กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 20
ตอนที่ ๒๐
พีรพัฒน์ยืนนิ่งอยู่บนระเบียบชั้นบนของบ้าน จากมุมนี้นัยน์ตาคมปลาบสามารถมองเห็นร่างบางๆของสาวน้อยสองคนที่ง่วนอยู่กับการตัดชะอมใส่กระจาด ใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม แววตาสุกใสพร้อมเสียงหัวเราะที่แว่วมาไม่ขาดสายทำให้ชายหนุ่มเผลอมองสองสาวน้อยเสียเพลินจนไม่เห็นว่าคุณดวงทิพย์มายืนอยู่ข้างๆ
“ทำอะไรอยู่จ๊ะ ไหนว่าขึ้นมาหยิบของบนบ้านแป๊บเดียวแล้วจะลงไปปอกมะพร้าวให้แม่ไง แล้วมายืนแอบดูอะไรอยู่ตรงนี้”
ชายหนุ่มหันมาทางเสียงทัก ยิ้มบางๆฉาบในหน้าเมื่อบุ้ยใบ้ให้ผู้เป็นมารดามองวริณสิตากับลูกชุบ
“ผมสงสัยอยู่ว่าเที่ยงนี้ แม่จะทำกับข้าวเลี้ยงทหารสักกี่กองพันกัน สองคนนั่นเก็บผักจะหมดสวนแล้ว”
“แน้! พีอย่าดูถูกสวนแม่นะ คอยดูเถอะเก็บวันนี้ พรุ่งนี้ผักของแม่ก็แตกยอดให้เก็บเหมือนเดิม”
พีรพัฒน์หัวเราะขำ ในกระจาดใบย่อมนั่นไม่ได้มีเพียงชะอมสำหรับจะทอดกับไข่เท่านั้น หากยังมียอดอ่อนฟักทอง บวบเหลี่ยม ดอกแค กระเจี๊ยบและคงอะไรๆอีกหลายอย่างที่อยู่ข้างใต้นั่น แล้วระหว่างเด็กสิบเจ็ดกับเด็กสิบสาม พีรพัฒน์ก็ไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้นำใครในการเก็บผักนานาชนิดจนล้นกระจาดแบบนั้น
“สนุกกันใหญ่” เขาเปรย ไม่ละสายตาจากเด็กในปกครองของตัวเองเลยแม้แต่นิด เพราะนับตั้งแต่ที่เขารับวริณสิตาเข้ามาอยู่ที่บ้านคุณอัง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสาวน้อยคนนั้นหัวเราะอย่างสดใส
“ถ้าลองได้ทำสิ่งที่รักที่ชอบ ไม่ว่าใคร ก็มีความสุขทั้งนั้นแหละพี”
“นั่นสินะครับ” เขารับคำเสียงเบา เข้าใจลึกซึ้งอยู่เต็มอก
“แล้วตัดสินใจหรือยังล่ะจ๊ะว่าจะให้เขาเรียนที่ไหน” คนเป็นแม่ถาม พีรพัฒน์เล่าทุกอย่างให้คุณดวงทิพย์ฟังเสมอ รวมถึงเรื่องที่วริณสิตาอยากเรียนด้านการเกษตร มิหนำซ้ำยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะเกษตรได้แล้วด้วย ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมา
“ผมอุปการะเขาด้วยเงินป้าอัง ผมก็อยากให้เขาช่วยงานให้กับบริษัทของป้าอัง”
แต่มันคงเป็นสิ่งที่ฝืนความรู้สึกของเด็กคนนั้นเสียเหลือเกิน และจริงๆพีรพัฒน์เองก็ไม่อยากต้องบังคับหรือฝืนใจอะไรใครเลย คนเป็นแม่ดูเหมือนจะเข้าใจ คุณดวงทิพย์ยื่นมือแตะต้นแขนลูกชายเบาๆ
“แม่เองก็เป็นได้แต่คนรับฟัง ความเหมาะสมอะไรทุกๆอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพีเท่านั้น”
ใช่ มันคงต้องเป็นเช่นนั้น ในเมื่อวริณสิตาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา อนาคตเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไร ไปทางไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาคนเดียว
หลังจากเก็บผักเสียเต็มกระจาดใหญ่ วริณสิตาและลูกชุบก็กลับเข้ามาใต้ถุนบ้านก่อนตรงเข้าไปด้านหลังที่เป็นครัวของคุณดวงทิพย์
“มาแล้วจ้าๆ ชุบกะพี่จิ๊บเก็บผักมาให้ป้าทิพย์เต็มเลย” ลูกชุบส่งเสียงดังมาตามเคย ขณะที่วริณสิตาถือกระจาดตามมาด้านหลัง ในครัวนั้นเธอเห็นคุณดวงทิพย์นั่งบนแคร่ใกล้เตาไฟ ใกล้ตัวมีกระจาดอีกใบที่ใส่พวกเครื่องแกงอย่างพริกแดงแห้ง ข่า ตะไคร้ ถัดไปมีครกสำหรับตำพริกแกง รวมถึงแฟงสองลูกที่ลูกชุบปันมาให้ก็วางอยู่บนแคร่นั้นด้วย
ส่วนผู้ปกครองเธอน่ะอยู่อีกฟากและกำลังก้มหน้าก้มตาใช้กระต่ายขูดมะพร้าว เขาเหลือบตาขึ้นมองเธอหนึ่งที ก่อนก้มลงไปใส่ใจกับงานของตัวเองอีกครั้ง
“เออ แล้วไปบอกย่าหรือยังเจ้าชุบ ว่าจะมากินข้าวกับป้าที่นี่” เสียงคุณดวงทิพย์เอ่ยถามลูกชุบขณะที่วริณสิตาเลี่ยงเข้ามาได้แล้วและวางกระจาดบนแคร่
“แฮะๆ ยังเลยจ้ะ เดี๋ยวชุบวิ่งไปบอกก่อนนะ” ว่าแล้วลูกชุบก็วิ่งปรื๋อออกไปทันที
“เอ่อ...ป้าจะทำแกงอะไรบ้างคะ มีอะไรให้หนูช่วยทำได้บ้างหรือเปล่า” วริณสิตาถาม
“เออ งั้นหนูปอกแฟงเป็นไหมล่ะจ๊ะ หั่นเป็นชิ้นๆให้ป้าหน่อยป้าจะทำแกงคั่วแฟงเจ้าชุบมันหนึ่งอย่างล่ะ แล้วไหนดูสิ เก็บอะไรกันมาบ้าง” คุณดวงทิพย์ดึงกระจาดผักไปดูแล้ว ส่วนวริณสิตาก็เอื้อมไปหยิบแฟงพร้อมมีดมาลงมือปอก ตาก็แอบเหลือบๆมองผู้ปกครองไปด้วย
โธ่! ก็จะไม่ให้มองได้อย่างไร บอกตามตรง ไม่เคยคิดหรอกว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้ ปกติเคยเห็นแต่ที่หน้าดุๆใส่สูทนั่งโต๊ะ แต่นี่...คุณพีขูดมะพร้าว!
แล้วคนคิดก็ได้แต่ลอบอมยิ้มขำ ทว่านาทีนั้น...
“จะมองอะไรนักหนา เดี๋ยวมีดก็บาดมือหรอก” เสียงทุ้มๆเอ่ยบอก ทำเอาคนลอบมองหน้าร้อนเห่อ
ก็เขาจับได้ว่าเธอแอบมอง! วริณสิตาเลยก้มหน้างุดทันที เธอได้ยินเสียงคุณดวงทิพย์หัวเราะจางๆ แต่หลังจากสถานการณ์ประดักประเดิดผ่านไปและลูกชุบกลับเข้ามา ในครัวก็กลับมามีสีสัน เสียงหัวเราะกรุ่นกำจาย วริณสิตารู้สึกสนุกมากที่ได้ทำกับข้าวกับปลาต่างๆกับคุณดวงทิพย์ ได้ล้อมวงทานข้าว ได้เล่าได้คุยกันด้วยเรื่องต่างๆที่เธอชอบ และหยอกล้อเล่นกันสนุกสนานกับลูกชุบ แต่แน่นอน...ท้ายที่สุดช่วงเวลาความสุขก็ต้องสิ้นสุด
“บ่ายสามแล้ว ผมคงต้องกลับแล้วล่ะแม่ มีเรื่องที่ผมต้องทำต่ออีกหน่อย เดี๋ยวจะมืดก่อน” พีรพัฒน์บอก เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนหันไปทางเด็กในปกครอง และไม่มีการต่อเวลาให้ใครแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นอาณัติสัญญานให้วริณสิตาลุกตาม
สาวน้อยจำต้องลุกขึ้นอย่างหงอยๆ ยกมือไหว้คนสูงวัยพร้อมกล่าวลา
“แล้วมาใหม่นะจ๊ะ” คุณดวงทิพย์บอก
“ใช่ๆ แล้วมาใหม่นะพี่จิ๊บ ครั้งหน้าจะพาเดินไปเที่ยวที่บ้านชุบบ้าง ย่าชุบอ่ะก็ทำกับข้าวอร่อยไม่แพ้ป้าทิพย์เลยจะบอกให้”
วริณสิตายิ้มบางเบา ไม่กล้าให้คำตอบอะไรกับลูกชุบ เพราะเธอจะมีโอกาสมาอีกหรือไม่ มันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยากของเธอเลย
“แล้วอย่าลืมมาน้า” ลูกชุบตะโกนบอก โบกมือให้หยอยๆขณะที่สาวน้อยต้องเดินตามผู้ปกครองต้อยๆกลับไปที่รถ
“ยิ้มหน่อยซิ” เสียงพีรพัฒน์บอกเมื่อกลับเข้ามานั่งในรถเรียบร้อย วริณสิตาได้แต่คิด ว่านั่นคือคำสั่งใช่ไหม สาวน้อยเลยยิ้มได้เจื่อนจืดเต็มทนจนผู้ปกครองต้องผ่อนลมหายใจ
“พรุ่งนี้เป็นวันรายงานตัวของเธอแล้วใช่ไหม” เขาถามอีก ไม่ได้สตาร์ทรถสักที แต่แน่ล่ะ สำหรับวริณสิตา ยิ่งมาถามเรื่องนี้ก็ยิ่งยิ้มไม่ออก! พีรพัฒน์ใช้นิ้วเคาะพวงมาลัย ตลอดช่วงที่วริณสิตาสุขใจ เขาเองก็ใคร่ครวญอะไรบางเรื่องอย่างหนักเช่นกัน มันใช้เวลาค่อนข้างนานเพราะมันก้ำกึ่งระหว่างคำว่าเหมาะสมกับสบายใจ แต่ในที่สุดเขาก็ตกลงใจ ชายหนุ่มล้วงมือหยิบของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อส่งให้วริณสิตา
“รับไปสิ” พีรพัฒน์ว่า เพราะเป็นแค่ถุงพลาสติกใสธรรมดา จึงเห็นได้ชัดว่าสิ่งของข้างในคืออะไร
มันเป็นกระดุมโลหะ กับหัวเข็มขัดที่เป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย...และเหนือสิ่งอื่นใด...มันเป็นของมหาวิทยาลัยที่เธอต้องไปรายงานตัวพรุ่งนี้ด้วย! วริณสิตาเงยหน้ามองผู้ปกครองทันที
“หัวเข็มขัดนี่อาจเก่าหน่อยเพราะมันเป็นของฉันเอง” เสียงชายหนุ่มว่า “แต่กระดุมนี่น่ะฉันซื้อให้เธอใหม่ เพราะนักศึกษาชายเขาไม่ต้องใช้กระดุมแบบผู้หญิง ฉันเลยไม่มี เอ้า! รับไปสิ ไปรายงานตัวพรุ่งนี้เธอจำเป็นต้องใช้”
วริณสิตาถึงกับยื่นสองมือไปรับประคองไว้
“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณ” สาวน้อยพร่ำออกไป รอยยิ้มกรุ่นกำจายและหัวใจเต้นถี่อย่างยินดีที่สุด!
“ฉันอนุญาตให้เธอเรียนในสิ่งที่เธอต้องการได้วริณสิตา แต่ว่าฉันจำเป็นต้องบอกเธอไว้” พีรพัฒน์พูด “นอกจากงานที่บริษัทของป้าอัง ฉันยังมีบริษัทเล็กๆของฉันเองที่ลงทุนร่วมหุ้นกับคุณซ้งและเพื่อนฉันอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น งานของฉันเลยมีมาก ฉันอนุญาตให้เธอเรียนเกษตรได้ แต่เธอต้องแบ่งเวลามาเรียนรู้และช่วยงานฉันในส่วนของบริษัทป้าอังด้วย ตกลงมั้ย?”
“ได้ค่ะ! ได้ หนูจะพยายาม” วริณสิตาให้สัญญา พีรพัฒน์ยิ้มละไมขณะได้ฤกษ์สตาร์ทรถได้สักที
“ดี เอาละ ทีนี้ที่เธอยังขาดอยู่สำหรับพรุ่งนี้คือชุดนักศึกษาใช่ไหม” เขาถาม หันมาขยิบตาให้เด็กในปกครองอย่างอารมณ์ดีก่อนประกาศว่า “อืม! แค่ชุดนักศึกษาหญิงที่ถูกระเบียบมหาวิทยาลัย ฉันคงไม่จำเป็นต้องพึ่งใครให้ช่วยเลือกให้เธอแล้วล่ะวริณสิตา!”
วริณสิตารู้สึกว่าได้ยินเสียงใจตัวเองเต้นตึ๊กๆอยู่ในหูชัดมากเมื่อก้าวเท้าลงจากรถยุโรปคันใหญ่ของบ้านคุณอังกาบ สาวน้อยกำลังตื่นเต้นมากๆทีเดียว เพราะแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรก ที่วริณสิตาได้เข้ามาเหยียบอาณาเขตของมหาวิทยาลัย แต่นี่น่ะคือครั้งแรก คือวันแรกที่เธอจะเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาในรั้วนี้!
วริณสิตาก้มมองตัวเองในชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยมเพื่อความมั่นใจอีกที
“ไปถูกแน่นะครับคุณจิ๊บ ให้ลุงวนรถหาตึกเรียนให้ดีกว่าไหม?” เสียงนายก้านเสนอขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่สาวน้อยก็รีบเงยขึ้นมาก่อนส่ายหน้าจนผมที่ผูกไว้เป็นหางม้าแกว่งไกว
“ไม่เป็นไรจ้ะลุง จิ๊บไปเองได้ รับรองไปถูกแน่นอน” วริณสิตาบอกเร็วปรื๋อ โธ่! ก็ที่อุตส่าห์เร่งเร้าให้ลุงก้านมาส่งก่อนเวลาเริ่มเรียนวิชาแรกตั้งสองชั่วโมงก็เพราะอยากจะเดินสำรวจมหาวิทยาลัยด้วยขาตัวเองบ้างต่างหาก แล้วงั้นจะให้ลุงก้านขับรถหาตึกเรียนให้ทำไม
“ตอนเย็นๆเลิกเรียนแล้ว ลุงจะมารอรับแถวนี้นะครับ เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านคุณจิ๊บจดไว้แล้วแน่นะครับ?”
“จ้ะ จิ๊บจดไว้เรียบร้อบแล้ว ลุงไม่ต้องเป็นห่วงเลย” สาวน้อยรีบยิ้มละไม ยกมือไหว้คนสูงวัยก่อนปิดประตูรถให้อย่างเรียบร้อยเป็นการตัดบท
วริณสิตาหันหน้ากลับมาด้านมหาวิทยาลัย ภาพหนุ่มๆสาวๆหน้าใสที่แต่ละคนใส่เสื้อใหม่สีขาวจั๊วะช่างสร้างบรรยากาศให้สถานที่แห่งนี้ดูสดใสและท้าทาย วริณสิตาสูดหายใจเข้าปอดยาวๆ...ชีวิตน้องใหม่ของเธอเริ่มต้นแล้ว
แต่อาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยก็ช่างกว้าง มีหลายตึกหลายคณะ เมื่อวันที่วริณสิตามารายงานตัวก็มีรุ่นพี่มารอพบหน้าน้องๆและแนะนำสถานที่อยู่บ้าง เธอจำได้ว่าคณะเกษตรของเธอนั้นอยู่ลึกเข้าไปข้างในๆเลย ว่าแต่ว่า...ที่ๆเธอกำลังยืนอยู่เนี่ยมันคือจุดไหนของมหาวิทยาลัยล่ะ
วริณสิตาตัดสินใจมองหาป้ายแผนที่ แล้วก็เจอตรงหัวมุมถนนจึงซอยเท้าถี่ๆวิ่งไปดู ทว่าตอนที่กำลังง่วนๆอยู่กับคำว่า ‘คุณอยู่นี่’ จู่ๆก็มีมือใครไม่รู้คว้าหมับเข้าให้ที่ต้นแขน!
“เธอ! ช่วยด้วย ช่วยเราหน่อยสิ เราแย่แล้ว!”
“หา?!” วริณสิตาอ้าปากค้าง เมื่อหันไปพบว่าคนที่คว้าต้นแขนเธอนั้นคือเด็กสาวหน้าใสไว้ผมเปียสองข้าง เสื้อเชิ้ตแขนสั้นขาวจั๊วะบอกให้รู้ว่าสาวเปียแปลกหน้าอยู่รุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนสายตาหลังแว่นกรอบรีสีดำที่มองมานั้น ก็ดูวิงวอนเสียราวกับว่า...โลกมันกำลังจะแตกในอีกไม่เกินสามนาทีข้างหน้าแล้ว!
“อะ...อะไร?” วริณสิตาถาม แต่สาวแว่นผมเปียนั้นไม่ตอบ กลับลากเธอติดมือไปที่ตู้กดเงินอัตโนมัติซึ่งอยู่ใกล้ๆ
“บัตรเราติดอยู่ในตู้นี้น่ะ เอาออกไม่ได้ ทำไงดี?”
“หา?!”
วริณสิตาได้แต่อ้าปากค้างกันอีกหน ก่อนเพ่งไปดูตู้เอทีเอ็มตรงหน้าแล้วเห็นว่าตรงช่องเสียบบัตรมีขอบบัตรสีเหลืองๆขัดค้างอยู่
“บัตรติด เอาออกไม่ได้ ทำไงดี?”
เอ้อ! เปล่า! ไม่ใช่ ที่ร้อง ‘หา’ อ้าปากค้างไปไม่ใช่เธอไม่ได้ยินสักนิด แต่วริณสิตาไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงต่างหาก เพราะอย่าว่าแต่บัตรเอทีเอ็มเลย ชีวิตนี้ แค่สมุดบัญชีธนาคารเธอยังไม่เคยมีเลย!
“เอ่อ...เอ่อ...” วริณสิตาอึกอัก และยิ่งเห็นอย่างนั้น สาวแว่นผมเปียก็ยิ่งหน้าเหยร้อนรนใหญ่ เจ้าหล่อนคว้ามือวริณสิตาไว้แล้วเริ่มกรีดร้องตีโพยตีพายคล้ายว่าบัตรติดนี่น่ะมันปัญหาใหญ่ระดับชาติ!
“เฮ้ย! แล้วเราจะทำไงดีล่ะเธอ ทำไงดี๊ ทำไงดี โอ๊ยๆ”
“เอ่อ...งั้น...งั้นลองพยายามดึงออกดูก่อนดีมั้ย เดี๋ยวเราช่วย”
“จริงนะ?” สาวแว่นผมเปียหยุดตีโพยตีพายทันที
“อืม!” วริณสิตาพยักหน้าให้อย่างมั่นคง แล้วหลังจากนั้นก็เป็นสถานการณ์แบบ...พยายามทุกวิถีทางจะเอาบัตรออก!
แต่อาจเพราะแนวบัตรที่ตัวเจ้าของเสียบเข้าไปแต่แรกไม่ตรงอยู่แล้ว พอดึงออกมันก็ยิ่งขัดใหญ่ พอจะใช้วีธีดันกลับเข้าไปก็ดันไม่ได้เพราะมันขัดช่องไปแล้ว! สองคนเลยมะรุมมะตุ้มหน้าตู้กันอย่างเคร่งเครียดไม่สนใจใครจนกระทั่ง...
“นี่! โทษนะ” เสียงห้าวๆดังขึ้น “แต่จะยืนกดกันอีกนานมั้ย คนอื่นเขาก็รอจะกดเงินอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
ไม่ต้องใช้ความพยายามตรงไหนก็รู้สึกได้ว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์ใด วริณสิตาจึงหันกลับไปทันที
“เอ่อ ขอโทษค่ะ” สาวน้อยรีบพูดเร็วปรื๋อ “แต่ว่าบัตรของเพื่อนเขาติดอยู่ในเครื่องแล้วมันเอาออกไม่ได้น่ะค่ะ เรากำลังพยายามช่วยกันเอาออกอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะกดนานเลย ขอโทษจริงๆนะคะ” พูดไปก็ค้อมหัวไปเป็นเชิงขอโทษสำนึกผิดเต็มที่ รู้ดีว่าคนรอคงหงุดหงิดไม่น้อย วริณสิตาหันไปมองสาวแว่นผมเปียเจ้าของบัตรด้วย แต่ดูเหมือนเขายังไม่รู้สึกอะไรเพราะยังตั้งหน้าตั้งตาดึงบัตรเอาเป็นเอาตายอย่างนั้นเอง เห็นแล้วก็ได้แต่หันกลับมา ยิ้มแหยๆให้คนที่ยืนรออยู่แทน
“ขอโทษจริงๆนะคะ” บอกอีกทีอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่อีกฝ่ายกลับดูจะอึ้งไปนิด เด็กหนุ่มเสียงห้าวผิวขาวหน้าตี๋ได้แต่อ้าปากค้าง กะพริบตามองวริณสิตาอยู่ปริบๆก่อนเอ่ยตอบ
“มะ...ไม่เป็นไรครับ”
“ขอบคุณนะคะ” วริณสิตายิ้มกว้างให้อีกครั้งก่อนจรลีหันกลับไปช่วยสาวแว่นผมเปียต่อ ทว่าจู่ๆเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามา ใบหน้าตี๋ๆฉีกยิ้มฉายไมตรีจนตาหยีเกือบเป็นเส้น
“บัตรเธอติดเหรอ ถ้าไม่รังเกียจให้เราช่วยดูให้มั้ย?”
“เอ่อ...เปล่าๆ ไม่ใช่บัตรเราหรอก” วริณสิตาบอก “แต่เป็นบัตรของ...” แล้วจังหวะนั้นเองที่สาวแว่นผมเปียเจ้าของเรื่องเงยหน้าขึ้นมา และทันทีที่เห็นหน้าเด็กหนุ่ม สาวแว่นผมเปียก็ร้อง...
“นาย!”
เสียงนั้นบอกชัดว่าตื่นเต้นดีใจ “นายเรียนคณะเกษตรใช่มั้ย ชื่อการนนท์ป่ะ เราจำได้!”
กับประโยคนั้น ‘การนนท์ วรโชติ’ ก็ได้แต่ทำหน้าเหวอๆ
“ใช่ แล้วเธอ?”
“เราพยุดาไง ที่ชื่อเล่นน้อยหน่าน่ะเรียนคณะเกษตรเหมือนกัน เมื่อตอนนั้นเจอกันวันรายงานตัวไง จำได้มั้ย?” สาวแว่นผมเปียบอก การนนท์ตั้งท่าครุ่นคิดหนักขณะไล่สายตามองพยุดา นานเป็นอึดใจกว่าจะตอบออกมาหน้าตาเฉยว่า
“จำไม่ได้”
“เฮ้ยยย!” พยุดาลากเสียงยาวเหยียดอย่างผิดหวัง “จำไม่ได้ได้ไงกัน! สมองปลาทองหรือยังไงนายน่ะ”
“อ้าว!” แล้วคนถูกว่าก็มีปัญหาทันที “พูดงี้ก็สวยสิยายแว่น”
“โอ๊ย! เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน” สถานการณ์อย่างนี้วริณสิตาก็เข้าห้ามทัพทันที ใช่ที่ที่ไหนที่จะมาทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกที่เจอแบบนี้
“นี่พวกเธอสองคนอยู่คณะเกษตรกันเหรอ” วริณสิตาเอ่ยถาม ก่อนบอกตาม “เราก็อยู่คณะเกษตรนะ”
“อ๊ะ! จริงน่ะ?/จริงดิ?” ทั้งพยุดาและการนนท์ต่างอุทานพร้อมกัน ทว่าความพร้อมเพรียงอย่างนั้นคงไม่น่าปลื้มสำหรับคนที่ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่วันแรก พยุดาเลยขึงตาใส่การนนท์หนึ่งพรืดก่อนหันมาถามวริณสิตา
“เธอก็อยู่คณะเกษตรเหรอ แล้วทำไมตอนวันรายงานตัว เราถึงไม่เห็นเธอเลยล่ะ?”
“อ่อ...ก็...คือพอดีว่าวันนั้นเรากลับเร็วน่ะ ไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรมที่รุ่นพี่เขาจัดให้จนจบหรอก คือเราไม่อยากให้ลุงที่เขามาด้วยต้องมารอเรานาน” วริณสิตาบอก เมื่อวันที่มารายงานตัวนั้นวริณสิตามากับนายก้านเพราะผู้ปกครองเธอไม่ว่าง วันนั้นก็ค่อนข้างลำบากอยู่สักหน่อยเพราะรถเยอะ คนก็แยะ แถมนายก้านเองก็ยังเกิดอาการเงอะๆงะๆด้วยเนื่องจากไม่เคยทำหน้าที่พาใครไปรายงานตัวที่สถานศึกษามาก่อน ดังนั้นวริณสิตาเลยต้องทำเองทุกอย่าง และพอรายงานตัวเสร็จปั๊บก็รีบกลับทันทีเพราะเกรงใจว่าลุงก้านจะต้องรอนาน
“อืมๆ แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ เราชื่อพยุดานะ ชื่อเล่นชื่อน้อยหน่า”
“ส่วนเราการนนท์” เด็กหนุ่มแทรกบ้าง ซึ่งการกระทำแบบนั้นทำให้สาวแว่นผมเปียแอบแว้ด
“ฮึย! ใครเขาถามนายยะ?”
“เอาน่าๆ” วริณสิตาร้องห้าม “เราชื่อวริณสิตา แต่พวกเธอเรียกเราว่าจิ๊บก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะน้อยหน่ากับการนนท์” เด็กสาวยิ้มให้ทั้งคู่อย่างผูกมิตร คิดว่าชีวิตมหาวิยาลัยกับเพื่อนสองคนนี้คงต้องสนุกมากแน่ๆ แต่ทว่า...
“เดี๋ยวนะ” จู่ๆพยุดาก็ราวกับจะนึกอะไรได้ ใบหน้ายิ้มๆชักกลับไปเป็นเหยๆ “แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมา ‘ยินดีที่ได้รู้จักกัน’ นานเกินไป” พยุดาบอก “ก็บัตรเราอ่ะ ยังติดอยู่ในเครื่องนั่นอยู่เลย”
“เออ จริงด้วย” แล้วสาวสองคนก็กลับไปมะรุมมะตุ้มหน้าตู้เอทีเอ็มอีกครั้ง มิหนำซ้ำฟังเสียงพยุดาที่ทำเสียงอย่างกับว่าโลกจะแตกก็ทำเอาการนนท์อดรนทนไม่ได้
“อะไร? ก็แค่บัตรเอทีเอ็มติดเข้าไปในเครื่องเองไม่ใช่เรอะ จะอะไรขนาดนั้นเนี่ย” การนนท์ว่า
“ขนาดนั้นสิ” พยุดาเถียงแว้ด “บัตรมันติดเข้าไปนะ ก็ต้องเดือดร้อน!”
การนนท์ทำหน้าอย่างกับว่าสิ่งที่พยุดาว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
“นี่ ยายแว่น ฉันจะบอกให้ กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกะบัตรที่เสียบเข้าไปในตู้เอทีเอ็มเนี่ย สิ่งแรกที่ควรทำคือติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เข้าใจ๋?”
“เหอะ” พยุดาส่งเสียงต่ำ ส่ายหน้าขวับๆจนเปียกระจาย “ไม่ได้ๆ ถ้าเราทิ้งตู้ไปแล้วเดินไปธนาคาร เกิดคนอื่นดึงบัตรเราไปได้จะทำไงเล่า”
“ก็ไม่ต้องเดิน โทร.ไป แจ้งอาญัติบัตรไว้ก่อน ยากตรงไหนเนี่ย” การนนท์บ่น แต่ว่า...
“เหอะ” พยุดายังคงส่ายหน้าจนเปียกระจาย “ก็ยังไม่ได้อยู่ดี”
“ทำไมล่ะน้อยหน่า?” วริณสิตาถามบ้าง หลังจากฟังมานาน เธอก็คิดว่าที่การนนท์แนะมาก็ถูก “เราว่าที่การนนท์พูดมาก็ถูกนะ แจ้งเจ้าหน้าที่ธนาคารให้เขาเอาออกให้ น่าจะง่ายกว่า”
“เหอๆ” พยุดายิ้มเหย ทำหน้าเหมือนอยากร่ำไห้ “ไม่ได้อ่ะ แจ้งไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็...ก็ไอ้บัตรที่เราเสียบเข้าไปติดอ่ะ มันไม่ใช่...บัตรเอทีเอ็ม แต่มันเป็น...” คนพูดสารภาพเสียงอ่อย “บัตรร้านแว่น!”
..................................
สวัสดีค่ะ!
มาแล้วๆ แฮ่... อาทิตย์นี้คาดว่าน่าจะไล่ลงได้ทันกับที่บล็อกนะคะ (ถ้าหัวหน้าไม่มายืนแผ่รังสีอำมหิตข้างหลังนะคะ เหอๆ)
พีรพัฒน์ยืนนิ่งอยู่บนระเบียบชั้นบนของบ้าน จากมุมนี้นัยน์ตาคมปลาบสามารถมองเห็นร่างบางๆของสาวน้อยสองคนที่ง่วนอยู่กับการตัดชะอมใส่กระจาด ใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม แววตาสุกใสพร้อมเสียงหัวเราะที่แว่วมาไม่ขาดสายทำให้ชายหนุ่มเผลอมองสองสาวน้อยเสียเพลินจนไม่เห็นว่าคุณดวงทิพย์มายืนอยู่ข้างๆ
“ทำอะไรอยู่จ๊ะ ไหนว่าขึ้นมาหยิบของบนบ้านแป๊บเดียวแล้วจะลงไปปอกมะพร้าวให้แม่ไง แล้วมายืนแอบดูอะไรอยู่ตรงนี้”
ชายหนุ่มหันมาทางเสียงทัก ยิ้มบางๆฉาบในหน้าเมื่อบุ้ยใบ้ให้ผู้เป็นมารดามองวริณสิตากับลูกชุบ
“ผมสงสัยอยู่ว่าเที่ยงนี้ แม่จะทำกับข้าวเลี้ยงทหารสักกี่กองพันกัน สองคนนั่นเก็บผักจะหมดสวนแล้ว”
“แน้! พีอย่าดูถูกสวนแม่นะ คอยดูเถอะเก็บวันนี้ พรุ่งนี้ผักของแม่ก็แตกยอดให้เก็บเหมือนเดิม”
พีรพัฒน์หัวเราะขำ ในกระจาดใบย่อมนั่นไม่ได้มีเพียงชะอมสำหรับจะทอดกับไข่เท่านั้น หากยังมียอดอ่อนฟักทอง บวบเหลี่ยม ดอกแค กระเจี๊ยบและคงอะไรๆอีกหลายอย่างที่อยู่ข้างใต้นั่น แล้วระหว่างเด็กสิบเจ็ดกับเด็กสิบสาม พีรพัฒน์ก็ไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้นำใครในการเก็บผักนานาชนิดจนล้นกระจาดแบบนั้น
“สนุกกันใหญ่” เขาเปรย ไม่ละสายตาจากเด็กในปกครองของตัวเองเลยแม้แต่นิด เพราะนับตั้งแต่ที่เขารับวริณสิตาเข้ามาอยู่ที่บ้านคุณอัง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสาวน้อยคนนั้นหัวเราะอย่างสดใส
“ถ้าลองได้ทำสิ่งที่รักที่ชอบ ไม่ว่าใคร ก็มีความสุขทั้งนั้นแหละพี”
“นั่นสินะครับ” เขารับคำเสียงเบา เข้าใจลึกซึ้งอยู่เต็มอก
“แล้วตัดสินใจหรือยังล่ะจ๊ะว่าจะให้เขาเรียนที่ไหน” คนเป็นแม่ถาม พีรพัฒน์เล่าทุกอย่างให้คุณดวงทิพย์ฟังเสมอ รวมถึงเรื่องที่วริณสิตาอยากเรียนด้านการเกษตร มิหนำซ้ำยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะเกษตรได้แล้วด้วย ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมา
“ผมอุปการะเขาด้วยเงินป้าอัง ผมก็อยากให้เขาช่วยงานให้กับบริษัทของป้าอัง”
แต่มันคงเป็นสิ่งที่ฝืนความรู้สึกของเด็กคนนั้นเสียเหลือเกิน และจริงๆพีรพัฒน์เองก็ไม่อยากต้องบังคับหรือฝืนใจอะไรใครเลย คนเป็นแม่ดูเหมือนจะเข้าใจ คุณดวงทิพย์ยื่นมือแตะต้นแขนลูกชายเบาๆ
“แม่เองก็เป็นได้แต่คนรับฟัง ความเหมาะสมอะไรทุกๆอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพีเท่านั้น”
ใช่ มันคงต้องเป็นเช่นนั้น ในเมื่อวริณสิตาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา อนาคตเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไร ไปทางไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาคนเดียว
หลังจากเก็บผักเสียเต็มกระจาดใหญ่ วริณสิตาและลูกชุบก็กลับเข้ามาใต้ถุนบ้านก่อนตรงเข้าไปด้านหลังที่เป็นครัวของคุณดวงทิพย์
“มาแล้วจ้าๆ ชุบกะพี่จิ๊บเก็บผักมาให้ป้าทิพย์เต็มเลย” ลูกชุบส่งเสียงดังมาตามเคย ขณะที่วริณสิตาถือกระจาดตามมาด้านหลัง ในครัวนั้นเธอเห็นคุณดวงทิพย์นั่งบนแคร่ใกล้เตาไฟ ใกล้ตัวมีกระจาดอีกใบที่ใส่พวกเครื่องแกงอย่างพริกแดงแห้ง ข่า ตะไคร้ ถัดไปมีครกสำหรับตำพริกแกง รวมถึงแฟงสองลูกที่ลูกชุบปันมาให้ก็วางอยู่บนแคร่นั้นด้วย
ส่วนผู้ปกครองเธอน่ะอยู่อีกฟากและกำลังก้มหน้าก้มตาใช้กระต่ายขูดมะพร้าว เขาเหลือบตาขึ้นมองเธอหนึ่งที ก่อนก้มลงไปใส่ใจกับงานของตัวเองอีกครั้ง
“เออ แล้วไปบอกย่าหรือยังเจ้าชุบ ว่าจะมากินข้าวกับป้าที่นี่” เสียงคุณดวงทิพย์เอ่ยถามลูกชุบขณะที่วริณสิตาเลี่ยงเข้ามาได้แล้วและวางกระจาดบนแคร่
“แฮะๆ ยังเลยจ้ะ เดี๋ยวชุบวิ่งไปบอกก่อนนะ” ว่าแล้วลูกชุบก็วิ่งปรื๋อออกไปทันที
“เอ่อ...ป้าจะทำแกงอะไรบ้างคะ มีอะไรให้หนูช่วยทำได้บ้างหรือเปล่า” วริณสิตาถาม
“เออ งั้นหนูปอกแฟงเป็นไหมล่ะจ๊ะ หั่นเป็นชิ้นๆให้ป้าหน่อยป้าจะทำแกงคั่วแฟงเจ้าชุบมันหนึ่งอย่างล่ะ แล้วไหนดูสิ เก็บอะไรกันมาบ้าง” คุณดวงทิพย์ดึงกระจาดผักไปดูแล้ว ส่วนวริณสิตาก็เอื้อมไปหยิบแฟงพร้อมมีดมาลงมือปอก ตาก็แอบเหลือบๆมองผู้ปกครองไปด้วย
โธ่! ก็จะไม่ให้มองได้อย่างไร บอกตามตรง ไม่เคยคิดหรอกว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้ ปกติเคยเห็นแต่ที่หน้าดุๆใส่สูทนั่งโต๊ะ แต่นี่...คุณพีขูดมะพร้าว!
แล้วคนคิดก็ได้แต่ลอบอมยิ้มขำ ทว่านาทีนั้น...
“จะมองอะไรนักหนา เดี๋ยวมีดก็บาดมือหรอก” เสียงทุ้มๆเอ่ยบอก ทำเอาคนลอบมองหน้าร้อนเห่อ
ก็เขาจับได้ว่าเธอแอบมอง! วริณสิตาเลยก้มหน้างุดทันที เธอได้ยินเสียงคุณดวงทิพย์หัวเราะจางๆ แต่หลังจากสถานการณ์ประดักประเดิดผ่านไปและลูกชุบกลับเข้ามา ในครัวก็กลับมามีสีสัน เสียงหัวเราะกรุ่นกำจาย วริณสิตารู้สึกสนุกมากที่ได้ทำกับข้าวกับปลาต่างๆกับคุณดวงทิพย์ ได้ล้อมวงทานข้าว ได้เล่าได้คุยกันด้วยเรื่องต่างๆที่เธอชอบ และหยอกล้อเล่นกันสนุกสนานกับลูกชุบ แต่แน่นอน...ท้ายที่สุดช่วงเวลาความสุขก็ต้องสิ้นสุด
“บ่ายสามแล้ว ผมคงต้องกลับแล้วล่ะแม่ มีเรื่องที่ผมต้องทำต่ออีกหน่อย เดี๋ยวจะมืดก่อน” พีรพัฒน์บอก เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนหันไปทางเด็กในปกครอง และไม่มีการต่อเวลาให้ใครแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นอาณัติสัญญานให้วริณสิตาลุกตาม
สาวน้อยจำต้องลุกขึ้นอย่างหงอยๆ ยกมือไหว้คนสูงวัยพร้อมกล่าวลา
“แล้วมาใหม่นะจ๊ะ” คุณดวงทิพย์บอก
“ใช่ๆ แล้วมาใหม่นะพี่จิ๊บ ครั้งหน้าจะพาเดินไปเที่ยวที่บ้านชุบบ้าง ย่าชุบอ่ะก็ทำกับข้าวอร่อยไม่แพ้ป้าทิพย์เลยจะบอกให้”
วริณสิตายิ้มบางเบา ไม่กล้าให้คำตอบอะไรกับลูกชุบ เพราะเธอจะมีโอกาสมาอีกหรือไม่ มันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยากของเธอเลย
“แล้วอย่าลืมมาน้า” ลูกชุบตะโกนบอก โบกมือให้หยอยๆขณะที่สาวน้อยต้องเดินตามผู้ปกครองต้อยๆกลับไปที่รถ
“ยิ้มหน่อยซิ” เสียงพีรพัฒน์บอกเมื่อกลับเข้ามานั่งในรถเรียบร้อย วริณสิตาได้แต่คิด ว่านั่นคือคำสั่งใช่ไหม สาวน้อยเลยยิ้มได้เจื่อนจืดเต็มทนจนผู้ปกครองต้องผ่อนลมหายใจ
“พรุ่งนี้เป็นวันรายงานตัวของเธอแล้วใช่ไหม” เขาถามอีก ไม่ได้สตาร์ทรถสักที แต่แน่ล่ะ สำหรับวริณสิตา ยิ่งมาถามเรื่องนี้ก็ยิ่งยิ้มไม่ออก! พีรพัฒน์ใช้นิ้วเคาะพวงมาลัย ตลอดช่วงที่วริณสิตาสุขใจ เขาเองก็ใคร่ครวญอะไรบางเรื่องอย่างหนักเช่นกัน มันใช้เวลาค่อนข้างนานเพราะมันก้ำกึ่งระหว่างคำว่าเหมาะสมกับสบายใจ แต่ในที่สุดเขาก็ตกลงใจ ชายหนุ่มล้วงมือหยิบของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อส่งให้วริณสิตา
“รับไปสิ” พีรพัฒน์ว่า เพราะเป็นแค่ถุงพลาสติกใสธรรมดา จึงเห็นได้ชัดว่าสิ่งของข้างในคืออะไร
มันเป็นกระดุมโลหะ กับหัวเข็มขัดที่เป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย...และเหนือสิ่งอื่นใด...มันเป็นของมหาวิทยาลัยที่เธอต้องไปรายงานตัวพรุ่งนี้ด้วย! วริณสิตาเงยหน้ามองผู้ปกครองทันที
“หัวเข็มขัดนี่อาจเก่าหน่อยเพราะมันเป็นของฉันเอง” เสียงชายหนุ่มว่า “แต่กระดุมนี่น่ะฉันซื้อให้เธอใหม่ เพราะนักศึกษาชายเขาไม่ต้องใช้กระดุมแบบผู้หญิง ฉันเลยไม่มี เอ้า! รับไปสิ ไปรายงานตัวพรุ่งนี้เธอจำเป็นต้องใช้”
วริณสิตาถึงกับยื่นสองมือไปรับประคองไว้
“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณ” สาวน้อยพร่ำออกไป รอยยิ้มกรุ่นกำจายและหัวใจเต้นถี่อย่างยินดีที่สุด!
“ฉันอนุญาตให้เธอเรียนในสิ่งที่เธอต้องการได้วริณสิตา แต่ว่าฉันจำเป็นต้องบอกเธอไว้” พีรพัฒน์พูด “นอกจากงานที่บริษัทของป้าอัง ฉันยังมีบริษัทเล็กๆของฉันเองที่ลงทุนร่วมหุ้นกับคุณซ้งและเพื่อนฉันอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น งานของฉันเลยมีมาก ฉันอนุญาตให้เธอเรียนเกษตรได้ แต่เธอต้องแบ่งเวลามาเรียนรู้และช่วยงานฉันในส่วนของบริษัทป้าอังด้วย ตกลงมั้ย?”
“ได้ค่ะ! ได้ หนูจะพยายาม” วริณสิตาให้สัญญา พีรพัฒน์ยิ้มละไมขณะได้ฤกษ์สตาร์ทรถได้สักที
“ดี เอาละ ทีนี้ที่เธอยังขาดอยู่สำหรับพรุ่งนี้คือชุดนักศึกษาใช่ไหม” เขาถาม หันมาขยิบตาให้เด็กในปกครองอย่างอารมณ์ดีก่อนประกาศว่า “อืม! แค่ชุดนักศึกษาหญิงที่ถูกระเบียบมหาวิทยาลัย ฉันคงไม่จำเป็นต้องพึ่งใครให้ช่วยเลือกให้เธอแล้วล่ะวริณสิตา!”
วริณสิตารู้สึกว่าได้ยินเสียงใจตัวเองเต้นตึ๊กๆอยู่ในหูชัดมากเมื่อก้าวเท้าลงจากรถยุโรปคันใหญ่ของบ้านคุณอังกาบ สาวน้อยกำลังตื่นเต้นมากๆทีเดียว เพราะแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรก ที่วริณสิตาได้เข้ามาเหยียบอาณาเขตของมหาวิทยาลัย แต่นี่น่ะคือครั้งแรก คือวันแรกที่เธอจะเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาในรั้วนี้!
วริณสิตาก้มมองตัวเองในชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยมเพื่อความมั่นใจอีกที
“ไปถูกแน่นะครับคุณจิ๊บ ให้ลุงวนรถหาตึกเรียนให้ดีกว่าไหม?” เสียงนายก้านเสนอขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่สาวน้อยก็รีบเงยขึ้นมาก่อนส่ายหน้าจนผมที่ผูกไว้เป็นหางม้าแกว่งไกว
“ไม่เป็นไรจ้ะลุง จิ๊บไปเองได้ รับรองไปถูกแน่นอน” วริณสิตาบอกเร็วปรื๋อ โธ่! ก็ที่อุตส่าห์เร่งเร้าให้ลุงก้านมาส่งก่อนเวลาเริ่มเรียนวิชาแรกตั้งสองชั่วโมงก็เพราะอยากจะเดินสำรวจมหาวิทยาลัยด้วยขาตัวเองบ้างต่างหาก แล้วงั้นจะให้ลุงก้านขับรถหาตึกเรียนให้ทำไม
“ตอนเย็นๆเลิกเรียนแล้ว ลุงจะมารอรับแถวนี้นะครับ เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านคุณจิ๊บจดไว้แล้วแน่นะครับ?”
“จ้ะ จิ๊บจดไว้เรียบร้อบแล้ว ลุงไม่ต้องเป็นห่วงเลย” สาวน้อยรีบยิ้มละไม ยกมือไหว้คนสูงวัยก่อนปิดประตูรถให้อย่างเรียบร้อยเป็นการตัดบท
วริณสิตาหันหน้ากลับมาด้านมหาวิทยาลัย ภาพหนุ่มๆสาวๆหน้าใสที่แต่ละคนใส่เสื้อใหม่สีขาวจั๊วะช่างสร้างบรรยากาศให้สถานที่แห่งนี้ดูสดใสและท้าทาย วริณสิตาสูดหายใจเข้าปอดยาวๆ...ชีวิตน้องใหม่ของเธอเริ่มต้นแล้ว
แต่อาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยก็ช่างกว้าง มีหลายตึกหลายคณะ เมื่อวันที่วริณสิตามารายงานตัวก็มีรุ่นพี่มารอพบหน้าน้องๆและแนะนำสถานที่อยู่บ้าง เธอจำได้ว่าคณะเกษตรของเธอนั้นอยู่ลึกเข้าไปข้างในๆเลย ว่าแต่ว่า...ที่ๆเธอกำลังยืนอยู่เนี่ยมันคือจุดไหนของมหาวิทยาลัยล่ะ
วริณสิตาตัดสินใจมองหาป้ายแผนที่ แล้วก็เจอตรงหัวมุมถนนจึงซอยเท้าถี่ๆวิ่งไปดู ทว่าตอนที่กำลังง่วนๆอยู่กับคำว่า ‘คุณอยู่นี่’ จู่ๆก็มีมือใครไม่รู้คว้าหมับเข้าให้ที่ต้นแขน!
“เธอ! ช่วยด้วย ช่วยเราหน่อยสิ เราแย่แล้ว!”
“หา?!” วริณสิตาอ้าปากค้าง เมื่อหันไปพบว่าคนที่คว้าต้นแขนเธอนั้นคือเด็กสาวหน้าใสไว้ผมเปียสองข้าง เสื้อเชิ้ตแขนสั้นขาวจั๊วะบอกให้รู้ว่าสาวเปียแปลกหน้าอยู่รุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนสายตาหลังแว่นกรอบรีสีดำที่มองมานั้น ก็ดูวิงวอนเสียราวกับว่า...โลกมันกำลังจะแตกในอีกไม่เกินสามนาทีข้างหน้าแล้ว!
“อะ...อะไร?” วริณสิตาถาม แต่สาวแว่นผมเปียนั้นไม่ตอบ กลับลากเธอติดมือไปที่ตู้กดเงินอัตโนมัติซึ่งอยู่ใกล้ๆ
“บัตรเราติดอยู่ในตู้นี้น่ะ เอาออกไม่ได้ ทำไงดี?”
“หา?!”
วริณสิตาได้แต่อ้าปากค้างกันอีกหน ก่อนเพ่งไปดูตู้เอทีเอ็มตรงหน้าแล้วเห็นว่าตรงช่องเสียบบัตรมีขอบบัตรสีเหลืองๆขัดค้างอยู่
“บัตรติด เอาออกไม่ได้ ทำไงดี?”
เอ้อ! เปล่า! ไม่ใช่ ที่ร้อง ‘หา’ อ้าปากค้างไปไม่ใช่เธอไม่ได้ยินสักนิด แต่วริณสิตาไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงต่างหาก เพราะอย่าว่าแต่บัตรเอทีเอ็มเลย ชีวิตนี้ แค่สมุดบัญชีธนาคารเธอยังไม่เคยมีเลย!
“เอ่อ...เอ่อ...” วริณสิตาอึกอัก และยิ่งเห็นอย่างนั้น สาวแว่นผมเปียก็ยิ่งหน้าเหยร้อนรนใหญ่ เจ้าหล่อนคว้ามือวริณสิตาไว้แล้วเริ่มกรีดร้องตีโพยตีพายคล้ายว่าบัตรติดนี่น่ะมันปัญหาใหญ่ระดับชาติ!
“เฮ้ย! แล้วเราจะทำไงดีล่ะเธอ ทำไงดี๊ ทำไงดี โอ๊ยๆ”
“เอ่อ...งั้น...งั้นลองพยายามดึงออกดูก่อนดีมั้ย เดี๋ยวเราช่วย”
“จริงนะ?” สาวแว่นผมเปียหยุดตีโพยตีพายทันที
“อืม!” วริณสิตาพยักหน้าให้อย่างมั่นคง แล้วหลังจากนั้นก็เป็นสถานการณ์แบบ...พยายามทุกวิถีทางจะเอาบัตรออก!
แต่อาจเพราะแนวบัตรที่ตัวเจ้าของเสียบเข้าไปแต่แรกไม่ตรงอยู่แล้ว พอดึงออกมันก็ยิ่งขัดใหญ่ พอจะใช้วีธีดันกลับเข้าไปก็ดันไม่ได้เพราะมันขัดช่องไปแล้ว! สองคนเลยมะรุมมะตุ้มหน้าตู้กันอย่างเคร่งเครียดไม่สนใจใครจนกระทั่ง...
“นี่! โทษนะ” เสียงห้าวๆดังขึ้น “แต่จะยืนกดกันอีกนานมั้ย คนอื่นเขาก็รอจะกดเงินอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
ไม่ต้องใช้ความพยายามตรงไหนก็รู้สึกได้ว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์ใด วริณสิตาจึงหันกลับไปทันที
“เอ่อ ขอโทษค่ะ” สาวน้อยรีบพูดเร็วปรื๋อ “แต่ว่าบัตรของเพื่อนเขาติดอยู่ในเครื่องแล้วมันเอาออกไม่ได้น่ะค่ะ เรากำลังพยายามช่วยกันเอาออกอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะกดนานเลย ขอโทษจริงๆนะคะ” พูดไปก็ค้อมหัวไปเป็นเชิงขอโทษสำนึกผิดเต็มที่ รู้ดีว่าคนรอคงหงุดหงิดไม่น้อย วริณสิตาหันไปมองสาวแว่นผมเปียเจ้าของบัตรด้วย แต่ดูเหมือนเขายังไม่รู้สึกอะไรเพราะยังตั้งหน้าตั้งตาดึงบัตรเอาเป็นเอาตายอย่างนั้นเอง เห็นแล้วก็ได้แต่หันกลับมา ยิ้มแหยๆให้คนที่ยืนรออยู่แทน
“ขอโทษจริงๆนะคะ” บอกอีกทีอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่อีกฝ่ายกลับดูจะอึ้งไปนิด เด็กหนุ่มเสียงห้าวผิวขาวหน้าตี๋ได้แต่อ้าปากค้าง กะพริบตามองวริณสิตาอยู่ปริบๆก่อนเอ่ยตอบ
“มะ...ไม่เป็นไรครับ”
“ขอบคุณนะคะ” วริณสิตายิ้มกว้างให้อีกครั้งก่อนจรลีหันกลับไปช่วยสาวแว่นผมเปียต่อ ทว่าจู่ๆเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามา ใบหน้าตี๋ๆฉีกยิ้มฉายไมตรีจนตาหยีเกือบเป็นเส้น
“บัตรเธอติดเหรอ ถ้าไม่รังเกียจให้เราช่วยดูให้มั้ย?”
“เอ่อ...เปล่าๆ ไม่ใช่บัตรเราหรอก” วริณสิตาบอก “แต่เป็นบัตรของ...” แล้วจังหวะนั้นเองที่สาวแว่นผมเปียเจ้าของเรื่องเงยหน้าขึ้นมา และทันทีที่เห็นหน้าเด็กหนุ่ม สาวแว่นผมเปียก็ร้อง...
“นาย!”
เสียงนั้นบอกชัดว่าตื่นเต้นดีใจ “นายเรียนคณะเกษตรใช่มั้ย ชื่อการนนท์ป่ะ เราจำได้!”
กับประโยคนั้น ‘การนนท์ วรโชติ’ ก็ได้แต่ทำหน้าเหวอๆ
“ใช่ แล้วเธอ?”
“เราพยุดาไง ที่ชื่อเล่นน้อยหน่าน่ะเรียนคณะเกษตรเหมือนกัน เมื่อตอนนั้นเจอกันวันรายงานตัวไง จำได้มั้ย?” สาวแว่นผมเปียบอก การนนท์ตั้งท่าครุ่นคิดหนักขณะไล่สายตามองพยุดา นานเป็นอึดใจกว่าจะตอบออกมาหน้าตาเฉยว่า
“จำไม่ได้”
“เฮ้ยยย!” พยุดาลากเสียงยาวเหยียดอย่างผิดหวัง “จำไม่ได้ได้ไงกัน! สมองปลาทองหรือยังไงนายน่ะ”
“อ้าว!” แล้วคนถูกว่าก็มีปัญหาทันที “พูดงี้ก็สวยสิยายแว่น”
“โอ๊ย! เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน” สถานการณ์อย่างนี้วริณสิตาก็เข้าห้ามทัพทันที ใช่ที่ที่ไหนที่จะมาทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกที่เจอแบบนี้
“นี่พวกเธอสองคนอยู่คณะเกษตรกันเหรอ” วริณสิตาเอ่ยถาม ก่อนบอกตาม “เราก็อยู่คณะเกษตรนะ”
“อ๊ะ! จริงน่ะ?/จริงดิ?” ทั้งพยุดาและการนนท์ต่างอุทานพร้อมกัน ทว่าความพร้อมเพรียงอย่างนั้นคงไม่น่าปลื้มสำหรับคนที่ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่วันแรก พยุดาเลยขึงตาใส่การนนท์หนึ่งพรืดก่อนหันมาถามวริณสิตา
“เธอก็อยู่คณะเกษตรเหรอ แล้วทำไมตอนวันรายงานตัว เราถึงไม่เห็นเธอเลยล่ะ?”
“อ่อ...ก็...คือพอดีว่าวันนั้นเรากลับเร็วน่ะ ไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรมที่รุ่นพี่เขาจัดให้จนจบหรอก คือเราไม่อยากให้ลุงที่เขามาด้วยต้องมารอเรานาน” วริณสิตาบอก เมื่อวันที่มารายงานตัวนั้นวริณสิตามากับนายก้านเพราะผู้ปกครองเธอไม่ว่าง วันนั้นก็ค่อนข้างลำบากอยู่สักหน่อยเพราะรถเยอะ คนก็แยะ แถมนายก้านเองก็ยังเกิดอาการเงอะๆงะๆด้วยเนื่องจากไม่เคยทำหน้าที่พาใครไปรายงานตัวที่สถานศึกษามาก่อน ดังนั้นวริณสิตาเลยต้องทำเองทุกอย่าง และพอรายงานตัวเสร็จปั๊บก็รีบกลับทันทีเพราะเกรงใจว่าลุงก้านจะต้องรอนาน
“อืมๆ แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ เราชื่อพยุดานะ ชื่อเล่นชื่อน้อยหน่า”
“ส่วนเราการนนท์” เด็กหนุ่มแทรกบ้าง ซึ่งการกระทำแบบนั้นทำให้สาวแว่นผมเปียแอบแว้ด
“ฮึย! ใครเขาถามนายยะ?”
“เอาน่าๆ” วริณสิตาร้องห้าม “เราชื่อวริณสิตา แต่พวกเธอเรียกเราว่าจิ๊บก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะน้อยหน่ากับการนนท์” เด็กสาวยิ้มให้ทั้งคู่อย่างผูกมิตร คิดว่าชีวิตมหาวิยาลัยกับเพื่อนสองคนนี้คงต้องสนุกมากแน่ๆ แต่ทว่า...
“เดี๋ยวนะ” จู่ๆพยุดาก็ราวกับจะนึกอะไรได้ ใบหน้ายิ้มๆชักกลับไปเป็นเหยๆ “แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมา ‘ยินดีที่ได้รู้จักกัน’ นานเกินไป” พยุดาบอก “ก็บัตรเราอ่ะ ยังติดอยู่ในเครื่องนั่นอยู่เลย”
“เออ จริงด้วย” แล้วสาวสองคนก็กลับไปมะรุมมะตุ้มหน้าตู้เอทีเอ็มอีกครั้ง มิหนำซ้ำฟังเสียงพยุดาที่ทำเสียงอย่างกับว่าโลกจะแตกก็ทำเอาการนนท์อดรนทนไม่ได้
“อะไร? ก็แค่บัตรเอทีเอ็มติดเข้าไปในเครื่องเองไม่ใช่เรอะ จะอะไรขนาดนั้นเนี่ย” การนนท์ว่า
“ขนาดนั้นสิ” พยุดาเถียงแว้ด “บัตรมันติดเข้าไปนะ ก็ต้องเดือดร้อน!”
การนนท์ทำหน้าอย่างกับว่าสิ่งที่พยุดาว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
“นี่ ยายแว่น ฉันจะบอกให้ กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกะบัตรที่เสียบเข้าไปในตู้เอทีเอ็มเนี่ย สิ่งแรกที่ควรทำคือติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เข้าใจ๋?”
“เหอะ” พยุดาส่งเสียงต่ำ ส่ายหน้าขวับๆจนเปียกระจาย “ไม่ได้ๆ ถ้าเราทิ้งตู้ไปแล้วเดินไปธนาคาร เกิดคนอื่นดึงบัตรเราไปได้จะทำไงเล่า”
“ก็ไม่ต้องเดิน โทร.ไป แจ้งอาญัติบัตรไว้ก่อน ยากตรงไหนเนี่ย” การนนท์บ่น แต่ว่า...
“เหอะ” พยุดายังคงส่ายหน้าจนเปียกระจาย “ก็ยังไม่ได้อยู่ดี”
“ทำไมล่ะน้อยหน่า?” วริณสิตาถามบ้าง หลังจากฟังมานาน เธอก็คิดว่าที่การนนท์แนะมาก็ถูก “เราว่าที่การนนท์พูดมาก็ถูกนะ แจ้งเจ้าหน้าที่ธนาคารให้เขาเอาออกให้ น่าจะง่ายกว่า”
“เหอๆ” พยุดายิ้มเหย ทำหน้าเหมือนอยากร่ำไห้ “ไม่ได้อ่ะ แจ้งไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็...ก็ไอ้บัตรที่เราเสียบเข้าไปติดอ่ะ มันไม่ใช่...บัตรเอทีเอ็ม แต่มันเป็น...” คนพูดสารภาพเสียงอ่อย “บัตรร้านแว่น!”
..................................
สวัสดีค่ะ!
มาแล้วๆ แฮ่... อาทิตย์นี้คาดว่าน่าจะไล่ลงได้ทันกับที่บล็อกนะคะ (ถ้าหัวหน้าไม่มายืนแผ่รังสีอำมหิตข้างหลังนะคะ เหอๆ)
ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2554, 09:39:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2554, 09:39:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 3272
<< ตอนที่ 19 | ตอนที่ 21 >> |
XaWarZd 25 ส.ค. 2554, 12:18:20 น.
ฮาค่ะ บัตรร้านแว่น
ฮาค่ะ บัตรร้านแว่น