงจะเข้าข่ายวัวหายล้อมคอก กระทั่งเขียนเสือให้วัวกลัว แต่ย่อมดีกว่าปล่อยเลยตามเลยแน่
ไม่รู้ว่าเจียระไนคิดไปเองหรือเพราะเข้าข่ายวัวสันหลังหวะจากการไปพบพิรัชย์มากันแน่ แต่ค่ำคืนนี้เธอรู้สึกจริงๆ ว่าบิดาพูดน้อยจนผิดปกติ ซึ่งไม่ต่างกับหลานรักที่ไม่พูดจาเหมือนทุกวัน พาให้บรรยากาศคุกรุ่นจนกลืนข้าวแทบไม่ลงคอ
“รู้เรื่องทางชาเล่ต์บ้างหรือเปล่า คุณภูเขากลับมาที่ไร่แล้วหรือยัง” ธนวัตเอ่ยทำลายความเงียบ
“คุณพ่ออยากทราบอะไรหรือครับ”
“กลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะครับ เห็นว่าไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว คุณแสงดาวดูเหมือนจะเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ” ผู้ตอบกลับเป็นพชร
“รู้ละเอียดยังกับอยู่ในเหตุการณ์เชียวนะ” ฐิตารีย์ไม่วายเหน็บ เพราะในใจยังคุกรุ่นไม่หายกับเรื่องของยองฮวา
“เผอิญผมพาเพื่อนไปพักที่ชาเล่ต์นั่นน่ะครับ เลยได้พบกับคุณแสงดาวเธอเข้า” พชรยังอธิบายอย่างใจเย็น ไม่สนใจทีท่าของเพื่อนสาวแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มผู้ที่ถูกกล่าวถึงกำลังหน้ามุ่ยเหตุจากมารดาซึ่งเอือมระอาต่อพฤติกรรมของบุตรชายแต่เพราะไม่อาจห้ามจึงได้แต่บ่นเพื่อคลายอารมณ์ไปอย่างนั้นเอง ที่สำคัญเมื่อได้แนวร่วมอย่างสริตาทำให้เธอมั่นใจว่าอีกไม่นานบุตรชายต้องรามือแน่
“จะให้แม่ใจหายใจคว่ำไปถึงไหน แม่ว่าบอกเรามาหลายครั้งแล้ว หนูนิต้าช่วยแม่พูดหน่อนเถอะลูก แม่จะเป็นลมวันละร้อยครั้ง”
แสงดาวเดินจากไป ปล่อยให้หนุ่มสาวได้อยู่กันตามพัง
รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นยังใบหน้าของสริตาทำให้ภูมิรพีเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“นิต้าไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ที่ทำไมคุณพ่อถึงได้ชื่นชมภู” พูดด้วยดวงตาระยิบระยับ
“ก็เพราะภูทุ่มเททั้งกายและใจขนาดนี้นี่เอง คุณแม่หวังให้นิต้าห้าม แต่สำหรับนิต้ามีแต่จะชื่นชมแล้ภูมิใจในตัวคุณจากใจจริงค่ะภู”
เพราะนัยน์ตาที่ฉายแววบางอย่างออกมาอย่างไม่คิดปิดบังนั่นก็เป็นได้ ผู้ถูกชื่นชมจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ในเวลาเดียวกัน ณ ฟาร์มเทพทัต
ผู้รวบช้อนส้อมพร้อมลุกขึ้นคือประมุขของฟาร์มทำให้หลานสาวมองอย่างสงสัย
“คุณปู่ทำไมทานน้อยจังคะ”
“ปู่ยังอิ่มของว่างเมื่อบ่ายอยู่เลย ทานกันตามสบายเถอะนะ”
ไม่รู้ว่าเจียระไนร้อนตัวหรืออุปาทานไปเองกันแน่ แต่นาทีนี้ยังรู้สึกถึงความผิดปกติของบิดา
กลิ่นคล้ายข้าวหุงใหม่ของดอกชมมะนาดหอมอวลไปทั่วระเบียงบ้าน เช่นเดียวกับสายลมที่เย็นฉ่ำพาให้ปลอดโปร่งก็จริง ทว่าพชรกลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนรักตามลำพัง
“จะบอกได้หรือยังว่ายองฮวามาที่นี่ได้ยังไง” ฐิตารีย์เริ่มเรื่อง
พชรวางหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรชอบกล
“ก็...เขาโทรฯ มาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับตา เราก็เลย...”
“เลยตัดสินใจแทนเรา โดยไม่ปรึกษาก่อน” เธอสวนกลับทันควัน
“ตา...ฟังเราก่อนได้มั้ย เราหวังดีจริงๆ นะ” พชรบอกเสียงเคร่ง
“บางที...สิ่งที่เขาจะมาพูดอาจทำให้ตามีทางออกดีๆ บ้างก็ได้”
“นายกำลังจะพูดอะไรกันแน่” ถามอีกฝ่ายพร้อมจ้องด้วยดวงตาไม่กระพริบ
“อย่างที่บอก ฟังเขาพูดก่อน ส่วนตาจะตัดสินใจยังไงก็คิดเอาก็แล้วกัน”
ความเงียบที่แทรกเข้ามาชั่วขณะทำให้พชรไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดกันแน่
“สำหรับเรา ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีกแล้ว” ในที่สุดเธอก็พูดออกมาจนได้
“รอฟังเขาก่อน อย่าเพิ่งตีกรอบหรือตัดสินใจอะไรตอนนี้ และหากตาจะคิดกลับคำเราก็จะถือว่าไม่เคยได้ยินตาพูดอะไรมาทั้งสิ้น” พชรยังบอกอย่างใจเย็น
“ตาพร้อมเมื่อไหร่บอกเราได้เลย พูดกันให้รู้เรื่องดีกว่าปล่อยให้ค้างคาใจอยู่แบบนี้”
ที่พชรไม่อาจพูดออกมาทั้งที่รู้อยู่เต็มอกก็คือ เหตุผลที่ยองฮวากลับมาหาเพื่อนรักในครั้งนี้ต่างหาก บางที…อาจทำให้มารดาของยองฮวาที่พูดสบประมาทเพื่อนรักในวันนั้นได้ล้มทั้งยืนได้เหมือนกัน
ที่ห้องอาหารของภูมิรพี ชาเลต์ ฮิลล์ ในเช้านี้ดูจะคึกคักกว่าช่วงฮายซีซั่นด้วยซ้ำ เป็นเพราะหนุ่มรูปงามที่หล่อระดับพระเอกซึ่งเข้าพักเมื่อวันวานกระชากหัวใจของสาวๆ ไปได้จนหมดสิ้น
“แขกต่างชาติหรือครับน้ากรอง” ภูมิรพีอดไม่ได้ที่จะถามแม่บ้านใหญ่
“ค่ะ เพิ่งเข้าพักเมื่อวานนี้เอง เพื่อนคุณตาเป็นคนพามาเข้าพักค่ะ เห็นว่าเป็นเพื่อนกันน่ะค่ะ” บุญกรองอธิบาย
“แปลก” ภูมิรพีรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“คะ” แม่บ้านใหญ่มองนายหนุ่มอย่างงุนงง
“น้ากรองว่าไม่แปลกหรือครับ ที่ทำไมต้องให้มาพักที่นี่ ทั้งที่ฟาร์มนั่นก็กว้างขวางใหญ่โตขนาดนั้น”
การสนทนาหยุดลงกลางคันเพราะชายหนุ่มที่มาปรากฏกาย
พชรที่เพิ่งมาถึงได้แต่ยิ้มให้เจ้าของชาเล่ต์อย่างเป็นมิตร
“คุณภูปลอดภัยดีนะครับ ที่เทพทัตเป็นห่วงกันแทบแย่ โชคดีจริงๆ ที่คุณปลอดภัย”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงใจของอีกฝ่ายทำให้ผู้รับฟังยิ้มออกมาได้ และชื่อฟาร์มที่ได้ยินนั่นก็จุดประกายบางอย่างในใจเขาขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ขอบคุณครับ”
“จริงสิครับ ผมขออณุญาตแนะนำเพื่อนของผมให้ได้รู้จักกับคุณ…”
พชรเดินนำไปยังโต๊ะที่ยองฮวานั่ง
การแนะนำให้ได้รู้จักจึงตามมาด้วยคำชื่นชมในสถานทีจากแขกซึ่งเข้าพัก โดยพชรเป็นล่ามแปลจากนั้นภูมิรพีจึงได้โอกาสขอตัว
สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่คอยต้อนรับอยู่หน้าคฤหาสน์สไตร์คันทรี ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ไงเรา” ภูมิรพีอดไม่ได้ที่จะแวะลูบหัวทั้งที่เจ้าขนยาวยังส่ายหางไม่ยอมหยุด
“จำกันได้งั้นหรือ ขอมือได้หรือเปล่า”
เจ้าคุกกี้ช่างแสนรู้เพราะยื่นมือให้ทันที
“เก่งจริงเรา” ภูมิรพีบอกกลั้วหัวเราะ
“เชิญข้างในเถอะครับคุณภู” เด็กหนุ่มช้างที่วันนี้ใช้ผ้าพันคอสีเดียวกับเจ้าคุกกี้ ทำให้ดูเก๋ไปอีกแบบกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
อากาศอันร้อนระอุจากภายนอกถูกแทนที่ด้วยความเย็นพร้อมกลิ่นกำยานอ่อนๆ ที่อวลในตัวเรือน ภูมิรพีไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นทุกครั้งเมื่อมาเยือน
หลังจากกราบพระจึงหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าบ้านที่อยู่ในชุดคุ้นตานั่งขัดสมาธิในห้องพระใหญ่ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก
“มีอะไรให้คนแก่ได้ทำตัวให้เกิดประโยชน์ก็ว่ามาได้เลย” เทพทัตเอ่ยอย่างเยือกเย็น
เพราะคำพูดนั้นของเจ้าบ้าน เรื่องของเสือที่ยังติดอยู่ภายในใจจึงออกจากปาก ทั้งมั่นใจด้วยว่าผู้ซึ่งอยู่ต่อหน้าเขาจะให้คำตอบกับเรื่องที่ยังค้างคาใจได้ดีที่สุด
“ในใจคุณคิดว่ายังล่ะ” ผู้สูงอายุเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ” ภูมิรพีตอบจากใจจริง
“ผมถามจริงๆ เถอะ ว่าทำไมคุณถึงได้อยากรู้”
ทั้งคำถามและสายตาอันคมกริบของผู้สูงอายุกลับสร้างความอึดอัดให้อย่างบอกไม่ถูก
“อาจเป็นเพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติก็ได้ครับ” ในที่สุดเขาก็ตอบออกมาจนได้
“แต่เมื่อต้องมาเจอกับตัวเอง ก็กลับทำให้ไม่มั่นใจขึ้นมางั้นสินะ” ครั้งนี้เทพทัตกล่าวยิ้มๆ
“คุณคิดมั้ย ว่าบางเรื่องหากไม่รู้ก็จะเป็นการดีที่สุด”
เป็นคำพูดที่ภูมิรพีคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“เพราะครั้งหนึ่ง...ผมก็เคยเสาะหาคำตอบกับเรื่องที่อยากรู้เช่นเดียวกับคุณ แต่เมื่อ…ได้รู้แล้ว ทำให้ผมคิดได้ว่า หากเวลาย้อนกลับไปได้ หากผมไม่รู้ ก็น่าจะดีกว่ามาก”
ความเงียบที่เข้ามาแทนที่ ทำให้ภูมิรพีไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่
“สมัยก่อนมักพูดกันว่าเข้าป่าให้ระวังเสือสมิง คุณเคยได้ยินบ้างหรือเปล่า” ในที่สุดเทพทัตก็กลับมาเข้าเรื่อง
“เสือสมิง งั้นหรือครับ” คลางออกมาอย่างครุ่นคิด
ผู้สูงอายุพยัคหน้ารับก่อนทอดสายตาไปยังขุนเขาอันไกลโพ้นที่ต้องระยับแดดในเวลาใกล้เที่ยงวัน
“เสือสมิงตามความเชื่อของไทยและกะเหรี่ยงที่เชื่อกันว่าสามารถเปลี่ยนตัวเองจากเสือ ให้กลายเป็นคน ที่สำคัญสามารถอยู่ร่วมกับคนปกติในช่วงกลางวันแสกๆ โดยไม่มีอะไรที่แตกต่างเลยทีเดียว”
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงคำพูดนั้นจะทำเอาภูมิรพีถึงกับขนลุกขึ้นมาได้
“หมายความว่า สิ่งที่ผมเห็นเป็น...เสือสมิงอย่างนั้นหรือครับ” เขาแทบไม่รู้ว่าตัวเองพูดสิ่งใดออกมา
“หากคุณไม่ได้ตาฝาด หรือเหน็ดเหนื่อยจนเกิดอาการประสาทหลอน ก็คงไม่มีคำอธิบายใดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“แต่นี่มัน...ไม่ใช่ยุคสมัยที่...”
“พ่อหนุ่มอาจไม่เชื่อ แต่สิ่งที่เราไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี เช่นเดียวกับสิ่งที่เราคิดว่าใช่ มันอาจไม่เป้นตามนั้นก็ได้ไม่ใช่หรือ”
เป็นอีกครั้งที่ความเงียบเข้ามาแทนที่
“ถามจริงๆ เถอะ ว่าจริงๆ แล้ว ในใจคุณต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่”
ภูมิรพีถึงกับพูดไม่ออก เขาจะยอมรับกับสิ่งที่ได้รับฟังนี้ได้อย่างไร มันเกินกว่าที่จะรับได้ต่างหาก
ทั้งที่งานล้นมือ แต่ฐิตารีย์ยังอุตส่าห์คิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ ทั้งที่ชื่อของบุคคลหนึ่งแม้ไม่เคยอยู่ในความคิด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงตัดสินใจโทรฯ หา
“คุณอยู่ที่ไหนคะ”
น้ำเสียงหวานที่ดังมาตามสายทำให้ผู้รับฟัง ต้องมองโทรศัพท์อย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง
“ที่บ้านครับ ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี่เอง เอ่อ...ไม่ทราบว่า คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”
เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า สายตาของกำนันจึงจับจ้องยังบุตรชายในทันใด
แล้วเรื่องที่ได้รับฟังก็ทำให้เขาตกปากรับคำในทันที
“มีอะไร” เพราะรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของบุตรชายเมื่อวางสายลงพิรัชน์จึงถามออกมาเช่นนั้น
“คุณตาเธอนัดผมไปทานข้าวนะครับ”
“เมื่อไหร่” ถามอย่างตื่นเต้น
“ตอนนี้ครับ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นยังริมฝีปากของกำนันในทันทีเช่นกัน
สองพ่อลูกที่กำลังกระหยิ่มใจ แต่หารู้ไม่ว่าได้ตกไปอยู่ในเกมของสาวหน้าใสๆ เข้าให้แล้ว
รถขับเคลื่อนสี่ล้อที่มาจอดยังหน้าคอฟฟี่เฮาส์ ทำให้พชรถึงกับใจคอไม่ดี เกรงจะเกิดรถไฟจะประสานงากันขึ้น
“คุณตาล่ะครับ” ถึงจะเห็นความผิดผปกติที่แสดงออกจากสีหน้าของอีกฝ่ายแต่พาครกลับไม่สนใจ
“ยังอยู่ที่บ้านน่ะครับ” ช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายถือติดมือมาด้วยทำให้พชร ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้ยองฮวามาถึงในตอนนี้
ทว่าเหมือนโชคไม่เข้าข้าง เพราะผู้ที่ขับรถมาจอดยังหน้าคอฟฟี่เฮ้าส์คือเจ้าของชาเล่ต์ฮิล ซึ่งมียองฮวาติดมาด้วย
ภาพนั้นที่นายทหารอากาศหนุ่มยังอยู่ในชุดเต็มยศยืนถือดอกไม้ช่อนั้น จะให้ผู้ที่พบเห็นคิดเป็นอื่นคงไม่ได้
“...คุณภู มาได้ยังไงกันครับ” พชรดูเหมือนจะไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดสิ่งใดดีกว่านี้
“เผอิญลุงจ่าที่คุณให้ไปรับแขก ยางรถเกิดไปโดนตะปูเข้าน่ะครับ ผมก็เลยอาสามาส่ง จะเข้าไปที่จังหวัดอยู่พอดี” ภูมิรพีอธิบายเรื่อยๆ
“สวัสดีครับคุณภู” พาครเอ่ยทักทั้งสะดุดตากับหนุ่มต่างชาติรูปงามที่มาใหม่นั่นที่สุด
“สบายดีนะครับ”
ผู้ถูกทักยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด เพราะสาวเจ้าของฟาร์มมาปรากฏกายเสียก่อน
แม้ภูมิรพีจะขับรถมาไกลจากฟาร์มแล้ว แต่ในใจยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของแขกระหว่างนั่งรถมาด้วยกัน
“ผมมาหาตาน่ะครับ เราเป็นแฟนกัน แต่มามีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ผมก็เลยตั้งใจมาง้อเธอ”
เจ้าของหางเปียสั้นภายใต้กระโปรงเอี้ยมยีนเหนือเข่านั่น เจ้าหล่อนจะเลือกใครกันแน่ ริมฝีปากที่กระตุกยิ้มอย่างชั่งใจเลือนหายอย่างรวดเร็วเหตุเพราะสริตาโทรฯ เข้ามาด้วยเหตุที่ท่านผู้ว่าต้องการเจอเขาด่วนที่สุด
ณ ฟาร์มเทพทัต…
ลมเย็นๆ จากหุบเขาหลังตะวันตกดินพัดผ่านระเบียงกว้างของบ้านปีกไม้ พาให้สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ คือบรรดาเจ้าเหมียวที่นอนเขลง ทว่าสำหรับพชรกลับรู้สึกร้อนราวไฟรุม ซ้ำเรื่องที่พูดคุยก็ฝืดหูอย่างที่สุด เรื่องของลมฟ้าอากาศซึ่งพาให้อาหารตรงหน้าฝืดคอตามไปด้วย
“ก็รู้อยู่ว่ายองฮวาต้องการมาเคลียร์ แต่ตากลับไปเชิญคุณพาครเขามาด้วย ถามจริงๆ เถอะ ว่าตากำลังต้องการอะไรกันแน่” พชรถามเสียงเข้มเมื่อตามเพื่อนรักที่ลุกมาเข้าห้องน้ำ
“ยองฮวาคงไม่คิดมาตามง้อตาทั้งชีวิต จะเอายังไงก็รีบบอกเขาไป จะได้ไม่ต้องมาทำตัวเป็นเด็กเล่นขายของให้เสียเวลาอยู่อย่างนี้”
ฐิตารีย์ได้แต่เชิดหน้าอย่างดื้อดึงขณะเพื่อนชายเดินกลับไปยังโต๊ะ เธอเพียงอยากจะแก้แค้นกับเรื่องที่เขาทำเอาไว้ เพียงเท่านี้ก็ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ
อีกหนึ่งที่หนักใจไม่แพ้พชรคือเจียระไน เพราะหลานสาวบอกจะเชิญบุตรชายของกำนันมาทานข้าว เธอจึงลงมือทำอาหารให้อย่างสุดฝีมือ ทว่าที่เห็นกลับไม่ใช่อย่างที่ต้องการแม้แต่น้อย
“ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนแล้วล่ะครับ” ในที่สุดพาครก็เอ่ยออกมาเมื่อถึงเวลาอันสมควร
นาทีนั้นพชรถึงกับถอนใจอย่างโล่งอก
“เผอิญพรุ่งนี้…ผมต้องไปรายงานตัวที่กองบินแต่เช้าน่ะครับ”
พาครแม้ขับรถออกมาไกลแต่ยังรู้สึกว่าเป็นรองหนุ่มหน้าใสทุกประตู ซ้ำคำบอกกับเขาตรงๆ ระหว่างที่เจ้าบ้านและเพื่อนชายลุกออกจากวงสนทนาว่าเป็นแฟนกับหญิงสาว ก็ยิ่งทำให้เขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ตรงไหน แต่ที่ยังต้องทำหน้าชื่น เหตุเพราะเขาเองก็จะพลาดกับแผนการที่ตั้งใจไว้แล้วนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด
แล้วโทรศัพท์สายที่เข้ามาก็กลับดึงความสนใจของเขาไปจนหมดสิ้น
“คุณอยู่ไหนคะ จะแวะมาหาหรือเปล่าคะ”
เสียงที่ดังมาตามสายพาให้ใจเขาหวั่นไหวได้อย่างบอกไม่ถูก ลืมกระทั่งความมุ่งมั่นจะเอาชนะหัวใจของสาวเจ้าของฟาร์มเทพทัตไปได้อย่างเหลือเชื่อ
สวัสดีค่ะ
พบกันอีกครั้งช่วงเวลาที่อากาศร้อนสุดๆ รักษาสุขภาพกายและใจกันด้วยนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่ยังติดตามงานเขียนนะคะ ยุพากรลงได้ช้ามากๆ เพราะงานรัดตัวมากมายค่ะ ขออภัยทุกท่านมาณ ที่นี้ด้วยนะคะ แล้วพบกันในตอนต่อไปค่ะ
รักผู้อ่านทุกๆ ท่านค่ะ
ยุพากร
ภูมิรพีติดตามพวกมอดไม้ในระยะกระชั้นชิดชิด ท่ามกลางเหตุการณ์จวนตัวนั้น จู่ๆ ก็มีเสือโคร่งออกมาจัดการกับผู้ที่คอยซุ่มยิงเขา ตามมาด้วยเสือตัวนั้นอันตรธานไปกับตา
9
เสือโคร่งตัวเขื่องทะยานจากกลุ่มหมอกพุ่งตรงไปยังจุดหมายราวธนูออกจากแหล่ง ภาพนั้นแจ่มชัดราวเกิดขึ้นตรงหน้า
เพียงเสี้ยวนาทีก่อนกระสุนจะพุ่งออกจากรังเพลิง ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวของผู้แก่กล้าด้วยอาคมได้มุ่งตรงไปยังมอดไม้ พร้อมกันนั้นได้ตวัดไม้เท้าข้างกายไปยังชายหนุ่ม ที่ตามมาคือเกราะกำบังดั่งครอบแก้วกระสุนจึงไม่อาจทะลุทะลวงผ่านไปได้
เป็นอีกเช้าที่เจ้าของฟาร์มสาวใจคอไม่อยู่กับตัว ไม่ใช่เพราะนอนน้อย แต่เพราะฝันประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั่นต่างหาก…เจ้างูใหญ่ตัวนั้นทำให้เธอต้องวิ่งหนีจนสุดชีวิต
เสียงโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาทำให้เธอถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“มีแขกมาหาคุณตาค่ะ ตอนนี้อยู่ที่คอฟฟี่เฮาส์นะคะ”
ฐิตารีย์มาถึงพร้อมๆ กับเพื่อนรักที่ต่างตกตะลึงตามๆ กัน เพราะภาพตรงหน้า บุรุษร่างสูงโปร่งผิวขาวละเอียด เป็นเขาได้อย่างไร…บุคคลที่เธอคิดว่าลืมไปจากหัวใจแล้ว
วูบหนึ่งที่นึกถึงฝันเมื่อคืนนั่น หรือเป็นเพราะเขาผู้นี้กันแน่ที่ทำให้เธอมีลางบอกเหตุได้เช่นนั้น
“คุณ…มาที่นี่ได้ยังไงกันคะ” แทบไม่รู้ว่าตัวเองถามสิ่งใดออกมา แต่ก็เหมือนคิดบางอย่างออกเมื่อหันมามองเพื่อนรักเต็มๆ ตา
“เฮ้ย…ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ” พชรปฏิเสธเป็นพัลวัล
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ทั้งสีหน้าและแววตาจริงจังของแขกที่ไม่ได้รับเชิญพาให้ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออก
“งั้นเราไปช่วยเด็กก่อนแล้วกันนะ” พชรได้ทีปลีกตัว
“ดูเหมือนคุณจะไม่ยินดีสักเท่าไหร่ กับการที่เราได้พบกัน”
นาทีนี้ฐิตารีย์กลับต้องถามตัวเอง ว่าเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ หลายเดือนที่ผ่านมาทำให้เธอได้คิด หนึ่งในนั้นคือคำว่า ‘รัก’ แท้จริงแล้วมันมีความหมายเช่นใดกันแน่
“คุณสบายดีใช่มั้ย” เขาเริ่มเรื่องเมื่อนั่งลงยังโซฟาภายใต้ร่มสีธรรมชาติคันใหญ่
ฐิตารีย์มองบุรุษตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเย็นเยือก
“ตาควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือคะ คุณมีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ” บอกน้ำเสียงไร้เยื้อใย
“สิ่งที่ผมจะพูดอาจฟังคล้ายการแก้ตัว แต่มันก็คือความจริง” ยองฮวาเริ่มเรื่องอย่างเคร่งเครียด
“และไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่คนไปพบกับคุณที่โรงแรมในวันนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็น…พี่ชายฝาแฝดของผมเอง”
คำบอกเล่าของอีกฝ่ายทำให้ฐิตารีย์ถึงกับตกอยู่ในอาการงุนงงไปชั่วขณะ
“ซึ่งผมเพิ่งจะรู้เรื่องนี้…เมื่อไม่นานมานี่เอง” ที่ไม่ได้บอกต่อคือรับรู้เรื่องนี้มาจากใคร
“คุณจะบอกด้วยงั้นหรือคะ ว่าคนที่ไปดูตัวกับบุตรสาวของเจ้าพ่ออุปกรณ์อิเล็คโทรนิค รวมทั้งคนที่ฉันเห็นบนพรมแดงหน้างานเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่โซลนั่นก็ไม่ใช่คุณด้วยเช่นกัน”
ยองฮวาถึงกับหน้าถอดสี ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเธอจะล่วงรู้เรื่องที่นั่นด้วย
“ตาไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่อง ‘ของเรา’ อีกต่อไปแล้ว ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะพูดถึงเรื่องในอดีตอีกแล้วมั้งคะ”
น้ำเสียงจริงจังของฐิตารีย์ทำให้ยองฮวาไม่รู้เลยว่าจะสามารถทำพาระกิจที่ตัวเองตั้งใจมาครั้งนี้สำเร็จได้หรือไม่ อีกทั้งท่าทีที่เธอเดินจากไปก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าเก่าอีกหลายเท่านัก
แล้วเจ้าบ้านก็กลับมาอีกครั้งโดยมีเพื่อนชายตามมาติดๆ
“ขอโทษนะคะ เผอิญตามีธุระ มีอะไรไว้ค่อยคุยแล้วกันนะคะ”
เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มพูดไม่ออก
“หากคุณยังไม่มีที่พักตาขอแนะนำที่นี่นะคะ” เธอส่งนามบัตรของภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ให้
ยองฮวารับมาอย่างงงๆ
“คงต้องขอตัวจริงๆ แล้วล่ะค่ะ ตาให้พชรคอยเทคแคร์ระหว่างที่คุณอยู่ที่นี่แล้วกันนะคะ”
ผู้ถูกเอ่ยชื่อได้แต่มองเพื่อนสาวตาปริบๆ
“แล้วค่อยคุยกันนะคะ” เธอบอกแขกคนสำคัญพร้อมรอยยิ้มขณะผละจากไป
ยองฮวาได้แต่มองพชรอย่างมีคำถามในใจ เหมือนว่าหญิงสาวที่เขาเคยรู้จัก กับเธอผู้นี้แม้ใบหน้าจะพิมพ์เดียวกัน ทว่านาทีนี้เขากลับรู้สึกคล้ายกับว่าไม่เคยรู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ
รถโฟล์คเต่าปี 70 สีมัสตาร์ดที่เจียระไนขับมาจอดยังหน้าแฮร์ เลิฟ อะคาเดมี่ เป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือเจ้าของสถาบันที่ออกมาต้อนรับจนถึงรถ
“ลมอะไรหอบคุณอามาถึงที่นี่ได้คะ” ชิดชไมถามพร้อมรอยยิ้ม
“โธ่ คุณไหมทักอย่างนี้อาก็เขินแย่สิจ๊ะ นี่ค่ะ อาเอาเค้กมาฝากด้วย”
ผู้รับไหว้อีกฝ่ายอย่างงดงาม
“คุณอาไม่น่าต้องลำบากเลยค่ะ ไหมตั้งใจไปอุดหนุนที่ร้านบ่อยๆ อยู่แล้ว ว่าแต่วันนี้จะทำอะไรดีคะ”
“เซ็ตเท่านั้นก็พอจ้ะ ทำสีเอาไว้วันหลัง วันนี้อารีบ”
วูบหนึ่งที่ชิดชไมอยากจะถามออกไปว่าเธอกำลังจะไปงานไหนแต่กลับยั้งปากไว้ทัน
ร้านกระทงทองก่อนเที่ยงวันผู้คนยังบางตา แต่ห้องพิเศษซึ่งถูกจองไว้เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ กลับคึกคัก ซึ่งกำนันพิรัชย์ตั้งใจสั่งอาหารมารับรองแขกพิเศษ โดยเฉพาะปูเก้ช่อใหญ่ที่ติดมือมาด้วยเขาลงทุนสั่งจากร้านดอกไม้เลื่องชื่อของจังหวัดเลยทีเดียว
“คุณเอื้องทานเยอะๆ นะครับ” ไม่พูดเปล่าแต่ตักกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ให้ถึงจาน
“ผมตั้งใจสั่งของโปรดให้คุณเอื้องทั้งนั้น” มองอีกฝ่ายด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“คุณรู้ได้ยังไงกันคะว่าเอื้องชอบทานอะไร”
เสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่ายทำให้เจียระไนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“ก็ในเมื่อผมสนใจคุณ ผมก็ย่อมอยากจะรู้ว่าคุณชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อย่างเช่นดอกไม้ที่ผมสั่งจัดให้วันนี้ผมก็สืบมาเป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน”
“แหม…เอื้องชักกลัวแล้วสิคะ คุณรู้เรื่องของเอื้องทุกอย่าง แต่เอื้องกลับไม่รู้เรื่องของคุณเลย” เธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“คุณเอื้องอยากทราบอะไรก็ถามจากผมได้ทุกเรื่องเลยนะครับ สำหรับคุณเอื้อง ผมไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้ว” บอกพร้อมรอยยิ้มอย่างเยือกเย็น
แม้เจียระไนจะมีคำถามมากมาย แต่กลับไม่กล้าถาม หนึ่งในนั้นคือข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับธุรกิจที่ไม่ชอบมาพากลของเขา
“ว่ายังไงล่ะครับ คุณเอื้องอยากรู้เรื่องอะไร”
“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ปฏิเสธไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“เราคนกันเองแท้ๆ ผมไม่มีอะไรปิดบังคุณเอื้องอยู่แล้ว ว่าแต่วันนี้คุณเอื้องงามมากๆ เลยนะครับ”
คำพูดนั้นทำให้เจียระไนอิ่มเอิบใจจนยากจะหุบยิ้ม
“จริงสิคะ เรื่องที่คุณให้ดิฉันไปลองพูดกับคุณพ่อนั่น...”
อาการยิ้มเจื่อนๆ ของฝ่ายหญิง ทำให้เขารู้แล้วว่าคำตอบเป็นเช่นใด แต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะถอดใจ ในเมื่อเขาลงทุนไปแล้ว ผลกำไรย่อมต้องได้มาไม่ช้าก็เร็ว
“คุณเอื้องอย่ากังวลไปเลยนะครับ หนูตาเองก็ไม่มีทีท่ารังเกียจพาครของผม ให้เด็กๆ เขาจัดการกันเองก็ไม่เลว ถึงตอนนั้นท่านเทพทัตถึงไม่เห็นด้วยก็ไม่อาจจะทัดทานใดๆ ได้แน่” บอกอย่างหมายมั่น
“เหมือนเรื่องของเรานี่ไงครับ” ครั้งนี้พิรัชย์ถือวิสาสะจับมืออีกฝ่ายพร้อมจ้องด้วยดวงตาคู่งามไม่กระพริบ
ไม่น่าเชื่อที่ความรู้สึกของเธอขณะนี้จะเหมือนตัวเองนั้นฝันไป ถึงใครๆ จะมองว่าชายผู้นี้ไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะกับบิดา แต่สำหรับเธอแล้วนี่คือรักแรกซ้ำยังรู้สึกจริงๆ ว่าเขาช่างน่านับถือ
ทั้งสองไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งลอบส่งข่าวให้กับแหล่งกระจายข่าวของจังหวัด
ในเวลาเดียวกัน ณ ป่าผาห่มหมอก...
แล้วก็เป็นไปตามที่สุธินัยคาด เพราะนักข่าวพากันยกขบวนมายังที่เกิดเหตุ โดยท่านผู้ว่าเดินทางมาสมทบ เขาจึงต้องรับหน้าเพราะภูมิรพีและณัฐพากย์พร้อมปลัดนำทีมเข้าป่าแต่เช้าตรู่ เช่นเดียวกับกำลังตำรวจซึ่งสนธิกำลังกับทหารออกลาดตระเวณติดตามไล่ล่ามอดไม้
ถึงจะเข้าข่ายวัวหายล้อมคอก กระทั่งเขียนเสือให้วัวกลัว แต่ย่อมดีกว่าปล่อยเลยตามเลยแน่
ไม่รู้ว่าเจียระไนคิดไปเองหรือเพราะเข้าข่ายวัวสันหลังหวะจากการไปพบพิรัชย์มากันแน่ แต่ค่ำคืนนี้เธอรู้สึกจริงๆ ว่าบิดาพูดน้อยจนผิดปกติ ซึ่งไม่ต่างกับหลานรักที่ไม่พูดจาเหมือนทุกวัน พาให้บรรยากาศคุกรุ่นจนกลืนข้าวแทบไม่ลงคอ
“รู้เรื่องทางชาเล่ต์บ้างหรือเปล่า คุณภูเขากลับมาที่ไร่แล้วหรือยัง” ธนวัตเอ่ยทำลายความเงียบ
“คุณพ่ออยากทราบอะไรหรือครับ”
“กลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะครับ เห็นว่าไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว คุณแสงดาวดูเหมือนจะเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ” ผู้ตอบกลับเป็นพชร
“รู้ละเอียดยังกับอยู่ในเหตุการณ์เชียวนะ” ฐิตารีย์ไม่วายเหน็บ เพราะในใจยังคุกรุ่นไม่หายกับเรื่องของยองฮวา
“เผอิญผมพาเพื่อนไปพักที่ชาเล่ต์นั่นน่ะครับ เลยได้พบกับคุณแสงดาวเธอเข้า” พชรยังอธิบายอย่างใจเย็น ไม่สนใจทีท่าของเพื่อนสาวแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มผู้ที่ถูกกล่าวถึงกำลังหน้ามุ่ยเหตุจากมารดาซึ่งเอือมระอาต่อพฤติกรรมของบุตรชายแต่เพราะไม่อาจห้ามจึงได้แต่บ่นเพื่อคลายอารมณ์ไปอย่างนั้นเอง ที่สำคัญเมื่อได้แนวร่วมอย่างสริตาทำให้เธอมั่นใจว่าอีกไม่นานบุตรชายต้องรามือแน่
“จะให้แม่ใจหายใจคว่ำไปถึงไหน แม่ว่าบอกเรามาหลายครั้งแล้ว หนูนิต้าช่วยแม่พูดหน่อนเถอะลูก แม่จะเป็นลมวันละร้อยครั้ง”
แสงดาวเดินจากไป ปล่อยให้หนุ่มสาวได้อยู่กันตามพัง
รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นยังใบหน้าของสริตาทำให้ภูมิรพีเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“นิต้าไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ที่ทำไมคุณพ่อถึงได้ชื่นชมภู” พูดด้วยดวงตาระยิบระยับ
“ก็เพราะภูทุ่มเททั้งกายและใจขนาดนี้นี่เอง คุณแม่หวังให้นิต้าห้าม แต่สำหรับนิต้ามีแต่จะชื่นชมแล้ภูมิใจในตัวคุณจากใจจริงค่ะภู”
เพราะนัยน์ตาที่ฉายแววบางอย่างออกมาอย่างไม่คิดปิดบังนั่นก็เป็นได้ ผู้ถูกชื่นชมจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ในเวลาเดียวกัน ณ ฟาร์มเทพทัต
ผู้รวบช้อนส้อมพร้อมลุกขึ้นคือประมุขของฟาร์มทำให้หลานสาวมองอย่างสงสัย
“คุณปู่ทำไมทานน้อยจังคะ”
“ปู่ยังอิ่มของว่างเมื่อบ่ายอยู่เลย ทานกันตามสบายเถอะนะ”
ไม่รู้ว่าเจียระไนร้อนตัวหรืออุปาทานไปเองกันแน่ แต่นาทีนี้ยังรู้สึกถึงความผิดปกติของบิดา
กลิ่นคล้ายข้าวหุงใหม่ของดอกชมมะนาดหอมอวลไปทั่วระเบียงบ้าน เช่นเดียวกับสายลมที่เย็นฉ่ำพาให้ปลอดโปร่งก็จริง ทว่าพชรกลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนรักตามลำพัง
“จะบอกได้หรือยังว่ายองฮวามาที่นี่ได้ยังไง” ฐิตารีย์เริ่มเรื่อง
พชรวางหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรชอบกล
“ก็...เขาโทรฯ มาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับตา เราก็เลย...”
“เลยตัดสินใจแทนเรา โดยไม่ปรึกษาก่อน” เธอสวนกลับทันควัน
“ตา...ฟังเราก่อนได้มั้ย เราหวังดีจริงๆ นะ” พชรบอกเสียงเคร่ง
“บางที...สิ่งที่เขาจะมาพูดอาจทำให้ตามีทางออกดีๆ บ้างก็ได้”
“นายกำลังจะพูดอะไรกันแน่” ถามอีกฝ่ายพร้อมจ้องด้วยดวงตาไม่กระพริบ
“อย่างที่บอก ฟังเขาพูดก่อน ส่วนตาจะตัดสินใจยังไงก็คิดเอาก็แล้วกัน”
ความเงียบที่แทรกเข้ามาชั่วขณะทำให้พชรไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดกันแน่
“สำหรับเรา ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีกแล้ว” ในที่สุดเธอก็พูดออกมาจนได้
“รอฟังเขาก่อน อย่าเพิ่งตีกรอบหรือตัดสินใจอะไรตอนนี้ และหากตาจะคิดกลับคำเราก็จะถือว่าไม่เคยได้ยินตาพูดอะไรมาทั้งสิ้น” พชรยังบอกอย่างใจเย็น
“ตาพร้อมเมื่อไหร่บอกเราได้เลย พูดกันให้รู้เรื่องดีกว่าปล่อยให้ค้างคาใจอยู่แบบนี้”
ที่พชรไม่อาจพูดออกมาทั้งที่รู้อยู่เต็มอกก็คือ เหตุผลที่ยองฮวากลับมาหาเพื่อนรักในครั้งนี้ต่างหาก บางที…อาจทำให้มารดาของยองฮวาที่พูดสบประมาทเพื่อนรักในวันนั้นได้ล้มทั้งยืนได้เหมือนกัน
ที่ห้องอาหารของภูมิรพี ชาเลต์ ฮิลล์ ในเช้านี้ดูจะคึกคักกว่าช่วงฮายซีซั่นด้วยซ้ำ เป็นเพราะหนุ่มรูปงามที่หล่อระดับพระเอกซึ่งเข้าพักเมื่อวันวานกระชากหัวใจของสาวๆ ไปได้จนหมดสิ้น
“แขกต่างชาติหรือครับน้ากรอง” ภูมิรพีอดไม่ได้ที่จะถามแม่บ้านใหญ่
“ค่ะ เพิ่งเข้าพักเมื่อวานนี้เอง เพื่อนคุณตาเป็นคนพามาเข้าพักค่ะ เห็นว่าเป็นเพื่อนกันน่ะค่ะ” บุญกรองอธิบาย
“แปลก” ภูมิรพีรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“คะ” แม่บ้านใหญ่มองนายหนุ่มอย่างงุนงง
“น้ากรองว่าไม่แปลกหรือครับ ที่ทำไมต้องให้มาพักที่นี่ ทั้งที่ฟาร์มนั่นก็กว้างขวางใหญ่โตขนาดนั้น”
การสนทนาหยุดลงกลางคันเพราะชายหนุ่มที่มาปรากฏกาย
พชรที่เพิ่งมาถึงได้แต่ยิ้มให้เจ้าของชาเล่ต์อย่างเป็นมิตร
“คุณภูปลอดภัยดีนะครับ ที่เทพทัตเป็นห่วงกันแทบแย่ โชคดีจริงๆ ที่คุณปลอดภัย”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงใจของอีกฝ่ายทำให้ผู้รับฟังยิ้มออกมาได้ และชื่อฟาร์มที่ได้ยินนั่นก็จุดประกายบางอย่างในใจเขาขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ขอบคุณครับ”
“จริงสิครับ ผมขออณุญาตแนะนำเพื่อนของผมให้ได้รู้จักกับคุณ…”
พชรเดินนำไปยังโต๊ะที่ยองฮวานั่ง
การแนะนำให้ได้รู้จักจึงตามมาด้วยคำชื่นชมในสถานทีจากแขกซึ่งเข้าพัก โดยพชรเป็นล่ามแปลจากนั้นภูมิรพีจึงได้โอกาสขอตัว
สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่คอยต้อนรับอยู่หน้าคฤหาสน์สไตร์คันทรี ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ไงเรา” ภูมิรพีอดไม่ได้ที่จะแวะลูบหัวทั้งที่เจ้าขนยาวยังส่ายหางไม่ยอมหยุด
“จำกันได้งั้นหรือ ขอมือได้หรือเปล่า”
เจ้าคุกกี้ช่างแสนรู้เพราะยื่นมือให้ทันที
“เก่งจริงเรา” ภูมิรพีบอกกลั้วหัวเราะ
“เชิญข้างในเถอะครับคุณภู” เด็กหนุ่มช้างที่วันนี้ใช้ผ้าพันคอสีเดียวกับเจ้าคุกกี้ ทำให้ดูเก๋ไปอีกแบบกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
อากาศอันร้อนระอุจากภายนอกถูกแทนที่ด้วยความเย็นพร้อมกลิ่นกำยานอ่อนๆ ที่อวลในตัวเรือน ภูมิรพีไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นทุกครั้งเมื่อมาเยือน
หลังจากกราบพระจึงหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าบ้านที่อยู่ในชุดคุ้นตานั่งขัดสมาธิในห้องพระใหญ่ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก
“มีอะไรให้คนแก่ได้ทำตัวให้เกิดประโยชน์ก็ว่ามาได้เลย” เทพทัตเอ่ยอย่างเยือกเย็น
เพราะคำพูดนั้นของเจ้าบ้าน เรื่องของเสือที่ยังติดอยู่ภายในใจจึงออกจากปาก ทั้งมั่นใจด้วยว่าผู้ซึ่งอยู่ต่อหน้าเขาจะให้คำตอบกับเรื่องที่ยังค้างคาใจได้ดีที่สุด
“ในใจคุณคิดว่ายังล่ะ” ผู้สูงอายุเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ” ภูมิรพีตอบจากใจจริง
“ผมถามจริงๆ เถอะ ว่าทำไมคุณถึงได้อยากรู้”
ทั้งคำถามและสายตาอันคมกริบของผู้สูงอายุกลับสร้างความอึดอัดให้อย่างบอกไม่ถูก
“อาจเป็นเพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติก็ได้ครับ” ในที่สุดเขาก็ตอบออกมาจนได้
“แต่เมื่อต้องมาเจอกับตัวเอง ก็กลับทำให้ไม่มั่นใจขึ้นมางั้นสินะ” ครั้งนี้เทพทัตกล่าวยิ้มๆ
“คุณคิดมั้ย ว่าบางเรื่องหากไม่รู้ก็จะเป็นการดีที่สุด”
เป็นคำพูดที่ภูมิรพีคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“เพราะครั้งหนึ่ง...ผมก็เคยเสาะหาคำตอบกับเรื่องที่อยากรู้เช่นเดียวกับคุณ แต่เมื่อ…ได้รู้แล้ว ทำให้ผมคิดได้ว่า หากเวลาย้อนกลับไปได้ หากผมไม่รู้ ก็น่าจะดีกว่ามาก”
ความเงียบที่เข้ามาแทนที่ ทำให้ภูมิรพีไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่
“สมัยก่อนมักพูดกันว่าเข้าป่าให้ระวังเสือสมิง คุณเคยได้ยินบ้างหรือเปล่า” ในที่สุดเทพทัตก็กลับมาเข้าเรื่อง
“เสือสมิง งั้นหรือครับ” คลางออกมาอย่างครุ่นคิด
ผู้สูงอายุพยัคหน้ารับก่อนทอดสายตาไปยังขุนเขาอันไกลโพ้นที่ต้องระยับแดดในเวลาใกล้เที่ยงวัน
“เสือสมิงตามความเชื่อของไทยและกะเหรี่ยงที่เชื่อกันว่าสามารถเปลี่ยนตัวเองจากเสือ ให้กลายเป็นคน ที่สำคัญสามารถอยู่ร่วมกับคนปกติในช่วงกลางวันแสกๆ โดยไม่มีอะไรที่แตกต่างเลยทีเดียว”
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงคำพูดนั้นจะทำเอาภูมิรพีถึงกับขนลุกขึ้นมาได้
“หมายความว่า สิ่งที่ผมเห็นเป็น...เสือสมิงอย่างนั้นหรือครับ” เขาแทบไม่รู้ว่าตัวเองพูดสิ่งใดออกมา
“หากคุณไม่ได้ตาฝาด หรือเหน็ดเหนื่อยจนเกิดอาการประสาทหลอน ก็คงไม่มีคำอธิบายใดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“แต่นี่มัน...ไม่ใช่ยุคสมัยที่...”
“พ่อหนุ่มอาจไม่เชื่อ แต่สิ่งที่เราไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี เช่นเดียวกับสิ่งที่เราคิดว่าใช่ มันอาจไม่เป้นตามนั้นก็ได้ไม่ใช่หรือ”
เป็นอีกครั้งที่ความเงียบเข้ามาแทนที่
“ถามจริงๆ เถอะ ว่าจริงๆ แล้ว ในใจคุณต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่”
ภูมิรพีถึงกับพูดไม่ออก เขาจะยอมรับกับสิ่งที่ได้รับฟังนี้ได้อย่างไร มันเกินกว่าที่จะรับได้ต่างหาก
ทั้งที่งานล้นมือ แต่ฐิตารีย์ยังอุตส่าห์คิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ ทั้งที่ชื่อของบุคคลหนึ่งแม้ไม่เคยอยู่ในความคิด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงตัดสินใจโทรฯ หา
“คุณอยู่ที่ไหนคะ”
น้ำเสียงหวานที่ดังมาตามสายทำให้ผู้รับฟัง ต้องมองโทรศัพท์อย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง
“ที่บ้านครับ ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี่เอง เอ่อ...ไม่ทราบว่า คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”
เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า สายตาของกำนันจึงจับจ้องยังบุตรชายในทันใด
แล้วเรื่องที่ได้รับฟังก็ทำให้เขาตกปากรับคำในทันที
“มีอะไร” เพราะรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของบุตรชายเมื่อวางสายลงพิรัชน์จึงถามออกมาเช่นนั้น
“คุณตาเธอนัดผมไปทานข้าวนะครับ”
“เมื่อไหร่” ถามอย่างตื่นเต้น
“ตอนนี้ครับ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นยังริมฝีปากของกำนันในทันทีเช่นกัน
สองพ่อลูกที่กำลังกระหยิ่มใจ แต่หารู้ไม่ว่าได้ตกไปอยู่ในเกมของสาวหน้าใสๆ เข้าให้แล้ว
รถขับเคลื่อนสี่ล้อที่มาจอดยังหน้าคอฟฟี่เฮาส์ ทำให้พชรถึงกับใจคอไม่ดี เกรงจะเกิดรถไฟจะประสานงากันขึ้น
“คุณตาล่ะครับ” ถึงจะเห็นความผิดผปกติที่แสดงออกจากสีหน้าของอีกฝ่ายแต่พาครกลับไม่สนใจ
“ยังอยู่ที่บ้านน่ะครับ” ช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายถือติดมือมาด้วยทำให้พชร ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้ยองฮวามาถึงในตอนนี้
ทว่าเหมือนโชคไม่เข้าข้าง เพราะผู้ที่ขับรถมาจอดยังหน้าคอฟฟี่เฮ้าส์คือเจ้าของชาเล่ต์ฮิล ซึ่งมียองฮวาติดมาด้วย
ภาพนั้นที่นายทหารอากาศหนุ่มยังอยู่ในชุดเต็มยศยืนถือดอกไม้ช่อนั้น จะให้ผู้ที่พบเห็นคิดเป็นอื่นคงไม่ได้
“...คุณภู มาได้ยังไงกันครับ” พชรดูเหมือนจะไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดสิ่งใดดีกว่านี้
“เผอิญลุงจ่าที่คุณให้ไปรับแขก ยางรถเกิดไปโดนตะปูเข้าน่ะครับ ผมก็เลยอาสามาส่ง จะเข้าไปที่จังหวัดอยู่พอดี” ภูมิรพีอธิบายเรื่อยๆ
“สวัสดีครับคุณภู” พาครเอ่ยทักทั้งสะดุดตากับหนุ่มต่างชาติรูปงามที่มาใหม่นั่นที่สุด
“สบายดีนะครับ”
ผู้ถูกทักยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด เพราะสาวเจ้าของฟาร์มมาปรากฏกายเสียก่อน
แม้ภูมิรพีจะขับรถมาไกลจากฟาร์มแล้ว แต่ในใจยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของแขกระหว่างนั่งรถมาด้วยกัน
“ผมมาหาตาน่ะครับ เราเป็นแฟนกัน แต่มามีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ผมก็เลยตั้งใจมาง้อเธอ”
เจ้าของหางเปียสั้นภายใต้กระโปรงเอี้ยมยีนเหนือเข่านั่น เจ้าหล่อนจะเลือกใครกันแน่ ริมฝีปากที่กระตุกยิ้มอย่างชั่งใจเลือนหายอย่างรวดเร็วเหตุเพราะสริตาโทรฯ เข้ามาด้วยเหตุที่ท่านผู้ว่าต้องการเจอเขาด่วนที่สุด
ณ ฟาร์มเทพทัต…
ลมเย็นๆ จากหุบเขาหลังตะวันตกดินพัดผ่านระเบียงกว้างของบ้านปีกไม้ พาให้สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ คือบรรดาเจ้าเหมียวที่นอนเขลง ทว่าสำหรับพชรกลับรู้สึกร้อนราวไฟรุม ซ้ำเรื่องที่พูดคุยก็ฝืดหูอย่างที่สุด เรื่องของลมฟ้าอากาศซึ่งพาให้อาหารตรงหน้าฝืดคอตามไปด้วย
“ก็รู้อยู่ว่ายองฮวาต้องการมาเคลียร์ แต่ตากลับไปเชิญคุณพาครเขามาด้วย ถามจริงๆ เถอะ ว่าตากำลังต้องการอะไรกันแน่” พชรถามเสียงเข้มเมื่อตามเพื่อนรักที่ลุกมาเข้าห้องน้ำ
“ยองฮวาคงไม่คิดมาตามง้อตาทั้งชีวิต จะเอายังไงก็รีบบอกเขาไป จะได้ไม่ต้องมาทำตัวเป็นเด็กเล่นขายของให้เสียเวลาอยู่อย่างนี้”
ฐิตารีย์ได้แต่เชิดหน้าอย่างดื้อดึงขณะเพื่อนชายเดินกลับไปยังโต๊ะ เธอเพียงอยากจะแก้แค้นกับเรื่องที่เขาทำเอาไว้ เพียงเท่านี้ก็ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ
อีกหนึ่งที่หนักใจไม่แพ้พชรคือเจียระไน เพราะหลานสาวบอกจะเชิญบุตรชายของกำนันมาทานข้าว เธอจึงลงมือทำอาหารให้อย่างสุดฝีมือ ทว่าที่เห็นกลับไม่ใช่อย่างที่ต้องการแม้แต่น้อย
“ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนแล้วล่ะครับ” ในที่สุดพาครก็เอ่ยออกมาเมื่อถึงเวลาอันสมควร
นาทีนั้นพชรถึงกับถอนใจอย่างโล่งอก
“เผอิญพรุ่งนี้…ผมต้องไปรายงานตัวที่กองบินแต่เช้าน่ะครับ”
พาครแม้ขับรถออกมาไกลแต่ยังรู้สึกว่าเป็นรองหนุ่มหน้าใสทุกประตู ซ้ำคำบอกกับเขาตรงๆ ระหว่างที่เจ้าบ้านและเพื่อนชายลุกออกจากวงสนทนาว่าเป็นแฟนกับหญิงสาว ก็ยิ่งทำให้เขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ตรงไหน แต่ที่ยังต้องทำหน้าชื่น เหตุเพราะเขาเองก็จะพลาดกับแผนการที่ตั้งใจไว้แล้วนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด
แล้วโทรศัพท์สายที่เข้ามาก็กลับดึงความสนใจของเขาไปจนหมดสิ้น
“คุณอยู่ไหนคะ จะแวะมาหาหรือเปล่าคะ”
เสียงที่ดังมาตามสายพาให้ใจเขาหวั่นไหวได้อย่างบอกไม่ถูก ลืมกระทั่งความมุ่งมั่นจะเอาชนะหัวใจของสาวเจ้าของฟาร์มเทพทัตไปได้อย่างเหลือเชื่อ
สวัสดีค่ะ
พบกันอีกครั้งช่วงเวลาที่อากาศร้อนสุดๆ รักษาสุขภาพกายและใจกันด้วยนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่ยังติดตามงานเขียนนะคะ ยุพากรลงได้ช้ามากๆ เพราะงานรัดตัวมากมายค่ะ ขออภัยทุกท่านมาณ ที่นี้ด้วยนะคะ แล้วพบกันในตอนต่อไปค่ะ
รักผู้อ่านทุกๆ ท่านค่ะ
ยุพากร
ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2555, 13:40:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 16:45:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 1621
<< 8 กรยุพา . ยุพากร | 10 กรยุพา . ยุพากร >> |
nuchababluesky 16 ส.ค. 2555, 21:25:18 น.
ตาของเราเสน่ห์แรงจริงวุ้ย
หัวกระไดบ้านไม่แห้งอย่างที่สุภาษิตไทยบอกเอาไว้มันเป็นแบบนี้นี่เอง
หรือจะเรียกว่ารถไฟชนกันดีหว่า
แต่พี่นุชชอบทหารอากาศนะคะ
แพ้คนในเครื่องแบบ อิอิ
ภูของเราชักจะนั่งไม่ติดแล้วเว้ย
ไม่รุกตอนนี้ระวังจะอดนะจ๊ะท่านภู
อย่ามัวไว้มาดอยู่เลย จะทำอะไรก็รีบๆทำหน่อยเหอะ
เราขอร้อง
ตกกะใจกับอีตายองฮวาค่ะ
ยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นฝาแฝดอีกนะ
จะตีหน้าซื่อไปถึงเมื่อไหร่กัน
หรือว่าเป็นพระเอกละครเลยแยกแยะความจริงกับบทบาทการแสดงไม่ออก
เอิ๊กๆๆ
อยากให้ตาเขี่ยนายคนนี้ไปให้ไกลๆไวๆจังเลยค่ะ
แหม ทำกันแสบนาดู แบบนี้อย่าปล่อยเอาไว้นาน
น่าเห็นใจพชรอ่ะ คิดอยากจะช่วยเืพื่อนเท่านั้นเองโดนตาต่อว่ามา
โอ๊ะ โอ๋ว พชร นายอย่างอนนะ
เราว่าสิ่งทีนายทำนั้นนะมันถูกต้องแล้วล่ะ
คุณปู่เนี่ย เก่งจริงๆ
อ่านใจนายภูของเราได้ด้วยอ่า
ใครเขาจะเชื่อเล่าคุณปู ยุคนี้มันยุคมิลเลนเนียมแล้วนา
เรืองผีสางนางไม้มันยากที่จะเชื่ออ่ะ
แต่คนมีวิชาอาคมแบบคุณปู่บอกว่าอะไรเราก็ต้องเชื่อไว้ล่ะ
อยากได้ของดีจากคุณปู่มาคุ้มกันภัยจังเลยค่ะ
นิต้าเธอน่ารักอยู่นะในบางมุม
ไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจยากซะทีเดียว
เห็นเธอเข้าอกเข้าใจภูมิแบบนี้เราก็ชักจะเอนเอียงอยากให้เธอสมหวังเหมือนกันนะเนี่ย
เฮ้อ...ไม่ได้สิถ้าพระเอกสองใจไม่ดีแน่ๆ
แต่ก็แอบเชียร์นิต้าอยู่นะเคอะ
เรื่องเสือสมิงน่ากลัวค่ะ
น่ากลัวแต่ก็ชอบเวลาคนแก่เล่าให้ฟัง
เสือสมิงเหมือนคนเรานี่แหละเนอะ ไรเตอร์
กลางวันเหมือนคน กลางคืนออกล่าหาเหยื่อ
แต่เสือในเรื่องนี้ท่าจะเป็นเสือดี
เพราะคอยพิทักษ์ผืนป่า
เห็นเจ้าคุกกี้แล้วยิ้มได้เลยค่ะ
น่ารักจริงๆ
เห็นเจียระไนเป็นวัวสันหลังหวะแล้ว
คิดในใจว่า คิดมากไปป่าว
คุณปู่อาจจะไม่ได้รู้อะไรเยอะแยะขนาดนั้นก็ได้
ตาของเราเสน่ห์แรงจริงวุ้ย
หัวกระไดบ้านไม่แห้งอย่างที่สุภาษิตไทยบอกเอาไว้มันเป็นแบบนี้นี่เอง
หรือจะเรียกว่ารถไฟชนกันดีหว่า
แต่พี่นุชชอบทหารอากาศนะคะ
แพ้คนในเครื่องแบบ อิอิ
ภูของเราชักจะนั่งไม่ติดแล้วเว้ย
ไม่รุกตอนนี้ระวังจะอดนะจ๊ะท่านภู
อย่ามัวไว้มาดอยู่เลย จะทำอะไรก็รีบๆทำหน่อยเหอะ
เราขอร้อง
ตกกะใจกับอีตายองฮวาค่ะ
ยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นฝาแฝดอีกนะ
จะตีหน้าซื่อไปถึงเมื่อไหร่กัน
หรือว่าเป็นพระเอกละครเลยแยกแยะความจริงกับบทบาทการแสดงไม่ออก
เอิ๊กๆๆ
อยากให้ตาเขี่ยนายคนนี้ไปให้ไกลๆไวๆจังเลยค่ะ
แหม ทำกันแสบนาดู แบบนี้อย่าปล่อยเอาไว้นาน
น่าเห็นใจพชรอ่ะ คิดอยากจะช่วยเืพื่อนเท่านั้นเองโดนตาต่อว่ามา
โอ๊ะ โอ๋ว พชร นายอย่างอนนะ
เราว่าสิ่งทีนายทำนั้นนะมันถูกต้องแล้วล่ะ
คุณปู่เนี่ย เก่งจริงๆ
อ่านใจนายภูของเราได้ด้วยอ่า
ใครเขาจะเชื่อเล่าคุณปู ยุคนี้มันยุคมิลเลนเนียมแล้วนา
เรืองผีสางนางไม้มันยากที่จะเชื่ออ่ะ
แต่คนมีวิชาอาคมแบบคุณปู่บอกว่าอะไรเราก็ต้องเชื่อไว้ล่ะ
อยากได้ของดีจากคุณปู่มาคุ้มกันภัยจังเลยค่ะ
นิต้าเธอน่ารักอยู่นะในบางมุม
ไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจยากซะทีเดียว
เห็นเธอเข้าอกเข้าใจภูมิแบบนี้เราก็ชักจะเอนเอียงอยากให้เธอสมหวังเหมือนกันนะเนี่ย
เฮ้อ...ไม่ได้สิถ้าพระเอกสองใจไม่ดีแน่ๆ
แต่ก็แอบเชียร์นิต้าอยู่นะเคอะ
เรื่องเสือสมิงน่ากลัวค่ะ
น่ากลัวแต่ก็ชอบเวลาคนแก่เล่าให้ฟัง
เสือสมิงเหมือนคนเรานี่แหละเนอะ ไรเตอร์
กลางวันเหมือนคน กลางคืนออกล่าหาเหยื่อ
แต่เสือในเรื่องนี้ท่าจะเป็นเสือดี
เพราะคอยพิทักษ์ผืนป่า
เห็นเจ้าคุกกี้แล้วยิ้มได้เลยค่ะ
น่ารักจริงๆ
เห็นเจียระไนเป็นวัวสันหลังหวะแล้ว
คิดในใจว่า คิดมากไปป่าว
คุณปู่อาจจะไม่ได้รู้อะไรเยอะแยะขนาดนั้นก็ได้
ยุพากร 23 ส.ค. 2555, 22:03:19 น.
พี่นุชตัวจริง เสียงจริงกลับมาแล้ว ปลื้มมากๆ ค่ะ เพราะเมนท์ของพี่นุช ทำให้ได้ความคิดหลายแง่มุมมากๆ ค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ
พี่นุชตัวจริง เสียงจริงกลับมาแล้ว ปลื้มมากๆ ค่ะ เพราะเมนท์ของพี่นุช ทำให้ได้ความคิดหลายแง่มุมมากๆ ค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ