ลิขีตรักใต้เงาทราย ภาค ดั่งแสงตะวัน
ฟายาส อับดุล ซาลามาล มกุฎราชกุมารหนุ่ม ผู้รอการราชาภิเษกให้ขึ้นเป็นสุลต่านองค์ต่อไป หน้าที่คือความรับผิดชอบต่อประเทศ เมื่อพี่ชายเลือกที่จะหลีกทาง เขาจำต้องรับหน้าที่ ที่ไม่เคยต้องการ หัวใจที่เรียบง่ายและเย็นชา บอกกับตนเองเสมอ ว่าจะไม่ขอรักใคร แต่แล้ว...เพราะ... เขาเพียงต้องการที่จะพักผ่อนก่อนที่จะต้องรับภาระหน้าที่...ที่สำคัญ แต่แล้วเพราะถูกลอบปลงพระชนม์ จึงทำให้ได้พบกับคนที่เขาสามารถรักได้ด้วยหัวใจ เธอก้าวเข้ามาในชีวิตของเข้า และจากไปพร้อมกับหัวใจทั้งดวง
Tags: ทะเลทราย

ตอน: ตอนที่ ๗

ตอนที่ ๗
“มาแล้วหรือฟายาส เข้ามาสิ ลัยลารอเจ้าอยู่”
ชารีฟเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงการมาของลูกชายคนเล็ก แต่สายตาของฟายาสไม่ได้มองมาทางนาง เขากำลังมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่างหาก
“เข้ามาสิลูก”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกอีกครั้งชายหนุ่มถึงได้ก้าวเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วจูบแก้มของนาง ชารีฟยกมือขึ้นลูบแก้มลูกชายแล้วยิ้มออกมา ฟายาสอิงแก้มกับมือนุ่ม นี่สิสัมผัสอันอบอุ่น ความอ่อนโยนที่รู้สึกได้เพียงแค่อยู่ใกล้ๆ เท่านั้น
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษา คืนนี้ข้าขอมานอนกับท่านได้ไหม”
ลัยลาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นอาการติดแม่ของคู่หมั้น มุมปากอิ่มกระตุกเป็นรอยยิ้ม หนทางข้างหน้าดูท่าจะไม่ยากเย็น
“หากพวกท่านมีเรื่องคุยกันข้าคงไม่อาจรบกวน”
หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากห้องไปเมื่อชารีฟพยักหน้ารับ ข่าวจากอัฟฟาร์คนสนิทที่ส่งมาคาร์ซาน่าเพื่อสืบข่าวความเป็นไป จนกระทั่งได้รู้ว่าคู่หมั้นรูปงามพาหญิงสาวมาจากเมืองไทย ตอนแรกข่าวว่าเป็นพยาบาลที่ดูแลเขาจากอุบัติเหตุ แต่...พยาบาลอะไรถึงได้นอนห้องเดียวกัน
“อัฟฟาร์”
ลัยลาเดินผ่านสวนดอกไม้กลับสู่ที่พัก แต่แล้วกลับหยุดอยู่ตรงซุ้มกุหลาบ สายตาจับจ้องดอกกุหลาบสีแดงสดแต่ไม่ใช่เพราะติดใจในความงาม
“ครับนายหญิง”
“เราอยากเห็นผู้หญิงคนนั้น”
“นางเดินทางไปมามัวร์แล้ว”
ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น
“คงไม่ยากถ้าเจ้าจะพานางมาให้ข้า”
สิ้นคำสั่งดอกกุหลาบที่อยู่ใกล้มือที่สุดก็ถูกมือนุ่มขยำเสียจนเหลือแต่เกสรกับกลีบช้ำๆ อัฟฟาร์มองการแสดงอารมณ์ของเจ้านายอย่างเป็นห่วง เขามีหน้าที่ติดตามเจ้าหญิงมาได้ 2 ปี ทุกเรื่องที่ถูกสั่งให้ทำล้วนแล้วแต่สร้างความลำบาก
“นายหญิงไม่น่าแสดงออกให้คู่หมั้น...”
“พอเถอะอัฟฟาร์ ข้าไม่คิดที่จะรักเขา ข้าจึงไม่แคร์ที่จะเผยให้เขารู้ว่าข้าเป็นอย่างไร เจ้าอย่าลืมว่าการแต่งงานไม่มีวันยกเลิกเป็นอันขาด ข้าไม่สนใจด้วยซ้ำว่าในวังจะมีผู้หญิงสักกี่คน แต่คนที่อยู่เหนือทุกคนคือข้า”
นัยน์ตาของหญิงสาวดุกร้าวจนน่ากลัว อัฟฟาร์หลบตาลงมองพื้นนี่ล่ะคือเหตุผลที่กษัตริย์ทีจิสรีบกำจัดนางให้ไกลตัว ถ้าไม่ใช่เป็นพ่อลูกกันป่านนี้เจ้าหญิงลัยลาคงเหลือเพียงแต่ชื่อไปแล้วก็ได้
“ส่งคนไปนำนางมาให้ข้า อ้อ ช่วยให้คนที่ทีจิสส่งตุ๊กตาของข้ามาด้วย”
“ตุ๊กตามรณะ”
อัฟฟาร์ครางเสียงพร่า เขากลัวเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นเพราะดวงตาของมันน่ากลัว สีเงินวาบวับเวลาสัมผัสจะรู้สึกราวกับถูกไฟช็อต
คนที่สั่งทำตุ๊กตาตัวนี้คือลัยลา ดวงตาของมันทำจากวัสดุที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการทำขวดเลย์เด็น เพราะขวดลวดและแผ่นโลหะ ตุ๊กตาตัวนี้จึงมีดวงตาสีเงิน และตุ๊กตาตัวนี้ล่ะที่ลัยลาใช้ฆ่าพี่ชายต่างมารดา
ลูกชายคนโตของกษัตริย์ทีจิสเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็ก เขาจำเป็นต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจอยู่ตลอดเวลาเพราะมีโอกาสที่หัวใจจะหยุดเต้นได้
ตุ๊กตามรณะคือชื่อที่กษัตริย์ทีจิสตั้งให้เมื่อสูญเสียลูกชายคนโตที่กำลังจะก้าวขึ้นรับตำแหน่งมกุฏราชกุมาร ลัยยาสั่งทำตุ๊กตาตัวนี้แล้วตั้งมันไว้บนแท่นที่ปูด้วยพรมอาซีเททสีแดงสด ทั้งๆ ที่สามารถหาพรมที่สวยขนาดไหนก็ได้แท้ๆ
ของขวัญจากน้องสาวฆ่าพี่ชายตัวเองอย่างแยบยลนัก อัฟฟาร์หลับตาลงเขายังจำภาพนั้นได้ ไฟฟ้าสถิตทำลายวงจรไฟฟ้าจนเครื่องกระตุ้นหัวใจช็อต ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุแต่เขารู้ดีเมื่อเห็นหญิงสาวเปลี่ยนดวงตาของตุ๊กตาตัวนั้นและสั่งเปลี่ยนพรมที่แท่นรองเป็นพรมขนแกะสีนวล
“ข้าว่า”
“ข้าสั่งเจ้ามีสิทธิแค่ทำตามเท่านั้น”
ลัยลาหันมาพูดเสียงแข็งแล้วเดินกลับไปที่พักของตนเอง ใบหน้าอันสวยงามบัดนี้บิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว

“อย่ายอมนะพี่วิ ถ้ารักแล้วก็ต้องสู้ ไม่ต้องสนใจเขารักเราเสียอย่าง หนักเข้าก็ปล้ำเลยอย่าได้แคร์”
“ไม่ไหวมั้งขวัญพี่ไม่กล้าถึงขนาดนั้นหรอก”
วิเวียนหน้าแดงราวกับลูกตำลึงที่กำลังสุก สีแดงระเรื่อที่แก้มอิ่มทำให้ขวัญข้าวอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่วิ เราเป็นผู้หญิงนะ เสียทองเท่าหัวอย่ายอมเสียผัวให้ใคร”
“ตายแล้ว พี่ยังไม่มีอะไรกับเขานะ จะบ้าเหรอยายวิ”
“แหม...ก็ไปครึ่งทางแล้วล่ะ จริงไหมแม่”
ขวัญข้าวหันไปหาพวก แต่โดนแม่ค้อนจนตาคว่ำเลยหันมาทางพี่สาว
“เชื่อขวัญสิพี่ พี่วิรักเขาไปแล้ว ทำไมต้องทนเสียใจ สู้สิพี่ เป็นขวัญหน่อยไม่ได้”
ขวัญข้าวพูดเสียงหงุดหงิด วิเวียนยิ้มเซียวๆ มองร่างบนเตียงที่ส่งยิ้มมาอย่างมีความสุขแล้วอดที่จะดีใจไม่ได้ แม่ของเธอกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ และจะเข้ารับการผ่าตัดครั้งสุดท้ายที่อเมริกาในอีกสามเดือนข้างหน้า
หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้านอกหน้าต่าง สามวันแล้วสินะที่เธอมาถึง สามวันแล้วที่นอนไม่หลับ ผู้ชายที่รู้เพียงว่าเขาชื่อดาเรสก็พูดภาษาไทยไม่ได้ จะถามอะไรก็ไม่กล้าเพราะสีหน้าเรียบเฉยเหมือนติดป้ายเอาไว้ว่าไม่ต้องการสนทนากับใครทั้งสิ้น
“ตายักษ์...มองทำไมยะ ฟังไม่รู้เรื่องยังอยากรู้อยากเห็นอีก”
ขวัญข้าวแลบลิ้นใส่คนที่ยืนพิงประตูเมื่อหันไปเห็นเขาจ้องมา แล้วหันมาทำหน้ามุ่ยกับพี่สาว
“ขวัญไม่ชอบตานี่เลยพี่วิ ดูสิคนอะไร อุ้ยแม่อ่ะ...”
“เราก็อย่ายั่วเขาสิ”
วิเวียนหัวเราะคิก ขำท่าทางของน้องสาวที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วและสะดุ้งเฮือกเพราะถูกแม่หยิก สาวหน้าหวานทำเสียงสูดปากเบาๆเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา
ดาเรสยกมือขึ้นคลึงจมูก เขาเข้าใจทุกคำพูดแต่ไม่คิดจะบอกว่าตนพูดภาษาไทยได้ อีกทั้งหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มอายุเข้าวัยสาวแล้วด้วยซ้ำ แต่ยังมาทำแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เวลาที่ถูกจ้องนานๆ
เวลานี้อยากจะหัวเราะแต่ไม่กล้า ดาเรสหันหน้าไปอีกทางแล้วกลั้นหัวเราะจนแก้มกระตุกพลันสายตาปะทะกับบางอย่างที่ดูผิดปกติ สายตาเฝ้าจับจ้องการเคลื่อนไหวอยู่ครู่ใหญ่ จึงเดินเข้ามาหาขวัญข้าวแล้วดึงปืนยัดใส่มือของเธอ แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังง่ายๆ ว่า
“If people come to shoot.”
ก่อนจะเดินลิ่วออกไป ท่าทางภายนอกอาจดูเอื่อยเฉื่อยแต่ตัวจริงของดาเรสไม่ต่างอะไรกับม้าป่าอันปราดเปรียว เพียงชั่วอึดใจอุ้งมือหนาก็กำรอบลำคอของผู้บุกรุกเอาไว้ได้คนหนึ่ง เขากระชากมันมากระแทกกับกำแพง ดันร่างนั้นขึ้นจนสุดแขนแล้วยิ้มหยันเมื่อเห็นขนาดร่างกายที่ต่างกัน
“ใช้คนตัวเท่าลูกหมามาจับผู้หญิง ไม่คิดว่ามันกระจอกไปหน่อยหรือไง”
ผู้บุกรุกร่างเล็กแต่ไม่ได้ไร้ฝีมือ กริซสีเงินวาววับสะท้อนแสงตวัดมาที่แขนของดาเรส เสียงคมมีดฟาดผ่านอากาศฟังดูน่ากลัวแต่มันกลับทำให้ชายหนุ่มนึกสนุกขึ้นมา เขาเหวี่ยงผู้บุกรุกจนร่างของมันกระแทกกับกำแพง ทันทีที่ร่างนั้นร่วงลงกองกับพื้น ศัตรูที่เหลือก็กระโดดออกมา
ดาเรสยิ้มแสยะเมื่อเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินล้อมเขาอยู่ สายตาราวม้าป่าที่กำลังกระหายในการต่อสู่เผยออกมาและเมื่อหนึ่งในนั้นกระโจนเข้ามา เสียง...เปรี้ยง...ก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงลงจมกองเลือด
“กว่าจะมาได้”
ดาเรสทักบุรุษสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา อิมมาสวมสนับมือช้าๆ สายตามุ่งตรงไปที่คนตัวใหญ่สุด แต่ก็ยังเล็กกว่าเขาอยู่ดี ในขณะที่ฟายาสใส่กระสุนในรังปืนช้าๆ ด้วยอาการสบายอารมณ์ หากแต่สายตาคู่นั้นมันไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์หรรษาด้วยเลย
เมื่อมีคนเข้ามาขัดขวางถึงสามคน กลุ่มผู้บุกรุกจึงออกอาการลังเลให้เห็น แต่ละคนต่างหันมามองกันเหมือนต้องการคำปรึกษาและสุดท้ายจึงเลือกที่จะสู้
เป็นไปตามที่ฟายาสคิดไว้ คนพวกนี้ต้องรู้ว่าเขาเป็นใครจึงเลี่ยงที่จะเข้ามาทำร้าย แต่มุ่งไปที่ดาเรสกับอิมมาแทน อีกทั้งรูปร่างของชาวคาร์ซาน่าจะสูงใหญ่เหมือนชาวอเมริกันแต่ชาวทีจิสจะมีรูปร่างเหมือนชาวเอเซียจึงเป็นข้อแตกต่างที่รู้สึกได้ทันที
“นายท่านเข้าไปดูคุณพยาบาลดีกว่า ทางนี้พวกเราจัดการเอง”
อิมมาตะโกนลั่นเมื่อหันไปเห็นชายในชุดสีน้ำตาลอีกกลุ่มวิ่งเข้าไปในส่วนที่จัดให้แม่ของวิเวียนพักฟื้น ฟายาสวิ่งไปทันทีเมื่อหันไปเห็นดังนั้น หัวใจแทบจะหลุดออกจากอกเพราะกลัวว่าจะไม่ทัน แต่...
...เปรี้ยง.....
เสียงปืนดังสวนออกมาก่อนที่ผู้บุกรุกจะวิ่งผ่านผ้าม่านเข้าไป ร่างในชุดสีน้ำตาลกระเด็นถอยหลังแล้วทรุดฮวบทำให้คนที่เหลือเกิดความลังเลจะถอยกลับฟายาสก็วิ่งมาดักเอาไว้ จะวิ่งเข้าไปด้านในก็อาจจะตายเอาง่ายๆ ทางสุดท้ายจึงพากันกระโดดข้ามรั้วเหล็กกั้นแปลงดอกไม้แล้ววิ่งหายไปทางด้านหลัง
ทหารกลุ่มใหญ่วิ่งวนเข้ามาพอดีจึงวิ่งติดตามไป ส่วนที่ถูกทำร้ายจนสลบบางคนเริ่มรู้สึกตัวบ้างแล้ว
“อย่ายิงออกมา”
ฟายาสตะโกนเข้าไปด้านในเพราะคิดว่าเป็นทหาร แต่กลับกลายเป็นขวัญข้าววิ่งออกมาพร้อมปืนในมือ หญิงสาวจ่อปืนกับอกเจ้าของบ้านเพราะจำไม่ได้ จนกระทั่งวิเวียนวิ่งตามออกมาแล้วส่งเสียงห้ามถึงลดปืนลง
“อย่านะขวัญ นั่นฟายาส เจ้าของบ้านหลังนี้”
วิเวียนรีบเข้ามาแย่งปืนน้องสาว แล้วส่งให้กับดาเรสที่เพิ่งวิ่งมาถึง
“เอาปืนของคุณไป ทีหลังอย่าให้ยายขวัญจับปืนอีกนะคะ น้องของวิบ้าเลือดจะตาย ดีไม่ดีพวกคุณนั่นล่ะจะโดนยิงเอา”
“เจอหน้ากันก็ทักแบบนี้เลยหรือลาเอลล่า ผมรีบมาทันทีที่ว่างคิดถึงจะแย่”
“เรียงคำใหม่ค่ะ”
วิเวียนแกล้งพูด หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด
“ผมคิดถึงคุณ เลยรีบมาหา”
เพียงแค่นั้นร่างบางก็ยินยอมให้เขารวบตัวเข้าไปกอด แก้มอิ่มกดแนบอกกว้างฟังเสียงหัวใจเต้นระรัวแล้วมีความสุข เขาตื่นเต้นและดีใจที่เจอเธอเช่นเดียวกัน
“พี่วิ จะกอดกันหนูก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ช่วยเกรงใจอีตายักษ์ท่าเตียนสองคนนั่นหน่อยเหอะ จ้องไปยิ้มไปน่าเอานิ้วทิ่มตานัก”
ดาเรสอยากจะหัวเราะเมื่อได้ยินคำที่ขวัญข้าวใช้เรียกพวกตน เขาหันไปเล่าให้อิมมาฟังแล้วอธิบายลักษณะของยักษ์ให้ฟัง พออิมมาหัวเราะสายตาพิฆาตของหญิงสาวก็พุ่งตรงมาที่เขาทันที
“หัวเราะทำไม เข้าใจเหรอที่พูดไปน่ะ”
หญิงสาวสะบัดหน้าเดินจ้ำเข้าห้อง ดาเรสหัวเราะลั่น เขาสะกิดฟายาสแล้วกระซิบเล่าเป็นภาษาจาเรนให้ฟังว่าขวัญข้าวสอนให้พี่สาวสู้ทั้งในเตียงและนอกเตียง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อฟังจนจบ เขาหันมามองหน้าวิเวียนเห็นภาพเลยว่าหญิงสาวจะมีอาการอย่างไรตอนที่ถูกน้องสาวพูดเรื่องนี้
“ข้ารู้แล้วว่าจะส่งใครไปช่วยแม่ข้ายั่วจาริลกับเคย์”
ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อแก้ปัญหาที่กำลังขบคิดอยู่สองวันขึ้นมาได้ แต่พอเห็นสีหน้าแสดงความสงสัยจึงชักชวนหญิงสาวเข้าไปด้านใน
เป็นครั้งแรกที่ฟายาสได้เห็นแม่ของวิเวียน สตรีร่างแรกดูคล้ายกับแม่ของตน ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเข้าไปยกมือไหว้จนนางรับไหว้แทบไม่ทัน
“อย่าไหว้ฉันเลย คุณเป็นถึงเจ้าคนนายคน เป็นเจ้าชาย เป็นกุด อะไรกุดนะขวัญ”
ดาเรสหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาหันไปเล่าให้อิมมาฟังเป็นภาษาถิ่น คนสนิทของฟายาสเลยต้องกลั้นหัวเราะไว้จนน้ำตาไหล
เจ้านายเขายังไม่ทันมีทายาทก็กุดเสียแล้ว...
“มกุฏราชกุมาร แหมแม่เอาซะเสียเลย”
ขวัญข้าวบ่นอุบอิบ แต่สายตายังจับจ้องใบหน้ากวนอารมณ์เอาไว้ราวกับกำลังคาดโทษ หลังจากฟายาสพูดคุยแล้วบอกถึงกำหนดการเดินทางไปผ่าตัดโดยไม่มีผู้ติดตามในครั้งนี้ ขวัญข้าวกับวิเวียนถึงกับออกอาการกังวลให้เห็น
จนกระทั่งได้รับรู้ถึงขั้นตอนการรักษาในโรงพยาบาลพิเศษจึงจำเป็นต้องยินยอม ระยะเวลาหกเดือนอาจจะไม่นาน แต่สำหรับหญิงสาวทั้งคู่มันเหมือนนานแสนนาน
หลังจากพูดคุยได้พักใหญ่ จึงมีการติดต่อแจ้งให้รู้ว่าเครื่องบินที่ใช้ในการนำคนไข้ส่งโรงพยาบาลได้เดินทางมาถึงแล้ว หญิงสาวทั้งสองแทบไม่มีเวลาได้ร่ำลาแม่กันมากนัก จึงได้แต่กอดคอกันร้องไห้เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ขวัญข้าวได้รับข้อเสนอให้เดินทางไปรับใช้ สุลตาน่าแห่งคาร์ซาน่า โดยมีดาเรสเป็นผู้พาไปส่ง หญิงสาวมีอาการอิดออดเล็กน้อย แต่จำต้องทำเมื่อฟายาสเอ่ยถึงค่ารักษาพยาบาลที่ชาตินี้เธอทั้งสองคนไม่มีทางหามาคืนได้แน่นอน
วิเวียนมองตามหลังรถที่น้องสาวนั่งไปจนหายลับไปจากสายตา เธอรู้สึกเหงาอย่างประหลาด เหมือนอยู่ในที่ ที่ไม่ควรอยู่ เหมือนนกพลัดถิ่นที่ถูกใครบางคนจับขังไว้ในกรง หญิงสาวถอนใจเบาๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาจากแก้ม แต่มันก็ยังคงไหลออกมาอีกเรื่อยๆ
“เป็นอะไรลาเอลล่า ร้องไห้ทำไม”
“เหงาค่ะ”
หญิงสาวตอบไปตามความรู้สึก เอนตัวไปตามแรงรั้งจนแผ่นหลังแนบกับอกแข็งแกร่ง ทั้งอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย
“เจ้ายังมีข้า”
ฟายาสกระซิบออกมาเป็นภาษาของตน กดริมฝีปากลงเบาๆ กลางกระหม่อมถ่ายทอดความรู้สึกออกมาจากหัวใจ
“อย่างร้องไห้เลยคนดี เป็นเด็กดีนะ”
วิเวียนหัวเราะเบาๆ คำปลอบโยนนี้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นจริงๆ
“ค่ะวิจะเป็นเด็กดี”
เสียงหัวเราะของคนทั้งคู่ราวกับบทเพลงของเหล่าเบดูอินที่ท่องไปในทะเลทราย ลิขิตแห่งฟ้าและผืนทรายต่างเคลื่อนเข้ามาโอบล้อมคนทั้งคู่ไว้ สายลมที่พัดผ่านกระซิบให้กำลังใจให้คนทั้งคู่สู้ต่อไปอย่าได้หวั่น
ฟายาสจับหญิงสาวในอ้อมกอดให้หันมาเผชิญหน้า สายตาลึกล้ำยากอ่านออกจ้องริมฝีปากอิ่ม ความรู้สึกตอนนี้เหมือนจมลงในท้องทะเลช้าๆ นัยน์ตาสีดำราวนิลชั้นดีล้อมกรอบด้วยขนตาเป็นแพจ้องตอบกลับมา
ท้าทายและเชิญชวน...ฟายาสไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นสิ่งนี้ รอยยิ้มแตะแต้มที่มุมปากเมื่อมือนุ่มยกขึ้นลูบคางสากด้วยท่าทางยั่วยวน
“คุณน่าจะโกนหนวดได้แล้ว”
วิเวียนพูดพลางลากปลายนิ้วไปตามแก้ม คาง สัมผัสหนวดเคราแข็งๆ ที่ขึ้นครึ้ม ไล่ตามรอบขอบปากที่ยามโกรธมักจะขบเม้มเป็นเส้นตรงแลดูดุดัน แต่ยามนี้...มันแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างน่าดู
หญิงสาวแตะปลายนิ้วกับรอยบุ๋มที่ริมฝีปากล่าง ชะม้ายตาขึ้นสบนัยน์ตาสีเงิน แล้วหลุบลงอย่างเขินอาย ฟายาสครางเสียงพร่า นี่มันอะไรกันอยู่ๆ คนเรียบร้อยอย่างเธอถึงได้ทำท่าทางแบบนี้
“ริมฝีปากคุณเหมือนกลีบกุหลาบ นุ่ม เนียนและชวนสัมผัส”
ฟายาสกระซิบเสียงพร่า เขาใช้มือยึดปลายคางเธอไว้แล้วใช้หัวแม่มือคลึงกลีบปากนุ่มเบาๆ คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวใจ ว่าทำไมเขาถึงรักและปรารถนาผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้สวยเลิศเลอ
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอเหมือนผลไม้ฉ่ำหวานน่าลิ้มลอง เขาอยากจูบเธอ อยากบดเบียดปลายลิ้นเข้าลิ้มองความหวานที่ซ่อนอยู่ภายใน เขาเผลอกลืนน้ำลายก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสับสนและอ้อนวอน
“คุณกำลังทำให้ผมผิดสัญญา”
“วิยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
วิเวียนแกล้งทำเสียงสูง สองมือยกขึ้นดันตัวเองออกจากอ้อมกอดทำท่าจะหันกลับแต่ถูกรวบตัวเข้าไปกอดอีกครั้ง
“มองผมสิลาเอลล่า มองผม”
ฟายาสสั่งเสียงพร่า
“ผู้ชายคนนี้ปรารถนาในตัวคุณ ปรารถนาครอบครองหัวใจและร่างกาย อย่าแกล้งกันอีกเลย”
ถ้อยคำตัดพ้อ แววตาไหววูบสะท้อนแสงไฟ ราวกับมนตราที่พาให้หัวใจลุ่มหลง แรงรักแรงปรารถนาพาให้หัวใจอยู่เหนือเหตุผลใดๆ วิเวียนเงยหน้าขึ้นยกสองมือวางทาบตามแนวกรามก่อนจะเขย่งตัวขึ้นเพื่อให้ริมฝีปากบรรจบกัน
“ค่ะฟายาส...วิให้คุณ”
ราวกับเป็นคำตอบจากสวรรค์ ฟายาสตวัดร่างบางขึ้นอุ้ม เขาก้าวเข้าสู่เคหะสถานมุ่งหน้าสู่ห้องของตน สองขาก้าวไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ากลัวร่างในอ้อมแขนจะเปลี่ยนใจ จวบจนได้วางหญิงสาวลงบนที่นอนหนานุ่ม เขาจึงเลือกที่จะถอยห่างออกมา
“ผมให้โอกาสคุณอีกครั้ง ตอบรับหรือปฏิเสธ อย่าลืมว่าเมื่อไหร่ที่คุณเป็นของผม คุณ...จะไม่สามารถก้าวกลับมา ณ จุดเดิมได้”
คำพูดของฟายาสทำให้ร่างบนเตียงนิ่งไปพักใหญ่ ทั้งห้องเงียบสงัดจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน หัวใจของชายหนุ่มแทบจะหยุดเต้น จนกระทั่งหญิงสาวยิ้มและพยักหน้าช้าๆ ร่างหนาจึงกระโดดบนเตียงแล้วสวมกอดเธอไว้
“โอ้...ลาเอลล่า ข้าให้สัญญาต่อพระเจ้าทุกพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นของชาติใด ศาสนาใด ข้าจะรักเจ้าเพียงจนเดียวชั่วนิรันดร์”
เป็นครั้งแรกในชีวิตของฟายาสที่ตระหนักได้ว่าตนเองรักวิเวียนมากแค่ไหน เขาให้สัญญาว่าจะทำทุกทางเพื่อปกป้องคุ้มครองเธอด้วยชีวิต
แม้ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฟายาสพูด แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก วิเวียนกอดตอบแล้วบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเธอจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้
...หากวันหนึ่งเราสองคนต้องจากกัน อย่างน้อยขอตัวแทนของคุณไปกับวิด้วยนะคะฟายาส...
วิเวียนคิดในใจ หากแต่ความคิดนี้ไม่อาจเป็นจริงได้ เพราะคนอย่างฟายาสไม่มีวันยอมให้สิ่งที่เขารักห่างสายตา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามเอาของที่เป็นของเขากลับมา




tonpalm
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2554, 13:27:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2554, 13:27:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 2868





<< ตอนที่ ๖   ตอนที่ ๘ >>
ดอกทิวลิป 29 เม.ย. 2554, 15:44:59 น.
อารมณ์ค้างเลยง่ะ


แว่นใส 29 เม.ย. 2554, 15:54:40 น.
อยากเจอคู่ของขวัญข้าวจังเลย


sa 29 เม.ย. 2554, 18:58:55 น.
ตามค่า


Gingfara 29 เม.ย. 2554, 19:12:27 น.
ซึ้งเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account